ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
65.5k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
10
772
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Retail_54056
Retail
คุณอนันต์ กาญจนพาสน์ เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์ ในนามบริษัทใด
เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563 คุณอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ณ โรงพยาบาลบางกอกเนอสซิ่งโฮม (บีเอ็นเอช) สิริอายุได้ 80 ปี โดยครอบครัวจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหลังจากสถานการณ์ covid-19 ผ่านพ้นไป โดยจะแจ้งเป็นทางการอีกครั้ง คุณอนันต์ เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2484 ประเทศไทย เป็นทายาทคนที่ 2 ของคุณมงคล กาญจนพาสน์ สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาตรี บริหารธุรกิจ วิทยาลัยสวอซ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้านชีวิตส่วนตัว คุณอนันต์ สมรสกับคุณโซฟี และมีบุตรชาย 2 คือ คุณปีเตอร์ กาญจนพาสน์ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) และ คุณพอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด คุณอนันต์ หรือ เสี่ยช้าง เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์ ในนามบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าของโครงการเมืองทองธานี พื้นที่ 4,000 ไร่ ก่อตั้งในปี 2539 เป็นผู้ที่กอบกู้สถานการณ์ บางกอกแลนด์ จากวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่ทำให้บริษัทมีหนี้สูงถึง 53,000 ล้านบาท จากการลอยตัวค่าเงินบาท และสามารถกลับมาผงาดในวงการอีกครั้งในปี 2555 ด้วยฐานะการเงินที่มีสภาพคล่องไม่มีภาระหนี้สิน รวมถึงสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่ผ่านมา คุณอนันต์ ได้ส่งไม้ต่อการบริหารธุรกิจให้บุตรชาย 2 คน คือ คุณปีเตอร์ และคุณพอลล์ เพื่อสร้างเมืองทองธานีให้เป็นโครงการเมืองที่สมบูรณ์แบบและครบวงจร โดยขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจ MICE ภายใต้ชื่อ “อิมแพ็ค เมืองทองธานี” ปัจจุบันเป็นศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมชั้นนำอันดับ 1 ของประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณอนันต์ เป็นพี่ชาย คุณคีรี กาญจนพาสน์ เจ้าของบริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯขนาดใหญ่ “ธนาซิตี้” พื้นที่ 1,700 ไร่ ย่านถนนบางนา-ตราด และเป็นผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS
คุณอนันต์ กาญจนพาสน์ เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์ ในนามบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าของโครงการเมืองทองธานี พื้นที่ 4,000 ไร่ ก่อตั้งในปี 2539 เป็นผู้ที่กอบกู้สถานการณ์บางกอกแลนด์ จากวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่ทำให้บริษัทมีหนี้สูงถึง 53,000 ล้านบาท จากการลอยตัวค่าเงินบาท และสามารถกลับมาผงาดในวงการอีกครั้งในปี 2555 ด้วยฐานะการเงินที่มีสภาพคล่องไม่มีภาระหนี้สิน รวมถึงสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่ผ่านมา คุณอนันต์ ได้ส่งไม้ต่อการบริหารธุรกิจให้บุตรชาย 2 คน คือ คุณปีเตอร์ และคุณพอลล์ เพื่อสร้างเมืองทองธานีให้เป็นโครงการเมืองที่สมบูรณ์แบบและครบวงจร โดยขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจ MICE ภายใต้ชื่อ “อิมแพ็ค เมืองทองธานี” ปัจจุบันเป็นศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมชั้นนำอันดับ 1 ของประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณอนันต์ เป็นพี่ชายของคุณคีรี กาญจนพาสน์ เจ้าของบริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ขนาดใหญ่ “ธนาซิตี้” พื้นที่ 1,700 ไร่ ย่านถนนบางนา-ตราด และเป็นผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563 คุณอนันต์ กาญจนพาสน์ อดีตประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ณ โรงพยาบาลบางกอกเนอสซิ่งโฮม (บีเอ็นเอช) สิริอายุได้ 80 ปี
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54099
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง.... วิกฤตครั้งนี้จะผ่านพ้นไป องค์กรที่ยืดหยุ่น พนักงานที่มีทักษะ และพร้อมที่จะปรับตัว จะสามารถก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้ และเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
null
หยุดพัก...เพื่อก้าวต่อ สายลมร้อนยามบ่ายพัดผ่านใบหน้าของ "นลิน" พนักงานขายสาวประจำห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แววตาของเธอฉายแววความกังวล แม้จะท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของลูกค้าที่มาจับจ่ายใช้สอย เธอกลับรู้สึกอึดอัดใจกับข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก นลินก้มมองเอกสารในมืออย่างครุ่นคิด นั่นคือประกาศจากบริษัทเกี่ยวกับนโยบายใหม่ "ลาพักร้อนแบบไม่รับค่าจ้าง" ทางบริษัทเปิดโอกาสให้พนักงานสมัครใจลาพักร้อนโดยไม่รับค่าจ้างเป็นเวลา 30 วัน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาผลกระทบจาก COVID-19 ในใจของนลินเต็มไปด้วยความกังวล หลายคำถามผุดขึ้นในหัว เงินเดือนที่หายไป 30 วันจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายหรือไม่? อนาคตของงานจะเป็นอย่างไร? เธอตัดสินใจปรึกษากับ "ภาวิน" เพื่อนสนิทที่ทำงานในแผนกบัญชี ภาวินอธิบายว่านโยบายนี้เป็นทางเลือกที่บริษัทเสนอให้กับพนักงาน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและรักษาเสถียรภาพขององค์กร ภาวินเองก็ตัดสินใจลาพักร้อน 15 วัน เพื่อใช้เวลาส่วนตัวและทบทวนแผนการเงิน นลินตัดสินใจลาพักร้อน 10 วัน เธอใช้เวลาช่วงนี้ไปกับการทบทวนตัวเอง พัฒนาตนเอง เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ผ่านคอร์สออนไลน์ เธอใช้เวลากับครอบครัว ทำอาหารทานเอง ออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอ หลังจากลาพักร้อน นลินกลับมาทำงานด้วยความสดชื่น เธอมีพลังและพร้อมเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ นลินพบว่าการหยุดพักชั่วคราว ช่วยให้เธอมีเวลาทบทวนตัวเอง จัดลำดับความสำคัญ และพร้อมที่จะก้าวต่อ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54103
Retail
เทคโนโลยี GIS สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจค้าปลีกได้อย่างไร
null
1. วิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS วิเคราะห์ข้อมูลประชากร ข้อมูลการแข่งขัน ข้อมูลการคมนาคม ข้อมูลเศรษฐกิจ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อค้นหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมสำหรับการเปิดร้านใหม่ การวิเคราะห์ GIS ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยง และช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ตัวอย่าง: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS วิเคราะห์ทำเลที่ตั้งเพื่อค้นหาพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น มีกำลังซื้อสูง อยู่ใกล้กับระบบขนส่งสาธารณะ และมีคู่แข่งน้อย 2. จัดการสินค้าคงคลัง: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS ติดตามสินค้าคงคลังในคลังสินค้า ร้านค้า และศูนย์กระจายสินค้า การติดตามสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียสินค้า และป้องกันสินค้าหมดสต็อก ตัวอย่าง: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS ติดตามสินค้าคงคลังในคลังสินค้า เพื่อดูว่าสินค้าชนิดใดมีจำนวนมากเกินไป หรือจำนวนน้อยเกินไป 3. พัฒนาแผนการตลาด: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เช่น พฤติกรรมการซื้อสินค้า สถานที่ที่ลูกค้าอาศัยอยู่ และสถานที่ที่ลูกค้าไปบ่อยๆ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกพัฒนาแผนการตลาดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ตัวอย่าง: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้า เพื่อดูว่าลูกค้าซื้อสินค้าประเภทใดมากที่สุด ซื้อสินค้าบ่อยแค่ไหน และซื้อสินค้าจากร้านสาขาใดมากที่สุด 4. ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือที่ช่วยให้ลูกค้าค้นหาร้านค้า ดูสินค้า เปรียบเทียบราคา และนำทางไปยังร้านค้า ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบายมากขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า ตัวอย่าง: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือที่ช่วยให้ลูกค้าค้นหาร้านค้าที่ขายสินค้าที่ต้องการอยู่ใกล้ๆ 5. เพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้า: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS วางแผนเส้นทางการจัดส่งสินค้าที่เหมาะสมที่สุด ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้า ตัวอย่าง: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ GIS วางแผนเส้นทางการจัดส่งสินค้าจากคลังสินค้าไปยังร้านค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด โดยสรุป เทคโนโลยี GIS สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจค้าปลีกได้หลากหลายวิธี ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และเพิ่มกำไร
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54105
Retail
จงสรุปบทความเรื่อง "ถอดกลยุทธ์ SCG 2020 พลิกตำราแก้เกม “กำไรหด” ให้หน่อยสิคะ
“อุตสาหกรรมเคมิคอลส์ แพคเกจจิ้ง ซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง” ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ต้องเจอกับความท้าทายมากมายทั้งความไม่นอนของสภาวะเศรษฐกิจ และการดิสรัปจากเทคโนโลยีที่พัดกระหน่ำเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกองค์กรต้องปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาถาโถมตลอดเวลา เพราะหากปรับตัวไม่ทัน อาจถูกธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนกลืนโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับ SCG แม้จะได้ชื่อว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเคมิคอลส์ แพคเกจจิ้ง ซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมายาวนาน แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา SCG มีการปรับตัวในทุกธุรกิจ แต่ก็ดูเหมือนว่าการปรับตัวนั้นอาจจะยังไม่พอที่จะต้านทานกระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการที่ประกาศออกมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมากลับเต็มไปด้วยตัวแดงอย่างน่าตกใจ ทำให้วันนี้ SCG จึงต้องพลิกตำราสู้สุดฤทธิ์ และอะไรคือกลยุทธ์ที่ SCG จะใช้สู้ศึกครั้งนี้? มาติดตามดูกัน เหตุที่ SCG กำไรลดลง? หากย้อนกลับไปดูผลประกอบการของ SCG ในปี 2561 พบว่า มีรายได้อยู่ที่ 478,438 ล้านบาท โดยมีกำไรลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในปี 2562 มีรายได้ 437,980 ล้านบาท กำไรลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากแยกรายได้ตามรายธุรกิจของบริษัท SCG มีรายได้จากกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในปี 2562 อยู่ที่ 184,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน เนื่องจากการขยายตัวของยอดขายจากธุรกิจค้าปลีกและจัดจำหน่าย โดยมีกำไรอยู่ที่ 5,455 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ขณะที่ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในปี 2562 มีรายได้จากการขาย 89,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน โดยมีกำไรลดลง 13% จากปีก่อน เ เอสซีจี บอกว่า มาจากความผันผวนของปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งสภาพเศรษฐกิจ ความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้า รวมถึงเงินบาทแข็งค่า และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงทำให้ SCG ต้องเร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อสู้ศึกดิสรัปชันได้อย่างทันท่วงที และสามารถรักษาการเติบโตของธุรกิจไว้ได้อย่างยั่งยืน ลุย 2 กลยุทธ์สู้ศึกความผันผวนที่รับมือไม่ได้ โดยกลยุทธ์ที่ SCG เลือกนำมาใช้สู้ศึกความผันผวนที่ควบคุมไม่ได้ จะเน้น 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.การทรานสฟอร์มธุรกิจทั้ง 3 กลุ่ม (Business Transformation) เพื่อเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น “ผู้ผลิตสินค้า” เพียงอย่างเดียว มาเป็น “ผู้ส่งมอบ” โซลูชันและนวัตกรรมสินค้า-บริการ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาได้อย่างครบวงจร และสามารถสร้างมูลค่าให้ธุรกิจได้สูง และ 2.การพัฒนาบุคลากร (People Transformation) ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลง ให้มีทักษะที่จำเป็น สามารถเข้าถึงและเข้าใจลูกค้าทุกกลุ่มทั่วภูมิภาคได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็น Construction Solution ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ช่างและผู้รับเหมาทำงานได้ดี รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนมากขึ้นกว่าเดิม เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) ที่ช่วยวางแผนการใช้งานวัสดุและเทคนิคในการก่อสร้างผ่านโมเดลสามมิติ จึงลดการเกิดวัสดุก่อสร้างส่วนเกิน Living Solution ที่ช่วยประหยัดพลังงาน เพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัยทุกเพศทุกวัย พร้อมกับรุกธุรกิจค้าปลีก ที่เชื่อมต่อร้านค้ากับช่องทางออนไลน์อย่างเว็บไซต์ scghome.com เพื่อให้ผู้ที่ต้องการสร้างหรือปรับปรุงต่อเติมบ้าน สามารถเข้าถึงสินค้าวัสดุก่อสร้างชั้นนำได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา พร้อมมีบริการให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง พร้อมการรับประกัน ด้วยเครือข่ายจัดส่งสินค้ากว่า 840 แห่งทั่วประเทศ ทั้งยังยกระดับกระบวนการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) โดยร่วมกับเอไอเอสนำเครือข่าย 5G มาทดลองใช้ขับเคลื่อนรถยก (Forklift) ระยะไกล ก่อนมีแผนต่อยอดไปใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจและอุตสาหกรรมในด้านอื่นๆ พร้อมพัฒนาศักยภาพให้พนักงานได้ต่อไป ส่วนธุรกิจแพคเกจจิ้ง จะยังเดินหน้าสร้างสรรค์โซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตและความต้องการสูง ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม อาหารแช่แข็งและอาหารกระป๋อง สินค้าอุปโภค สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ พร้อมการให้โซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการพิเศษที่แตกต่างกันของลูกค้าในธุรกิจต่าง ๆ เช่น โซลูชันด้านการออกแบบและการพิมพ์ โซลูชันบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ โซลูชันสำหรับการจัดแสดงสินค้าและส่งเสริมการตลาด และโซลูชันสำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เสำหรับผลิตท่อทนแรงดันสูง ซึ่งผลิตจากเทคโนโลยีที่ได้ยื่นจดสิทธิบัตร สามารถทนต่อแรงดันได้มากกว่า จึงได้รับความไว้วางใจในการผลิตท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลจาก จ.สุราษฎร์ธานี ไปยังเกาะสมุย และ HDPE เกรดพิเศษจาก SMXTM Technology ที่เอสซีจีคิดค้นขึ้น สามารถใช้กับงานหลากหลายชนิด อาทิ การปรับปรุงคุณภาพพลาสติกรีไซเคิลให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น และยังเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือกับนักวิจัยและสถาบันชั้นนำระดับโลก อาทิ Norner ประเทศนอร์เวย์ และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์นวัตกรรม I2P (ไอทูพี: Ideas to Products) ที่ จ.ระยอง เพื่อเร่งกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังนำระบบดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า เช่น ระบบการคาดการณ์ราคาสินค้าที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีประสิทธิภาพ และโปรแกรมอัตโนมัติสำหรับการวางแผนกระบวนการผลิตของธุรกิจโอเลฟินส์เพื่อใช้ในการจัดอันดับแหล่งวัตถุดิบที่ดีที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์การปรับตัวของยักษ์ SCG ซึ่งจากนี้ต้องจับตาดูว่าการแก้เกมครั้งนี้ SCG จะสามารถรับมือกับความผันผวนที่ควบคุมไม่ได้ได้หรือไม่
บทความกล่าวถึงที่ตั้งของ SCG ในอุตสาหกรรมเคมิคอลส์, แพคเกจจิ้ง, ซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่คงที่และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา, บริษัทต้องปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง. การปรับตัวนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอในการต้านทานความผันผวนที่กำลังเกิดขึ้น. ผลประกอบการของ SCG ในปี 2561 และ 2562 แสดงให้เห็นว่า กำไรลดลง 19% และ 28% ตามลำดับ. การปรับตัวของ SCG รวมถึงกลยุทธ์ที่ใช้ในการสู้ศึก, ซึ่งมี 2 ประการหลัก 1. การทรานสฟอร์มธุรกิจ (Business Transformation): SCG มุ่งเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้ผลิตสินค้า" เป็น "ผู้ส่งมอบ" โซลูชันและนวัตกรรมสินค้า-บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา. นอกจากนี้, ยังพัฒนาธุรกิจค้าปลีก เชื่อมต่อร้านค้ากับช่องทางออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าวัสดุก่อสร้างได้สะดวก พร้อมให้บริการคำปรึกษา, ออกแบบ, ติดตั้ง และการรับประกัน. 2. การพัฒนาบุคลากร (People Transformation): การพัฒนาบุคลากรเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเปลี่ยนแปลง, เพื่อให้พนักงานมีทักษะที่จำเป็น, เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม, และเข้าใจลึกซึ้ง. นอกจากนี้, SCG ยังนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน. บทความยังกล่าวถึงยุทธศาสตร์ธุรกิจของ SCG ในแต่ละกลุ่ม, เช่น การพัฒนาโซลูชันในธุรกิจแพคเกจจิ้ง เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค, รวมถึงการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือกับนักวิจัยและสถาบันชั้นนำทั่วโลก. ในท้ายบทความ, กล่าวถึงคำถามที่ยังคงอยู่ว่า SCG จะสามารถรับมือกับความผันผวนที่ควบคุมไม่ได้ได้หรือไม่.
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54118
Retail
ในปี 2563 จากผลสำรวจของแผนก Worldpanel คันทาร์ (Kantar) พบว่าในบรรดา 9.4 ล้านครัวเรือนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนในประเทศไทยทั้งหมด
ผ่านมาแล้ว 2 ปีกับ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” สนับสนุนสนับการฝึกอบรบและเงินช่วยเหลือ ลดค่าใช้จ่ายกับสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง และอื่นๆ ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย หลังจากเริ่มโครงการ Kantar สรุปพฤติกรรมการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของครัวเรือนไทย ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรม FMCG และธุรกิจค้าปลีกว่าเปลี่ยนไปอย่างไร รัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียน “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” มาตั้งแต่ปี 2560 ปัจจุบันมีผู้อยู่ในระบบ 14.5 ล้านคน โครงการนี้รัฐมีจุดมุ่งหมายให้เงินช่วยเหลือความเป็นอยู่แก่กลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ต้องใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี และยังได้รับการอนุมัติต่อเนื่องจนถึงปี 2563 แน่นอนว่าหลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าแล้ว “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ได้ช่วยกลุ่มรายได้น้อยได้จริงหรือไม่ กลุ่มคนเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) และส่งผลต่อภาพรวมอย่างไร? ผู้บริโภคยอมจ่ายมากขึ้น จากผลสำรวจของแผนก Worldpanel คันทาร์ (Kantar) บริษัทวิจัยข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดระดับโลก พบว่าในบรรดา 9.4 ล้านครัวเรือนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ คิดเป็น 37% ของครัวเรือนในประเทศไทยทั้งหมด กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยปกติจะใช้จ่ายน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีรายได้สูง เนื่องจากมีเงินค่อนข้างจำกัดโดยเฉพาะการใช้จ่ายต่อครั้ง จะเห็นได้ชัดว่าปกติครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการนี้จะมีค่าเฉลี่ยซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ที่ 74 บาทต่อครั้งในปี 2560 แต่เมื่อเทียบก่อนและหลังโครงการเห็นได้ว่า หลังจากที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งได้รับเงินเดือนละ 200-300 บาทสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มคนเหล่านี้มีการใช้จ่ายสูงขึ้น 9% หมายความว่าเงินในบัตรช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้เพิ่มการใช้จ่ายอย่างเห็นได้ชัด เบื้องหลังการจับจ่ายมากขึ้นนี้ “คันทาร์” พบว่าเกิดจากพฤติกรรมที่คนบางกลุ่มนำเงินไปซื้อสินค้าจำนวนชิ้นมากขึ้นหรือขนาดใหญ่ขึ้นต่อครั้ง ถือเป็นผลดีกับผู้บริโภคที่ได้ซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้นและส่วนใหญ่จะมีความคุ้มค่ากว่าการซื้อในไซส์ใหญ่ บางกลุ่มซื้อสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น เช่น เปลี่ยนจากผงซักฟอกสูตรธรรมดาเป็นสูตรเข้มข้น หรือเปลี่ยนเป็นแบบน้ำ ซึ่งพฤติกรรมนั้นมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสินค้า ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิตและผู้ประกอบการว่าจะปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เข้ากับผู้บริโภคกลุ่มนี้อย่างไร ร้านโชห่วยยังไม่ตาย ช่องทางการขายในประเทศไทยนั้นยังคงเป็นร้านค้าตามชุมชนและร้านโชห่วย สูงถึง 45% ของยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด แม้ปัจจุบันช่องทางเหล่านี้เริ่มมีบทบาทน้อยลงเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของร้านสะดวกซื้อและไฮเปอร์มาร์เก็ต ทำให้ผู้บริโภคมีช่องทางการจับจ่ายทางเลือกหลากหลายมากขึ้น แต่หลังจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเริ่มขึ้น และมีร้านธงฟ้าประชารัฐกว่า 7 หมื่นร้านทั่วประเทศไทย มีส่วนช่วยทำให้บทบาทของร้านค้าตามชุมชนและร้านโชห่วยกลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งและเติบโตถึง 6% เมื่อเทียบกับก่อนเริ่มโครงการ โครงการนี้ส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค สร้างโอกาสให้ร้านค้าเล็กๆ รวมไปถึงโอกาสของผู้ผลิตสามารถนำเสนอสินค้าตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าบัตรคนจน คุณชีวานนท์ ปิยะพิทักษ์สกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด คันทาร์ (เวิร์ลพาแนล) ประเทศไทย มองว่า โอกาสของแบรนด์สินค้า FMCG คือ การจัดจำหน่ายไปยังช่องทางที่ตรงกับกลุ่มผู้ถือบัตร เพื่อทำให้สินค้าถูกเลือกลงไปในตะกร้าของผู้บริโภค สิ่งที่เห็นได้ชัดจากโครงการนี้คือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจากปัจจัยที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะเรื่องรายได้และอำนาจในการใช้จ่าย ซึ่งถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่ไม่สามารถมองข้าม
ในปี 2563 จากผลสำรวจของแผนก Worldpanel คันทาร์ (Kantar) บริษัทวิจัยข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดระดับโลก พบว่าในบรรดา 9.4 ล้านครัวเรือนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ คิดเป็น 37% ของครัวเรือนในประเทศไทยทั้งหมด กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยปกติจะใช้จ่ายน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีรายได้สูง เนื่องจากมีเงินค่อนข้างจำกัดโดยเฉพาะการใช้จ่ายต่อครั้ง จะเห็นได้ชัดว่าปกติครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการนี้จะมีค่าเฉลี่ยซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ที่ 74 บาทต่อครั้งในปี 2560 แต่เมื่อเทียบก่อนและหลังโครงการเห็นได้ว่า หลังจากที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งได้รับเงินเดือนละ 200-300 บาทสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มคนเหล่านี้มีการใช้จ่ายสูงขึ้น 9% หมายความว่าเงินในบัตรช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้เพิ่มการใช้จ่ายอย่างเห็นได้ชัด เบื้องหลังการจับจ่ายมากขึ้นนี้ “คันทาร์” พบว่าเกิดจากพฤติกรรมที่คนบางกลุ่มนำเงินไปซื้อสินค้าจำนวนชิ้นมากขึ้นหรือขนาดใหญ่ขึ้นต่อครั้ง ถือเป็นผลดีกับผู้บริโภคที่ได้ซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้นและส่วนใหญ่จะมีความคุ้มค่ากว่าการซื้อในไซส์ใหญ่ บางกลุ่มซื้อสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น เช่น เปลี่ยนจากผงซักฟอกสูตรธรรมดาเป็นสูตรเข้มข้น หรือเปลี่ยนเป็นแบบน้ำ ซึ่งพฤติกรรมนั้นมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสินค้า ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิตและผู้ประกอบการว่าจะปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เข้ากับผู้บริโภคกลุ่มนี้อย่างไร
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54152
Retail
เดอะ ฟอเรสเทียส์ ตอบสนองความหลากหลายของไลฟ์สไตล์ของแต่ละครอบครัวอย่างไร ?
บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เพิ่มงบลงทุนเป็น 125,000 ล้านบาท เดินหน้าโครงการต้นแบบแห่งใหม่ของโลกในการพัฒนาเมือง ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ (The Forestias) บนที่ดินขนาด 398 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 กลายเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ณ ขณะนี้ ใกล้ชิดธรรมชาติ กับผืนป่าขนาดใหญ่ 30 ไร่ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ถนนบางนา-ตราด กม. 7 โดยถือเป็นโครงการแรกในโลก ที่หลอมรวมผืนป่าขนาดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเมือง โดยเป็นผืนป่า พื้นที่ 30 ไร่ ตั้งอยู่ใจกลางโครงการ จะสร้างความหลากหลาย และความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ระบบนิเวศน์ เป็นการนำธรรมชาติกลับคืนสู่ชุมชนและพื้นที่เมือง ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทำให้โครงการเแห่งนี้ได้รับการขนามนามว่า โครงการเมืองแห่งความมหัศจรรย์ในผืนป่า นางทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานกรรมการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า ขณะนี้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ อยู่ในระหว่างการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นที่ยอมรับระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าทุกองค์ประกอบของโครงการจะส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งการออกแบบโครงการได้รับการยอมรับจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ใน T.H. Chan School of Public Health ว่าเป็นโครงการที่มีวิสัยทัศน์ดีเยี่ยม ภายในโครงการ ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งมุ่งตอบสนองความหลากหลายของไลฟ์สไตล์และขนาดของครอบครัวที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึง พื้นที่สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนุกและสร้างสรรค์ของครอบครัว ใน Family Life Center นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่ Town Center สำหรับจัดกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด รวมถึงทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่างๆ ในโครงการ ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ รวมถึงพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยซึ่งถูกออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อให้ผู้สูงวัย สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคย มีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะทางสำหรับกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน คลับเฮาส์ และผู้ดูแลที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมระดับ 5 ดาว และศูนย์การแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่ที่ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยจำนวนหนึ่ง ตอบสนองทุกช่วงวัย นอกจากนี้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังถูกออกแบบเพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีและความสุขที่มากขึ้นของผู้อยู่อาศัย ครอบคลุมไปถึงการจัดวางพื้นที่สาธารณะ การจัดวางพื้นที่ที่อยู่อาศัย การผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต การบริหารจัดการแสงธรรมชาติ เสียง ความร้อน การหมุนเวียนของอากาศ คุณภาพอากาศ และคุณภาพน้ำ รวมถึงการวางผังองค์ประกอบของพื้นที่ที่อยู่อาศัยโดยรอบโครงการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนแต่ละช่วงวัยโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นวัยเริ่มต้นทำงาน คู่สมรสใหม่ วัยสร้างครอบครัว หรือพ่อแม่สูงวัย ทำให้ทุกคนได้อยู่ใกล้ชิดกับลูก หลาน และพ่อแม่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างมีอิสระและมีพื้นที่ส่วนตัว ทุ่ม 1 พันล้าน สร้างป่าลึก การพัฒนาผืนป่าขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยงบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาท ประกอบด้วยพื้นที่ ‘ป่าลึก’ ที่เป็นป่าลึกที่อุดมสมบูรณ์ของจริง รวมทั้งพื้นที่ป่าที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายจากทางเดินเท้า และมีพื้นที่สีเขียวเปิดโล่งที่ให้ผู้คนสามารถเข้าไปใช้ชีวิตและเป็นส่วนหนึ่งท่ามกลางความมหัศจรรย์ของธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ในโครงการฯ ยังให้ความสำคัญกับการเดินเท้า ส่งเสริมออกกำลังกายเป็นประจำ โดยทางเท้าและถนนได้ถูกวางผังจัดเส้นทางไว้อย่างดี ปกคลุมด้วยแนวกั้นและร่มเงาของพืชพรรณตามธรรมชาติที่ออกแบบอย่างละเอียดรอบคอบ รวมถึงระบบการป้องกันน้ำท่วมโดยเฉพาะ ประกอบด้วยพื้นที่กักเก็บน้ำทิ้งขนาดใหญ่ สามารถรองรับน้ำได้มากกว่า 10 ล้านลิตร และสามารถป้องกันไม่ให้โครงการเกิดน้ำท่วมแม้ต้องเผชิญกับพายุฝนครั้งใหญ่ก็ตาม นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวเสริมว่า “มีงานวิจัยระบุอย่างชัดเจนว่าหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดซึ่งช่วยส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้น คือ ความใกล้ชิดกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวและคนที่เรารัก นอกจากนี้ เรายังมุ่งช่วยให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกับความมหัศจรรย์อันหลากหลายของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายและความผ่อนคลาย ควบคู่ไปกับการเป็นโครงการที่แสดงความเป็นมิตรต่อโลก ด้วยระบบพลังงานที่ล้ำสมัยช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นปริมาณมหาศาล เทียบเท่ากับปริมาณพื้นที่ปลูกต้นไม้ขนาด 30,000 ไร่” ด้าน นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่า โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นการดำเนินโครงการตามปรัชญาของ MQDC ที่มุ่งเป็นองค์กรซึ่งไม่เพียงสร้างสรรค์โครงการที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นองค์กรที่ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของทุกคน ผ่านการทำจริงให้เห็นเป็นแบบอย่าง มุ่งเป็นต้นแบบของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่สนับสนุนให้ประเทศชาติสร้างชุมชนที่มีระเบียบ มีชีวิตชีวา ไม่หยุดนิ่ง มีความสุขมากขึ้น และมีสุขภาพดียิ่งขึ้น “ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำระดับโลกได้ด้วยแนวคิดอันก้าวล้ำนำสมัยในด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและของชุมชนที่อยู่โดยรอบ พร้อมกับส่งเสริมในเรื่องนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โดย เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นโครงการระดับโลกอย่างแท้จริงที่บุกเบิกแนวคิดใหม่นี้ และกำลังนำชื่อเสียงที่ดีงามบนเวทีระดับโลกมาสู่ประเทศไทยของเรา” นายวิสิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย
ภายในโครงการ ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งมุ่งตอบสนองความหลากหลายของไลฟ์สไตล์และขนาดของครอบครัวที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึง พื้นที่สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนุกและสร้างสรรค์ของครอบครัว ใน Family Life Center นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่ Town Center สำหรับจัดกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด รวมถึงทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่างๆ ในโครงการ ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ รวมถึงพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยซึ่งถูกออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อให้ผู้สูงวัย สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคย มีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะทางสำหรับกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน คลับเฮาส์ และผู้ดูแลที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมระดับ 5 ดาว และศูนย์การแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่ที่ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยจำนวนหนึ่ง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54206
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ต้องอาศัยความทุ่มเทและความพยายาม
null
บทเรียนจาก "ซีพี": บนเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไร้คำว่า "หยุด" ณ ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาสุขุมวิท 49 ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสว พนักงานสาวนามว่า "น้ำฝน" กำลังจัดเรียงสินค้าบนชั้นวางอย่างขะมักเขม้น เสียงเพลงบรรเลงขับกล่อมบรรยากาศอันคึกคัก รอยยิ้มของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาซื้อของ ล้วนเป็นภาพคุ้นเคยที่เธอพบเจอทุกวัน น้ำฝนเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย เธอใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ด้วยความที่ยังไม่มีประสบการณ์ บวกกับทุนทรัพย์ที่จำกัด เธอจึงตัดสินใจเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ นั่นคือ การเป็นพนักงานเซเว่นฯ "ที่นี่เหมือนโรงเรียนสอนธุรกิจย่อม ๆ เลยค่ะ" น้ำฝนเอ่ยกับ "ลุงสมชาย" พนักงานรุ่นเก๋าประจำร้าน ลุงสมชายยิ้มกว้างพลางตอบว่า "จริงอย่างเธอว่า ลุงเองก็เรียนรู้จากที่นี่แหละ ที่นี่สอนให้เรารู้จักการบริการลูกค้า การจัดการสินค้า การบริหารเวลา สารพัดอย่าง" น้ำฝนครุ่นคิดถึงคำพูดของลุงสมชาย เธอนึกย้อนไปถึงคำสอนของ "คุณธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ที่เธอมีโอกาสได้ฟังผ่านรายการโทรทัศน์ คุณธนินท์เน้นย้ำเสมอว่า "ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ ไม่หยุดนิ่ง และกล้าที่จะเสี่ยง" น้ำฝนเริ่มมองเซเว่นฯ ในแง่มุมใหม่ ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ไม่ใช่แค่สถานที่ขายของ แต่เปรียบเสมือน "โรงเรียนชีวิต" ที่สอนบทเรียนล้ำค่ามากมาย บทเรียนเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในฝันของเธอ บทเรียนจากซีพี: เรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง: โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น น้ำฝนตั้งใจศึกษาเทคนิคการขาย การจัดการร้าน และเรียนรู้จากประสบการณ์ของพนักงานรุ่นพี่ กล้าที่จะเสี่ยง: ความสำเร็จไม่มีทางลัด บางครั้งต้องกล้าที่จะลองผิดลองถูก น้ำฝนเริ่มเสนอไอเดียใหม่ ๆ ในการจัดร้าน พัฒนาระบบการบริการ และริเริ่มโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า มุ่งมั่นและอดทน: เส้นทางสู่ความสำเร็จเต็มไปด้วยอุปสรรค น้ำฝนเผชิญกับปัญหาและความท้อแท้ แต่เธอก็ไม่เคยถอดใจ มุ่งมั่นเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54209
Retail
จงเสนอไอเดีย IKEA เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โต 20%
null
“อิเกีย”(IKEA) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำยอดขายพุ่งเกิน 25,000 ล้านบาท ได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ชี้ให้เห็นถึงการขยายตัวที่ดีของแบรนด์ห้างค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านจากสวีเดน เจ้าของสัญลักษณ์สโตร์ทรงกล่องสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินขนาดมหึมา ซึ่งกำลังเปิดประตูต้อนรับลูกค้ายุคใหม่ และสรรค์สร้างแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านให้ทุกคนอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดปีงบประมาณที่ผ่านมา ธุรกิจค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านจากสวีเดนขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมปรับตัวรับลูกค้ารุ่นใหม่ ด้วยความร่วมแรงร่วมใจจากพนักงานทั้ง 3,400 คน ธุรกิจค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านจากสวีเดนขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะอิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปิดประตูต้อนรับผู้เยี่ยมชมสโตร์กว่า 98 ล้านคน สู่สโตร์อิเกียและศูนย์การค้าที่กระจายตัวอยู่ในภูมิภาคนี้ และเปิดให้บริการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เริ่มโครงการก่อสร้างสโตร์และศูนย์การค้าในทำเลใหม่ จำหน่ายตู้หนังสือ BILLY/บิลลี่ ไปกว่า 113,000 ตู้ ยังไม่รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านราคาย่อมเยาอีกมากมายซึ่งช่วยสรรค์สร้างชีวิตที่ดีกว่าให้แก่คนทั่วไปในทุกๆ วัน อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็น 1 ใน 12 แฟรนไชส์ของอิเกีย และบริหารงานสโตร์อิเกียรวม 8 แห่งทั่วภูมิภาค ในจำนวนนั้นมี 2 สโตร์ ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และศูนย์บริการสั่งซื้อและรับสินค้าอิเกีย 1 แห่ง ที่จังหวัดภูเก็ต รายได้จากยอดขายของสโตร์เหล่านี้ล้วนรวมอยู่ในผลประกอบการรวมของอิเกียที่ Inter IKEA Group รายงานเมื่อ วันที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา โดยปีงบประมาณที่ผ่านมาของอิเกีย เริ่มต้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2561 และสิ้นสุดในเดือนสิงหาคม ปี 2562 สำหรับ อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเจ้าของและบริหารงานสโตร์อิเกียใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เมื่อรวมยอดขายจากแต่ละสโตร์กับรายได้จากการปล่อยให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้า ซึ่งตั้งอยู่ติดกับสโตร์อิเกียแต่ละแห่งในภูมิภาค (รวมถึงศูนย์การค้าเมกาบางนา) ทำให้รายได้รวมของบริษัทขยับขึ้นไปอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 20% “ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า สโตร์อิเกียและศูนย์การค้าของเราก็ยังคงขยายตัวได้ดี เพราะเราเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนทั่วไป ทำให้บ้านของพวกเขาสวยน่าอยู่ขึ้น ช่วยให้พวกเขาใช้ชีวิตประจำวันในบ้านได้ง่าย สะดวกสบาย และยั่งยืนยิ่งขึ้นในต้นทุนที่ย่อมเยา
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54218
Retail
การที่ซี อาร์ ซี สปอร์ตเลือกแบรนด์ “ellesse” (เอล-เลส) เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการเพื่ออะไร
a. กระจายสินค้าที่เป็น product hero ไปในทุกๆ สาขาที่มี b. ตอบโจทย์ของลูกค้าในเรื่องความมั่นใจในความเป็นเบอร์ 1 ทางด้านร้านค้าปลีกสินค้าทางด้านกีฬาและไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย c. สินค้ามีกลิ่นอายความคลาสสิคที่หวนให้นึกถึงเสื้อผ้ากีฬาในสมัยก่อน d. เน้นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ สีสันสดใสตามคาแรคเตอร์ของแบรนด์
ข้อที่ถูกต้องคือ b. เพราะว่า เพราะการที่ซี อาร์ ซี สปอร์ตเลือกแบรนด์ “ellesse” (เอล-เลส) เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าในเรื่องความมั่นใจในความเป็นเบอร์ 1 ทางด้านร้านค้าปลีกสินค้าทางด้านกีฬาและไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย ที่นำเสนอสินค้าให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬามืออาชีพ, มือสมัครเล่นได้มั่นใจว่า ร้าน Supersports มีการนำเสนอสินค้าครบทุกประเภทกีฬาหลัก และรวมถึงนวัตกรรมใหม่ที่นำเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังนำเสนอในหมวดหมู่ของแฟชั่นไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้ครบครันทั้งทางด้านกีฬาและแฟชั่น โดยความน่าสนใจของแบรนด์นี้ คือ ก่อกำเนิดที่ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1959 และโด่งดังมากในเรื่องของการผลิตเสื้อผ้าสำหรับเล่นสกีหิมะ ผลงานที่ขึ้นชื่อในยุคนั้นคือ “Jet Pant” กางเกงสำหรับใส่เล่นสกีตัวแรกๆ บนโลกที่มีดีไซน์ช่วงขาเข้ารูปพอดีกับรองเท้าเล่นสกี ซึ่งในขณะนั้นต้องยอมรับจริงๆ ว่า กางเกง “Jet Pant” ตัวนี้ได้เปลี่ยนแปลงวงการสกีของโลกไปตลอดกาล ทั้งในแง่ของงานดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งาน และในเวลาต่อมาไม่นาน “ellesse” (เอล-เลส) ได้เริ่มแตกไลน์สินค้าไปยังกีฬาประเภทอื่นๆ นั่นคือ “เทนนิส” ที่ฮิตจนสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางขึ้น ซี อาร์ ซี สปอร์ต เปิดตัวแบรนด์ “ellesse” (เอล-เลส) มาพร้อมกับแคมเปญใหม่ “For The Win” กับคอลเลกชั่น Autumn Winter 2019 ที่จะปลุกสาวกสายแฟชั่นสตรีทแวร์ทั้งหลาย มาแสดงตัวตนผ่านการสวมใส่เสื้อผ้า และมุ่งหน้าทำตามฝัน ตามแนวคิดของแคมเปญที่ว่า “ชัยชนะและความสำเร็จเกิดขึ้นได้จากสไตล์และทัศนคติ เอกลักษณ์ของแบรนด์คือ โลโก้ตัวอักษร ellesse ซึ่งความพิเศษของคอลเลคชั่นนี้ นอกจากจะเป็นแบบเดียวกันกับที่วางขายในระดับ global แล้ว นั่นคือ ความ heritage ทุกชิ้นทั้งรองเท้าและเสื้อผ้าที่นำเข้ามาจะมีกลิ่นอายความคลาสสิคที่หวนให้นึกถึงเสื้อผ้ากีฬาในสมัยก่อน แต่มาในรูปของดีไซน์ที่ทันสมัย ใส่แล้วสามารถบ่งบอกคาแรคเตอร์และตัวตนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี สินค้าที่นำเข้ามาจัดจำหน่าย จะเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นจนถึงวัยรุ่นตอนปลาย มีอายุตั้งแต่ 18-24 ปี และ 25 -35 ปี เน้นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ สีสันสดใสตามคาแรคเตอร์ของแบรนด์ เน้นสี แดง ส้ม น้ำเงิน และลายพิมพ์กราฟิกต่างๆ ที่กลุ่มเป้าหมายสามารถใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54245
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง"สุดปลอดภัย: น้ำดื่มสิงห์ 'คืนดวงใจให้แม่' - ร่วมตามหาเด็กหายในวันแม่"
null
แนวคิดโครงการ "คืนดวงใจให้แม่ return heart to home" ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนฉลากน้ำดื่มสิงห์เพื่อช่วยในการตามหาเด็กหายและเฉลิมฉลอง "วันแม่" เป็นโครงการที่มีความหมายอันดีและทำให้คนได้รับรู้ถึงความสำคัญของครอบครัวและการเอาใจใส่ต่อกันในชุมชน ดังนี้ 1. ฉลากน้ำดื่มสิงห์เปลี่ยนรูปแบบ: การเปลี่ยนฉลากของน้ำดื่มสิงห์ให้มีการออกแบบใหม่ที่เน้นที่เรื่องของความรักและครอบครัว โดยอาจจะมีการประกอบด้วยภาพของครอบครัวหรือแม่ลูก รวมถึงข้อความที่เชื่อมโยงกับความหมายของการคืนดวงใจให้แม่และการช่วยเหลือเด็กหาย 2. การใช้สื่อสารเพื่อการตรวจสอบ: บนฉลากน้ำดื่มสิงห์ อาจมีข้อความหรือสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับสื่อสารทางสังคม เช่น หมายเลขโทรศัพท์สำหรับการติดต่อหากพบเด็กหาย หรือข้อความที่เรียกผู้บริโภคให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ 3. การระดมทุนและการสนับสนุน: โครงการนี้สามารถระดมทุนจากการขายน้ำดื่มที่มีฉลากพิเศษไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อใช้ในการช่วยเหลือในการคืนดวงใจให้แม่และการตามหาเด็กหาย บางส่วนของกำไรอาจถูกบริจาคให้กับองค์กรที่มีการช่วยเหลือเด็กหาย 4. การใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย: การใช้สื่อออนไลน์เพื่อโปรโมทและแพร่กระจายข่าวสารเกี่ยวกับโครงการนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาใกล้เข้าสู่ "วันแม่" เพื่อเรียกร้องให้คนมาร่วมรับรู้และร่วมสนับสนุน 5. การเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย : การเชื่อมโยงกับองค์กรหรือกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเด็กหาย เช่น โรงเรียน ศูนย์ช่วยเหลือเด็กที่หาย หรือชุมชนที่มีความรับผิดชอบต่อกัน โครงการ "คืนดวงใจให้แม่ return heart to home" นี้ไม่เพียงเพียงแค่เป็นการโฆษณาสินค้า แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงความรักและความเอาใจใส่ต่อกันในชุมชน เพื่อเป้าหมายที่สำคัญในการช่วยเหลือเด็กหายและเฉลิมฉลองความสำคัญของ "วันแม่" อย่างมีความหมายและสร้างสรรค์ให้กับชุมชนอย่างร่วมมือและเต็มใจ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54257
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค กระตุ้นให้พวกเขาตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อโลก แนวคิดนี้ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Retail ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยนำเสนอทางเลือกใหม่แก่ผู้บริโภคและสนับสนุนให้พวกเขามีส่วนร่วมในการลดขยะพลาสติก
null
วงล้อแห่งการเปลี่ยนแปลง: บทเพลงแห่งความยั่งยืน ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร หญิงสาวชื่อ "มินอา" กำลังเดินผ่านร้านค้าปลีกแห่งหนึ่ง สายตาของเธอพลันสะดุดกับตู้โชว์ที่เต็มไปด้วยไอศกรีม Häagen-Dazs บรรจุในกระป๋องสแตนเลสแวววาว แทนที่จะเป็นกระดาษแบบเดิม ความแปลกใหม่ดึงดูดให้เธอหยุดยืนมองอย่างพินิจพิเคราะห์ "นี่มันอะไรกัน?" มินอาพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย พนักงานขายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยิ้มอย่างเป็นมิตรและอธิบายว่าไอศกรีมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "Loop System" ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดขยะพลาสติกโดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ มินอาสนใจแนวคิดนี้มากขึ้น เธอเริ่มอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ Loop System บนป้ายที่ติดอยู่ข้างตู้โชว์ ข้อมูลเหล่านี้บอกเธอว่าบรรจุภัณฑ์สแตนเลสเหล่านี้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ถึง 100 ครั้ง ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกมหาศาลที่มลพิษต่อโลก ด้วยความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม มินอาตัดสินใจซื้อไอศกรีม Häagen-Dazs รสชาติโปรดในกระป๋องสแตนเลส เธอรู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง และเธอก็หวังว่าคนอื่นๆ จะเห็นความสำคัญของการลดขยะพลาสติกเช่นกัน เมื่อมินอาทานไอศกรีมจนหมด เธอทำความสะอาดกระป๋องสแตนเลสอย่างพิถีพิถัน ก่อนที่จะนำไปที่จุดรับคืนภายในร้าน พนักงานขายรับกระป๋องไปพร้อมรอยยิ้ม และมอบคูปองส่วนลดสำหรับการซื้อไอศกรีมครั้งถัดไป มินอาออกจากร้านด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ เธอมองไปรอบๆ เมือง มองเห็นผู้คนมากมายกำลังจับจ่ายซื้อของ แวบหนึ่งเธอคิดถึงภาพภูเขาขยะพลาสติกมหาศาล แต่เธอก็รู้สึก hopeful knowing ว่ายังมีคนอีกมากที่กำลังพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54258
Retail
จงสรุปบทความเรื่อง "แฮปปี้เฟรช รีแบรนด์ครั้งใหญ่ มัดใจนักช้อปกลุ่ม Millennial " ให้หน่อยคะ
แฮปปี้เฟรชปรับรูปโฉมใหม่ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่ม Millennial ให้หันมาใช้บริการช้อปปิ้งของสดของใช้รูปแบบออนไลน์มากขึ้นกับประสิทธิภาพในการเลือกสรรสินค้าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยจุดมุ่งหมายของแบรนด์ที่ว่า “คัดสรรความสด ส่งตรงถึงมือ” โลโก้ใหม่ รวมถึงมาสคอต (แอปเปิ้ลบอย) สำหรับการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ แฮปปี้เฟรชจะใช้ถุงพลาสติกแบบย่อยสลายได้ 100% สำหรับการจัดส่ง โดยจะเริ่มต้นที่ประเทศอินโดนีเซียก่อน ตามด้วยมาเลเซียและไทย ภายในสิ้นปีนี้ “จากแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่การเป็นผู้นำแพลตฟอร์มส่งของสดของใช้ออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ช่วยให้ร้านค้าปลีกเจาะตลาดสำหรับกลุ่มขาช้อป Millennial เจเนอเรชั่นนี้ที่มีความต้องการในด้านคุณภาพและบริการสูง โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ การรีแบรนด์ครั้งนี้ บริษัทฯ ได้วิเคราะห์เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่รักความสะดวกสบาย จากแนวคิด “จัดส่งถึงมือ ให้ชีวิตง่ายขึ้น” ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดอีกด้วย เราจะมีการออกแคมเปญโปรโมชันสำหรับลูกค้าตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ พร้อมการรับออเดอร์สินค้าได้ตรงตามเวลาที่กำหนดอย่างต่อเนื่องและมากกว่าที่เคย” นายเดวิด ลิม รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด บริษัทแฮปปี้เฟรช กล่าว “ขณะนี้เรามีฟังก์ชันแชทภายในแอปพลิเคชันสำหรับลูกค้า เพื่อติดต่อกับพนักงานเลือกสินค้าในกรณีสินค้าที่เลือกหมด ฟังก์ชันนี้เป็นประโยชน์มากต่อลูกค้าชาวต่างชาติของเรา เนื่องจากมีการแปลภาษาให้อัตโนมัติ นอกจากนี้เรายังได้ยกระดับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนส่ง เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพความสดใหม่ของสินค้า เช่น เราใช้ถุงรักษาอุณหภูมิกับสินค้าประเภทแช่แข็งและอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงแช่เย็น ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ยังมีการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างกล่องกระดาษลูกฟูกและถุงพลาสติกย่อยสลายได้ที่ใช้ในการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า พนักงานจัดส่งสินค้าทั้งหมดของเราใช้กล่องรักษาอุณหภูมิบนรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อป้องกันสินค้าจากอากาศร้อนหรือฝน” นายโรนัลด์ ชาน กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทแฮปปี้เฟรช กล่าวเสริม ช่วงต้นปีที่ผ่านมา สำนักงานใหญ่ ณ ประเทศอินโดนีเซีย ของแฮปปี้เฟรช ซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบออนไลน์ ได้ปิดการระดมเงินลงทุนที่ระดับ Series C ด้วยเงินสนับสนุนการลงทุนกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 636 ล้านบาทนี้ จาก Mirae Asset-Naver Growth Fund และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อื่นๆ อย่าง LINE Ventures Singha Ventures และ Grab Ventures โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้สำหรับการขยายพื้นที่ให้บริการทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนฟังก์ชันเฉพาะทางต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การรวมช่องทางสื่อสารต่างๆ รวมกันเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค (Omnichannel) อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับเงินทุนระดับ Series B นั้น ผู้นำในการลงทุนคือ Samena Capital ​
บริษัทแฮปปี้เฟรชปรับภาพลักษณ์และเปลี่ยนโลโก้เพื่อเน้นคุณภาพและบริการสูงสุดในการจัดส่งสินค้าสดออนไลน์ โดยเน้นไปที่กลุ่มลูกค้า Millennials ที่ต้องการความสดใหม่และคุณภาพสูง มีการใช้ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ 100% ในการจัดส่งที่เริ่มต้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ภายหลังจะขยายไปยังมาเลเซียและไทย มีการพัฒนาฟังก์ชันแชทในแอปพลิเคชันเพื่อการติดต่อกับลูกค้าชาวต่างชาติ มีการปิดการระดมเงินลงทุน Series C ในต้นปีนี้ด้วยเงินสนับสนุนกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีผู้ลงทุนหลายรายเช่น Mirae Asset-Naver Growth Fund, LINE Ventures, Singha Ventures, และ Grab Ventures มีแผนที่นำเงินทุนไปใช้ขยายพื้นที่ให้บริการทั้งในและต่างประเทศ และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมฟังก์ชันต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการรวมช่องทางสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สรุปโดยรวมแล้วคือการปรับกลยุทธ์ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า Millennials ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องการคุณภาพและความสดใหม่ในการช้อปปิ้งออนไลน์. รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนฟังก์ชันเฉพาะทางต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การรวมช่องทางสื่อสารต่างๆ รวมกันเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค (Omnichannel) อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับเงินทุนระดับ Series B นั้น ผู้นำในการลงทุนคือ Samena Capital
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54266
Retail
เพราะอะไรธุรกิจกาแฟต่างได้รับประโยชน์ ตั้งแต่แบรนด์ใหญ่ ไปจนถึงรายเล็กๆ ?
เป็นหนึ่งตลาดที่เห็นการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี โดยเฉพาะหลังจากความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ระดับประเทศที่เข้ามาเทคโอเวอร์ธุรกิจเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการบริหาร Global Brand อย่างสตาร์บัคส์ ก็เชื่อว่าจะทำให้ตลาด Specialty Coffee Store หรือ “ธุรกิจร้านกาแฟ” ในประเทศไทย ที่ตลาดมีการแข่งขันกันรุนแรงอยู่แล้ว ทวีความรุนแรงในการแข่งขันเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม แต่ไม่ว่าการแข่งขันจะดุเดือดเพิ่มมากขึ้นอย่างไร ผลพวงที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้มีแค่ความยากลำบากในการทำตลาดของผู้ประกอบการที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เพราะขณะเดียวกัน ตลาดกาแฟในประเทศไทยก็ยกระดับมาสู่การเป็นตลาดที่ Well Educated ที่ผู้บริโภคเองมีความรู้ ความเข้าใจ และดื่มกาแฟในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ยิ่งแข่งขัน ตลาดยิ่งเติบโต คุณรจนา หอมสิ้น ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พรีโม ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์ธุรกิจกาแฟ กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ ประเทศไทย (Gloria Jean’s Coffee) กล่าวถึงพัฒนาการของธุรกิจกาแฟของประเทศไทยในปัจจุบัน ที่ก่อนหน้านั้นกว่าจะขายกาแฟได้แต่ละแก้ว ต้องอธิบายความแตกต่างของกาแฟแต่ละประเภทว่าแตกต่างกันอย่างไรให้ลูกค้าฟัง เพื่อตัดสินใจเลือกดื่มกาแฟในแบบที่ชอบหรือเหมาะกับตัวเอง แต่ปัจจุบันกาแฟกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคคนไทย และมีกลุ่มเป้าหมายที่ดื่มกาแฟเพิ่มมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ Main Target จะเป็นกลุ่มคนทำงาน แต่ปัจจุบันเริ่มขยับมาสู่วัยที่เด็กลง อายุประมาณ 18 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาหรือคนรุ่นใหม่ก็เริ่มหันมาบริโภคกาแฟกันเพิ่มมากขึ้น “ปัจจุบันตัวเลขการบริโภคกาแฟของคนไทยโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 200 แก้วต่อคนต่อปี แต่ด้วยตลาดกาแฟในประเทศไทยที่ขยายตัวและมีพัฒนาการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มสีสันให้กับกาแฟแต่ละแก้วจากที่เคยมีแค่กาแฟดำ หรือกาแฟใส่นม แต่เริ่มเพิ่มท็อปปิ้งที่น่าสนใจและหลากหลายเพื่อขยายฐานคนดื่มให้กว้างมากขึ้น เช่น การใส่เจลลี่ ไข่มุก ส้มยูสุ หรือเพิ่มไข่เค็ม ทำให้เกิดการทดลองดื่มจากกลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น โดยเชื่อว่าในสิ้นปีจะกระตุ้นให้ปริมาณการดื่มกาแฟของคนไทยขยับเพิ่มขึ้นได้ถึง 300 แก้วต่อคนต่อปี ขณะที่โอกาสของตลาดกาแฟในประเทศไทยก็ยังเติบโตได้อีกมาก เมื่อเทียบกับในประเทศอื่นๆ เช่น ในญี่ปุ่น หรือเวียดนาม ที่ปริมาณการดื่มมากถึง 400-500 แก้วต่อคนต่อปี ก็ยังถือว่ามีช่องว่างให้ตลาดในประเทศไทยเติบโตได้อีกมากเช่นกัน” นอกจากนี้ ตลาดที่ Well Educated ก็ไม่ได้เอื้อให้เฉพาะตลาดกาแฟในกลุ่มพรีเมี่ยมขยายตัวเท่านั้น แต่ทุกส่วนในธุรกิจกาแฟต่างได้รับประโยชน์ ตั้งแต่แบรนด์ใหญ่ ไปจนถึงรายเล็กๆ เพราะด้วยความรู้ที่มากขึ้นของผู้บริโภค ทำให้โลกของกาแฟเปลี่ยนแปลงไป คนไทยเริ่มรับรู้ถึงรสชาติของกาแฟที่มีคุณภาพได้มากขึ้น รวมทั้งการแข่งขันเรื่องคุณภาพและรสชาติของแต่ละแบรนด์ในตลาด ทำให้แต่ละแบรนด์ต่างมีรสชาติที่ดีและคุณภาพใกล้เคียงกัน ไม่แตกต่างกันมากนัก ผู้คนจึงเริ่มยึดติดกับตัวแบรนด์น้อยลง แต่เลือกที่จะบริโภคจากความสะดวก โดยเฉพาะการเข้าถึงในโลเกชั่นที่หาง่าย รวมทั้งความสม่ำเสมอทั้งในรสชาติและการให้บริการของแต่ละแบรนด์ ทำให้เริ่มเห็นผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดกาแฟเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ๆ ที่มีไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ ทั้งกลุ่มที่ทำธุรกิจกาแฟรายเดิมๆ อยู่แล้ว กลุ่มที่ต่อยอดมาจากธุรกิจเบเกอรี่ หรือแม้แต่บริษัทใหญ่ๆ ที่เริ่มเพิ่มธุรกิจกาแฟเข้ามาเป็นอีกหนึ่งขาธุรกิจ รวมไปถึงการเกิดขึ้นของร้านกาแฟใหม่ๆ ร้านในสไตล์อินดี้ หรือแม้แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่างๆ ก็เลือกที่จะเปิดร้านกาแฟเป็นธุรกิจส่วนตัวจำนวนมาก จึงสามารถพบเห็นร้านกาแฟสดได้มากขึ้นไม่ต่างกับการเข้าถึงร้านสะดวกซื้อต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สอดคล้องกับข้อมูลที่ทางกลุ่มเนสกาแฟเคยให้ข้อมูลตลาดกาแฟโดยรวมในประเทศไทยไว้ว่ามีมูลค่าสูงถึงเกือบ 6.5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะในตลาด Out of Home ที่มีมูลค่าประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งสัดส่วนใหญ่ในตลาดนี้หรือ 64% จะเป็นธุรกิจร้านกาแฟ หรือ Specialty Coffee ที่มีมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท และเติบโตได้สูงถึง 15.7% สะท้อนถึง Growth State ในตลาดที่ยังอยู่ในช่วงของการขยายตัว และเป็นโอกาสให้รายใหม่ๆ สามารถเข้าไปแข่งขันได้ กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ ปรับใหญ่รอบ 12 ปี ขณะที่เชนกาแฟแบรนด์ดังจากออสเตรเลียอย่าง กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ ประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เริ่มขยับมาบุกตลาดอย่างหนักในรอบ 12 ปี หลังจากมีการเปลี่ยนกลุ่มผู้บริหารธุรกิจ จากเดิมที่สิทธิ์การบริหารแบรนด์อยู่ในกลุ่มง่วนเชียง ที่ซื้อสิทธิ์มาตั้งแต่ปี 2007 โดยผู้บริหารรุ่นก่อนหน้า แต่เมื่อส่งต่อมายังรุ่นลูกที่ไม่ได้มี Passion ในธุรกิจกาแฟ จึงไม่ได้โฟกัสธุรกิจในกลุ่มนี้อย่างจริงจัง และตัดสินใจขายสิทธิ์พร้อมทั้งธุรกิจของบริษัท พรีโม ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด ให้กับ “คุณสิโรตม์ ตันนาภัย” นักธุรกิจในกลุ่มยูนิปาล์ม อินดัสทรี ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันดิบ ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และผู้บริหารโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ภูเก็ต ป่าตอง ซึ่งมีความชื่นชอบการดื่มกาแฟ และมี Passion ต่อการทำธุรกิจกาแฟ มาเป็นผู้สานต่อ โดยได้สิทธิ์ในการบริหารแบรนด์มาเมื่อราว 3 ปีก่อน สิโรตม์ ตันนาภัย จากพรีโม ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ-ซาลมาน ซาดัต จากเชฟรอน (ไทย) ในฐานะพันธมิตรธุรกิจ นอกจากเปลี่ยนมือมาอยู่กับเจ้าของธุรกิจใหม่แล้ว ทางคุณสิโรตม์ ยังได้เสริมทีมบริหารด้วยการดึงมือดีด้าน Operation อย่าง “คุณรจนา หอมสิ้น” หนึ่งในกลุ่ม Marketing Star Team และ Coffee Ambassador จากสตาร์บัคส์ ที่ดูแลด้าน Coffee Education, Coffee Master ซึ่งเติบโตมาตั้งแต่เป็นพนักงานบาริสต้าในร้าน จนไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้จัดการสาขา และขยับมาดูแลงานโรดโชว์หรือกิจกรรมให้ความรู้ทางด้านกาแฟ ทั้งในกลุ่มมีเดีย ลูกค้า และพนักงานในร้าน รวมทั้งการเป็นทีมสนับสนุนทางด้านมาร์เก็ตติ้งและเทรนนิ่งของบริษัทในเวลาต่อมา โดยคุณรจนา จะมาร่วมขับเคลื่อนการเติบโตให้กับกลอเรีย จีนส์ ในตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ในฐานะอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่จะเข้ามาช่วยผลักดันการเติบโตของกลอเรีย จีนส์ ซึ่งการรุกหนักของกลอเรีย จีนส์ ภายใต้ทีมบริหารและเจ้าของใหม่ ส่งผลให้ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นมากกว่าปีก่อนหน้าถึง 30% และยังถือเป็นการเติบโตได้มากที่สุดในรอบ 12 ปี หรือตั้งแต่กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ ขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทยเลยทีเดียว “การเติบโตของกลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ ไทยแลนด์ มาจากการเริ่มกลับมาขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น หลังมีสาขามาจากเจ้าของกลุ่มเดิม 2 แห่ง คือ ที่ตึกมาลีนนท์ และบิ๊กวิงส์ เลียบด่วนรามอินทรา แต่ปัจจุบันขยายเพิ่มเป็น 12 สาขา โดยเฉพาะ การมีสาขาในจุดที่มี Traffic สูง อย่างในสนามบินทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต ที่นอกจากสร้างยอดขายในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% เช่น สาขาขนาดเล็กในสนามบิน ที่เคยสร้างยอดขาย 1.5 ล้านบาทต่อเดือน ก็ขยับมาเป็นกว่า 1.8 ล้านบาทต่อเดือน ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มในมิติของแบรนดดิ้งทั้งภาพลักษณ์และ Brand Awareness ของแบรนด์ให้แข็งแรงเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย” ขณะที่การขับเคลื่อนธุรกิจหลังจากนี้ คุณรจนา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปีนี้จะโฟกัสที่แบรนด์ลูก Expresso By Gloria Jean’s ซึ่งเป็นโมเดลที่ใช้ขยายสาขาร่วมกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ โดยจะขยายให้ครบ 10 สาขาในสิ้นปีนี้ และจะขยายเพิ่มอีกอย่างน้อย 50 สาขาในปีหน้า ขณะที่แบรนด์แม่อย่างกลอเรีย จีนส์ นั้น จะกลับมาขยายธุรกิจใหม่อีกครั้งในปี 2020 พร้อมกับการนำคอนเซ็ปต์ใหม่ “Good Cup” มาพัฒนาทั้งในสาขาเดิมที่มีอยู่และสาขาใหม่ที่จะขยายเพิ่มเติมต่อไป เริ่มนับหนึ่งใหม่ ตั้งแต่การสร้างแบรนด์ แม้จะอยู่ในประเทศไทยมาถึง 12 ปี แต่กลอเรีย จีนส์ ยอมรับว่าแบรนด์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักของตลาดมากนัก ทั้งจากการไม่ได้ทำตลาดจริงจังและด้วยจำนวนสาขาที่น้อยอยู่มากเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ดังนั้น โจทย์สำคัญของกลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ ในช่วงที่ตลาดกาแฟประเทศไทยมาอยู่ในจุดที่ Well Educated ที่ผู้บริโภคเริ่มเปิดรับและพร้อมทดลองแบรนด์ใหม่ๆ เป็นโอกาสให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้เทียบชั้นแบรนด์กาแฟในระดับพรีเมี่ยมอื่นๆ โดยจะเริ่มกลับมาสร้างความแข็งแรงให้กับธุรกิจตั้งแต่ในเรื่องของแบรนดิ้ง ผ่านการเลือกโลเกชั่นในการตั้งแต่ละสาขาจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นของแบรนด์แม่ หรือแบรนด์ลูกทั้งที่มีอยู่แล้ว และที่จะพัฒนาเพิ่มเติมเข้ามาในอนาคต “ปัจจัยที่ลูกค้าในปัจจุบันให้ความสำคัญที่สุด คือ ความสะดวก ดังนั้น การได้โลเกชั่นที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย จึงเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจ รวมทั้งยังช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและมีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยโลเกชั่นที่เราจะเลือกจะเน้น Traffic ที่เข้าถึงคนจำนวนมาก และจุดที่เป็น Mass Transit เนื่องจาก สาขาเดิมที่มีอยู่ สาขาที่ผลประกอบการโดดเด่นกว่าสาขาอื่นๆ ก็คือ สาขาที่อยู่ทั้ง 3 สนามบิน และยังทำให้คนรู้จักและมั่นใจ เมื่อเห็นแบรนด์กลอเรีย จีนส์ ในที่อื่นๆ ก็พร้อมที่จะซื้อ” ดังนั้น หลังการปรับใช้คอนเซ็ปต์ธุรกิจใหม่เป็น Good Cup เพื่อปรับภาพลักษณ์ธุรกิจให้ดูทันสมัยและสดใสขึ้น สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ตามเทรนด์ที่มองเห็น กลอเรีย จีนส์ มีแผนจะเพิ่มสาขาในจุดที่เป็นแลนด์มาร์ก โดยเลือกที่จะขยายในห้างใหญ่อย่างสยามพารากอน ที่แม้ว่าพื้นที่จะเต็มแต่เชื่อว่ายังคงมีช่องว่างให้กลอเรีย จีนส์ สามารถแทรกเข้าไปได้อย่างแน่นอน รวมทั้งในโลเกชั่นที่เป็นแลนด์มาร์กของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น ออฟฟิศบิวดิ้ง เพื่อเจาะกลุ่มคนทำงาน โดยจะเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเติมไม่ต่ำกว่าไตรมาสละ 1 แห่ง ภายใต้งบลงทุนต่อสาขาที่ราว 1-2 ล้านบาท ตามรูปแบบและไซส์ของร้าน นอกจากนี้ จะเพิ่มแบรนด์ลูกมาทำตลาดในกลุ่มใหม่ หลังจากมี Expresso by Gloria Jean’s ทำตลาดในสถานีบริการน้ำมันแล้ว โดยจะเพิ่มแบรนด์ใหม่มาทำตลาดในกลุ่ม Mass Transit ต่างๆ อาทิ สถานีขนส่งหมอชิต สถานีรถไฟฟ้า BTS และ MRT เพื่อทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโอกาสจากแบรนด์ Expresso By Gloria Jean’s ที่จะขยายเฉพาะในปั๊มน้ำคาลเท็กซ์ ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ จะเป็นหนึ่งในสนามสำคัญที่จะทำให้แบรนดดิ้งของกลอเรีย จีนส์ สามารถเข้าไปเป็นหนึ่งในช้อยส์ของผู้บริโภคในกลุ่มที่กว้างและหลากหลายได้มากขึ้น เนื่องจากในตลาดนี้มีผู้นำตลาดที่แข็งแรงเพียงรายเดียวคือ กาแฟอเมซอน ที่มีสาขาหลักพันทั้งในปั๊ม และนอกปั๊ม รวมทั้งขยายไปในต่างประเทศได้แล้ว ขณะที่เบอร์รองลงมาในตลาด ยังไม่มีใครครองตลาดอย่างชัดเจน ทุกแบรนด์ที่ขยายในปั๊มไม่ว่าจะเป็นอินทนิล ของบางจาก พันธุ์ไทยของ PT หรือแบรนด์อื่นๆ ต่างก็อยู่ในระหว่างการพัฒนาธุรกิจให้แข่งขันได้มากขึ้น เช่นเดียวกับการที่กลอเรีย จีนส์ จับมือกับกลุ่มเชฟรอน เพื่อขยายธุรกิจกาแฟในปั๊มคาลเท็กซ์ ดังนั้น โอกาสและเป้าหมายที่กลอเรียตั้งไว้คือ การอยู่ใน Top 2 ของตลาดในกลุ่มนี้ได้ในอนาคต ซึ่งนอกจาก เรื่องของกาแฟและรสชาติแล้ว กลอเรีย จีนส์ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทำตลาด โดยเฉพาะการสร้าง Loyalty ให้แบรนด์ด้วยการมีโปรแกรม CRM กับแบรนด์ต่างๆ เช่น ในกลุ่มโทรคมนาคม หรือห้างค้าปลีก ในการมอบพรีวิลเลจ หรือส่วนลดต่างๆ รวมทั้งการจัดเมนูคอมโบ้เซ็ตต่างๆ ในร้านในราคาพิเศษ เพื่อเพิ่มความคุ้มค่าให้ลูกค้า และช่วยเพิ่มยอดขายได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย การกลับมาบุกตลาดของกลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ ไทยแลนด์ในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าจะสามารถพิชิตเป้าหมายทั้งในมิติของ Branding และ Performance ได้อย่างแน่นอน เพราะในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา แม้ธุรกิจจะไม่ได้มีการเร่งเครื่องหรือขับเคลื่อนอย่างจริงจังมากนัก แต่ก็ยังอยู่รอดและเติบโตมาได้ แต่เมื่อมีผู้นำทัพพร้อมด้วยองคาพยพที่เต็มไปด้วยสรรพกำลังเช่นนี้ เชื่อว่าจะได้เห็นการเติบโตและเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นในธุรกิจกาแฟของไทยตามมาอย่างแน่นอน
ธุรกิจกาแฟต่างได้รับประโยชน์ ตั้งแต่แบรนด์ใหญ่ ไปจนถึงรายเล็กๆ เ​พราะด้วยความรู้ที่มากขึ้นของผู้บริโภค ทำให้โลกของกาแฟเปลี่ยนแปลงไป คนไทยเริ่มรับรู้ถึงรสชาติของกาแฟที่มีคุณภาพได้มากขึ้น รวมทั้งการแข่งขันเรื่องคุณภาพและรสชาติของแต่ละแบรนด์ในตลาด ทำให้แต่ละแบรนด์ต่างมีรสชาติที่ดีและคุณภาพใกล้เคียงกัน ไม่แตกต่างกันมากนัก ผู้คนจึงเริ่มยึดติดกับตัวแบรนด์น้อยลง ​แต่เลือกที่จะบริโภคจากความสะดวก โดยเฉพาะการเข้าถึงในโลเกชั่นที่หาง่าย รวมทั้งความสม่ำเสมอทั้งในรสชาติและการให้บริการของแต่ละแบรนด์ ทำให้เริ่มเห็นผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดกาแฟเพิ่มมากขึ้น ​ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ๆ ที่มีไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ ทั้งกลุ่มที่ทำธุรกิจกาแฟรายเดิมๆ อยู่แล้ว กลุ่มที่ต่อยอดมาจากธุรกิจเบเกอรี่ หรือแม้แต่บริษัทใหญ่ๆ ที่เริ่มเพิ่มธุรกิจกาแฟเข้ามาเป็นอีกหนึ่งขาธุรกิจ ​รวมไปถึงการเกิดขึ้นของร้านกาแฟใหม่ๆ ร้านในสไตล์อินดี้ หรือแม้แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่างๆ ก็เลือกที่จะเปิดร้านกาแฟเป็นธุรกิจส่วนตัวจำนวนมาก จึงสามารถพบเห็นร้านกาแฟสดได้มากขึ้นไม่ต่างกับการเข้าถึงร้านสะดวกซื้อต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สอดคล้องกับข้อมูลที่ทางกลุ่มเนสกาแฟเคยให้ข้อมูลตลาดกาแฟโดยรวมในประเทศไทยไว้ว่ามีมูลค่าสูงถึงเกือบ 6.5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะในตลาด Out of Home ที่มีมูลค่าประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งสัดส่วนใหญ่ในตลาดนี้หรือ 64% จะเป็นธุรกิจร้านกาแฟ หรือ Specialty Coffee ที่มีมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท และเติบโตได้สูงถึง 15.7% สะท้อนถึง Growth State ในตลาดที่ยังอยู่ในช่วงของการขยายตัว และเป็นโอกาสให้รายใหม่ๆ สามารถเข้าไปแข่งขันได้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54270
Retail
บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกประเภทใด
a. ประเภทของตกแต่งบ้าน b. ประเภทเอ๊าท์เลท c. ประเภทอาหาร d. ประเภทความงาม
คำตอบได้แก่ b. เนื่องจาก บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) หรือ FN Outlet ผู้นำธุรกิจค้าปลีกประเภทเอ๊าท์เลท ผนึก ช้อปปี้ (ประเทศไทย) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน รุกช่องทางออนไลน์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนัช้อปยุคใหม่ เพิ่มการเข้าถึงสินค้าได้ 24 ชั่วโมง บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) หรือ FN Outlet ผู้นำธุรกิจค้าปลีกประเภทเอ๊าท์เลท ผนึก ช้อปปี้ (ประเทศไทย) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน รุกช่องทางออนไลน์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนัช้อปยุคใหม่ เพิ่มการเข้าถึงสินค้าได้ 24 ชั่วโมง บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) หรือ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกประเภทเอ๊าท์เลท ผนึก ช้อปปี้ (ประเทศไทย) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน รุกช่องทางออนไลน์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนัช้อปยุคใหม่ เพิ่มการเข้าถึงสินค้าได้ 24 ชั่วโมง
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54274
Retail
กลุ่มเซ็นทรัล จับมือ ซิกน่า เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าใด
กลุ่มเซ็นทรัล จับมือ ซิกน่า เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าโกลบัส (Globus) เชนห้างสรรพสินค้าสุดหรูในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จำนวนทั้งหมด 8 แห่งที่ตั้งอยู่ในสุดยอดโลเคชั่นตามเมืองต่าง ๆ จากบริษัท Migros-Genossenschafts-Bund (MGB) โดยมีสัดส่วนการร่วมทุน 50 : 50 การเข้าซื้อกิจการโกลบัสในครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมทุนครั้งใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่า ที่เป็นเจ้าของร่วมในกิจการกลุ่มคาเดเว (KaDeWe Group) ธุรกิจห้างสรรพสินค้าในประเทศเยอรมนี และกำลังพัฒนาโครงการห้างสรรพสินค้าใหม่ร่วมกันในเมืองดึสเซิลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี และกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย นอกจากนี้กลุ่มเซ็นทรัลยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตอีก 9 แห่ง ในประเทศอิตาลี และห้างสรรพสินค้าอิลลุม ในประเทศเดนมาร์ก การร่วมทุนครั้งนี้จึงถือเป็นการขยายอาณาจักรค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล ให้ครอบคลุมทวีปยุโรป ถึง 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศเยอรมนี, ออสเตรีย, อิตาลี, เดนมาร์ก และสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมทั้งทำให้กลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่า ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำที่ครอบครอง และบริหารงานธุรกิจห้างสรรพสินค้าหรูในยุโรป ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเซ็นทรัล เผยว่า “เรามีความยินดีที่จะประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องการเข้าซื้อกิจการ ห้างสรรพสินค้าโกลบัส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 ระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล และกลุ่มซิกน่า พันธมิตรของเราในการบริหารงานห้างคาเดเว และเวียนนา ข้อตกลงทางธุรกิจในครั้งนี้มีมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านฟรังก์สวิส ซึ่งรวมไปถึงการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ชั้นนำต่าง ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ และโรงแรมอีกหนึ่งแห่ง ตั้งแต่การซื้อกิจการรีนาเชนเต ประเทศอิตาลี เมื่อปี 2011 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรป กระทั่งวันนี้ธุรกิจของเรามีรายได้เติบโตจาก 200 ล้านยูโรและคาดว่าจะก้าวกระโดดแตะ 2 พันล้านยูโรในปีนี้ โดยปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลบริหารธุรกิจใน 5 ประเทศ 19 เมืองในยุโรป รวมถึงอีก 2 เมือง คือ ดึสเซิลดอร์ฟ และเวียนนา ที่โครงการอยู่ในระหว่างการพัฒนา เรามีห้างสรรพสินค้าที่เป็นแฟลกชิปสโตร์ทั้งหมด 8 แห่ง ทำให้ กลุ่มเซ็นทรัลเป็นหนึ่งในผู้นำค้าปลีกระดับลักชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป” วิททอริโอ ราดิเช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ยุโรป ในฐานะตัวแทนการร่วมทุนของกลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่าในครั้งนี้ เผยว่า “โกลบัส ถือเป็นแบรนด์ห้างสรรพสินค้าที่ยอดเยี่ยม และน่าจับตามองอย่างยิ่ง เรายินดีที่ได้ต้อนรับเชนห้างสรรพสินค้านี้มาเป็นสมาชิกใหม่ในพอร์ตธุรกิจของเรา ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสม และความแข็งแรงของแบรนด์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล เป็นเครื่องการันตีว่า ‘โกลบัส’ แบรนด์ห้างสรรพสินค้าสัญชาติสวิสนี้ จะมาช่วยเติมเต็มธุรกิจห้างสรรพสินค้ายุโรปของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเราพร้อมที่จะพัฒนาต่อยอด เสริมแกร่งให้โกลบัส รวมถึงห้างอื่น ๆ ในเครือของเรา สามารถเติบโตและประสบความสำเร็จไปพร้อมกันอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในอนาคต ฟาบรีซ ซัมบรุนเนน (Fabrice Zumbrunnen) ประธานกรรมการบริหาร Migros กล่าวว่า ผมมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของกลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่า ที่มีประสบการณ์การบริหารห้างสรรพสินค้าหรูหลายแห่งในยุโรป เช่นเดียวกับการร่วมทุนในครั้งนี้ที่ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านการบริหารห้างสรรพสินค้าหรูหลากหลายแห่ง มาสร้างอนาคตที่แข็งแกร่ง และดีกว่าเดิมให้กับโกลบัส เส้นทางสู่อนาคต กลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่า ในฐานะเจ้าของใหม่ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโกลบัส ให้เป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้าหรูชั้นนำในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยจะเร่งปรับภาพลักษณ์ และจุดขายของห้างให้มีความทันสมัย พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ประจำชาติ อันเป็นจุดเด่นของห้างโกลบัส วิททอริโอ ราดิเช กล่าวเพิ่มเติมว่า ความรู้ และประสบการณ์จากการบริหารงานห้างสรรพสินค้ากลุ่ม คาเดเว, รีนาเชนเต และอิลลุม เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาห้างโกลบัส การร่วมทุนในครั้งนี้จะเป็นการนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของทั้งสองบริษัทมาต่อยอดให้โกลบัสขึ้นแท่นห้างสรรพสินค้าระดับแนวหน้าที่จะส่งมอบประสบการณ์ชั้นเลิศในแบบฉบับสวิต ให้กับคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเราพร้อมอย่างยิ่งที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่องในห้างสรรพสินค้าโกลบัส เพื่อที่จะสร้างอนาคตที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้กับโกลบัส ความเป็นแบรนด์สวิสที่แข็งแรง คือ รากฐานที่แข็งแกร่งของโกลบัส สิ่งที่ถือเป็นรากฐาน และจุดแข็งที่จะต่อยอด และเพิ่มคุณค่าให้กับธุรกิจของโกลบัสในอนาคต นั่นคือ การเป็นแบรนด์สวิสดั้งเดิมที่มีชื่อเสียง และได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในกลุ่มลูกค้าชาวสวิส การมีพนักงานที่มากประสบการณ์และความมุ่งมั่นในการทำงาน การมีลอยัลตี้โปรแกรมในรูปแบบบัตรสมาชิก รวมถึงการจำหน่ายสินค้าที่ครบครัน และหลากหลายประเภท เช่น อาหารสำเร็จรูป, สินค้าเกี่ยวกับบ้าน และความสวยความงาม ตลอดถึงการตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่โดดเด่นและเหนือกว่า “แม้ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกจะเป็นตลาดที่ท้าทาย และแข่งขันสูง แต่การผนึกกำลังศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่า จะเป็นสิ่งรับประกันความมั่นคง และความสามารถในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องให้โกลบัส ก้าวสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าที่ครองตำแหน่งผู้นำ และครองใจลูกค้าทุกคน” วิททอริโอ ราดิเช กล่าวปิดท้าย ทีมผู้บริหารมืออาชีพ วิททอริโอ ราดิเช จะเป็นแม่ทัพและผู้นำที่จะวางกลยุทธ์การเติบโตให้กับโกลบัส พร้อมทีมงานที่มากประสบการณ์จากกลุ่มซิกน่า และบริษัทในเครือ ในขณะที่โทมัส เฮอร์เบิร์ต (Thomas Herbert) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันของโกลบัส จะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหาร และฟรานโก สวาสเตโน (Franco Savastano) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบัน จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ โดย วิททอริโอ ราดิเช กล่าวปิดท้ายว่า “การทำงานร่วมกันอย่างมืออาชีพ คือสิ่งที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้งกลุ่มเซ็นทรัล ซิกน่า โกลบัส รวมถึงกลุ่มผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เรามีความพร้อมและยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับทีมงานชาวสวิส เพื่อขับเคลื่อนโกลบัสให้เติบโตไปด้วยกัน” ก้าวต่อไป แม้การเซ็นสัญญาร่วมทุนจะเสร็จสิ้นไปแล้วแต่การครอบครองกิจการอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการอนุมัติจากองค์กรควบคุมการแข่งขันทางการค้าในยุโรป (European competition authorities) โดยมีกำหนดที่จะได้รับการอนุมัติในช่วงกลางปี 2020 นี้
กลุ่มเซ็นทรัล จับมือ ซิกน่า เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าโกลบัส (Globus) เชนห้างสรรพสินค้าสุดหรูในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จำนวนทั้งหมด 8 แห่งที่ตั้งอยู่ในสุดยอดโลเคชั่นตามเมืองต่าง ๆ จากบริษัท Migros-Genossenschafts-Bund (MGB) โดยมีสัดส่วนการร่วมทุน 50 : 50 การเข้าซื้อกิจการโกลบัสในครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมทุนครั้งใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่า ที่เป็นเจ้าของร่วมในกิจการกลุ่มคาเดเว (KaDeWe Group) ธุรกิจห้างสรรพสินค้าในประเทศเยอรมนี และกำลังพัฒนาโครงการห้างสรรพสินค้าใหม่ร่วมกันในเมืองดึสเซิลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี และกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย นอกจากนี้กลุ่มเซ็นทรัลยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตอีก 9 แห่ง ในประเทศอิตาลี และห้างสรรพสินค้าอิลลุม ในประเทศเดนมาร์ก การร่วมทุนครั้งนี้จึงถือเป็นการขยายอาณาจักรค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล ให้ครอบคลุมทวีปยุโรป ถึง 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศเยอรมนี, ออสเตรีย, อิตาลี, เดนมาร์ก และสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมทั้งทำให้กลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่า ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำที่ครอบครอง และบริหารงานธุรกิจห้างสรรพสินค้าหรูในยุโรป การเข้าซื้อกิจการ ห้างสรรพสินค้าโกลบัส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นการร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 ระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล และกลุ่มซิกน่า ในการบริหารงานห้างคาเดเว และเวียนนา ข้อตกลงทางธุรกิจในครั้งนี้มีมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านฟรังก์สวิส ซึ่งรวมไปถึงการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ชั้นนำต่าง ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ และโรงแรมอีกหนึ่งแห่ง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54288
Retail
อะไรคือกลยุทธ์การค้าปลีกที่ IKEA ใช้ในการเข้าถึงลูกค้าในท้องถิ่น?
null
จากบทความ IKEA ใช้กลยุทธ์การค้าปลีกหลายประการเพื่อเข้าถึงลูกค้าในท้องถิ่น ดังนี้: 1. การทำงานร่วมกับดีไซน์เนอร์ท้องถิ่น: IKEA ร่วมมือกับดีไซน์เนอร์ท้องถิ่นเพื่อพัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการและสไตล์ของผู้บริโภคในท้องถิ่น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือความร่วมมือกับ Greyhound แบรนด์แฟชั่นไทย นำไปสู่คอลเลกชั่น Sammankoppla ที่สะท้อนความเป็นไทย ผสมผสานความเรียบง่าย ฟังก์ชั่นการใช้งาน และความสนุกสนาน 2. การออกแบบสินค้าที่ใช้งานได้จริง: IKEA ออกแบบสินค้าโดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น สินค้ามีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย เหมาะกับพื้นที่จำกัด ตัวอย่างเช่น โคมไฟ Container LED ที่ดัดแปลงจากขวดน้ำ หรือเสื่อ 2 ด้านที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล 3. การนำเสนอสินค้าในราคาที่ย่อมเยา: IKEA มุ่งมั่นให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีดีไซน์ดีและใช้งานได้จริง โดยกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่น 4. การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน: IKEA ออกแบบสโตร์ให้เป็นเหมือนบ้าน ตัวอย่างเช่น การจัดโซนโชว์รูมให้ลูกค้าเดินชมและลองใช้สินค้า การจัดกิจกรรมต่างๆ ในสโตร์ 5. การใช้ช่องทางออนไลน์: IKEA เพิ่มช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่สะดวกและรวดเร็ว ลูกค้าสามารถดูสินค้า สั่งซื้อสินค้า และชำระเงินออนไลน์ ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ IKEA ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงลูกค้าในท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น คอลเลกชั่น Sammankoppla ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจของ IKEA เกี่ยวกับตลาดท้องถิ่น เพิ่มเติม: IKEA ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การใช้ภาษาและสื่อท้องถิ่น การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่น กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ IKEA สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในท้องถิ่น และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ บทสรุป: IKEA เป็นตัวอย่างที่ดีของธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงลูกค้าในท้องถิ่น กลยุทธ์ของ IKEA เน้นการเข้าใจความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่น พัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการ นำเสนอสินค้าในราคาที่ย่อมเยา และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54306
Retail
การที่เอฟแอนด์เอ็น รีเทล คอนเน็คชั่น เข้าซื้อหุ้นสตาร์บัคส์ ประเทศไทย จะส่งผลอย่างไร
a. มีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต b. ตอกย้ำและขยายธุรกิจในประเทศไทย c. เพิ่มตราสินค้าให้แก่พอร์ตโฟลิโอของ F&N d. เสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภค
ข้อที่ถูกต้องคือ c. เนื่องจาก บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ลิมิเต็ด (“F&N”) ประกาศว่า บริษัท เอฟแอนด์เอ็น รีเทล คอนเน็คชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเข้าร่วมกับ Maxim’s Caterers Limited (“Maxim’s”) ตั้งกิจการร่วมค้าชื่อ บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ (ประเทศไทย) จำกัด (“CCT”) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด (“สตาร์บัคส์ ประเทศไทย”) นับเป็นกลยุทธ์ล่าสุดของ F&N ในการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในประเทศไทย ที่ F&N ได้ทำธุรกิจมากว่า 20 ปีอย่างมั่นคงและยั่งยืน การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจะเพิ่มตราสินค้าชื่อดังให้แก่พอร์ตโฟลิโอของ F&N ซึ่ง F&N ในประเทศไทยมีรายได้ประมาณ 15,000 ล้านบาทในปี 2561 ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยสำหรับกลุ่มสินค้านมกระป๋อง โดยมี ทีพอท ตราหมีและคาร์เนชั่นเป็นตราสินค้ากลุ่มนมข้นหวาน นมสเตอริไลส์ และนมข้นจืดที่ผู้บริโภคชื่นชอบ F&N ยังคงมุ่งหน้าขยายสินค้ากลุ่มไอศกรีมและนมในประเทศไทยด้วยการออกสินค้าใหม่จาก แมกโนเลีย ในปี 2561 ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 3 ตลาดหลักของ F&N และยินดีที่สามารถตอกย้ำและขยายธุรกิจในประเทศไทยผ่านการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ นอกจากนี้ ตลาดค้าปลีกกาแฟระดับพรีเมียมในประเทศไทยยังมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และสตาร์บัคส์ซึ่งมีจำนวนร้าน 372 สาขาทั่วประเทศในปัจจุบันกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยังมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับ Maxim’s ซึ่งมีประวัติการทำธุรกิจที่ดีกับสตาร์บัคส์มาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภคในร้านสตาร์บัคส์ต่อไป
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54322
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความมุ่งมั่น พลังใจ และความกล้าที่จะเผชิญความท้าทาย เป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ
null
บทเพลงแห่งแคตตาล็อก: เส้นทางสู่ความสำเร็จของ OfficeMate ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องที่เรียงราย สองพี่น้อง "วรวุฒิ" และ "วรัญญู" กำลังเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย ธุรกิจร้านเครื่องเขียนที่ครอบครัวสืบทอดมายาวนาน กำลังถูกคุกคามจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ยอดขายซบเซา หนี้สินท่วมหัว อนาคตของร้านดูมืดมน วรวุฒิ หนุ่มไฟแรง มองเห็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต เขาตัดสินใจพลิกผันธุรกิจครอบครัว ด้วยการนำความรู้จากตำราการตลาดมาประยุกต์ใช้ แนวคิด "แคตตาล็อกเซลล์" กลายเป็นแสงสว่างนำทาง เขาและวรัญญูทุ่มเทแรงกายแรงใจ แปลงโฉมร้านเครื่องเขียนธรรมดา ให้กลายเป็น "OfficeMate" ธุรกิจค้าปลีกแบบ B2B ที่ใช้แคตตาล็อกเป็นเครื่องมือ เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อุปสรรคมากมายถาโถมเข้าใส่ พวกเขาต้องเผชิญกับคู่แข่งรายใหญ่ ปัญหาการเงิน และความกังขาจากสังคม แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิริยะอุตสาหะ วรวุฒิและวรัญญูพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พัฒนาแคตตาล็อกให้สวยงาม น่าสนใจ ขยายช่องทางการขาย เพิ่มสินค้าให้หลากหลาย และสร้างระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ OfficeMate เติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นผู้นำในตลาด B2B แคตตาล็อกของพวกเขาเปรียบเสมือนเพลงบรรเลงบทใหม่ของธุรกิจค้าปลีก นำเสนอความสะดวก รวดเร็ว และประหยัด ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคสมัย ท่ามกลางความสำเร็จ วรวุฒิไม่เคยลืมบทเรียนสำคัญ เขาตระหนักดีว่า การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จ ความรู้จากตำราช่วยนำทางเขาให้พ้นวิกฤตและสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน เขาจึงมุ่งมั่นส่งเสริมการศึกษา สนับสนุนทุนการศึกษา และแบ่งปันประสบการณ์แก่คนรุ่นใหม่ บทเพลงแห่งแคตตาล็อก ของ OfficeMate เป็นบทพิสูจน์ว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ต้องอาศัยความมุ่งมั่น พลังใจ การศึกษา และความกล้าที่จะเผชิญความท้าทาย เรื่องราวของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ว่าแม้จะเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ แต่หากมีความฝันที่ยิ่งใหญ่และพร้อมทุ่มเท มุ่งมั่น อนาคตที่สดใสก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54328
Retail
ช่วยสรุปบทความ "การปรับตัวในยุคดิจิทัล: บลูบิค กรุ๊ป เป็นผู้นำด้านกลยุทธ์และนวัตกรรมทางดิจิทัลในธุรกิจไทย" ให้หน่อยคะ
บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด ที่ปรึกษาสัญชาติไทยด้านกลยุทธ์และการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลเพื่อการแข่งขันในปัจจุบันและอนาคต เผยธุรกิจที่ปรึกษากลยุทธ์ดิจิทัลไทยโต 20% รับยุคดิจิทัล ดิสรัปชั่นกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภค ต้องการบริการทันใจแบบเรียลไทม์ ผนวกกับภาคธุรกิจกำลังเผชิญหน้ากับภาวะชะลอตัว ส่งผลองค์กรไทยต้องการผู้ช่วยก้าวสู่ยุคดิจิทัล ชูเป็นจุดแข็งคิดใหม่ทำใหม่สไตล์คนรุ่นใหม่ ด้วยความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมและผ่านประสบการณ์การทำงานกับที่ปรึกษาธุรกิจระดับนานาชาติ ที่เข้าใจและเข้าถึงความต้องการขององค์กรไทยมากที่สุด เล็งเจาะลูกค้าอุตสาหกรรมหลักด้านธนาคารและสถาบันการเงิน ธุรกิจประกันภัย โทรคมนาคม และค้าปลีก ตั้งเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 ของธุรกิจที่ปรึกษาไทยภายใน 5 ปี นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในทุกภาคธุรกิจได้ถูกท้าทายด้วย Digital Disruption นั่นคือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคต้องการได้รับบริการที่รวดเร็วแบบเรียลไทม์ ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลต่าง ๆ ทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจเดิมอย่างรุนแรง และการอยู่รอดของธุรกิจในยุคนี้ไม่ใช่การปฏิเสธหรือใช้กลยุทธ์ธุรกิจแบบเดิม แต่เป็นการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี และเหนือไปกว่านั้นคือการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผลสูงสุด เพื่อนำมาซึ่งบริการที่สามารถตอบโจทย์ยุคใหม่ได้ตรงใจและรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วด้วยเทคโนโลยีส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องเร่งวางกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนองค์กร ด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสม โดยไม่มีเวลาลองผิดลองถูกด้วยตนเอง เพราะโลกดิจิทัลเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การปรับตัวช้าจะส่งผลต่อธุรกิจอย่างมหาศาล ธุรกิจที่ปรึกษาจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการนำพาองค์กรให้สามารถแข่งขันได้ในยุค 4.0 โดยในปีที่ผ่านมาธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีในประเทศมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 20% โดยธุรกิจที่ปรึกษาด้านที่เติบโตประกอบไปด้วยที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ดิจิทัล (Digital strategy) ที่ปรึกษาด้านข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ที่ปรึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และที่ปรึกษาด้านการบริหารแบบคล่องตัวสูง (Agile management) ทั้งนี้ การก้าวผ่านดิจิทัล ดิสรัปชั่น ในประเทศไทย แม้จะมีทางออกด้วยการเลือกบริษัทที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญการมาเป็นตัวช่วย แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการเข้าใจวัฒนธรรม รวมถึงเอกลักษณ์ที่เด่นชัดขององค์กรและผู้บริโภคไทย ประกอบกับการมองหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มโอกาสในการแข่งขันไม่เพียงพออีกต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับองค์กรสมัยใหม่คือ มองหาแผนธุรกิจที่ชาญฉลาดกว่า ด้วยการวาง กลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เข้ามาเติมเต็มและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภคยุค 4.0 “องค์กรแต่ละแห่งมีความถนัดในการทำธุรกิจเป็นอย่างดี การจะดึงเอาคนขององค์กรมาเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีควบคู่กับการทำงานด้านที่ถนัด จะเป็นการบั่นทอนจุดแข็งด้านความชำนาญในธุรกิจ ยิ่งในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างคนให้เก่งเทคโนโลยีอาจไม่ทันการ ฉะนั้นการมีบริษัทที่ปรึกษาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ต้องนึกถึง ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีให้เหนือกว่าการตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า จะเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ” นายพชร กล่าว นายพชร กล่าวต่อว่า บลูบิค กรุ๊ป เป็นบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติไทยด้านกลยุทธ์และการจัดการ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านการพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลเพื่อการแข่งขันทั้งในปัจจุบันและอนาคต ประกอบด้วยทีมงานที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ระดับนานาชาติกว่า 120 คน สร้างสรรค์ผลงานโดยเฟ้นหาวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ ๆ และเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดมาประยุกต์ใช้ เพื่อการวางกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตของธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ ด้วยกลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเติมเต็มความต้องการและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค ทั้งการวางกลยุทธ์การเติบโต (Growth strategy) การออกผลิตภัณฑ์และบริการใหม่เพื่อพลิกตลาด (Disruptive product ideation) การทำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต้นแบบ (Innovative product prototype) การพัฒนาแอพพลิเคชัน (Application development) รวมถึงการวางแผนกลยุทธ์เพื่อนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด (go-to-market strategy) โดยที่ผ่านมาได้ผ่านงานที่ปรึกษาแก่บริษัทชั้นนำในหลายธุรกิจ อาทิ ธุรกิจการเงินและประกันภัย โทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุปโภคบริโภค ที่มีจุดแข็งคือ เข้าใจองค์กรและผู้บริโภคไทยมากที่สุด โดยมุ่งส่งมอบงานด้วยการเปลี่ยนถ่ายจากความคิดสู่การปฏิบัติได้จริงในธุรกิจ โดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและวางยุทธศาสตร์ทางธุรกิจให้แก่องค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำในระดับประเทศและนานาชาติ ในปี 2561 ที่ผ่านมา บลูบิค กรุ๊ป นับเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ดิจิทัลสัญชาติไทยเพียงรายเดียวที่สามารถแข่งขันกับบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศที่มีชื่อเสียงระดับโลกในภูมิภาคนี้ โดยปัจจุบันบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ 5% เป็นลำดับที่ 6 ในตลาด โดยในปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 40% นอกจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติไทยด้านกลยุทธ์ดิจิทัลและการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี อันดับ 1 ในประเทศไทยภายในปี 2567 ด้วยการเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่เข้าใจความต้องการองค์กรไทยในเชิงลึกและสามารถนำโซลูชั่นที่เหมาะสมที่สุดกับตลาดไทยจากการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี และยังมีความเชี่ยวชาญในการเพิ่มขีดความสามารถเกี่ยวกับดิจิทัล ดิสรัปชั่น โดยได้มีการลงทุนเพื่อยกระดับความเชี่ยวชาญ และลงทุนด้านเทคโนโลยีเชิงลึกใหม่ ๆ ผ่านสตาร์ทอัพในด้านต่าง ๆ อาทิ Design-led innovation, Big data, AI, IoT, Fintech, Green Energy และ Omni channel รวมถึงการมีเป้าหมายก้าวให้ไวกว่าด้วยการมองหาและพัฒนาความเชี่ยวชาญไปยังเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดไทยในอนาคต
บลูบิค กรุ๊ป เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีในสัญชาติไทย ธุรกิจที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัล เพื่อการแข่งขันในปัจจุบันและอนาคต บริษัทเผยว่าทำธุรกิจที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ดิจิทัลไทยโตขึ้นถึง 20% และเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ดีที่สุดในประเทศใน 5 ปี มีผลจากภาวะดิจิทัลดิสรัปชั่นที่กระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้องค์กรต้องการบริการทันใจแบบเรียลไทม์ เพื่อตอบสนองภาคธุรกิจที่กำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทมีเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในธุรกิจที่ปรึกษาไทยภายใน 5 ปี นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลูบิค กรุ๊ป เผยว่าทุกธุรกิจต้องเผชิญกับ Digital Disruption หรือการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งต้องการบริการที่รวดเร็วและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อเข้ากับรูปแบบธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้น บริษัทที่ปรึกษามีบทบาทสำคัญในการช่วยองค์กรปรับตัวในยุค 4.0 โดยในปีที่ผ่านมามีการเติบโตขึ้นถึง 20% ในธุรกิจที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ดิจิทัล, Big data, AI, และ Agile management นอกจากนี้ บลูบิค กรุ๊ป มีการก้าวผ่านดิจิทัลดิสรัปชั่นในประเทศไทย และมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติไทยด้านกลยุทธ์ดิจิทัลและการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ดีที่สุด โดยในปี 2561 ได้มีมาร์เก็ตแชร์ 5% และเป้าหมายที่จะเติบโตขึ้น 40% ในปีปัจจุบัน บริษัทยังมีเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาและปรับใช้ในธุรกิจ และมุ่งมั่นในการมองหาแผนธุรกิจที่ชาญฉลาดกว่า ด้วยกลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสม นายพชร กล่าวว่า บลูบิค กรุ๊ป มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติไทยด้านกลยุทธ์ดิจิทัลและการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันดับ 1 ในประเทศไทย ด้วยการทำงานกับลูกค้าในหลากหลายธุรกิจ เช่น การเงิน, ประกัน, โทรคมนาคม, และค้าปลีก และมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในยุค 4.0 โดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในธุรกิจอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผลสูงสุด รวมถึงการมีเป้าหมายที่จะก้าวไปข้างหน้าในด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น และมีการลงทุนในสตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้าน Design-led innovation, Big data, AI, IoT, Fintech, Green Energy และ Omni channel ตลอดจนการพัฒนาความเชี่ยวชาญเพิ่มเติม ทั้งนี้เพื่อนำบริการที่ตอบโจทย์ยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54333
Retail
DAAT และ Kantar ประเทศไทย คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายผ่านสื่อดิจิทัลในปี 2019 ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมหลักใดจะลงทุนในสื่อดิจิทัลด้วยเงิน 1,753 ล้านบาท
ก. กลุ่มเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ ข. กลุ่มการสื่อสาร ค. กลุ่มธุรกิจธนาคาร ง. กลุ่มสกินแคร์ จ. กลุ่มค้าปลีก
ข้อที่ถูกต้องคือ ง. เพราะว่า เพราะ DAAT และ Kantar ประเทศไทย คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายผ่านสื่อดิจิทัลในปี 2019 ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมหลักกลุ่มสกินแคร์จะลงทุนในสื่อดิจิทัลด้วยเงิน 1,753 ล้านบาท DAAT และ Kantar ประเทศไทย คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายผ่านสื่อดิจิทัลในปี 2019 ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่จะลงทุนในสื่อดิจิทัลมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ (2,783 ล้านบาท) 2. กลุ่มการสื่อสาร (2,115 ล้านบาท) 3. กลุ่มสกินแคร์ (1,753 ล้านบาท) 4. กลุ่มธุรกิจธนาคาร (1,396 ล้านบาท) 5. กลุ่มเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ (1,239 ล้านบาท) ส่วนกลุ่มค้าปลีกจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายเงินบนสื่อดิจิทัลจะเติบโตขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในปี 2019 โดยจะเติบโตมากขึ้น 47% คิดเป็นเม็ดเงิน 1,029 ล้านบาท ตามด้วยสถาบันการเงินที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตมากขึ้น 29% คิดเป็นมูลค่า 1,396 ล้านบาท DAAT หรือสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) เปิดตัวเลขออกมา โดยปี 2018 มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในสื่อดิจิทัลมากถึง 16,928 ล้านบาท โตขึ้น 36% จากมูลค่า 12,400 ล้านบาท ในปี 2017 และ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดคือ ยานยนต์ (2,361 ล้านบาท), สื่อสาร (1,925 ล้านบาท), สกินแคร์ (1,454 ล้านบาท), เครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮล์ (1,148 ล้านบาท) และธนาคาร (1,080 ล้านบาท) ส่วนแพลตฟอร์มที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดยังเป็นแพลตฟอร์มต่างชาติอย่าง Facebook และ YouTube ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลเพิ่มเป็นมูลค่าสูงที่สุดในปี 2018 เทียบจากปี 2017 คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีการใช้จ่าย 585 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2017 114% ตามด้วยกลุ่มค้าปลีก ที่มีการใช้จ่าย 701 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2017 111%
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54359
Retail
กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าของ Don Don Donki มีอะไรบ้าง?
null
Don Don Donki มีกลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าที่หลากหลาย ดังนี้ 1. สินค้าหลากหลายและราคาประหยัด: Don Don Donki นำเสนอสินค้ากว่า 10,000 รายการ ครอบคลุมสินค้าในชีวิตประจำวัน อาหารสด อาหารแปรรูป ขนม เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแฟชั่น และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเน้นสินค้าถูกและดี 2. เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง: สะดวกสำหรับลูกค้าที่ต้องการช้อปปิ้งในยามค่ำคืน หรือช่วงเวลาที่ร้านค้าทั่วไปปิด 3. ทำเลที่ตั้ง: ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า BTS เอกมัย สะดวกต่อการเดินทาง 4. บรรยากาศภายในร้าน: ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น สนุกสนาน น่าสนใจ 5. สินค้าเฉพาะ: นำเสนอสินค้าเฉพาะที่มีขายใน Don Don Donki เท่านั้น ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการสินค้าหายาก 6. กิจกรรมส่งเสริมการขาย: จัดกิจกรรมและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาช้อปปิ้ง 7. บริการ: พนักงานบริการดี พูดได้หลายภาษา สื่อสารกับลูกค้าได้อย่างสะดวก 8. เทคโนโลยี: นำเทคโนโลยีมาใช้ในร้าน เช่น ตู้ชำระเงินอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า 9. ช่องทางออนไลน์: เพิ่มช่องทางการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวก 10. ประสบการณ์การช้อปปิ้ง: มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน แปลกใหม่ ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้บริการ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่น่าสนใจ: การนำเสนอสินค้าเฉพาะ: Don Don Donki มีสินค้าเฉพาะที่มีขายในร้านเท่านั้น เช่น อาหารญี่ปุ่น ของใช้ในบ้าน ของเล่น ของสะสม ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการสินค้าหายาก การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย: Don Don Donki จัดกิจกรรมและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง เช่น ลดราคา ซื้อ 1 แถม 1 แจกของสมนาคุณ ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาช้อปปิ้ง การนำเทคโนโลยีมาใช้: Don Don Donki นำเทคโนโลยีมาใช้ในร้าน เช่น ตู้ชำระเงินอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม: Don Don Donki ควรศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าชาวไทยเพิ่มเติม เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ Don Don Donki ควรพัฒนาช่องทางออนไลน์ เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ Don Don Donki ควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่หลากหลาย ดึงดูดลูกค้ากลุ่มต่างๆ สรุป: Don Don Donki มีกลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าที่หลากหลาย โดยเน้นสินค้าหลากหลาย ราคาประหยัด เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ทำเลที่ตั้งสะดวก บรรยากาศภายในร้านน่าสนใจ สินค้าเฉพาะ กิจกรรมส่งเสริมการขาย บริการที่ดี เทคโนโลยี และช่องทางออนไลน์ กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาช้อปปิ้ง และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54376
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยี 5G เปลี่ยนแปลงโลกของเราไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า สิ่งสำคัญคือ เราต้องไม่ลืมความเป็นมนุษย์ เทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น ไม่ใช่แทนที่การสื่อสารและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
null
แสงสีรุ้งในยุค 5G สายลมเย็นพัดโชยผ่านเส้นผมสีน้ำตาลของ "มินอา" หญิงสาววัย 25 ปี กำลังยืนมองวิวเมืองอนาคตอันคึกคักตึกสูงระฟ้าเรียงรายเต็มไปด้วยแสงไฟหลากสีสัน เทคโนโลยี 5G เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง ผู้คนใช้ชีวิตผ่านอุปกรณ์สวมใส่ที่เชื่อมต่อกับโลกดิจิทัล มินอาทำงานเป็นพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าสุดไฮเทคแห่งหนึ่ง ห้างนี้ไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของ แต่เป็นเสมือนศูนย์กลางความบันเทิงและการเรียนรู้ อุปกรณ์ AI ต่างๆ ทำงานแทนพนักงานขาย มินอาจึงมีหน้าที่ดูแลระบบและช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ วันนี้มินอาได้รับแจ้งเตือนจากระบบว่า "ลุงจิม" ลูกค้าประจำกำลังเดินทางมาที่ห้าง ลุงจิมเป็นชายวัย 60 ปี อาศัยอยู่คนเดียวและไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ มินอาจึงเตรียมตัวต้อนรับลุงจิมด้วยรอยยิ้ม ลุงจิมมาถึงห้างด้วยรถยนต์ไร้คนขับ เขาดูตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบตัว มินอาอธิบายระบบต่างๆ ของห้างให้ลุงจิมฟังอย่างใจเย็น ลุงจิมต้องการซื้อเสื้อใหม่ มินอาจึงแนะนำให้เขาใช้ "ตู้เสื้อผ้าอัจฉริยะ" ตู้เสื้อผ้าอัจฉริยะนี้ใช้เทคโนโลยี AR สแกนรูปร่างและสไตล์ของลุงจิม จากนั้นเสนอเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้เลือก ลุงจิมลองเสื้อผ้าเสมือนจริงผ่านกระจกเงา เลือกแบบที่ชอบและชำระเงินผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องต่อคิว ลุงจิมรู้สึกประทับใจกับเทคโนโลยีใหม่ เขาบอกมินอาว่า "สมัยนี้สะดวกสบายจริงๆ สมัยก่อนต้องเดินหาเสื้อผ้า ลองเสื้อผ้า รอคิวนาน แถมยังไม่แน่ใจว่าจะเจอเสื้อที่ชอบ" มินอาตอบว่า "ใช่ค่ะ เทคโนโลยี 5G เปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเราไปมาก ห้างสรรพสินค้าก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ลูกค้าอย่างลุงจิมสามารถช้อปปิ้งได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย" ลุงจิมยิ้มและกล่าวว่า "ขอบคุณมากนะหนู เทคโนโลยีใหม่ๆ นี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเด็กอีกครั้ง" มินอาดีใจที่ได้ช่วยเหลือลุงจิม เธอรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกอนาคต โลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและโอกาสใหม่ ๆ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54403
Retail
เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่อง "โอกาสใหม่ในยุคใหม่: เรื่องราวของการเปิดโผ Top 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย"
null
หัวข้อ: การเปิดโผ Top 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย เมื่อเวลาผ่านไปมากพอ มนุษย์หลายคนรุ่นใหม่กำลังคิดถึงโอกาสในการทำงานที่ท้าทายและมีความสนุกสนานมากขึ้น ความเชื่อมั่นในความสำเร็จของตนเองกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และก็มีการเรียกร้องให้บริษัทรับสมัครพนักงานอย่างต่อเนื่อง ในยุคนี้ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความสามารถใหม่ ๆ บริษัทก็ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ และเมื่อเวลาตีหนึ่งที่นักวิจัยที่เชื่อมโยงกับโลกแห่งข้อมูลพบว่ามีบริษัท 50 บริษัทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทุกส่วนของโลก ทั้งในด้านเทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนาซอฟต์แวร์ และการสร้างสรรค์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มีเสนอตำแหน่งงานที่ท้าทายและเป็นโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงโลก บริษัทเหล่านี้ได้รับการยอมรับในทุกส่วนของโลก และทำงานอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้โลกนี้ก้าวหน้าไปข้างหน้า นายกับนางเริ่มมีความสนใจในบริษัทเหล่านี้ โดยเฉพาะในฐานะของการพัฒนาซอฟต์แวร์ นั้นทำให้เขาได้มองเห็นโอกาสในการเข้าทำงานในบริษัทในตำแหน่งที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเขาส่งใบสมัครและประวัติส่วนตัวของเขาไปยังหน่วยงานที่เขาสนใจ ความสำเร็จก็มาพร้อมกับการรับเข้าทำงานในหนึ่งในบริษัทที่เปิดโผให้โอกาสให้กับคนรุ่นใหม่อย่างเขา และในบริษัทนี้ เขาพบว่าเขาไม่ได้เริ่มต้นในการทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว แต่เขาได้เริ่มต้นในการทำงานเพื่อความสนุกสนานและความท้าทาย และเมื่อเขาทำงานด้วยความหลงใหลและความมุ่งมั่น ความสำเร็จก็เป็นสิ่งที่ตามมาเอง ที่นี่เป็นที่ที่นายค้นพบความสำเร็จของตนเอง และเมื่อเขามองย้อนกลับ นายเห็นว่าการเลือกที่จะทำงานในบริษัทที่เปิดโผให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำและเรื่องราวของนายก็เป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแสงของความสำเร็จของบริษัทเหล่านี้ ซึ่งมีความหมายและความสำเร็จที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนที่เข้าทำงานในนั้น
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54407
Retail
KKday และ LINE Venture จะเริ่มต้นความร่วมมือเป็นครั้งแรกในปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่ไต้หวัน ด้วยการเปิดตัวบริการใด
KKday หนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทัวร์และกิจกรรมท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ได้ประกาศการระดมทุนซีรีส์ B+ ซึ่งรอบนี้นำโดย LINE Venture และ Alibaba Entrepreneurs Fund โดยผู้ลงทุนรายเก่าอย่าง CDIB Capital และ Monk’s Hill Ventures ก็มีส่วนร่วมในการลงทุนครั้งนี้เช่นเดียวกัน การระดมทุนเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ช่วยให้ KKday ไปถึงเป้าหมายที่จะยกระดับนวัตกรรมเทคโนโลยีการจองประสบการณ์ท่องเที่ยวและการขยายสู่ตลาดใหม่ทั่วโลกได้เร็วขึ้น การระดมทุนรอบใหม่นี้ที่นำโดย LINE Ventures แสดงให้เห็นถึงมุมมองใหม่ของวิธีการลงทุนในเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องในฐานะของหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นสนทนาชั้นนำของโลก LINE Corporation ให้บริการผู้ใช้งานด้วยแพลตฟอร์มที่รวบรวมบริการต่างๆที่อำนวยความสะดวกให้กับชีวิตประจำวัน เช่น การชำระเงินผ่านมือถือ, การค้าปลีก, และการออกอากาศข่าว ทั้งสองบริษัทจะเริ่มต้นความร่วมมือเป็นครั้งแรกในปลายเดือนนี้ที่ไต้หวัน ด้วยการเปิดตัว “LINE Travel” บริการแอพครบวงจรที่ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและจองตั๋วเครื่องบิน, โรงแรม, ทัวร์, และกิจกรรมต่างๆ รวมถึงวางแผนและแบ่งปันแผนการท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ “ตลาดการจองประสบการณ์ท่องเที่ยวของเอเชียเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค” นายมาซาโตะ เอ็นโดะ (Masato Endo) ผู้อำนวยการด้านการลงทุนจาก LINE Ventures กล่าว “KKday ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้นำของการเติบโตธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่มี CEO ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอุตสาหรรมท่องเที่ยวออนไลน์ พร้อมทั้งทีมผู้บริหารและสมาชิกทีมจำนวนมากที่ยังอายุน้อยและมีความทะเยอทะยานด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละที่จะสร้างประสบการณ์ความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าของ KKday ผมมั่นใจว่า KKday มีศักยภาพที่จะเป็นแพลตฟอร์มการจองทัวร์และกิจกรรมท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเอเชียได้” ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา KKday ประกาศว่าได้รับการลงทุนจาก Alibaba Entrepreneurs Fund และเปิดตัว Flagship Store บน Fliggy แพลตฟอร์มท่องเที่ยวของ Alibaba Group ในประเทศจีน ภายในระยะเวลาไม่ถึง 4 เดือน อาลีบาบาเห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจและศักยภาพที่ดีของบริษัทจึงร่วมเพิ่มการลงทุนใน KKday “ตั้งแต่เราเริ่มลงทุนในเดือนกรกฎาคม KKday ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานที่แข็งแกร่งในตลาดที่แตกต่างกันและแสดงให้เห็นถึงการเติบโตแบบทวีคูณ” นายแอนดริว ลี (Andrew Lee) Executive Director จาก อาลีบาบา กล่าว “เป้าหมายการขยายตลาดไปทั่วโลกของ KKday สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอาลีบาบาและเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมเดินทางกับพวกเขาและเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กันในอนาคต”
KKday และ LINE Venture จะเริ่มต้นความร่วมมือเป็นครั้งแรกในปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่ไต้หวัน ด้วยการเปิดตัว “LINE Travel” บริการแอพครบวงจรที่ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและจองตั๋วเครื่องบิน, โรงแรม, ทัวร์, และกิจกรรมต่างๆ รวมถึงวางแผนและแบ่งปันแผนการท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ KKday หนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทัวร์และกิจกรรมท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ได้ประกาศการระดมทุนซีรีส์ B+ ซึ่งนำโดย LINE Venture และ Alibaba Entrepreneurs Fund โดยผู้ลงทุนรายเก่าอย่าง CDIB Capital และ Monk’s Hill Ventures ก็มีส่วนร่วมในการลงทุนครั้งนี้เช่นเดียวกัน การระดมทุนเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ช่วยให้ KKday ไปถึงเป้าหมายที่จะยกระดับนวัตกรรมเทคโนโลยีการจองประสบการณ์ท่องเที่ยวและการขยายสู่ตลาดใหม่ทั่วโลกได้เร็วขึ้น การระดมทุนรอบใหม่นี้ที่นำโดย LINE Ventures แสดงให้เห็นถึงมุมมองใหม่ของวิธีการลงทุนในเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องในฐานะของหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นสนทนาชั้นนำของโลก LINE Corporation ให้บริการผู้ใช้งานด้วยแพลตฟอร์มที่รวบรวมบริการต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกให้กับชีวิตประจำวัน เช่น การชำระเงินผ่านมือถือ, การค้าปลีก, และการออกอากาศข่าว ทั้งสองบริษัทจะเริ่มต้นความร่วมมือเป็นครั้งแรกในปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่ไต้หวัน ด้วยการเปิดตัว “LINE Travel” บริการแอพครบวงจรที่ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและจองตั๋วเครื่องบิน, โรงแรม, ทัวร์, และกิจกรรมต่างๆ รวมถึงวางแผนและแบ่งปันแผนการท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ ตลาดการจองประสบการณ์ท่องเที่ยวของเอเชียเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค KKday ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้นำของการเติบโตธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่มี CEO ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอุตสาหรรมท่องเที่ยวออนไลน์ พร้อมทั้งทีมผู้บริหารและสมาชิกทีมจำนวนมากที่ยังอายุน้อยและมีความทะเยอทะยานด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละที่จะสร้างประสบการณ์ความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าของ KKday มั่นใจว่า KKday มีศักยภาพที่จะเป็นแพลตฟอร์มการจองทัวร์และกิจกรรมท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเอเชียได้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54412
Retail
10 เทรนด์ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มประจำปี 2019 ได้แก่อะไรบ้าง
null
1.MINDFUL CHOICES : ผู้บริโภคมีความใส่ใจมากขึ้นในการเลือกอาหารที่มีกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน และลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่แบรนด์ระดับโลกเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ในเรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น 2.LIGHTER ENJOYMENT : กระแสอาหารรักสุขภาพที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อย ๆ นั้น ทำให้เกิดทางเลือกใหม่ในการบริโภค ที่ผู้บริโภคยังเลือกสิ่งที่ชอบได้เหมือนเดิมในรูปแบบอาหารทางเลือกที่เป็นทางสายกลาง โดยลดสารต่าง ๆ ลงให้เหลือในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่เว้นแม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความหวาน รสชาติ เนื้อสัมผัส หรือแม้กระทั่งขนาดรับประทาน 3.POSITIVELY PROCESSED : ผู้บริโภคมองหาหลักประกันที่ทำให้มั่นใจในกระบวนการผลิตอาหารมากขึ้น และผู้ผลิตบางรายก็มองเห็นโอกาสในการชี้แจงรายละเอียด เพราะการสื่อสารและชี้แจงที่ชัดเจนนั้นจะยิ่งทำให้รู้สึกว่าสินค้ามีคุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น 4.GOING FULL CIRCLE : Circular Economy หรือเศรษฐกิจที่เน้นการนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่แทนการผลิตใช้แล้วทิ้ง จะส่งผลอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหาร โดยการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดและคุ้มค่าจะกลายเป็นเรื่องจำเป็นต่อธุรกิจ และเกิดบริโภคซ้ำ (Circular Consumtion) จะทำให้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ในธรรมชาติและบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่เป็นที่น่าจับตามอง รวมถึงการตระหนักถึงปัญหาพลาสติกและของเสียจากอาหารที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้ภาครัฐร่วมมือในการจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง 5.BEYOND THE COFFEEHOUSE : ธุรกิจกาแฟและชา กลายเป็นสิ่งดึงดูดผู้บริโภคในกลุ่ม Millennial และ GEN-Z ทำให้รสและส่วนผสมของชาและกาแฟนั้นขยายออกไปแทบทุกประเภทของอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากนี้ รสชาติที่มากกว่าคำว่า “กาแฟ” อย่าง ลาเต้, เอสเพรสโซ่ และมัคคิอาโต้ ยังได้รับความนิยมจนได้รับพื้นที่บน Shelf มากขึ้น ส่วนชาก็กลายมาเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความพรีเมี่ยม ให้ผู้บริโภคได้ดื่มด่ำกับรสชาติแปลกใหม่ หรือรสชาติที่ถูกปรุงขึ้นจากการผสมผสาน 6.SAY IT WITH COLOR : การถ่ายภาพอาหารแล้วโพสต์ลงโซเซียลมีเดีย กลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริโภค ทำให้อาหารที่เต็มไปด้วยสีสันนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก และอาหารหรือเครื่องดื่มสวย ๆ ที่โพสต์ลงอินสตราแกรม หรือ “Instagramability” นั้นกำลังจะกลายมาเป็นกระแสหลักของวงการ ซึ่งความนิยมของตลาดในเรื่องสีสันนี้ ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังโอกาสทางธุรกิจของสีจากธรรมชาติที่มาพร้อมกับฉลาก Clean Label นอกจากนี้ อาหารที่ให้สีเครื่องเทศอย่างบีทรูทหรือขมิ้น ยังได้รับการจดจำในฐานะอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย 7.DINING OUT,IN : ผู้บริโภคกำลังมองหาอาหารที่มีรสชาติดี ให้ประสบการณ์และคุณภาพดี เหมือนกับที่ทานในร้านอาหาร แต่สามารถทานเองได้ที่บ้าน ทำให้เกิดนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ความแตกต่างของรูปแบบการรับประทานอาหารนั้นนอกจากจะส่งมอบรสชาติที่ดีแล้วยังต้องส่งมอบประสบการณ์ของมื้อพิเศษได้อีกด้วย โดยเส้นแบ่งที่จางลงระหว่างธุรกิจบริการอาหารและค้าปลีกนั้นจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น 8.FROM SNACKS TO MINI MEALS : เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของมื้ออาหาร ที่ขับเคลื่อนจากปัจจัยเรื่องความสะดวก สุขภาพดี และการทานขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารว่างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอุตสาหกรรมของขนมขบเคี้ยวได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ช่วยเพิ่มพลังงานและทดแทนมื้ออาหารหลักได้ โดยมีวัตถุดิบหลักที่เป็นส่วนประกอบของขนม อย่างมะเขือเทศขนาดเล็ก ซึ่งมีผลทำให้ตลาดมะเขือเทศเล็กเกิดการเติบโตขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดขนมขบเคี้ยวด้วยเช่นกัน 9.OCEAN GARDEN : คุณค่าทางอาหารที่อัดแน่นในผลิตภัณฑ์จากทะเล กำลังเพิ่มความหลากหลายทั้งในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยพื้นที่ของเนื้อสัตว์ในผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ จะถูกแทนที่ด้วยปลา เพราะผู้บริโภคลดการทานเนื้อแดงลง ผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายทะเลชนิดต่าง ๆ จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนอกจากผัก นอกจากนี้ความเค็มในผลิตภัณฑ์จากทะเลนั้น ยังสามารถแทนที่ความเค็มจากเกลือแล้วให้รสชาติและคุณภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย 10.BOUNTIFUL CHOICE : แบรนด์ต่าง ๆ ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความต้องการของผู้บริโภค นำไปสู่การสร้างสินค้าที่มีความสร้างสรรค์และมีนวัตกรรมที่ตรงกับความต้องการและรสนิยมของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54436
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ผู้บริโภคควรเปรียบเทียบราคา เลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ และใช้ประโยชน์จากโปรโมชั่นต่างๆ อย่างชาญฉลาด
null
แสงสี ช้อปเฟส แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านหน้าต่าง สะท้อนกับหน้าจอมือถือของณิชา หญิงสาววัย 20 กำลังไล่ดูโปรโมชั่นต่างๆ บนแอปพลิเคชั่น ShopBack ใจของเธอกระสับกระส่าย ตื่นเต้นกับเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ "ShopFest" ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ณิชามีแผนจะซื้อเสื้อผ้าใหม่สำหรับงานปาร์ตี้ปลายปี เธอตั้งงบไว้ไม่มากนัก แต่ ShopFest มอบข้อเสนอล่อใจมากมาย ทั้งส่วนลด เงินคืน และคูปองต่างๆ เธอเลื่อนหน้าจอไปมา เปรียบเทียบราคาสินค้าจากร้านค้าออนไลน์หลากหลายแห่ง ในที่สุด ณิชาก็ตัดสินใจเลือกซื้อเสื้อเดรสสีแดงสดจากร้านค้าชื่อดัง ร้านค้านี้เสนอส่วนลดพิเศษ 20% พร้อมรับเงินคืนอีก 10% ผ่าน ShopBack เธอคิดคำนวณคร่าวๆ ว่าจะประหยัดเงินได้เกือบครึ่งหนึ่งจากราคาเต็ม ณิชากดสั่งซื้อสินค้าทันที รู้สึกดีใจที่ได้สินค้าราคาคุ้มค่า แถมยังสะดวกโดยไม่ต้องออกไปไหน รอรับสินค้าอยู่บ้านได้เลย สองสามวันต่อมา พัสดุก็มาส่ง ณิชาแกะกล่องอย่างตื่นเต้น เสื้อเดรสสีแดงสวยงามตรงปก เธอรีบลองสวมใส่ รู้สึกมั่นใจและสวยขึ้นมาก ณิชายิ้มกว้าง รู้สึกขอบคุณ ShopFest ที่ทำให้เธอช้อปปิ้งได้อย่างสนุกสนานและคุ้มค่า ประสบการณ์ครั้งนี้สอนให้เธอรู้ว่า การช้อปปิ้งออนไลน์ก็มีข้อดีมากมาย เพียงแค่ต้องรู้จักเปรียบเทียบราคา เลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ และใช้ประโยชน์จากโปรโมชั่นต่างๆ อย่างชาญฉลาด
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54459
Retail
จงเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่อง"เดินทางสู่เส้นทางดิจิทัล ด้วยการผจญภัยในทรู ดิจิทัล พาร์ค"
null
ชื่อ: การผจญภัยในทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นวันหนึ่งที่แสงแดดอ่อนโยนส่องลงมาบนเมืองกรุงเทพฯ ที่ทุกคนรอคอยกันอย่างไม่เสมอซึ่งนำเสนอโอกาสใหม่ ๆ ในเส้นทางการนวัตกรรมและเทคโนโลยี นั่นก็คือทรู ดิจิทัล พาร์ค - ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่จะเห็นเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและความสร้างสรรค์ที่ไม่เหมือนใคร โรงงานที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่สูงมีรูปร่างที่สวยงามเหมือนรูปสัตว์เลื้อยคลื่นขึ้นไปสู่ฟ้า ห้างสรรพสินค้าในโรงงานนี้มีการจัดแสดงสินค้าด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ เครื่องมืออัจฉริยะที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทดลองผลิตภัณฑ์ที่ตนเองอยากได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ปรับรูปร่างตามทรงตัวของผู้ใส่หรือโทรศัพท์มือถือที่ออกแบบได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ทุกสิ่งที่คุณจะคิดได้ ที่นี่สามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด แต่ที่นี่ไม่ได้มีแต่เพียงการซื้อขายและการผลิต ทรู ดิจิทัล พาร์คยังเป็นที่ตั้งของการศึกษาและสร้างสรรค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด นักวิจัยและนักพัฒนาที่มีฝันที่จะเปลี่ยนโลกมากมายกว่านี้มากมาย พวกเขามารวมตัวกันที่นี่เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่จะทำให้ชีวิตของเราดียิ่งขึ้น จากหุ่นยนต์ช่วยงานที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ถึงการใช้เทคโนโลยีที่ลดการใช้พลังงานและประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ ทุกความคิดที่มีความสำคัญและสร้างสรรค์มากมายอยู่ที่นี่ นี่คือทรู ดิจิทัล พาร์ค - สถานที่ที่ให้โอกาสแก่คนที่มีฝันและความก้าวหน้า มันไม่เพียงแค่เป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มันเป็นแหล่งแรงบันดาลใจที่สำคัญ สำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54463
Retail
ช่วยสรุปบทความเรื่อง "พี่จีนจ๋า “มิสทิน...มาแล้วค่ะ” ปักธงตลาดจีนจุดยุทธศาสตร์ใหม่ ที่มีโอกาสมากกว่าแค่ธุรกิจเครื่องสำอาง" ให้หน่อยคะ
หลังจากสร้างชื่อ สร้างแบรนด์ในประเทศไทยมากว่า 30 ปี จนสามารถขยายสเกลการเติบโตของธุรกิจจากแบรนด์สินค้าขายตรง ที่เคยขายผ่านเฉพาะช่องทางตัวแทนในนาม “สาวมิสทิน” พร้อมสโลแกนคุ้นหู “มิสทิน…มาแล้วค่ะ” มาสู่การเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่แข็งแรงในตลาดรีเทล ด้วยการขยายสินค้าเพื่อวางขายในช่องทางที่หลากหลายยิ่งขึ้น รวมถึงร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ที่มีสาขากระจายทั่วทั้งประเทศไม่ต่ำกว่าหมื่นสาขาอย่างเซเว่นอีเลฟเว่น และร้านบิวตี้ช็อปชื่อดังต่างๆ ทำให้ยอดขายผ่านกลุ่มรีเทลมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจนเป็นอีกหนึ่งช่องทางหลักที่สำคัญของมิสทิน เช่นเดียวกับยอดขายโดยรวมที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยตัวเลขล่าสุดในปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายทั่วทั้งประเทศได้สูงถึง 13,600 ล้านบาท อีคอมเมิร์ซจีน ตลาดใหม่มาแรง แต่อีกหนึ่งตลาดที่น่าจับตา และเชื่อว่าจะเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตให้มิสทีนได้อย่างมีนัยะสำคัญ จนเรียกได้ว่าเป็นการสร้าง New S-Curve ให้กับแบรนด์มิสทิน คือยอดขายที่มาจากประเทศจีน เพราะหลังจากเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจังได้เพียง 2 ปี ก็สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 4,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นมหาศาลจากยอดขายในปีแรกที่ทำได้กว่าร้อยล้านบาท โดย 90% ของยอดขายมาจากการขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งคาดว่าจะยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ทั้งจากประชากรจำนวนมากของจีน และการขยายตัวของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซซึ่งเป็นช่องทางหลักในการช้อปปิ้งของคนจีน รวมทั้งความนิยมสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศไทย ประกอบกับโอกาสจากการที่อยู่ในธุรกิจเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังเติบโตได้อีกมาก เนื่องจาก พฤติกรรมของสาวจีนที่เพิ่งหันมานิยมแต่งหน้ามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จากที่ก่อนหน้านี้ผู้หญิงจีนส่วนใหญ่จะไม่นิยมแต่งหน้ากันมากนัก ทำให้ตลาดยังมีโอกาสที่จะพัฒนาและขยายตัวเพิ่มมากกว่าในปัจจุบันได้อีกสูงมาก คุณดนัย ดีโรจนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดสินค้าแบรนด์มิสทิน ฟรายเดย์ และฟารีส บายนารีส เล่าย้อนถึงเส้นทางก่อนเข้ามาทำตลาดในประเทศจีนของมิสทินช่วง 4-5 ปีก่อนหน้านี้ ที่สังเกตุได้ว่ามักจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนแวะเวียนมาที่บริษัท เพื่อถ่ายภาพคู่กับป้ายชื่อบริษัท หรือแบรนด์มิสทินอยู่บ่อยครั้ง จากเดือนละ 1-2 คน จนเพิ่มเป็นสิบกว่าคน ทั้งๆ ที่บริษัทก็ไม่ใช่สถานที่เปิดเหมือนห้างสรรพสินค้าที่จะให้คนทั่วไปแวะเวียนมาถ่ายรูป นำมาสู่ความพยายามในการหาคำตอบต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่ามีสาเหตุมาจากสิ่งใด “เรามานั่งคุยกับทีมงานและฝ่ายการตลาดจนทราบสาเหตุว่า แบรนด์มิสทินเป็นหนึ่งในสินค้าที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมซื้อกลับไปฝากเพื่อน ครอบครัว หรือคนรู้จัก เช่นเดียวกับสินค้าหลายๆ แบรนด์ของไทย ที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมซื้อเป็นของฝาก รวมทั้งเมื่อเข้าไปดูในเว็บเถาเป่า (Taobao) หนึ่งในมาร์เก็ตเพลสยอดนิยมของคนจีน ก็พบว่ามีคนนำสินค้ามิสทินหลายๆ รายการไปเปิดขายอยู่บนนั้นมากกว่า 4 พันร้านค้า ถือเป็นสัญญาณสะท้อนถึงความนิยมต่อแบรนด์มิสทินของคนจีน ประกอบกับปัญหาจากการที่ชาวจีนหลายกลุ่มนำสินค้าเข้าไปขายเอง ทำให้บางครั้งผู้ซื้อก็ได้สินค้ามีคุณภาพ แต่บางคนก็นำของคุณภาพไม่ดีไปขาย หรืออาจเกิดความเสียหายจากการขนส่งหรือการเดินทางไกล ทำให้สภาพสินค้าบางชิ้นเสียหายหรือมีสภาพไม่สมบูรณ์ก่อนไปถึงลูกค้า ทำให้ทีมงานและผู้บริหารมีความเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาที่มิสทีนควรจะขยายการทำตลาดไปในประเทศจีนได้แล้ว” จากการเป็นหนึ่งในสินค้า Wish List ที่คนจีนนิยม ประกอบกับแนวโน้มการเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้มิสทีนมองเห็นโอกาสที่เกิดขึ้น แต่ยังคงต้องมองหาโมเดลที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าไปทำตลาดในจีน เนื่องจากแบรนด์มิสทิน จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่เป็นเครื่องสำอาง ก่อนจะเข้าไปทำตลาดในจีนได้ก็จะต้องได้รับใบอนุญาต CFDA (China Food and Drug Administration) จึงจะสามารถทำตลาดได้ครบทุกช่องทาง ซึ่งตามข้อกำหนดในการขอใบอนุญาต ต้องใช้ระยะเวลาตามกระบวนการอย่างน้อย 6 เดือน ไปจนถึง 3 ปี “หากจะรอให้กระบวนการต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วค่อยเริ่มทำตลาด โอกาสทางธุรกิจที่อยู่ตรงหน้าอาจจะละลายหายไป เราตัดสินใจนำร่องด้วยการเข้ามาขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคจีนได้จำนวนมากและเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ตามพฤติกรรมคนจีนที่ชอบซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อขายผ่านมือถือที่มีสัดส่วนสูงถึง 90% จึงตัดสินใจเลือกบุกตลาดจีนด้วยการนำร่องผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และแน่นอนว่าแพลตฟอร์มจากอาลีบาบาเป็นช้อยส์แรกที่เรานึกถึง ด้วยการเปิด Flagship Store บน TMALL หนึ่งในมาร์เก็ตเพลสของอาลีบาบา ที่สนับสนุนการทำ Cross Border Ecommerce เพื่อโปรโมทสินค้าจากต่างประเทศ โดยขั้นตอนไม่ยุ่งยาก สามารถลงทะเบียนบนแพลตฟอร์มและเปิดเป็นช็อปขายสินค้าผ่าน TMALL ได้เลย นำมาสู่การเริ่มต้นขยายตลาดไปสู่ประเทศจีนของมิสทีนได้อย่างเป็นรูปธรรม” มากกว่าแค่ขายของ แต่ต้องสร้างแบรนด์ในระยะยาว ก้าวแรกของมิสทินในการเข้าตลาดจีนอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ในปี 2016 ด้วยการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ในจีน เพื่อจัดตั้งบริษัท Better Way China Co,Ltd. เพื่อดูแลการทำตลาดแบรนด์มิสทิน โดยมีออฟฟิศประจำอยู่ใน 3 เมือง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ หังโจว และเสิ่นเจิ้น โดยจำนวนพนักงานเกือบ 1 ใน 3 จากราว 200 คน จะประจำอยู่ที่หังโจว ซึ่งถือว่าเป็นเมืองหลวงทางด้านไอทีของประเทศจีน เพื่อดูแลงานทางด้านการตลาดออนไลน์และอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ “มิสทินเริ่มกระจายสินค้าไปในแพลตฟอร์มชั้นนำอื่นๆ ของจีนอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะ TMALL ในเครืออาลีบาบา ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการทำตลาดสินค้าแบรนด์ต่างประเทศ และเป็นแพลตฟอร์มหลักที่สร้างยอดขาย ให้กับมิสทินได้มากกว่า 50% ขณะที่มิสทินเองก็ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความอย่างสูงบนแพลตฟอร์มของ TMALL เช่นกัน โดยสามารถทำยอดขายติดอันดับแบรนด์เครื่องสำอางที่มียอดขายสูงสุดอันดับ 7 บน TMALL เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา และยังครองตำแหน่งแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่ทำยอดขายสูงสุดของแพลตฟอร์ม TMALL อีกด้วย” โดยคุณดนัย กล่าวถึงวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ ในการบุกตลาดจีนของแบรนด์มิสทิน ประกอบด้วย 1. ต้องการแนะนำตัวและทำความรู้จักกับลูกค้าคนจีน 2. ต้องการสร้างแบรนด์ในประเทศจีน เพื่อความสามารถในการทำตลาดระยะยาว และต้องการให้ผู้บริโภคคนจีนที่มีกว่าพันล้านคน รู้จักแบรนด์มิสทีนเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบัน Brand Awareness แบรนด์มิสทีนอยู่ในระดับ 30% ซึ่งส่วนใหญ่ยังโฟกัสในกลุ่มตลาดคนเมือง และคนรุ่นใหม่ 3. การเข้ามาจัดระเบียบ และสร้างมาตรฐานในการทำตลาดแบรนด์มิสทีนในประเทศจีน เพราะแม้จะมีร้านค้านำสินค้ามิสทินมาขายถึงกว่า 4 พันร้านค้า ในเถาเป่า แต่หลายคนไม่รู้จักแบรนด์มิสทินจริงๆ ว่ามีบุคลิกเป็นอย่างไร วางภาพลักษณ์และตำแหน่งทางการตลาดไว้อย่างไร หรือผู้หญิงของมิสทินมีหน้าตาอย่างไร ดังนั้น การที่มิสทินเข้ามาทำตลาดจะช่วยให้ผู้ที่ทำตลาดและขายแบรนด์สินค้าของมิสทินรู้จักแบรด์ได้ดีขึ้น และสามารถช่วยในการสื่อสารแบรนด์ออกไปได้อย่างถูกต้อง นอกจาก TMALL จะเป็นช่องทางขายสำคัญแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการสื่อสารแบรนด์ได้ระดับหนึ่ง เพราะจะมีพื้นที่ให้ข้อมูลต่างๆ ของแบรนด์ควบคู่ไปด้วย โดยกลุ่มสินค้าที่มิสทินเลือกมาทำตลาดในช่วงแรกนี้จะเป็นกลุ่ม Color Cosmetic หรือในกลุ่มเมคอัพ ที่มีสินค้าหลักๆ อาทิ แป้ง มาสคาร่า รองพื้น ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้ว อายไลน์เนอร์ ซึ่งเป็นการนำเข้าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยมาขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ ในประเทศจีน ภายใต้การจัดจำหน่ายและดูแลการทำตลาดของบริษัทร่วมทุนในจีน “แนวโน้มการตอบรับที่ดีของคนจีนภายในเวลาเพียง 2 ปี ทำให้มิสทินเห็นว่า ถึงเวลาในการเริ่มต้นสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง จึงมีแผนจะใช้งบการตลาดในปีนี้กว่า 500 ล้านบาท เพื่อขยายการรับรู้แบรนด์ไปสู่วงกว้างมากขึ้น พร้อมแต่งตั้ง Brand Ambassador คนแรกในประเทศจีน คือ ไมค์ พิรัช นิธิไพศาลกุล ดาราชาวไทยที่ได้รับความนิยมจากคนจีน และมีฐานแฟนคลับจำนวนมาก มีผู้ติดตามในเว่ยป๋อ (Weibo) เป็นหลักสิบล้านคน เพื่อเป็นตัวแทนแบรนด์มิสทินในการสื่อสารและทำกิจกรรมกับลูกค้าชาวจีนยังทำให้แบรนด์รู้จักและเข้าใจผู้บริโภค รวมทั้งคู่แข่งและการแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น เนื่องจาก สิ่งที่ได้จากแพลตฟอร์มยังมีเรื่องของข้อมูลการขายต่างๆ ทำให้สามารถทราบถึงความเคลื่อนไหวของยอดขายทั้งของตัวเองและคู่แข่ง นำมาสู่การปรับกลยทุธ์ในการทำตลาดหรือโปรโมชั่นที่โดนใจผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมทั้งเป็นหนึ่งในข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพื่อปูพรมช่องทางขายให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้แบรนด์สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง “อีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางสำคัญของการทำตลาดในจีน และทำยอดขายหลักถึง 90% ให้กับมิสทีน ขณะที่ยอดขายในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 พันล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งจะมีแคมเปญใหญ่ต่างๆ อยู่ในครึ่งปีหลังทั้งสิ้น อาทิ 8/8, 11/11, 12/12 รวมทั้งการสร้างแบรนด์และขยายช่องทางที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้แบรนด์มีการเติบโตได้มากขึ้น โดยคาดว่ารายได้จากประเทศจีนในสิ้นปีนี้จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท” เมื่อเทียบกับการทำตลาดระหว่างในไทยกับจีน การใช้อีคอมเมิร์ซเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างยอดขายได้ดี ไม่ต่างจากการใช้ตัวแทนจำหน่ายอย่างสาวมิสทินในไทย ทำให้รูปแบบธุรกิจแบรนด์มิสทินในจีนจะเป็นการขายในรูปแบบรีเทลที่มีเพียงการทำตลาดผ่านออนไลน์ และกำลังจะเริ่มต้นออฟไลน์อย่างจริงจังในปีนี้ ขณะที่ในประเทศไทยเนื่องจากมีพื้นฐานมาจากการเป็นธุรกิจขายตรงทำให้ยอดขายหลักๆ มาจากช่องทางตัวแทนจำหน่ายราว 60% ตามมาด้วยช่องทางรีเทลผ่านร้านสะดวกซื้อและร้านค้าปลีกต่างๆ 35% ขณะที่ช่องทางออนไลน์อยู่ที่เพียง 5% เท่านั้น โดยจำนวนสาวมิสทินในระบบขณะนี้อยู่ที่ราวๆ 9 แสน – 1 ล้านคน ปักจุดยุทธศาสตร์ใหม่ มากกว่าแค่เครื่องสำอาง การเติบโตจนทำยอดขาย 4,000 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 2 ปี โดยที่ยังไม่ได่ผลักดันการตลาดใดๆ มากนัก ประกอบกับกำลังซื้อจากจำนวนคนในประเทศที่มีหลักพันล้าน รวมทั้งแบรนด์ดิ้งที่จับตลาด Middle Upper ซึ่งมีกำลังซื้อสูงกว่าการทำตลาดแมสในประเทศไทย รวมไปถึงความที่ตลาดยังใหม่ มีโอกาส Growth ได้ 2-3 เท่าตัว ขณะที่ประเทศไทยแม้ยอดขายจะสูงกว่า 3 เท่า แต่ก็เพราะทำตลาดมายาวนานถึง 30 กว่าปี รวมทั้งภาพรวมตลาดที่เริ่มนิ่ง อัตราการเติบโตในแต่ละปี อยู่ที่ราว 3-5% ขณะที่เรายังมีสินค้าทั้งในกลุ่ม Personal Care, Skin Care, Fragrant และในช่วงปลายปีนี้เราจะทำสินค้า Limited Edition ในกลุ่ม Only@China เพื่อวางขายสำหรับประเทศจีนโดยเฉพาะ จากการต่อยอดการศึกษาและทำความเข้าใจผู้บริโภคคนจีน ทั้งความชื่นชอบในการเลือกกลิ่น วัตถุดิบ แพกเกจ หรือความเหมาะสมกับสภาพผิวของคนจีน โดยยังคงใช้การผลิตและวัตถุดิบต่างๆ ในเมืองไทย เนื่องจากเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคคนจีนชื่นชอบ ซึ่งเชื่อว่าจะรักษาการเติบโตของยอดขายที่จีนในปีนี้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” หลังจากมิสทินเข้าไปทำความรู้จักและคุ้นเคยกับผู้บริโภคชาวจีนผ่านการทำตลาดเครื่องสำอางแล้ว ยังทำให้ได้รู้อินไซต์ที่มีต่อสินค้าไทยของคนจีน ที่มองว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพงมาก ประกอบกับความชื่นชอบในลักษณะนิสัยของคนไทย รวมทั้งชอบสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในเมืองไทย ทำให้มิสทินมองเห็นโอกาสในต่อยอดธุรกิจในประเทศจีนเพิ่มเติม ในฐานะตัวแทนของการนำเข้าสินค้าไทยเพื่อไปทำตลาดในประเทศจีน ผ่านเครือข่ายธุรกิจและช่องทางตลาดต่างๆ ที่มีอยู่ โดยขณะนี้แผนต่างๆ อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางและโมเดลธุรกิจที่เหมาะสม โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนและเริ่มดำเนินการได้ประมาณปีหน้า ซึ่งจะกลายเป็นอีกหนึ่งโอกาสใหม่ของมิสทินที่จะเกิดขึ้นในตลาดประเทศจีน และทำให้ Better Way China ขยายไปสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมจากแค่ในกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง สำหรับโอกาสในตลาดจีนทั้งของมิสทีนและแบรนด์ไทยต่างๆ ล้วนมีแต้มต่อมาจากความรู้สึกที่ดีของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าไทยและคนไทย สะท้อนผ่านทั้งการเติบโตทั้งของธุรกิจท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทยต่อเนื่องเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพทั้งของสินค้า และภาพลักษณ์ของประเทศ เพื่อรักษาตลาดไว้ในระยะยาว ประกอบกับให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะการทำงานบนข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อความสามารถในการค้นพบและตอบโจทย์ความต้องการทั้งของลูกค้าและมองเห็นโอกาสต่างๆ ในตลาด
แบรนด์มิสทีนที่ได้มีการก้าวเข้าสู่ตลาดจีนอย่างเป็นทางการเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีขั้นตอนการทำตลาดผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่สำคัญ เป็นการตอบรับต่อความเติบโตของตลาดจีนและการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภคจีนที่มีแนวโน้มการซื้อออนไลน์มากขึ้น การเข้าสู่ตลาดจีนนี้ถือเป็นการสร้าง New S-Curve สำหรับมิสทีน โดยมีการเน้นทำตลาดผ่านแพลตฟอร์ม TMALL ภายใต้เครืออาลีบาบาที่เป็นมาร์เก็ตเพลสยอดนิยมของคนจีน และเป็นแพลตฟอร์มหลักที่สนับสนุนการทำตลาดสินค้าแบรนด์ต่างประเทศในจีน วัตถุประสงค์หลักของการเข้าสู่ตลาดจีนมี 3 ข้อ 1) แนะนำตัวและทำความรู้จักกับลูกค้าจีน 2) สร้างแบรนด์ในประเทศจีนเพื่อความสามารถในการทำตลาดระยะยาว 3) จัดระเบียบและสร้างมาตรฐานการทำตลาดในประเทศจีน การทำตลาดของมิสทีนในจีนได้ทำในรูปแบบ Cross Border Ecommerce ผ่านแพลตฟอร์ม TMALL ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการทำตลาดสินค้าแบรนด์ต่างประเทศ และได้รับความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มิสทีนเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์ม TMALL และมี Brand Awareness ที่ระดับ 30% ในตลาดจีน นอกจากนี้, ความเจริญรุ่งเรืองของตลาดจีนยังมีโอกาสให้มิสทีนขยายตัวได้อีกมาก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจีน และการทำตลาดผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีความเติบโตทุกปี แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น การควบคุมคุณภาพสินค้าที่นำเข้าจีน, การสร้างความรู้จักและภาพลักษณ์ของแบรนด์ในตลาดจีน, และการปรับตัวต่อกับพฤติกรรมของผู้บริโภคจีน ในส่วนสุดท้าย, บทความยกขึ้นตัวอย่างผลงานการทำตลาดของมิสทีนในจีน โดยการเปิด Flagship Store บน TMALL ที่เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของอาลีบาบา ซึ่งเป็นตัวช่วยสนับสนุนการทำ Cross Border Ecommerce และช่วยโปรโมทสินค้าจากต่างประเทศ ความเข้าใจเกี่ยวกับทัศนคติและกลยุทธ์ของมิสทีนในการต่อสู้ในตลาดจีนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับความประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจในประเทศนี้.
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54520
Retail
ขอไอเดียการทำตลาดของร้านกาแฟอินทนิลที่ได้ขึ้นแท่นว่าเป็นผู้นำกาแฟออร์แกนิคหน่อยได้ไหม
null
ร้านกาแฟ “อินทนิล”(Inthanin) ต้องยอมรับว่าเป็นอีกแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นในตลาด และยิ่งถ้ากล่าวถึงวัตถุดิบกาแฟ “ออร์แกนิค” ยิ่งต้องหันมามองที่แบรนด์นี้ เพราะเป็นการชูจุดแข็งสร้างความแตกต่างในตลาดให้ฉีกออกไปได้ ปัจจุบันอินทนิล มีร้านกาแฟให้บริการลูกค้ากว่า 400 สาขาทั่วประเทศ และร้านกาแฟพรีเมียมแบรนด์ “อินทนิล การ์เด้น” มากกว่า 40 สาขา แผนรุกธุรกิจในปี 2561 ได้เห็นการขยับตัวก้าวสำคัญอีกครั้ง เมื่อบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ได้ลงนามสัญญามอบสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ (Master Franchise) ร้านกาแฟอินทนิลในประเทศกัมพูชาและประเทศลาวให้บริษัท อาร์ซีจี รีเทล (กัมพูชา) จำกัด เพื่อเปิดร้านกาแฟภายใต้คอนเซ็ปต์ “More than just a high quality coffee” มีร้านรูปแบบต่างๆตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่นนั้นๆ(Local) รวมถึงการเปิดร้านแฟล็กชิพสโตร์ (Flagship Store) สำหรับเหตุผลของการขยายธุรกิจร้านกาแฟอินทนิลเข้าไปยังตลาดกัมพูชา และลาว เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศตลาดที่มีศักยภาพ การ “ขยายตัวสูงมาก” จากพฤติกรรมผู้บริโภคชาวกัมพูชาและลาว “นิยม” ดื่มกาแฟมากขึ้น ยิ่งไปดูอัตราการเติบโตของตลาดไม่ธรรมดา แต่เป็นการ “โตติดสปีด” ด้วยประเทศกัมพูชา และลาว เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของนักเดินทางอยู่ไม่น้อย เพราะมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลก ธรรมชาติที่น่าสนใจ การเข้าไปเปิดจะเปิดร้านแรกที่ “เมืองเสียมราฐ” เพราะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว จากนั้นจะยกโมเดลใหญ่สาขาเรือธง(Flagship Store)ไปเอาใจตลาดและผู้บริโภคที่ “กลางกรุงพนมเปญ” เพื่อเปิดให้บริการไตรมาส 1 นี้ ส่วนประเทศลาวจะเปิดในไตรมาส 3 หลังจบสเต็ปแรกคือการเปิดร้านใหญ่ นับเป็นการปูทางสู่เป้าหมายใหญ่ขยาย 100 สาขาใน 2 ประเทศ ไม่เพียงคอนเซ็ปต์ร้านใหญ่ Flagship store เพราะจุดขายของร้านกาแฟอินทนิลในต่างประเทศ จะมีการนำเสนอสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ เพิ่มความวาไรตี้ของสินค้าให้มากกว่าร้านทั่วไป เหมือนกับร้านอินทนิล บิสโทร ที่สาขาท่าอากาศยานดอนเมือง เพราะนอกจากจะมีเมนูพระเอกนางเอกอย่าง กาแฟและเบเกอรี่แล้ว ในร้านยังมีอาหารอื่นๆ ไว้บริการลูกค้า เช่น สลัด สปาเกตตี้ ไอศกรีม รวมทั้งไฮไลท์ “อินทนิล การ์เด้น” กาแฟออแกนิค อราบิก้า 100% ที่พร้อมเสิร์ฟลูกค้า นับเป็นการมุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่รักกาแฟออร์แกนิคอย่างแท้จริง และแบรนด์อินทนิลถือเป็นผู้นำที่สำคัญของตลาดกาแฟในหมวดออร์แกนิคด้วย “รูปแบบที่จะขยายไปในกัมพูชาและประเทศลางจะอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกัน คือ More than just a high quality coffee ส่วนรูปแบบร้านกาแฟอินทนิลที่จะขยายในต่างประเทศอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆเป็นหลัก” วิบูลย์ วงสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด สำหรับการขยายธุรกิจร้านกาแฟอินทนิลยังไม่หยุดแค่ 2 ตลาดใหม่ เพราะ “โอกาส” ยังมีอยู่ทั่วโลก ยิ่งการที่บริษัทเป็นพันธมิตรกับธุรกิจค้าปลีกระดับโลกจาก “สพาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” (SPAR International) ที่มีสาขาร้านสะดวกซื้อเครือข่ายกว่า 50 ประเทศทั่วโลก จึงมีเป็นสปริงบอร์ดที่จะช่วยให้เกิดการซีนเนอร์ยีขยายธุรกิจร้านกาแฟอินทนิลไปยังประเทศต่างๆในอนาคต
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54536
Retail
คุณญนน์ โภคทรัพย์ ชี้แจงการลงทุนกับ JD.com ว่าจะแบ่งการลงทุนเป็นอย่างไร ?
หลังประกาศความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย กับ JD.com ธุรกิจ E-Commerce Top 3 ของโลก และผู้นำธุรกิจรีเทลที่มีรายได้มากที่สุดในจีน ภายใต้มูลค่าการลงทุน 1.75 หมื่นล้านบาท โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศในเอเชียที่ JD.com เลือกมาลงทุนเป็นแห่งที่ 2 จากที่ก่อนหน้านี้มีการลงทุนอยู่แล้วในประเทศอินโดนีเซีย วันนี้ทั้งกลุ่มเซ็นทรัล และ JD.com ออกมาให้รายละเอียดและทิศทางการลงทุนจากนี้ที่ชัดเจนมากขึ้นแล้ว พร้อมด้วยเป้าหมายสำคัญในการขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจ E-Commerce ของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้ โดยสิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นหลังจากดีลนี้คือ การมีแพลตฟอร์มใหม่ JD.co.th ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท เซ็นทรัลเจดี คอมเมิร์ซ ประเทศไทย หรือ JD Central ซึ่งเป็นการร่วมทุนในสัดส่วนที่เท่ากันทั้งของกลุ่มเซ็นทรัลและ JD.com คือ 50:50 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุญาตเพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณเดือนเมษายน ปี 2561 ก่อนที่ความร่วมมือในมิติอื่นๆ จะตามมา คุณทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า ประเทศจีนได้รับการยอมรับว่ามีการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีในปัจจุบันเทียบเท่ากับอเมริกา และมีโอกาสที่จะพัฒนาแซงหน้าอเมริกาได้ในอนาคต ความร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำอีคอมเมิร์ซและรีเทลจากจีนในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงก้าวสำคัญของกลุ่มเซ็นทรัลเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การพัฒนา Digital Economy Ecosystem ให้แข็งแรงและมีความสมบูรณ์ยิ่งขี้น “JD เป็นพันธมิตรสำคัญเพื่อก้าวสู่ New Economy ของธุรกิจค้าปลีก ที่กำลังจะก้าวข้ามจาก Modern Trade ไปสู่ Cyber Trade ภายใต้ความร่วมมือหลักๆ 3 ด้าน ที่ JD เป็นผู้นำของโลก คือ 1. ผลักดัน JD.co.th ให้เป็นผู้นำในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย รวมทั้งระดับภูมิภาคในอนาคต 2. บริการ E-Finance หรือให้บริการด้าน FinTech และระบบชำระเงินต่างๆ 3. E-Logistic ซึ่ง JD ถือเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งในจีน โดยเฉพาะการพัฒนาโดรนมาใช้ในการส่งของ เพื่อช่วยให้เกษตรกรในจีนสามารถส่งสินค้าไปขายด้วยต้นทุนที่ลดลงถึง 75% ซึ่งองค์ความรู้นี้ยังสามารถนำมาใช้ต่อยอดในการ Transform ระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้นภายใต้ต้นทุนที่ลดลง” นอกจาก 3 ความแข็งแกร่งของ JD ใน 3 เรื่องนี้แล้ว ผู้ถือหุ้นหลักของ JD ยังน่าสนใจและเพิ่มโอกาสของกลุ่มเซ็นทรัลให้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น เพราะ JD มี 2 ผู้ถือหุ้นหลักคือ กลุ่มเท็นเซ็นต์ของจีน และวอลมาร์ทของสหรัฐอเมริกา การจับมือครั้งนี้จึงเป็นการเพิ่ม Connection ให้ขยายออกไป รวมทั้งเป้าหมายที่จะช่วยกระตุ้นการค้าขายระหว่างไทย –จีน ให้เติบโตมากขึ้น จากที่ผ่านมา JD มีการซื้อสินค้าตรงจากซัพพลายเออร์คนไทยมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ไม่รวม Third Party ที่ซื้อสินค้ามาวางขายบนแพลตฟอร์ม JD.com ซึ่งทาง JD ได้เผยแผนการสั่งซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาท ภายในอีก 2 ปีข้างหน้าด้วย มั่นใจรุ่งแน่ เพราะไม่ได้เริ่มจากศูนย์ คุณญนน์ โภคทรัพย์ President of Central Group ได้ชี้แจงการลงทุนจากเม็ดเงิน 1.75 หมื่นล้านบาท ในครั้งนี้ จะแบ่งเป็นการลงทุนในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และระบบโลจิสติกส์ 50% ส่วนที่เหลือจะใช้เพื่อการลงทุนในกลุ่มธุรกิจด้าน E –Finance และ FinTech ที่จะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับระบบในการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดว่า การพัฒนาในส่วนนี้จะเริ่มดำเนินงานได้หลังจากเว็บไซต์ JD.co.th ได้เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าเว็บไซต์จะเปิดได้ประมาณเดือนเมษายน 2561 และกลุ่มธุรกิจด้านการเงินจะเปิดได้หลังจากนั้นประมาณ 3-4 เดือน สำหรับการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะเริ่มจากการพัฒนาแพลตฟอร์มและทดสอบระบบ รวมทั้งการลงทุนในเรื่องของคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ ขณะที่ในธุรกิจการเงินจะเน้นการพัฒนาระบบ Payment Gateway หรือการพัฒนาเรื่อง FinTech ต่างๆ โดยเชื่อว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีโอกาสโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม B2C ที่ยังมีขนาดเล็กมาก รวมทั้งจำนวน SME ไทยที่ปัจจุบันเข้าถึง E-Commerce เพียง 2-3 หมื่นรายเท่านั้น จากจำนวน SME ที่มีอยู่เกือบ 3 ล้านราย “เรามีความมั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม และต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย รวมทั้งเชื่อว่าจะส่งผลบวกในเรื่องของรายได้และผลประกอบการของบริษัทอีกด้วย เนื่องจากดีลนี้ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เพราะเซ็นทรัลเองเป็นผู้นำธุรกิจรีเทลในไทย มีศูนย์กระจายสินค้าและฐานลูกค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่ JD ก็เป็นบริษัทรีเทลอันดับหนึ่งในจีน การที่เบอร์หนึ่งจากทั้งสองประเทศร่วมมือกันในครั้งนี้ 1+1 จึงไม่ได้ผลลัพธ์แค่ 2 แน่นอน แต่คือ 1+1 =11 ซึ่งจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยคาดว่ารายได้จากช่องทางออนไลน์ในอีก 5 ปีข้างหน้าของกลุ่มเซ็นทรัลจะเพิ่มเป็น 15% จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 1% จากรายได้รวมทั้งเครือกว่า 3.2 แสนลา้นบาท” ความร่วมมือของ 2 ผู้นำ จาก 2 ประเทศ ยังช่วยทำให้ Digital Economy Ecosystem ของกลุ่มเซ็นทรัลแข็งแรงและสมบูรณ์มากขึ้นในทุกๆ ด้าน ตามยุทธศาสตร์ Digital Centrality โดยเฉพาะใน 5 ด้านหลักๆ ดังนี้ E-Commerce : รวบรวมร้านค้าหลากหลาย ทั้งแฟลกชิพสโตร์ของกลุ่มเซ็นทรัล และสินค้าคุณภาพทั้งของไทยและต่างประเทศ รวมทั้งสินค้า SME E-Logistic : พลิกโฉมการขนส่งแบบเดิมๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้ส่งได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น เช่น การใช้โดรน Auto car พร้อมระบบในการจัดการ Supply Chain และ Automation Warehouse E-Finance : พัฒนาบริการ FinTech เพื่อความสะดวกของลูกค้าและซัพพลายเออร์ มุ่งสร้าง E-Wallet และบริการทางการเงินออนไลน์ต่างๆ ที่ใช้งานได้ง่าย เตรียมพร้อมสู่ Cashless Society ในอนาคต E-Data & Technology / E-Marketing : พัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำตลาดและส่งเสริมการขาย จากการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data เช่น AI, คลาวด์ และแชตบอท เพื่อต่อยอดในการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์และบริการฟินเทคให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น E-Experience : ทุกมิติของการพัฒนาทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้า ข้อเสนอทางการตลาด คุณภาพในการจัดส่ง เว็บไซต์ที่มีสินค้าครบถ้วน ใช้งานง่ายเหมาะกับลูกค้าทุกเพศทุกวัย (User- Friendly) ล้วนนำมาซึ่งประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า และทำให้ลูกค้าเลือกที่จะมาใช้บริการใน JD.co.th อย่างสม่ำเสมอ นำ Best Practice จากจีนมาเป็นต้นแบบ คุณริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JD.com กล่าวถึงการเลือกเป็นพันธมิตรกับทางกลุ่มเซ็นทรัลว่า เนื่องจากต้องการเรียนรู้ประสบการณ์ในฐานะธุรกิจค้าปลีกที่มีประสบการณ์ยาวนานมากว่า 70 ปีของเซ็นทรัล รวมทั้งมีหลักปรัชญาในการทำธุรกิจตรงกัน ทั้งการให้ความสำคัญสูงสุดกับความพึงพอใจของลูกค้า การให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการที่อยู่บนแพลตฟอร์มของตัวเอง รวมถึงการให้ความสำคัญกับการทำประโยชน์เพื่อสังคมในฐานะธุรกิจขนาดใหญ่โดยเฉพาะการช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี และประชาชนทั่วประเทศ “การที่ JD ขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทย เพื่อสร้างประโยชน์ในการร่วมพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์กับพันธมิตร ซึ่งปัจจุบันลูกค้าในจีน 57% ที่สั่งซื้อสินค้าจาก JD ได้รับสินค้าภายใน 5-7 ชั่วโมง ตามพื้นที่หัวเมือง และสามารถส่งสินค้าไปยังหัวเมืองรองและตามชนบทได้ภายใน 1 วันเท่านั้น โดยเชื่อว่าในความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการนำสินค้าที่มีคุณภาพทั้งจากไทยและจีนส่งมอบให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ และยังมีส่วนในการผลักดันการค้าระหว่างสองประเทศให้เติบโตได้มากขึ้นด้วย” ด้านคุณวินเซ็นต์ หยาง ผู้บริหารจาก JD.com และในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลเจดี คอมเมิร์ซ ประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาต่างๆ ของ JD.com จะเป็นต้นแบบในการนำมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย ไม่ว่าจะเป็น Real-Time Delivery ซึ่งล่าสุด JD สามารถทำการส่งไอโฟน 8 ให้กับลูกค้าได้ภายใน 4 นาที 31 วินาที การใช้โดรนและโรบอทในการส่งสินค้า ที่จะช่วยลดต้นทุนจากการส่งแบบวิธีดั้งเดิมลงอีก 70% การพัฒนาระบบ Automated Warehouse & Store, Smart Home Technology, การรองรับระบบ VR Technology และการช้อปปิ้งได้จากทั่วโลก เช่น สามารถส่งกุ้งมังกรจากออสเตรเลียมาประเทศจีนได้ภายใน 48 ชั่วโมง “ตลอด 13 ปีของ JD.com ธุรกิจเติบโตจากวันแรกจนถึงปัจจุบันหลายหมื่นเท่าตัว และยังมีการเติบโตเฉลี่ย 150% ทุกปี โดยเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงสุดในประเทศจีน รวมทั้งเป็นธุรกิจค้าปลีกที่มีรายได้สูงสุดของจีนทั้งในกลุ่มออนไลน์และออฟไลน์ มีจำนวนร้านค้าบนแพลตฟอร์มากกว่า 1.3 แสนร้าน และจำนวนพนักงานทั่วโลกมากกว่า 1.5 แสนคน ขณะที่อนาคตอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก โดยกลยุทธ์ที่ JD จะนำมาใช้ในประเทศไทย คือ การให้ความสำคัญกับลูกค้า การบริหารแบบ Localization และมองถึงการสร้างประโยชน์ร่วมกันแบบ Win Win เพื่อเติมเต็มสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจ คือ C.E.O ซึ่งหมายถึง Customer, Experience และ Officer นั่นเอง”
คุณญนน์ โภคทรัพย์ President of Central Group ได้ชี้แจงการลงทุนจากเม็ดเงิน 1.75 หมื่นล้านบาท ในครั้งนี้ จะแบ่งเป็นการลงทุนในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และระบบโลจิสติกส์ 50% ส่วนที่เหลือจะใช้เพื่อการลงทุนในกลุ่มธุรกิจด้าน E –Finance และ FinTech ที่จะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับระบบในการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดว่า การพัฒนาในส่วนนี้จะเริ่มดำเนินงานได้หลังจากเว็บไซต์ JD.co.th ได้เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าเว็บไซต์จะเปิดได้ประมาณเดือนเมษายน 2561 และกลุ่มธุรกิจด้านการเงินจะเปิดได้หลังจากนั้นประมาณ 3-4 เดือน สำหรับการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะเริ่มจากการพัฒนาแพลตฟอร์มและทดสอบระบบ รวมทั้งการลงทุนในเรื่องของคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ ขณะที่ในธุรกิจการเงินจะเน้นการพัฒนาระบบ Payment Gateway หรือการพัฒนาเรื่อง FinTech ต่างๆ โดยเชื่อว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีโอกาสโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม B2C ที่ยังมีขนาดเล็กมาก รวมทั้งจำนวน SME ไทยที่ปัจจุบันเข้าถึง E-Commerce เพียง 2-3 หมื่นรายเท่านั้น จากจำนวน SME ที่มีอยู่เกือบ 3 ล้านราย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54542
Retail
การนำเอาเทคโนโลยี IOT เข้ามาผสานเข้ากับการออกแบบทุกพื้นที่ของการอยู่อาศัย เพื่ออะไร
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าคนในยุคปัจจุบันใช้ชีวิตได้สะดวกสบาย มากกว่าคนในยุคอดีตอย่างมาก เพราะมีเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาคอยอำนวยความสะดวกสบาย ครบทุกการใช้ชีวิตนับตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ยิ่งเดี๋ยวนี้คนไทยมีสมาร์ทโฟนติดอยู่กับมือ เปรียบเหมือนอวัยวะชิ้นที่ 33 จะทำอะไรก็แค่ใช้นิ้วสั่งงานก็สามารถทำกิจกรรมได้สารพัด แม้ว่าประเทศไทยเราเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล 4.0 ที่เทคโนโลยียังพัฒนาได้ไม่เต็มรูปแบบ แต่ก็มีหลายนวัตกรรมที่ถูกปล่อยออกมาให้คนไทยได้ใช้กัน เพื่อชีวิตที่สะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เรียกได้ว่าทุกวงการธุรกิจล้วนแล้วแต่มีการใช้นวัตกรรม เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจเลยทีเดียว ในวงการการเงิน เราก็มีการใช้จ่ายต่างๆ ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส จนธนาคารหลายแห่งลดจำนวนสาขาลง และหันมาพัฒนาการให้บริการด้านดิจิตอลแบงก์กิ้งแทน ในวงการค้าปลีกก็มีการให้บริการช้อปปิ้งออนไลน์ ที่แสนสะดวกสบายซื้อสินค้ากันได้ทุกที่ทุกเวลา ในวงการสื่อสารมวลชน เราก็มีช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และสาระบันเทิงได้สารพัด ผ่านหลากหลายช่องทาง เลือกดูกันได้ทุกที่ทุกเวลาไม่แพ้กัน ในวงการเกษตร เราก็มีคำว่า สมาร์ทฟาร์มเมอร์ ที่นำเอาเทคโนโลยีมาเพิ่มผลผลิต ในวงการรถยนต์ เราก็มีสมาร์ทคาร์ และรถยนต์ไฟฟ้า หรือแม้แต่วงการอสังหาริมทรัพย์ ก็พัฒนาบ้านอัจฉริยะ ที่แสนฉลาดรอบรู้ ทำในสิ่งที่มนุษย์ต้องการได้สารพัด แล้วคนในยุคนี้จะไม่มีชีวิตที่สะดวกสบายได้อย่างไร ? ในอนาคตข้างหน้าเชื่อว่าผู้ประกอบการในทุกวงการ ยังจะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอีกหลากหลาย เพื่อออกมาให้คนเมืองได้ใช้ชีวิตที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก เป็นการเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนให้มีทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และเชื่อมต่อกับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ที่สำคัญจะเป็นการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับสังคม และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติด้วย กรณีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า น่าจะเป็นตัวอย่างสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวทางดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาเราได้พูดถึงการมองหาพลังงานทดแทนเข้ามาใช้แทนพลังงานธรรมชาติ โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่นับวันจะลดน้อยลง สวนทางกับปริมาณการใช้ที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจึงต้องมุ่งหาสิ่งที่จะสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น ช่วงนี้จึงเห็นข่าวมีผู้ประกอบการ ที่เตรียมนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาดในบ้านเราอย่างจริงจัง เพื่อลดการใช้พลังงานธรรมชาติ ส่วนในวงการอสังหาริมทรัพย์ เรื่องของบ้านอัจฉริยะ ก็เริ่มมีความชัดเจนไม่แพ้กัน เมื่อดีเวลลอปเปอร์หลายรายได้พัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยการนำเอาเทคโนโลยี IOT เข้ามาผสานเข้ากับการออกแบบทุกพื้นที่ของการอยู่อาศัย เพื่อความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้าน เป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแห่งอนาคต ซึ่งการใช้เทคโนโลยีกับการอยู่อาศัย ถือเป็นจุดขายสำคัญของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำในวงการอสังหาริมทรัพย์ และเป็นเทรนด์ที่ดีเวลลอปเปอร์ต่างๆ มุ่งไปในทิศทางเดียวกันด้วย แต่ก็มีเทคโนโลยีที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าจะพัฒนานวัตกรรมอะไรออกมา แม้ว่าเราจะเห็นดีเวลลอปเปอร์มุ่งที่จะนำนวัตกรรมเทคโนโลยี ออกมาผสมผสานกับการสร้างที่อยู่อาศัย แต่ก็มีไม่กี่แบรนด์ที่สามารถทำให้เทคโนโลยีผสานเข้ากับการใช้ชีวิตได้แบบลงตัว และครบในทุกมิติของการใช้ชีวิต คือ ทั้งการอยู่อาศัยภายในบ้านและนอกบ้าน เพราะถ้าจะให้ได้ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีและสังคมที่ยืนยาว การอยู่อาศัยของลูกบ้านจะต้องไปในแนวทางนี้ ปัจจุบันเท่าที่เห็นดีเวลลอปเปอร์ซึ่งมุ่งตอบโจทย์ดังกล่าวได้อย่างชัดเจน ก็คงเป็นค่ายเอพี (ไทยแลนด์) เพราะได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีหลายอย่าง ที่เข้ามาตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างสังคมที่ยั่งยืน ตามพันธกิจการพัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างเช่น ล็อกเกอร์อัจฉริยะ (Intelligent Locker) AP Smart Pod ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของคนที่อยู่อาศัยในคอนโดยุคปัจจุบัน ซึ่งมักมีปัญหาเรื่องเวลารับสินค้า เพราะใช้ชีวิตอยู่นอกบ้าน การมีล็อกเกอร์อัจฉริยะมารองรับ ทำให้ผู้สั่งสินค้าสามารถรับสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงได้ด้วยตัวเอง ทั้งรวดเร็ว ง่าย สะดวกสบาย รวมทั้งมั่นใจได้ในความปลอดภัย 100% เนื่องจากผู้ที่นำพัสดุมาส่ง จะต้องใช้บัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนในการดำเนินการเข้าระบบฝากของ พร้อมระบุเลขห้อง และเบอร์โทรศัพท์ของผู้อยู่อาศัย หลังจากนั้นระบบจะส่งข้อความไปยังสมาร์ทโฟนของผู้รับ พร้อมพาสเวิร์ด และ QR Code เพื่อนำมาสแกนรับพัสดุด้วยตนเอง ภายใต้การดูแลและบริหารจัดการโดยบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพีโดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยตามโครงการคอนโดมิเนียม ส่วนคนที่มีรถยนต์ไฟฟ้า เอพีก็มีการเปิดตัว สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (AP Charging Pod) ในโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป โดยเฟสแรกพร้อมติดตั้งใน 6 โครงการ VITTORIO, RHYTHM รางน้ำ, RHYTHM เอกมัย, LIFE ปิ่นเกล้า, LIFE อโศก และ LIFE สุขุมวิท 48 นอกจากนี้ ยังได้เตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านเอพี ด้วยสถานีชาร์จรถไฟฟ้าสาธารณะทั่วประเทศไทยกว่า 50 สถานีภายใต้เครือข่าย ChargeNow ซึ่งได้ร่วมกับพันธมิตร ที่ประกอบด้วย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย หนึ่งในผู้นำแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก จีแอลที กรีน ประเทศไทย เบอร์หนึ่งด้านเทคโนโลยีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด และ CENTRAL GROUP กลุ่มบริษัทห้างค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในไทย ซึ่งสามารถค้นหาสถานีและจองเวลาเข้าใช้งานได้ล่วงหน้า สะดวกสบายและรวดเร็ว ผ่านแอปพลิเคชัน Greenlots หรือทางเว็บไซต์ การพัฒนาล็อกเกอร์อัจฉริยะ AP Smart Pod และ AP Charging Pod ของเอพีคงเป็น 2 เทคโนโลยีตัวอย่างที่ชัดเจน ว่าอนาคตวิถีชีวิตคนเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป
ความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้าน เป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแห่งอนาคต ซึ่งการใช้เทคโนโลยีกับการอยู่อาศัย ถือเป็นจุดขายสำคัญของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำในวงการอสังหาริมทรัพย์ และเป็นเทรนด์ที่ดีเวลลอปเปอร์ต่างๆ มุ่งไปในทิศทางเดียวกันด้วย แต่ก็มีเทคโนโลยีที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าจะพัฒนานวัตกรรมอะไรออกมา แม้ว่าเราจะเห็นดีเวลลอปเปอร์มุ่งที่จะนำนวัตกรรมเทคโนโลยี ออกมาผสมผสานกับการสร้างที่อยู่อาศัย แต่ก็มีไม่กี่แบรนด์ที่สามารถทำให้เทคโนโลยีผสานเข้ากับการใช้ชีวิตได้แบบลงตัว และครบในทุกมิติของการใช้ชีวิต คือ ทั้งการอยู่อาศัยภายในบ้านและนอกบ้าน เพราะถ้าจะให้ได้ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีและสังคมที่ยืนยาว การอยู่อาศัยของลูกบ้านจะต้องไปในแนวทางนี้ ปัจจุบันเท่าที่เห็นดีเวลลอปเปอร์ซึ่งมุ่งตอบโจทย์ดังกล่าวได้อย่างชัดเจน ก็คงเป็นค่ายเอพี (ไทยแลนด์) เพราะได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีหลายอย่าง ที่เข้ามาตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างสังคมที่ยั่งยืน ตามพันธกิจการพัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างเช่น ล็อกเกอร์อัจฉริยะ (Intelligent Locker) AP Smart Pod ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของคนที่อยู่อาศัยในคอนโดยุคปัจจุบัน ซึ่งมักมีปัญหาเรื่องเวลารับสินค้า เพราะใช้ชีวิตอยู่นอกบ้าน การมีล็อกเกอร์อัจฉริยะมารองรับ ทำให้ผู้สั่งสินค้าสามารถรับสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงได้ด้วยตัวเอง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54563
Retail
สมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย คือ ซีอีโอคนไทยคนแรกของ เทสโก้ โลตัส ใช่หรือไม่
null
ใช่ เทสโก้ โลตัส ประกาศแต่งตั้ง คุณสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร แทน คุณจอห์น คริสตี้ ซึ่งดำรงตำแหน่งครบวาระในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 คุณสมพงษ์ เป็นชาวไทยท่านแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของเทสโก้ โลตัส โดยคุณสมพงษ์ได้เริ่มงานกับเทสโก้ โลตัส มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 และมีประสบการณ์ในการบริหารงานในหลายภาคส่วน ได้แก่ ฝ่ายการพานิชย์ งานวางแผนพื้นที่และการจัดเรียงสินค้า งานด้านกลยุทธ์ทางการตลาด ฝ่ายอสังหาริมทรัพย์และพื้นที่ศูนย์การค้า โดยตำแหน่งล่าสุดคือประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการพานิชย์ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโนบายและบริหารงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การควบคุมคุณภาพ การจัดซื้อ จัดเรียงสินค้า และซัพพลายเชน คุณโทนี่ ฮ็อกเก็ต ประธานกรรมการบริหารเทสโก้ ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า “ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการแต่งตั้ง คุณสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ของเทสโก้ โลตัส คุณสมพงษ์มีประสบการณ์ด้านการค้าปลีกที่ยาวนาน มีความเชี่ยวชาญและมีผลงานที่โดดเด่นมากมาย เช่น ล่าสุดได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาธุรกิจด้านอาหารสด โดยการแต่งตั้งคุณสมพงษ์นี้ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเทสโก้ในการพัฒนาความก้าวหน้าทาอาชีพให้กับพนักงานที่มีศักยภาพของเรา” สำหรับคุณจอห์น คริสตี้ ได้สร้างผลงานที่โดดเด่นในหลายภาคส่วนในช่วงเวลา 36 ปี ที่ร่วมงานกับกลุ่มเทสโก้ โดยได้เริ่มการเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดของเทสโก้ โลตัส ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 และจะสิ้นสุดวาระการทำงานกับกลุ่มเทสโก้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นายใหญ่ของเทสโก้ในภูมิภาคเอเชีย ยังกล่าวเพิ่มอีกว่า “ผมขอขอบคุณจอห์น คริสตี้ สำหรับการบริหารงานอย่างดีเยี่ยมในช่วง 6 ปีที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของเทสโก้ โลตัส ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ธุรกิจ เทสโก้ โลตัส เติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นผู้นำตลาดในฐานะห้างค้าปลีกที่ลูกค้าแนะนำมากที่สุดในประเทศไทย โดยนอกจากความทุ่มเทในการให้บริการลูกค้าในประเทศไทยให้ดียิ่งๆ ขึ้นทุกวันแล้ว จอห์นยังมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรของบริษัทให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ดังตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากการวางแผนผู้ที่จะมารับตำแหน่งแทน”
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54577
Retail
MUJI จะรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้อย่างไรหลังจากปรับลดราคาสินค้าลง
null
MUJI สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้หลังจากปรับลดราคาสินค้าลง ดังนี้ 1. รักษาคุณภาพสินค้า: รักษาคุณภาพสินค้าให้อยู่ในระดับสูง สินค้า MUJI เป็นที่รู้จักในเรื่องคุณภาพที่ดี วัสดุที่ทนทาน การออกแบบที่เรียบง่าย และใช้งานได้จริง ควบคุมมาตรฐานการผลิตสินค้าอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สินค้าทุกชิ้นมีคุณภาพดี คงทน ตรวจสอบสินค้าอย่างละเอียดก่อนนำออกวางจำหน่าย 2. พัฒนาสินค้าใหม่: พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นำเสนอสินค้าที่มีความแปลกใหม่ ดีไซน์สวยงาม ใช้งานได้จริง พัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3. เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง: พัฒนาบรรยากาศภายในร้านให้ดูน่าสนใจ สะดวกสบาย จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่นต่าง ๆ พัฒนาระบบบริการลูกค้า ให้คำแนะนำและตอบคำถามลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มช่องทางการจำหน่าย เช่น ช่องทางออนไลน์ 4. รักษาภาพลักษณ์แบรนด์: รักษาภาพลักษณ์แบรนด์ MUJI ที่เรียบง่าย มินิมอล สื่อสารภาพลักษณ์แบรนด์ MUJI ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า สนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม 5. ขยายฐานลูกค้า: ขยายสาขาไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น กลุ่มลูกค้าวัยรุ่น พัฒนาสินค้าที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าใหม่ ตัวอย่าง: MUJI พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น เสื้อผ้าเด็ก ของใช้ในบ้าน ของเล่น MUJI จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น ลดราคาสินค้า ซื้อ 1 แถม 1 MUJI พัฒนาระบบบริการลูกค้า ให้คำแนะนำและตอบคำถามลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ MUJI สนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น การบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศล ผลลัพธ์: จากกลยุทธ์ดังกล่าว MUJI สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ ข้อเสนอแนะ: MUJI ควรศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า MUJI ควรพัฒนาช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ MUJI ควรพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว MUJI ควรนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการให้บริการ เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว สรุป: MUJI สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้หลังจากปรับลดราคาสินค้าลง โดยต้องรักษาคุณภาพสินค้า พัฒนาสินค้าใหม่ เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง รักษาภาพลักษณ์แบรนด์ และขยายฐานลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54579
Retail
บริษัทใดที่เป็นสุดยอดองค์กรชั้นนำที่พนักงานไทยอยากร่วมงานมากที่สุดเป็นลำดับที่ 3 จากผลสำรวจของ jobsDB ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560
a. โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย b. ปตท. c. ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง d. การบินไทย e. Google ประเทศไทย
คำตอบคือ e. เพราะว่า เพราะ Google ประเทศไทย เป็นบริษัทที่เป็นสุดยอดองค์กรชั้นนำที่พนักงานไทยอยากร่วมงานมากที่สุดเป็นลำดับที่ 3 จากผลสำรวจของ jobsDB ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด ได้รวบรวมผลสำรวจจากกลุ่มผู้หางานแบ่งตามช่วงอายุได้แก่ ผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไปหรือกลุ่ม Baby Boomer (7%) ผู้ที่มีอายุระหว่าง 34-49 ปีหรือ Gen X (49%) ผู้ที่มีอายุระหว่าง 26-33 ปี หรือ Gen Y (27%) และผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี หรือกลุ่ม Gen Z (16%) ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 ในประเด็นเกี่ยวกับองค์กรที่พนักงานต้องการร่วมงานด้วยและปัจจัยสนับสนุนให้พนักงานอยากร่วมงานกับองค์กรนั้นๆ พบว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัทพลังงานแห่งชาติเป็นองค์กรที่พนักงานอยากร่วมงานมากที่สุด ตามมาด้วย บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ซึ่งเป็นบริษัทที่ทราบกันดีว่านอกจากจะมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับคุณค่าพนักงานอีกด้วย โดยทั้งสององค์กรที่ครองใจพนักงานต่างก็เป็นองค์กรขนาดใหญ่ในประเทศไทย ด้านบริษัทเสิร์ชเอ็นจิ้นระดับโลก Google ประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะโดดเด่นในด้านผลิตภัณฑ์แล้วยังมีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นที่ประทับใจ ได้รับการโหวตให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานด้วยที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ขยับขึ้นจากปีที่แล้วหนึ่งอันดับ ตามมาด้วยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นและเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในประเทศไทยอย่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นลำดับที่ 4 ในส่วนของธุรกิจด้านโทรคมนาคม องค์กรชั้นนำอย่าง dtac หรือบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีวิสัยทัศน์เพื่อการผลักดันให้ก้าวสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มภาคภูมิไต่อันดับจากรองสุดท้ายขึ้นมาอยู่ลำดับที่ 5 ขณะที่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อชื่อดังติดลำดับที่ 6 บริษัทที่ได้รับการโหวตเป็นลำดับที่ 7 ได้แก่ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์และดิจิทัลไลฟ์สไตล์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้านธุรกิจสายการบินชั้นนำของไทยอย่าง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สายการบินแห่งชาติของไทยติดอันดับที่ 8 ส่วนผู้นำในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคอย่าง บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ได้รับการโหวตเป็นลำดับที่ 9 และลำดับสุดท้ายเป็นของบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำยนตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54583
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การปรับตัวเข้ากับยุคสมัยและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
null
จากทะเลสู่โต๊ะอาหาร: เรื่องราวของธรรมชาติซีฟู้ด ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนชั้นวางสินค้าของซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ แพ็คเกจสีฟ้าสดใสของ "ธรรมชาติซีฟู้ด" ดึงดูดสายตาของผู้บริโภค ด้วยโลโก้รูปคลื่นทะเลและตัวอักษรสีขาวเรียบง่าย บ่งบอกถึงความสดใหม่และความเป็นธรรมชาติ เบื้องหลังแพ็คเกจเหล่านี้คือเรื่องราวของ "คุณจูเลี่ยน แกทเทนบี้" ชายหนุ่มผู้หลงใหลในท้องทะเล เขาเดินทางมาประเทศไทยเพื่อศึกษาต่อด้านการประมงอย่างยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำอาหารทะเลสดใหม่ คุณภาพสูง มาสู่ผู้บริโภคชาวไทย คุณจูเลี่ยนเริ่มต้นธุรกิจ "ธรรมชาติซีฟู้ด" จากการขายกุ้งสดที่เลี้ยงในระบบที่ปลอดภัยและยั่งยืน เขาลงพื้นที่ไปดูแลฟาร์มกุ้งด้วยตัวเอง ควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่ากุ้งทุกตัวสดใหม่ ปลอดสารพิษ และส่งตรงถึงมือผู้บริโภคโดยเร็วที่สุด ด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจ คุณภาพของ "ธรรมชาติซีฟู้ด" เป็นที่ประจักษ์ในตลาด ผู้บริโภคต่างให้ความไว้วางใจและเลือกซื้อสินค้าของเขา ธุรกิจของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ขยายไลน์สินค้าไปยังอาหารทะเลชนิดอื่นๆ จากร้านค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต สู่ภัตตาคารริมน้ำ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล คุณจูเลี่ยนไม่หยุดนิ่ง เขาต้องการมอบประสบการณ์การทานอาหารทะเลที่พิเศษยิ่งกว่าให้กับลูกค้า เขาจึงเปิด "The Dock Seafood Bar" ภัตตาคารริมน้ำที่ตกแต่งอย่างสวยงาม บรรยากาศอบอุ่น ให้บริการอาหารทะเลสดใหม่ ปรุงโดยเชฟมืออาชีพ เมนูของ "The Dock Seafood Bar" นั้นไม่เหมือนใคร ผสมผสานความอร่อยแบบไทยเข้ากับเทคนิคการปรุงแบบตะวันตก เช่น เมนู "SIGNATURE “TSAR OF ŌRA KING SALMON A LA MINUTE”" เนื้อปลาแซลมอนออร่าคิงส์อบหนังกรอบ รมควันด้วยกลิ่นโอ้ค ทานคู่กับซอสบัลซามิกและโหระพา จากออฟไลน์ สู่โลกออนไลน์ ในยุคดิจิทัล "ธรรมชาติซีฟู้ด" มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจสู่โลกออนไลน์ พวกเขาพัฒนาเว็บไซต์และช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการของพวกเขาให้กับลูกค้าได้อย่างสะดวก เว็บไซต์ของ "ธรรมชาติซีฟู้ด" นั้นสวยงามและใช้งานง่าย ลูกค้าสามารถเลือกซื้ออาหารทะเลสดใหม่ได้หลากหลายชนิด พร้อมทั้งค้นหาสูตรอาหารและข้อมูลเกี่ยวกับอาหารทะเลต่างๆ บทสรุป "ธรรมชาติซีฟู้ด" เป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยการมุ่งเน้นที่คุณภาพ ใส่ใจลูกค้า และไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาตนเอง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54610
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
null
บทเพลงแห่งอนาคต: ร้านขายของชำยุคใหม่ ณ ใจกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้า ร้านขายของชำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งกำลังเผชิญกับคลื่นใต้น้ำแห่งการเปลี่ยนแปลง ร้าน "บ้านสบาย" บริหารโดยคุณป้าสมใจ ผู้ใจดี เป็นที่รักของลูกค้าประจำ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ผู้คนเริ่มหันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้น ยอดขายของร้านเริ่มร่วงลงอย่างน่าใจหาย "สมัยนี้เด็ก ๆ เขาไม่ค่อยมาเดินซื้อของที่ร้านแล้ว นิยมสั่งออนไลน์กันหมด" คุณป้าสมใจบ่นกับหลานสาว "ป้ากลัวว่าร้านจะเจ๊งลง" "ใจเย็น ๆ ค่ะป้า หนูมีไอเดีย" วุธ สาววัย 20 ปลาย ๆ เพิ่งเรียนจบจากคณะบริหารธุรกิจ มองเห็นปัญหาของร้านป้า "ป้าลองปรับร้านให้เข้ากับยุคสมัยสิคะ สมัยนี้คนนิยมซื้อของออนไลน์ เราลองเปิดร้านขายของออนไลน์ดูบ้าง เผื่อจะดึงลูกค้ากลับมาได้" คุณป้าสมใจฟังหลานสาวอย่างสนใจ แม้จะรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่ก็พร้อมลองทำตามคำแนะนำของหลาน วุธเริ่มลงมือปรับปรุงร้าน เริ่มจากถ่ายรูปสินค้าทุกชิ้น เขียนรายละเอียดสินค้าอย่างครบถ้วน โพสต์ขายบนโซเชียลมีเดีย และเปิดรับออเดอร์ผ่านแอปพลิเคชั่น ในช่วงแรก ยอดขายออนไลน์ยังไม่ดีเท่าที่หวัง วุธจึงศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เธอเริ่มทำโปรโมชั่น ลดราคาสินค้า แจกคูปอง จัดส่งฟรี และสร้างคอนเทนต์น่าสนใจบนโซเชียลมีเดีย เช่น รีวิวสินค้า แชร์สูตรอาหาร และแนะนำเคล็ดลับต่าง ๆ ค่อย ๆ ร้าน "บ้านสบาย" เริ่มเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ ยอดขายเริ่มเพิ่มขึ้น ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อของออนไลน์ และยังมีลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น วุธพัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ "ป้าคะ ยอดขายออนไลน์เดือนนี้เพิ่มขึ้น 50% เลยค่ะ" วุธบอกคุณป้าด้วยรอยยิ้ม "จริงเหรอ ดีใจด้วยนะลูก" คุณป้าสมใจดีใจที่ร้านเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง "ขอบคุณค่ะป้า หนูว่าร้านของเราต้องพัฒนาต่อไป ไม่หยุดนิ่ง เรียนรู้เทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ถึงจะอยู่รอดในยุคนี้ได้" วุธกล่าว บทเพลงแห่งอนาคต ของร้าน "บ้านสบาย" สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในยุคดิจิทัล ร้านค้าแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54622
Retail
จงเขียนสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง"การปรับโครงสร้างสู่สถานที่ "ฮับไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี": กรณีศึกษา "พันธุ์ทิพย์" ตึกคอมยุคบุกเบิก"
null
"กรณีศึกษา “พันธุ์ทิพย์” ตึกคอมยุคบุกเบิก รื้อใหญ่ 4 สาขา ยกระดับเป็น “ฮับไลฟ์สไตล์เทคฯ" เป็นหนึ่งในตัวอย่างการปรับโครงสร้างอาคารให้เป็นสถานที่อยู่อาศัยและที่ทำงานร่วมกันได้ในรูปแบบที่ทันสมัยและเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย นี่คือบทความที่ช่วยเสนอภาพรวมและบางส่วนของกรณีศึกษานี้: 1. การรื้อใหญ่เป็นการปรับโครงสร้าง: โครงการ "พันธุ์ทิพย์" เริ่มต้นด้วยการรื้อทิ้งโครงสร้างเดิมของตึกคอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่และไม่เหมาะสมกับการใช้งานในยุคปัจจุบัน การรื้อใหญ่นี้ได้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีความทันสมัยและเหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้งานทั้งในด้านการทำงานและการอยู่อาศัย 2. การสร้างเฉพาะสำหรับ "ฮับไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี": โครงการนี้ไม่ได้เพียงแค่สร้างสถานที่ทำงานแบบธรรมดา แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ที่สนับสนุน "ฮับไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี" ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการทำงานและการพักผ่อนในรูปแบบที่ผสมผสานกันอย่างเหมาะสม 3. การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่: การสร้าง "พันธุ์ทิพย์" ไม่เพียงแค่เป็นการสร้างโครงสร้างที่สวยงามและสะอาด แต่ยังใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาในการออกแบบและการสร้างเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด 4. การผสมผสานระหว่างงานและการพักผ่อน: พื้นที่ใน "พันธุ์ทิพย์" ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการทำงานและการพักผ่อน โดยมีพื้นที่สวนหย่อมและพื้นที่พักผ่อนรวมอยู่ในอาคารเดียวกัน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานและพักผ่อนได้อย่างสมดุล 5. การสร้างสังคม: "พันธุ์ทิพย์" เป็นสถานที่ที่สร้างสรรค์ชุมชนของนักวิจัย นักพัฒนา และผู้ที่มีไอเดียสร้างสรรค์ให้มาพักอาศัยและทำงานร่วมกัน ซึ่งสร้างช่องทางในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่มีประโยชน์ การแปลง "พันธุ์ทิพย์" จากตึกคอมพิวเตอร์สู่ "ฮับไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี" เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีที่สถานที่ทำงานสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับความต้องการและพฤติกรรมของผู้ใช้งานในยุคปัจจุบันและอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54632
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....กลยุทธ์ที่ดีและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จของธุรกิจ
null
รอยยิ้มแห่ง Cath Kidston ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงเพลงบรรเลงดังก้องไปทั่ว บรรยากาศคึกคักเช่นนี้ช่างแตกต่างกับร้าน Cath Kidston สาขานี้อย่างสิ้นเชิง พนักงานขายสาวชื่อฝน กำลังจัดเรียงสินค้าบนชั้นวางอย่างตั้งใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล ยอดขายของ Cath Kidston ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากการที่แบรนด์ไม่ได้สื่อสารการตลาดอย่างจริงจัง ประกอบกับการจัดโปรโมชั่นลดราคาบ่อยเกินไป ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ ฝนเฝ้ารอวันที่ Cath Kidston จะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง เธอรักแบรนด์นี้และเชื่อในเอกลักษณ์ของสินค้า เธอใฝ่ฝันอยากให้ Cath Kidston กลับมามีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยลูกค้าที่มาช้อปปิ้งด้วยรอยยิ้ม อยู่มาวันหนึ่ง ข่าวลือเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการ Cath Kidston โดยกลุ่มบริษัทธนจิรา กรุ๊ปก็แพร่สะพัด ฝนรู้สึกตื่นเต้นและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข่าวลือนั้นจะเป็นความจริง ในที่สุด ข่าวลือนั้นก็กลายเป็นความจริง กลุ่มบริษัทธนจิรา กรุ๊ป เข้าซื้อกิจการ Cath Kidston ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ฝนรู้สึกดีใจและ充满ความหวัง เธอตั้งตารอการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับแบรนด์ที่เธอรัก ภายใต้การบริหารของธนจิรา กรุ๊ป Cath Kidston เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น กลยุทธ์ใหม่ ๆ ถูกนำมาใช้เพื่อพลิกฟื้นแบรนด์ ฝนและเพื่อนร่วมงานของเธอได้รับการอบรมอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับสินค้า แบรนด์ และเทคนิคการขาย ร้าน Cath Kidston ได้รับการปรับปรุงใหม่ บรรยากาศภายในร้านดูอบอุ่นและน่าดึงดูด สินค้าใหม่ ๆ ถูกนำมาวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ฝนเริ่มเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกค้าอีกครั้ง เธอรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ Cath Kidston กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รอยยิ้มของลูกค้าคือสิ่งที่ยืนยันความสำเร็จของกลยุทธ์ใหม่ ฝนเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้ เธอเข้าใจว่ากลยุทธ์ที่ดี การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และพนักงานที่มีความรู้ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ เธอหวังว่า Cath Kidston จะคงความเฟื่องฟูต่อไป และรอยยิ้มของลูกค้าจะคงอยู่ตลอดไป
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54662
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกทานอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง
null
ไก่พิเศษ เพื่อสุขภาพพิเศษ ณ ห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง สองแม่ลูกกำลังยืนเลือกซื้อเนื้อไก่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต สายตาของเด็กหญิงวัย 5 ขวบจับจ้องไปที่แพ็คเกจสีขาวสะอาดตา ตราสินค้า "เอสเพียว" บนพื้นหลังสีเขียวสดใส ดึงดูดความสนใจของเธอ "คุณแม่คะ ไก่ตัวนี้ทำไมถึงแพงกว่าตัวอื่นคะ?" เด็กหญิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เพราะว่าไก่เอสเพียวนี้พิเศษกว่าไก่ทั่วไปลูก ไก่เอสเพียวเลี้ยงแบบปลอดสาร ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน หรือสารเร่งโต ไก่เลยมีสุขภาพดี เนื้อไก่ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง ทานแล้วดีต่อสุขภาพของเรานะ" คุณแม่ตอบคำถามลูกด้วยรอยยิ้ม เด็กหญิงฟังคำอธิบายของแม่ด้วยความสนใจ เธอเริ่มเข้าใจว่าทำไมไก่เอสเพียวถึงมีราคาสูงกว่าไก่ทั่วไป เด็กหญิงนึกถึงคำสอนของครูที่โรงเรียนที่บอกให้เธอทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทานผักผลไม้ ทานเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัย ไก่เอสเพียวดูจะเป็นตัวเลือกที่ตรงกับสิ่งที่ครูสอน "คุณแม่คะ หนูอยากทานไก่เอสเพียวค่ะ" เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ได้ค่ะ ถ้าลูกอยากทาน เราก็ซื้อไก่เอสเพียวกัน" คุณแม่ยิ้มและหยิบแพ็คเกจไก่เอสเพียวใส่ตะกร้า "ขอบคุณค่ะคุณแม่" เด็กหญิงยิ้มอย่างมีความสุข หลังจากซื้อของเสร็จ สองแม่ลูกก็เดินทางกลับบ้าน คุณแม่ลงมือทำอาหารจากไก่เอสเพียว เด็กหญิงช่วยแม่ล้างผัก หั่นผัก และเตรียมวัตถุดิบ กลิ่นหอมของไก่ย่างโชยมาแตะจมูก เด็กหญิงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทานอาหารอร่อยและดีต่อสุขภาพ เมื่ออาหารเสร็จ เด็กหญิงและคุณแม่นั่งทานอาหารร่วมกัน เด็กหญิงรู้สึกอร่อยกับเนื้อไก่ที่นุ่มชุ่มฉ่ำ ไร้กลิ่นสาบ เด็กหญิงรู้ว่าไก่เอสเพียวนี้ดีต่อสุขภาพของเธอและคุณแม่ "ไก่เอสเพียวอร่อยมากค่ะคุณแม่" เด็กหญิงพูด "ใช่ค่ะ ไก่เอสเพียวทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ ดีใจนะที่ลูกชอบ" คุณแม่พูด เด็กหญิงยิ้มอย่างมีความสุข เธอรู้ว่าเธอได้ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เธอรู้สึกขอบคุณคุณแม่ที่เลือกซื้อไก่เอสเพียวให้เธอทาน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54680
Retail
เขียนสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "โครงการสีลม บางกอกเซ็นทรัล: การผสมผสานสมัยแห่งความหลากหลาย"
null
หัวข้อ "กลุ่มดุสิต" ผนึก "เซ็นทรัล" ยกระดับโรงแรมดุสิตฯ สู่โปรเจค Mixed-use 3 หมื่นล้าน แลนด์มาร์คบนสีลม "กลุ่มดุสิต" เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก การผนวกกลุ่มดุสิตกับโครงการ "เซ็นทรัล" เป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่ย้ำถึงความแข็งแกร่งและการพัฒนาที่มีความสามารถของกลุ่มดุสิตในการนำเสนอโครงการใหม่ๆ ที่ทันสมัยและเป็นเอกลักษณ์ในระดับโลก โปรเจคที่กล่าวถึงเป็นโปรเจค Mixed-use มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ที่ถูกพัฒนาบนพื้นที่ดินที่ตั้งอยู่บริเวณถนนสีลมซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร โดยโปรเจคนี้เกิดจากการนำโรงแรมดุสิตฯ ที่เป็นสัญลักษณ์และมีชื่อเสียงมายังระดับใหม่ โดยการผสมผสานกับสถานที่อื่นๆ เช่น สำนักงาน คอมเมอร์เชียล โฮเทล และพื้นที่พาณิชย์ ทำให้เกิดโครงการที่มีความหลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ทุกกลุ่มเป้าหมาย โปรเจค Mixed-use นี้ถือเป็นการเปิดตัวโครงการที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญต่อการพัฒนาเมืองของประเทศไทย ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในระดับประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นที่น่าสนใจในระดับโลก ซึ่งอาจมองเป็นตัวอย่างในการผสมผสานระหว่างการพัฒนาที่ยั่งยืนและการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้านของเมือง อีกทั้งยังเป็นการสร้างสรรค์งานและอัตลักษณ์ที่ยึดถือมาตรฐานระดับโลกในด้านอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมืองในประเทศไทยในอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54711
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "ยุทธศาสตร์พัฒนาท่องเที่ยวยั่งยืน: การบูรณาการความสวยงามของธรรมชาติและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นที่ 'ดอยคำ – โกลเด้น เพลซ'"
null
"ดอยคำ – โกลเด้น เพลซ" เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยเนื่องจากทั้งความสวยงามของธรรมชาติและความเป็นอยู่ที่สงบ โดยมีมรดกความยั่งยืนจาก "พ่อหลวง" ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้ดังนี้: 1. การสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยั่งยืน: "ดอยคำ – โกลเด้น เพลซ" ได้มีการจัดสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นในการสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับท้องถิ่นแต่ยังมุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของพื้นที่ด้วย โดยการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกธรรมชาติที่ต้องรักษาและปกป้อง ทำให้มีการเสริมสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นในระยะยาว 2. การส่งเสริมการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ: ที่ "ดอยคำ – โกลเด้น เพลซ" มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนท้องถิ่นรักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นอย่างเหมาะสม โดยการจัดกิจกรรมที่สนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การทำสวนผลไม้อินทรีย์ การฟื้นฟูป่าไม้ หรือการสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวกับการป้องกันป่าไหม้ ทำให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและมีการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น 3. การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน: ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและมีความรับรู้ในเรื่องของการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ชุมชนในพื้นที่ "ดอยคำ – โกลเด้น เพลซ" ได้รับประโยชน์อย่างมากไม่เพียงแต่ด้านเศรษฐกิจแต่ยังสร้างความเข้มแข็งในด้านสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย ทำให้มีการสร้างชุมชนที่มีความยั่งยืนและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งแวดล้อมและกันเอง ด้วยการพัฒนาและสร้าง "ดอยคำ – โกลเด้น เพลซ" ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและยั่งยืน มันช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกด้าน ไม่เพียงแต่ในเรื่องของการท่องเที่ยวแต่ยังส่งเสริมให้มีการรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และสร้างชุมชนที่มีความยั่งยืนอย่างยิ่งให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54723
Retail
ก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่ง President of Central Group ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 คุณญนน์ โภคทรัพย์ ดำรงตำแหน่งอะไรมาก่อน
A. กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ B. Managing Partner บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ McKinsey & Company C. รองผู้จัดการการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย D. ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai
คำตอบได้แก่ A. เพราะว่า เพราะก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่ง President of Central Group ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 คุณญนน์ โภคทรัพย์ ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ และเป็นผู้ที่ได้รับยกย่องอย่างมากในเรื่องของการนำความเชี่ยวชาญในด้านสินค้าอุปโภคบริโภคจากประสบการณ์บริหารงานในบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย มาช่วยส่งเสริมให้ธนาคารเป็นผู้นำในการบริการทางการเงินกับลูกค้าบุคคล ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดยอดขายของกลุ่มในปี 2559 เติบโตมากกว่า 20% และในอนาคตทางกลุ่มเซ็นทรัลเล็งเห็นโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า หรือที่เรียกว่ากลุ่ม CLMV และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC และที่สำคัญจากเวทีการค้าที่เปิดกว้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี Internet และ Online โดยกลุ่มเล็งเห็นเป็นโอกาสที่จะก้าวไปอย่างต่อเนื่องให้ทันต่อกระแสธุรกิจยุคดิจิทัล เพื่อรองรับกลยุทธ์การขยายงานของกลุ่มอย่างก้าวกระโดดต่อไป กลุ่มเซ็นทรัลได้เสริมทัพผู้บริหารระดับสูงขององค์กรด้วยบุคลากรที่มากด้วยความรู้ ความสามารถและประสบการณ์จากหลากหลายแขนง ทั้งนี้ได้แต่งตั้ง คุณญนน์ โภคทรัพย์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง President of Central Group ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 โดยก่อนมาร่วมงานกับกลุ่มเซ็นทรัล คุณญนน์ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ และเป็นผู้ที่ได้รับยกย่องอย่างมากในเรื่องของการนำความเชี่ยวชาญในด้านสินค้าอุปโภคบริโภคจากประสบการณ์บริหารงานในบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย มาช่วยส่งเสริมให้ธนาคารเป็นผู้นำในการบริการทางการเงินกับลูกค้าบุคคล พร้อมกันนี้ยังได้เสริมทัพผู้บริหารระดับสูงอีกหลายตำแหน่งสำคัญด้วยการแต่งตั้ง คุณนิโคโล กาลันเต้ (Mr.Nicolo Galante) อดีต Managing Partner บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ McKinsey & Company ดำรงตำแหน่ง Chief Operating Officer, คุณชนิตร ชาญชัยณรงค์ อดีตรองผู้จัดการการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและ อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ, คุณสจ๊วต สเต็มเพิล (Mr.Stewart Stemple และ คุณวิมลมาศ เกื้อโกมลเดช ดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทางกลุ่มยังได้รับเกียรติจาก ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นที่ปรึกษาอาวุโสเริ่มเดือนกรกฎาคม 2559
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54776
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "มิติใหม่ของการช้อปปิ้ง: สร้างประสบการณ์ใหม่ที่สยามดิสคัฟเวอร์รี่โฉมใหม่"
null
แนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "นับถอยหลัง! เตรียมเปิดตัว “สยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่” ที่สุดของแลนด์มาร์กมิติใหม่ที่เหนือกว่าศูนย์การค้า" สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยแนวคิดต่อไปนี้ 1. การผสมผสานสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์: สร้างคอนเซปต์ที่ผสมผสานระหว่างการเป็นสถานที่ซื้อของและสถานที่สร้างประสบการณ์ใหม่โดยการรวมสินค้าและบริการที่น่าสนใจทั้งในด้านการช้อปปิ้งและบันเทิง เช่น การมีพื้นที่สวนและร้านอาหารชั้นนอกสำหรับการพักผ่อนแบบใหม่โดยเฉพาะ 2. การใช้เทคโนโลยีในการสร้างประสบการณ์: นับถอยหลังสู่การใช้เทคโนโลยีในการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สมจริงและน่าสนใจ เช่น การใช้ Augmented Reality (AR) หรือ Virtual Reality (VR) เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถพบกับสินค้าและบริการในแบบที่สมจริง หรือการใช้ระบบ AI ในการแนะนำสินค้าและบริการที่เข้ากับความต้องการของลูกค้า 3. การสร้างคอมมูนิตี้: สร้างพื้นที่ที่เป็นสังคมสำหรับชุมชนของผู้ช้อปและบุคคลทั่วไป ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมต่อกับสถานที่และกันเอง เช่น การสร้างสเปซสำหรับกิจกรรมและการบริการที่เชื่อมโยงกับความสนใจของกลุ่มลูกค้าเฉพาะ 4. การเน้นประสิทธิภาพทางอุตสาหกรรม: ใช้เทคโนโลยีและวัสดุที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้งานพลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 5. การสร้างประสบการณ์ที่ทันสมัย: นับถอยหลังสู่การสร้างประสบการณ์ที่ทันสมัยและน่าตื่นตาตื่นใจ ที่ทำให้ลูกค้าต้องการกลับมาอีกครั้งและแบ่งปันประสบการณ์กับผู้อื่น และเป็นที่จดจำในใจของพวกเขาอย่างยั่งยืน 6. การเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น: การให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่สะท้อนวัฒนธรรมและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การจัดแสดงศิลปะและงานศิลปะท้องถิ่น การนำเสนออาหารและสินค้าท้องถิ่น เพื่อเพิ่มความเข้าใจและความสนใจของลูกค้าที่เข้ามาช้อปปิ้งและเยี่ยมชมสถานที่ การนับถอยหลังสู่การเปิดตัว "สยามดิสคัฟเวอร์รี่โฉมใหม่" ที่สุดของแลนด์มาร์กมิติใหม่ที่เหนือกว่าศูนย์การค้านั้น เราสามารถเลือกใช้แนวคิดที่เหมาะสมกับตลาดและกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและน่าจดจำสำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในสถานที่นี้ในอนาคต.
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54778
Retail
โครงการแรกของแลมป์ตั้น กรุ๊ป หลังประกาศจัดตั้งบริษัทแลมป์ตั้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด อย่างเป็นทางการ คือโครงการอะไร
“แลมป์ตั้น กรุ๊ป” สยายปีกธุรกิจจากผู้นำนวัตกรรมด้านหลอดไฟของเมืองไทยสู่ค้าปลีกเต็มรูปแบบ เปิดตัว “เดอะ ไบรท์” ซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกบนถนนพระราม 2 อัดโปรโมชั่นกระตุ้นแรงซื้อตลอดปี มั่นใจลูกค้าระดับพรีเมียมหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 10,000 คนต่อวัน ยอดซื้อเฉลี่ยเกือบ 2,000 ต่อครั้งต่อคน “แลมป์ตั้น กรุ๊ป” สยายปีกธุรกิจจากผู้นำนวัตกรรมด้านหลอดไฟของเมืองไทยสู่ค้าปลีกเต็มรูปแบบ เปิดตัว “เดอะ ไบรท์” ซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกบนถนนพระราม 2 อัดโปรโมชั่นกระตุ้นแรงซื้อตลอดปี มั่นใจลูกค้าระดับพรีเมียมหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 10,000 คนต่อวัน ยอดซื้อเฉลี่ยเกือบ 2,000 ต่อครั้งต่อคน อวัศยา ไชยสงวนมิตต์ ประธานบริษัท แลมป์ตั้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ “แลมป์ตั้น กรุ๊ป” ได้ประกาศจัดตั้งบริษัทแลมป์ตั้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด อย่างเป็นทางการ โดยประเดิมโครงการแรก คือ “เดอะไบรท์” ซึ่งขณะนี้โครงการดำเนินการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และมีร้านค้าผู้สนใจจองพื้นที่เกือบครบ 100% แล้ว จึงจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มีนาคมนี้ ภายใต้แนวคิด “Brighten up Your Life” เพื่อสร้างชีวิตสุดไบรท์ให้แก่ผู้คนในย่านพระราม 2 อวัศยา ไชยสงวนมิตต์ ประธานบริษัท แลมป์ตั้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ “แลมป์ตั้น กรุ๊ป” ได้ประกาศจัดตั้งบริษัทแลมป์ตั้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด อย่างเป็นทางการ โดยประเดิมโครงการแรก คือ “เดอะไบรท์” ซึ่งขณะนี้โครงการดำเนินการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และมีร้านค้าผู้สนใจจองพื้นที่เกือบครบ 100% แล้ว จึงจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มีนาคมนี้ ภายใต้แนวคิด “Brighten up Your Life” เพื่อสร้างชีวิตสุดไบรท์ให้แก่ผู้คนในย่านพระราม 2 “ความพิเศษของเดอะไบรท์ คือ เราคัดสรรร้านค้าชั้นนำมากมายมาไว้ที่นี่ เพราะเราทำธุรกิจบนถนนสายนี้มากว่า 30 ปี ทำให้พบว่าคนย่านนี้ยังขาดสถานที่พบปะแฮงค์เอ้าท์ ที่ไลฟ์สไตล์ชีวิตไม่แตกต่างจากในเมือง เต็มไปด้วยความทันสมัย จึงเป็นที่มาทำให้เราตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจนี้ ประกอบกับเพื่อรองรับโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมีเนี่ยมที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วย” อวัศยา กล่าว “ความพิเศษของเดอะไบรท์ คือ เราคัดสรรร้านค้าชั้นนำมากมายมาไว้ที่นี่ เพราะเราทำธุรกิจบนถนนสายนี้มากว่า 30 ปี ทำให้พบว่าคนย่านนี้ยังขาดสถานที่พบปะแฮงค์เอ้าท์ ที่ไลฟ์สไตล์ชีวิตไม่แตกต่างจากในเมือง เต็มไปด้วยความทันสมัย จึงเป็นที่มาทำให้เราตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจนี้ ประกอบกับเพื่อรองรับโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมีเนี่ยมที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วย” อวัศยา กล่าว เดอะไบรท์ เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 10 ไร่ บริเวณถนนพระราม 2 ขาออก มีพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 17,000 ตารางเมตร จะเป็น อาคารช้อปปิ้งมอลล์สูง 4 ชั้น สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ได้แบ่งสัดส่วนไว้ชัดเจน ได้แก่ ร้านอาหาร 50% ซึ่งได้รับความร่วมมือจากฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านเบอร์เกอร์คิงที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงร้านอาหารเกรดพรีเมี่ยมที่รังสรรค์สุดยอดเมนูคุณภาพและบรรยากาศดีๆ ไว้บริการลูกค้าอีกมากมาย ตามด้วยส่วนการเงินการธนาคารและการบริการ 20% ร้านที่เกี่ยวกับความงาม เช่นสปา ร้านเสริมความงาม ร้านขายสินค้าเพื่อความงามต่างๆ 10% และส่วนอื่นๆ เช่น สถาบันสอนพัฒนาการเด็ก ร้านอุปกรณ์กีฬา ร้านขายยา ร้านไอที ร้านหนังสือ ร้านขายซีดีเพลงและภาพยนตร์อีก 20% เดอะไบรท์ เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 10 ไร่ บริเวณถนนพระราม 2 ขาออก มีพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 17,000 ตารางเมตร จะเป็น อาคารช้อปปิ้งมอลล์สูง 4 ชั้น สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ได้แบ่งสัดส่วนไว้ชัดเจน ได้แก่ ร้านอาหาร 50% ซึ่งได้รับความร่วมมือจากฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านเบอร์เกอร์คิงที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงร้านอาหารเกรดพรีเมี่ยมที่รังสรรค์สุดยอดเมนูคุณภาพและบรรยากาศดีๆ ไว้บริการลูกค้าอีกมากมาย ตามด้วยส่วนการเงินการธนาคารและการบริการ 20% ร้านที่เกี่ยวกับความงาม เช่นสปา ร้านเสริมความงาม ร้านขายสินค้าเพื่อความงามต่างๆ 10% และส่วนอื่นๆ เช่น สถาบันสอนพัฒนาการเด็ก ร้านอุปกรณ์กีฬา ร้านขายยา ร้านไอที ร้านหนังสือ ร้านขายซีดีเพลงและภาพยนตร์อีก 20% ยิ่งกว่านั้น เรายังจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ไว้ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากคอมมูนิตี้มอลล์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น อาคารจอดรถ 7 ชั้น ที่รองรับจำนวนรถได้กว่า 500 คัน เชื่อมต่อกับตัวมอลล์ทุกชั้นให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายสูงสุด ห้องประชุมขนาดใหญ่จุคนได้ถึง 300 คน เหมาะเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ และสัมมนาต่างๆ ตลอดจนมีโซนพื้นที่กีฬาทั้งสนามฟุตบอล และบาสเกตบอล ที่มีมาตรฐานเปิดให้บริการอย่างครบครัน ยิ่งกว่านั้น เรายังจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ไว้ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากคอมมูนิตี้มอลล์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น อาคารจอดรถ 7 ชั้น ที่รองรับจำนวนรถได้กว่า 500 คัน เชื่อมต่อกับตัวมอลล์ทุกชั้นให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายสูงสุด ห้องประชุมขนาดใหญ่จุคนได้ถึง 300 คน เหมาะเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ และสัมมนาต่างๆ ตลอดจนมีโซนพื้นที่กีฬาทั้งสนามฟุตบอล และบาสเกตบอล ที่มีมาตรฐานเปิดให้บริการอย่างครบครัน อวัศยา กล่าวต่อว่า เดอะไบรท์ ใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เรามองว่าใช้ระยะเลาประมาณ 7-8 ปีน่าจะคืนทุน และอีกประมาณ 3 ปี สัดส่วนรายได้ของแลมป์ตั้น กรุ๊ป น่าจะมาจากเดอะไบรท์ราว 30% โดยหลังจากเราเริ่มเปิดให้บริการ (Soft Launch) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา พบว่ากระแสตอบรับน่าพอใจมาก เรามีการเก็บรวมรวมสถิติการเข้าใช้บริการ พบว่า มียอดคนหมุนเวียนถึง 10,000 – 12,000 คนต่อวันในช่วงวันธรรมดา และจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 15,000-20,000 คนในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ อวัศยา กล่าวต่อว่า เดอะไบรท์ ใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เรามองว่าใช้ระยะเลาประมาณ 7-8 ปีน่าจะคืนทุน และอีกประมาณ 3 ปี สัดส่วนรายได้ของแลมป์ตั้น กรุ๊ป น่าจะมาจากเดอะไบรท์ราว 30% โดยหลังจากเราเริ่มเปิดให้บริการ (Soft Launch) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา พบว่ากระแสตอบรับน่าพอใจมาก เรามีการเก็บรวมรวมสถิติการเข้าใช้บริการ พบว่า มียอดคนหมุนเวียนถึง 10,000 – 12,000 คนต่อวันในช่วงวันธรรมดา และจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 15,000-20,000 คนในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ “เดอะไบรท์” เราวางตำแหน่งทางธุรกิจ (Position) ของตนเองไว้ชัดเจนว่า เราเป็นซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกบนถนนพระราม 2 ที่เจาะลูกค้าระดับพรีเมี่ยม เพราะจากสถิติวิจัยทางการตลาดและรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นหลังเปิดให้บริการช่วง 3 เดือนแรก (ธันวาคม 2558 – กุมภาพันธ์ 2559) ระบุชัดว่า ผู้คนในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยทำงานและครอบครัวมีกำลังซื้อสูง โดยในเขตทั้ง 4 คือ เขตบางขุนเทียน เขตจอมทอง เขตบางแค และเขตภาษีเจริญ มีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 500,000 คนนั้น มียอดซื้อเฉลี่ยอยู่ที่เกือบ 2,000 บาทต่อครั้งต่อคน จึงมั่นใจว่าหลังเปิดตัวโครงการแล้วจะสามารถสร้างรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่มูลค่าประมาณ 80 ล้านบาทในปี 2559” นางสาวอวัศยา กล่าว “เดอะไบรท์” เราวางตำแหน่งทางธุรกิจ (Position) ของตนเองไว้ชัดเจนว่า เราเป็นซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกบนถนนพระราม 2 ที่เจาะลูกค้าระดับพรีเมี่ยม เพราะจากสถิติวิจัยทางการตลาดและรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นหลังเปิดให้บริการช่วง 3 เดือนแรก (ธันวาคม 2558 – กุมภาพันธ์ 2559) ระบุชัดว่า ผู้คนในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยทำงานและครอบครัวมีกำลังซื้อสูง โดยในเขตทั้ง 4 คือ เขตบางขุนเทียน เขตจอมทอง เขตบางแค และเขตภาษีเจริญ มีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 500,000 คนนั้น มียอดซื้อเฉลี่ยอยู่ที่เกือบ 2,000 บาทต่อครั้งต่อคน จึงมั่นใจว่าหลังเปิดตัวโครงการแล้วจะสามารถสร้างรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่มูลค่าประมาณ 80 ล้านบาทในปี 2559” นางสาวอวัศยา กล่าว “จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีคอมมูนิตี้มอลล์เกิดใหม่ขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่มองว่าเราเป็นจุดแข็ง นอกเหนือจากการสำรวจมาแล้วว่าด้วยขนาดพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ บนทำเลทองที่ใกล้กรุงเทพฯ แบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วบนถนนพระราม 2 นั่นคือ เราลงทุนกับการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราทำโครงการแรกออกมาดีที่สุด ลูกค้าไว้วางใจและเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของเรา โครงการอื่นๆ ก็จะตามมา ยกตัวอย่างเช่น เราใช้ต้นแบบระบบระบายอากาศชั้นนำจากสิงคโปร์เป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยตามทางเดินของอาคารจะมีการติดตั้งหัวฉีด Jet Nozzle เพื่อปรับอุณหภูมิลงให้อากาศเย็นสบาย “จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีคอมมูนิตี้มอลล์เกิดใหม่ขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่มองว่าเราเป็นจุดแข็ง นอกเหนือจากการสำรวจมาแล้วว่าด้วยขนาดพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ บนทำเลทองที่ใกล้กรุงเทพฯ แบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วบนถนนพระราม 2 นั่นคือ เราลงทุนกับการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราทำโครงการแรกออกมาดีที่สุด ลูกค้าไว้วางใจและเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของเรา โครงการอื่นๆ ก็จะตามมา ยกตัวอย่างเช่น เราใช้ต้นแบบระบบระบายอากาศชั้นนำจากสิงคโปร์เป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยตามทางเดินของอาคารจะมีการติดตั้งหัวฉีด Jet Nozzle เพื่อปรับอุณหภูมิลงให้อากาศเย็นสบาย และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ เดอะ ไบรท์ เป็นซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกที่ใช้หลอดไฟแอลอีดีทั้งหมดในบริเวณพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางซึ่งจะทำให้มอลล์แห่งนี้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าที่อื่นถึง 70% รวมถึงการลงทุนถึง 30 ล้านบาทกับการทำระบบจัดแสดงแสงสีภาพเคลื่อนไหวแบบสามมิติ (3D Projection Mapping) ลงบนอาคารสร้างบรรยากาศที่น่าตื่นตาตื่นใจและสวยงาม” นางสาวอวัศยา กล่าว และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ เดอะ ไบรท์ เป็นซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกที่ใช้หลอดไฟแอลอีดีทั้งหมดในบริเวณพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางซึ่งจะทำให้มอลล์แห่งนี้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าที่อื่นถึง 70% รวมถึงการลงทุนถึง 30 ล้านบาทกับการทำระบบจัดแสดงแสงสีภาพเคลื่อนไหวแบบสามมิติ (3D Projection Mapping) ลงบนอาคารสร้างบรรยากาศที่น่าตื่นตาตื่นใจและสวยงาม” นางสาวอวัศยา กล่าว นับว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของคอมมูนิตี้มอลล์ (Community Mall) ที่จะมีการทำซีอาร์เอ็ม(CRM program) กับกลุ่มลูกค้าอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ชื่อ “The Bright Club” เพื่อมอบสิทธิพิเศษและบริการที่ออกแบบมาเพื่อผูกใจและดูแลลูกค้าขาประจำที่พักอาศัยในย่านพระราม 2 ไม่ว่าจะเป็นการจองร้านอาหาร ร้านเสริมความงาม หรือที่จอดรถพิเศษ และเวิร์คช้อปกับกูรูด้านไลฟ์สไตล์ชื่อดังมากมาย นอกจากนี้ “เดอะ ไบรท์” ยังเป็นจุดนัดพบของกลุ่มคอมมูนิตี้ต่างๆ ที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน อาทิ กลุ่มคนรักการปั่นจักรยาน สามารถปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิต ผู้คนและป่าชายเลนบนเส้นทางจักรยานบางขุนเทียน-ชายทะเล ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในย่านนี้ เป็นต้น นับว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของคอมมูนิตี้มอลล์ (Community Mall) ที่จะมีการทำซีอาร์เอ็ม(CRM program) กับกลุ่มลูกค้าอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ชื่อ “The Bright Club” เพื่อมอบสิทธิพิเศษและบริการที่ออกแบบมาเพื่อผูกใจและดูแลลูกค้าขาประจำที่พักอาศัยในย่านพระราม 2 ไม่ว่าจะเป็นการจองร้านอาหาร ร้านเสริมความงาม หรือที่จอดรถพิเศษ และเวิร์คช้อปกับกูรูด้านไลฟ์สไตล์ชื่อดังมากมาย นอกจากนี้ “เดอะ ไบรท์” ยังเป็นจุดนัดพบของกลุ่มคอมมูนิตี้ต่างๆ ที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน อาทิ กลุ่มคนรักการปั่นจักรยาน สามารถปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิต ผู้คนและป่าชายเลนบนเส้นทางจักรยานบางขุนเทียน-ชายทะเล ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในย่านนี้ เป็นต้น อวัศยา กล่าวเพิ่มเติมว่า เราวางกลยุทธ์ที่จะจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดล่วงหน้าถึง 2 ปี โดยด้วยกิจกรรมดินแดนแห่งความสุข 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน เรียกได้ว่าผู้คนที่มาเยือนที่นี่จะเต็มอิ่มและจุใจกับความพิเศษที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปีจาก Signature Event ที่เราสร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ รวมถึงตามเทศกาลสำคัญๆ ต่างๆ ก็จะมีการจัดงานโดยดึงจุดแข็งธุรกิจในเครือแลมป์ตั้นมาประดับประดาตกแต่งไฟสวยงามเพื่อเป็นจุดที่ผู้คนจะมาเยือนเพื่อถ่ายรูปและเก็บภาพประทับใจต่างในทุกๆเทศกาลด้วย อวัศยา กล่าวเพิ่มเติมว่า เราวางกลยุทธ์ที่จะจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดล่วงหน้าถึง 2 ปี โดยด้วยกิจกรรมดินแดนแห่งความสุข 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน เรียกได้ว่าผู้คนที่มาเยือนที่นี่จะเต็มอิ่มและจุใจกับความพิเศษที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปีจาก Signature Event ที่เราสร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ รวมถึงตามเทศกาลสำคัญๆ ต่างๆ ก็จะมีการจัดงานโดยดึงจุดแข็งธุรกิจในเครือแลมป์ตั้นมาประดับประดาตกแต่งไฟสวยงามเพื่อเป็นจุดที่ผู้คนจะมาเยือนเพื่อถ่ายรูปและเก็บภาพประทับใจต่างในทุกๆเทศกาลด้วย ขณะเดียวกัน ยังเน้นกิจกรรมการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งล่าสุดตอนนี้ มียอดผู้ติดตามแล้วกว่า 15,000 คน โดยจะมีการเล่นเกมและแจกรางวัลแก่ผู้โชคดีเป็นประจำพร้อมกับจัดทีมเจ้าหน้าที่คอยตอบทุกคำถามที่ลูกค้าสอบถามและข้อร้องเรียนต่างๆมาเพื่อใช้ปรับปรุงการบริการ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วในบางครั้งจะเข้าไปตอบบางข้อซักถามด้วยตนเองด้วย เพราะเรามองว่าการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของธุรกิจประเภทนี้ เพราะนั่นจะทำให้เขากลับมาใช้บริการเราอีก การที่เราลงไปรับทราบถึงปัญหาและเรียนรู้การแก้ไขปัญหาต่างๆ มากขึ้นเท่าใด ธุรกิจของเราก็จะยิ่งก้าวหน้ามากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกัน ยังเน้นกิจกรรมการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งล่าสุดตอนนี้ มียอดผู้ติดตามแล้วกว่า 15,000 คน โดยจะมีการเล่นเกมและแจกรางวัลแก่ผู้โชคดีเป็นประจำพร้อมกับจัดทีมเจ้าหน้าที่คอยตอบทุกคำถามที่ลูกค้าสอบถามและข้อร้องเรียนต่างๆมาเพื่อใช้ปรับปรุงการบริการ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วในบางครั้งจะเข้าไปตอบบางข้อซักถามด้วยตนเองด้วย เพราะเรามองว่าการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของธุรกิจประเภทนี้ เพราะนั่นจะทำให้เขากลับมาใช้บริการเราอีก การที่เราลงไปรับทราบถึงปัญหาและเรียนรู้การแก้ไขปัญหาต่างๆ มากขึ้นเท่าใด ธุรกิจของเราก็จะยิ่งก้าวหน้ามากขึ้นเท่านั้น เดอะไบรท์ ได้รับการออกแบบขึ้นภายใต้คอนเซปต์ที่ทันสมัยและโดดเด่นที่สุดในย่านพระราม 2 งานออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากการเจียระไนเพชร (Diamond Cut) ถ่ายทอดผ่านรูปแบบเส้นสายขององค์ประกอบที่โดดเด่นและแตกต่างด้วยการจัดแสง(Lighting Design) เพิ่มสีสันในส่วนต่างๆ ให้ต่างกันออกไป ด้วยพื้นที่เปิดกว้างทำให้อากาศถ่ายเทเย็นสบาย อีกทั้งยังมีพื้นที่สีเขียว (Green Area) ที่ออกแบบไว้อย่างลงตัวทั้งในส่วนทางเดิน จุดนั่งพัก และชั้นดาดฟ้าที่ออกแบบเป็นโซน Rooftop Garden พื้นที่ด้านนอกตกแต่งด้วยต้นไม้นานาชนิดเพื่อเพิ่มบรรยากาศสวนสไตล์สบายๆ นั่นทำให้เดอะ ไบรท์ เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ต้นแบบของการใช้ชีวิตแบบคนเมืองรุ่นใหม่ รักความทันสมัยและใส่ใจในสิ่งแวดล้อม เดอะไบรท์ ได้รับการออกแบบขึ้นภายใต้คอนเซปต์ที่ทันสมัยและโดดเด่นที่สุดในย่านพระราม 2 งานออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากการเจียระไนเพชร (Diamond Cut) ถ่ายทอดผ่านรูปแบบเส้นสายขององค์ประกอบที่โดดเด่นและแตกต่างด้วยการจัดแสง(Lighting Design) เพิ่มสีสันในส่วนต่างๆ ให้ต่างกันออกไป ด้วยพื้นที่เปิดกว้างทำให้อากาศถ่ายเทเย็นสบาย อีกทั้งยังมีพื้นที่สีเขียว (Green Area) ที่ออกแบบไว้อย่างลงตัวทั้งในส่วนทางเดิน จุดนั่งพัก และชั้นดาดฟ้าที่ออกแบบเป็นโซน Rooftop Garden พื้นที่ด้านนอกตกแต่งด้วยต้นไม้นานาชนิดเพื่อเพิ่มบรรยากาศสวนสไตล์สบายๆ นั่นทำให้เดอะ ไบรท์ เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ต้นแบบของการใช้ชีวิตแบบคนเมืองรุ่นใหม่ รักความทันสมัยและใส่ใจในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีความพิเศษที่ผสมผสานการใช้หลอดไฟให้เกิดเป็นงานศิลปะสมัยใหม่เข้าไว้ในตัวมอลล์ อย่างการตกแต่งสถานที่ด้วยโคมไฟดีไซน์ต่างๆ และยังมีผลงานศิลปะจากหลอดไฟตั้งหลายจุดภายในโครงการเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของความสว่างสดใสที่ เดอะ ไบรท์นำมาให้กับชีวิตของคนในย่านนี้ นอกจากนี้ยังมีความพิเศษที่ผสมผสานการใช้หลอดไฟให้เกิดเป็นงานศิลปะสมัยใหม่เข้าไว้ในตัวมอลล์ อย่างการตกแต่งสถานที่ด้วยโคมไฟดีไซน์ต่างๆ และยังมีผลงานศิลปะจากหลอดไฟตั้งหลายจุดภายในโครงการเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของความสว่างสดใสที่ เดอะ ไบรท์นำมาให้กับชีวิตของคนในย่านนี้ สำหรับโปรโมชั่นฉลองการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษสุดไบรท์ 2 ต่อทันที ต่อที่ 1 เพียงใช้บริการร้านอาหารที่ร่วมรายการ Delight Dining รับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษทันที 50% (เฉพาะ 10 ท่านแรก ในวันที่ 14-16 มีนาคม 2559) ต่อที่ 2 เพียงช้อปหรือชิม ร้านอาหารภายในศูนย์มูลค่า 500 บาทขึ้นไป รับคูปอง 1 ใบเขียนชื่อ-ที่อยู่ ลุ้นรับรางวัลมากมาย รวมมูลค่าถึง 170,500 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำหรับโปรโมชั่นฉลองการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษสุดไบรท์ 2 ต่อทันที ต่อที่ 1 เพียงใช้บริการร้านอาหารที่ร่วมรายการ Delight Dining รับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษทันที 50% (เฉพาะ 10 ท่านแรก ในวันที่ 14-16 มีนาคม 2559) ต่อที่ 2 เพียงช้อปหรือชิม ร้านอาหารภายในศูนย์มูลค่า 500 บาทขึ้นไป รับคูปอง 1 ใบเขียนชื่อ-ที่อยู่ ลุ้นรับรางวัลมากมาย รวมมูลค่าถึง 170,500 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ “เป้าหมายความสำเร็จของเดอะไบรท์ แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนแรก คือ ผู้เช่าพื้นที่มีผลประกอบการที่ดีและเติบโตไปพร้อมกับเรา อีกส่วนหนึ่งคือ ทุกคนที่มาเยือนเดอะไบรท์ต้องได้รับความสุขกลับไป เราจึงเป็นซิตี้ ไลฟ์สไตล์ มอลล์ที่ไม่หยุดนิ่งในการเติมสีสันแก่ชีวิตผู้คนผ่านกิจกรรมพิเศษหลากหลาย เพื่อช่วยส่งเสริมการขายแก่ผู้เช่าพร้อมทั้งดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกแห่งให้มาเยือน ภายใต้สโลแกนของเราที่ว่า ” ชีวิตสุดไบรท์ เดอะไบรท์ ซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์ บนถนนพระราม 2″ อวัศยา กล่าวทิ้งท้าย “เป้าหมายความสำเร็จของเดอะไบรท์ แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนแรก คือ ผู้เช่าพื้นที่มีผลประกอบการที่ดีและเติบโตไปพร้อมกับเรา อีกส่วนหนึ่งคือ ทุกคนที่มาเยือนเดอะไบรท์ต้องได้รับความสุขกลับไป เราจึงเป็นซิตี้ ไลฟ์สไตล์ มอลล์ที่ไม่หยุดนิ่งในการเติมสีสันแก่ชีวิตผู้คนผ่านกิจกรรมพิเศษหลากหลาย เพื่อช่วยส่งเสริมการขายแก่ผู้เช่าพร้อมทั้งดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกแห่งให้มาเยือน ภายใต้สโลแกนของเราที่ว่า ” ชีวิตสุดไบรท์ เดอะไบรท์ ซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์ บนถนนพระราม 2″ อวัศยา กล่าวทิ้งท้าย
หลังจากที่ “แลมป์ตั้น กรุ๊ป” ผู้นำนวัตกรรมด้านหลอดไฟของเมืองไทย ได้ประกาศจัดตั้งบริษัทแลมป์ตั้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด อย่างเป็นทางการ ได้เปิดตัวโครงการแรก คือ “เดอะไบรท์” ซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกบนถนนพระราม 2 ซึ่งโครงการดำเนินการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และมีร้านค้าผู้สนใจจองพื้นที่เกือบครบ 100% แล้ว จึงจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มีนาคม 2559 ภายใต้แนวคิด “Brighten up Your Life” เพื่อสร้างชีวิตสุดไบรท์ให้แก่ผู้คนในย่านพระราม 2 ความพิเศษของเดอะไบรท์ คือ คัดสรรร้านค้าชั้นนำมากมายมาไว้ที่นี่ เพราะทำธุรกิจมากว่า 30 ปี ทำให้พบว่ายังขาดสถานที่พบปะแฮงค์เอ้าท์ ที่ไลฟ์สไตล์ชีวิตไม่แตกต่างจากในเมือง เต็มไปด้วยความทันสมัย จึงเป็นที่มาทำให้ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจค้าปลีก ประกอบกับเพื่อรองรับโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมีเนียมที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วย เดอะไบรท์ เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 10 ไร่ บริเวณถนนพระราม 2 ขาออก มีพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 17,000 ตารางเมตร จะเป็นอาคารช้อปปิ้งมอลล์สูง 4 ชั้น สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ได้แบ่งสัดส่วนไว้ชัดเจน ได้แก่ ร้านอาหาร 50% ซึ่งได้รับความร่วมมือจากฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านเบอร์เกอร์คิงที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงร้านอาหารเกรดพรีเมี่ยมที่รังสรรค์สุดยอดเมนูคุณภาพและบรรยากาศดีๆ ไว้บริการลูกค้าอีกมากมาย ตามด้วยส่วนการเงินการธนาคารและการบริการ 20% ร้านที่เกี่ยวกับความงาม เช่นสปา ร้านเสริมความงาม ร้านขายสินค้าเพื่อความงามต่างๆ 10% และส่วนอื่นๆ เช่น สถาบันสอนพัฒนาการเด็ก ร้านอุปกรณ์กีฬา ร้านขายยา ร้านไอที ร้านหนังสือ ร้านขายซีดีเพลงและภาพยนตร์อีก 20% ยิ่งกว่านั้น ยังจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ไว้ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากคอมมูนิตี้มอลล์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น อาคารจอดรถ 7 ชั้น ที่รองรับจำนวนรถได้กว่า 500 คัน เชื่อมต่อกับตัวมอลล์ทุกชั้นให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายสูงสุด ห้องประชุมขนาดใหญ่จุคนได้ถึง 300 คน เหมาะเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ และสัมมนาต่างๆ ตลอดจนมีโซนพื้นที่กีฬาทั้งสนามฟุตบอล และบาสเกตบอล ที่มีมาตรฐานเปิดให้บริการอย่างครบครัน เดอะไบรท์ ใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยหลังจากเราเริ่มเปิดให้บริการ (Soft Launch) เมื่อช่วงปลายปี 2558 พบว่ากระแสตอบรับน่าพอใจมาก มีการเก็บรวมรวมสถิติการเข้าใช้บริการ พบว่า มียอดคนหมุนเวียนถึง 10,000 – 12,000 คนต่อวันในช่วงวันธรรมดา และจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 15,000-20,000 คนในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ “เดอะไบรท์” วางตำแหน่งทางธุรกิจไว้ชัดเจนว่า เป็นซิตี้ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกบนถนนพระราม 2 ที่เจาะลูกค้าระดับพรีเมี่ยม เพราะจากสถิติวิจัยทางการตลาดและรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นหลังเปิดให้บริการช่วง 3 เดือนแรก (ธันวาคม 2558 – กุมภาพันธ์ 2559) ระบุชัดว่า ผู้คนในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยทำงานและครอบครัวมีกำลังซื้อสูง โดยในเขตทั้ง 4 คือ เขตบางขุนเทียน เขตจอมทอง เขตบางแค และเขตภาษีเจริญ มีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 500,000 คนนั้น มียอดซื้อเฉลี่ยอยู่ที่เกือบ 2,000 บาทต่อครั้งต่อคน จึงมั่นใจว่าหลังเปิดตัวโครงการแล้วจะสามารถสร้างรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่มูลค่าประมาณ 80 ล้านบาทในปี 2559
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54789
Retail
กลยุทธ์การตลาดแบบใดที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป สามารถนำมาใช้เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มยอดขายในช่วงเทศกาลตรุษจีน
null
กลยุทธ์การตลาดแบบ O2O (Online to Offline) เดอะมอลล์ กรุ๊ป สามารถใช้กลยุทธ์ O2O เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายในช่วงเทศกาลตรุษจีน ดังนี้: 1. การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์: พัฒนาแอปพลิเคชั่นมือถือที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และรองรับภาษาไทย นำเสนอสินค้ามงคล ของขวัญ อาหาร และชุดเซ่นไหว้สำหรับเทศกาลตรุษจีนหลากหลายประเภทบนแอปพลิเคชั่น เสนอโปรโมชั่นส่วนลด คูปอง และคะแนนสะสมพิเศษสำหรับการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านที่รวดเร็วและตรงเวลา เพิ่มตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต QR Code และ Mobile Banking 2. การผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์: เชื่อมต่อข้อมูลสินค้าและโปรโมชั่นระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ อนุญาตให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และมารับสินค้าที่หน้าร้านได้ เสนอบริการ Click & Collect ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และมารับสินค้าที่จุดรับสินค้าเฉพาะภายในห้าง จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เชื่อมต่อช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น เกมชิงรางวัลบนโซเชียลมีเดีย นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีนบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และบล็อกของเดอะมอลล์ กรุ๊ป กระตุ้นให้ลูกค้าแชร์ประสบการณ์และรีวิวสินค้าบนโซเชียลมีเดีย ตัวอย่าง: เดอะมอลล์ กรุ๊ป สามารถพัฒนาแอปพลิเคชั่นมือถือที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อชุดเซ่นไหว้ อาหารมงคล ของขวัญ และสินค้าอื่นๆ สำหรับเทศกาลตรุษจีนได้ โดยลูกค้าสามารถเลือกเวลาและสถานที่จัดส่งสินค้าได้ตามต้องการ เดอะมอลล์ กรุ๊ป สามารถจัดกิจกรรม "ถ่ายรูปกับจุดประดับตรุษจีนในห้าง ลุ้นรับรางวัล" บนโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมห้างและใช้จ่าย เดอะมอลล์ กรุ๊ป สามารถร่วมมือกับ Influencer บนโซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทสินค้าและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีน ข้อดีของการใช้กลยุทธ์ O2O: เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า: ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและรวดเร็ว: ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้า เลือกสินค้า และสั่งซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ห้าง เพิ่มยอดขาย: ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากขึ้นเมื่อสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าและเลือกสินค้าได้อย่างสะดวก เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: ลูกค้าจะรู้สึกพึงพอใจกับบริการที่สะดวกและรวดเร็ว สรุป: กลยุทธ์ O2O สามารถช่วยให้เดอะมอลล์ กรุ๊ป ดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและรวดเร็วในช่วงเทศกาลตรุษจีน
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54793
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "บูรณาการยักษ์: การผสานบทเรียนจาก 'เมโทร มอลล์' เพื่อเพิ่มมูลค่าในศึกษาการสร้างแบรนด์และค้าปลีกใต้ดิน"
null
การถอดบทเรียนจาก "เมโทร มอลล์" เพื่อปรับกลยุทธ์ในการผนึกแบรนด์ยักษ์และเพิ่มมูลค่าขุมทรัพย์ค้าปลีกใต้ดิน เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นการนำเรียนรู้จากธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมาปรับใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่าง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เต็มที่ขึ้นมากขึ้นอีกเสร็จ ดังนั้น นี่คือแนวคิดที่สามารถนำไปพัฒนาต่อได้: 1. การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า: การผนึกแบรนด์ยักษ์และเพิ่มมูลค่าขุมทรัพย์ค้าปลีกใต้ดินไม่ใช่แค่การขายสินค้าและบริการ แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวที่มีความเชื่อมโยงกับลูกค้า เพื่อให้พวกเขามีความเชื่อมั่นและเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง 2. การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า: การใช้เทคโนโลยีเช่นการติดตามการซื้อขายของลูกค้าและการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าช่วยให้สามารถทำความเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยในการสร้างประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และประทับใจมากขึ้น 3. การสร้างพื้นที่ช้อปปิ้งที่น่าสนใจและเป็นประสบการณ์: การออกแบบพื้นที่ขายสินค้าให้น่าสนใจและเป็นประสบการณ์สำหรับลูกค้า เช่น การใช้งานเทคโนโลยีเสมือนจริง (Augmented Reality) หรือการจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมพิเศษในพื้นที่ขายสินค้า เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ 4. การพัฒนาการบริการหลังการขาย: การให้บริการหลังการขายที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น การให้บริการสนับสนุนลูกค้าที่ดี การจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว และการแก้ไขปัญหาลูกค้าอย่างรวดเร็วและมืออาชีพ 5. การเน้นที่การตลาดแบบโซเชียล: การใช้สื่อโซเชียลในการสร้างความติดตามและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามีความสำคัญมาก เนื่องจากสื่อโซเชียลมีอิทธิพลมากในการสร้างยอดขายและสร้างความนิยมของแบรนด์ 6. การพัฒนาสินค้าและบริการใหม่: การต้องการตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้า การพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่น่าสนใจและเป็นประสบการณ์ จะช่วยเพิ่มมูลค่าของขุมทรัพย์ค้าปลีกใต้ดินอย่างมีประสิทธิภาพการถอดบทเรียนจาก "เมโทร มอลล์" เพื่อปรับกลยุทธ์ในการผนึกแบรนด์ยักษ์และเพิ่มมูลค่าขุมทรัพย์ค้าปลีกใต้ดิน เกิดขึ้นจากการนำแนวคิดและประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมาปรับใช้ในสถานการณ์ใหม่ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการและความเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในยุคสมัยปัจจุบัน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54822
Retail
พรีเซนเตอร์กลุ่มแรกของ โออิชิ ฟู้ด คือใคร
null
ในส่วนของชาเขียวโออิชิการใช้พรีเซนเตอร์เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยครั้ง แต่ทางฝั่งอาหารนี่เป็นครั้งแรกที่ “โออิชิ” มีพรีเซนเตอร์ และพรีเซนเตอร์กลุ่มแรกก็คือนักแสดงจาก LOVE SICK THE SERIES เพราะว่ากลุ่มเป้าหมาย อาหารพร้อมรับประทานหรืออาร์ทีอี (RTE: Ready to Eat) คือวัยรุ่น ดังนั้นจึงต้องเลือกดาราเหล่านี้มาเป็นตัวแทนสินค้า รวมทั้งกิจกรรมพิเศษชิงโชคเดินทางไปญี่ปุ่น แบบลุ้นบิน… ฟินกระจาย! เที่ยวในที่วัยรุ่นใฝ่ฝัน ไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย มีมูลค่าตลาดประมาณ 22,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโต 10-15% ต่อปี ขณะที่ตลาดรวมอาหารพร้อมรับประทานหรืออาร์ทีอี (RTE: Ready to Eat) มีมูลค่าตลาดประมาณ 10,000 ล้านบาท ในช่องทางห้างค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ติดต่อกันมานานกว่า 3-4 ปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี บริษัทฯจึงมีแนวทางและนโยบายสำคัญที่จะรุกตลาดอาหารพร้อมรับประทานทั้งแช่เย็นและแช่แข็งแบบเต็มสูบ” โออิชิ มีรายได้จากธุรกิจอาหาร 8,000 ล้านบาท โดยที่รายได้จากอาหารแช่แข็งเพียง 500 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่รายได้จากร้าน ชาบูชิ อยู่ราวๆ 50% โออิชิจึงต้องเร่งสร้างสัดส่วนรายได้ที่มาจากอาหารพร้อมรับประทานซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี โดยกำลังการผลิตในปัจจุบันแบ่งสินค้าออกเป็น 3 โปรดักท์ 1. โออิชิ เกี๊ยวซ่า (OISHI Gyoza) 2. โออิชิ แซนวิช(OISHI Sandwich) 3. โออิชิ เทรนดี้ โรล (OISHI Trendy Roll) ซึ่งทั้งหมดวางจำหน่ายที่เซเว่นฯเป็นหลัก โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตเพียงร้อยละ 30 คือเกี๊ยวซ่า 14 ล้านชิ้นต่อเดือน, แซนวิช2.4 ล้านชิ้นต่อเดือน, เบเกอรี่ 4 ล้านชิ้นต่อเดือน, ตลอดจนวัตถุดิบและสินค้าที่ส่งให้กับร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือโออิชิ 1,579 ตันต่อเดือน อย่างไรก็ตามถ้าหากเดินเครื่องผลิต 100% คาดว่าจะสามารถผลิตอาหารได้มากกว่าปัจจุบันถึง 2 เท่าตัว กลุ่มเป้าหมายหลักของอาหารชนิดนี้ คือกลุ่มวัยรุ่น ดังนั้นโออิชิจึงเลือกนักแสดงกลุ่ม LOVE SICK THE SERIES กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง, ไวท์-ณวัชร พุ่มโพธิ์งาม และ เงิน-อนุภาษ เหลืองสดใส โดยเหตุผลที่วัยรุ่นหลุ่มนี้ เพราะตอนที่โออิชิเข้าไปสนับสนุนซีรี่ย์ในเรื่องซีซั่นแรก แล้วแฟนคลับจดจำภาพที่โปรดักท์ tie-in เข้าไปได้เป็นอย่างดี แล้เวอามาเป้นบทสนทนาในโลกออนไลน์ เมื่อมาถึงช่วงที่ซีซั่น 2 กำลังออกอากาศประกอบกับมีสินค้าใหม่วางจำหน่ายพอดี จึงเป็นที่มาของแคมเปญ โออิชิ “ทริปตื่นตัว ทัวร์ตื่นเต้น” ทริปท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับนักแสดง ในสถานที่ใหม่ๆ โดนใจวัยรุ่น เช่น หมู่บ้านนินจาอิงะ (Iga Ninja Museum), ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle), และ ปราสาทแฮรี่พอตเตอร์ (The Wizarding World of Harry Potter, Universal Studio) หลังจากทำแคมเปญนี้โออิชิเชื่อว่าจะเพิ่มยอดขายในสินค้าในกลุ่ม RTE ได้เพิ่มขึ้น 100% และทำให้ให้ผู้บริโภคกับคุ้นเคยแบรนด์ เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้านี้ในร้านคอนวีเนี่ยนสโตร์ คือ หยิบสินค้าตามความคุ้นเคย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54833
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "เบียดบังเกมส์: การผจญภัยในโลกของการท้าทายและเล่นเกมส์ในชีวิตประจำวัน"
null
เรื่อง "สิงห์แก้เกม" เป็นเรื่องที่มีสไตล์และความเพลิดเพลินอย่างแนบเนียน เนื้อหาของเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวที่มีการผสมผสานระหว่างความตลกขบขันและความสะท้อนที่ลึกซึ้งในด้านต่าง ๆ ทั้งการมีเป้าหมายในชีวิต ความเป็นตัวของตัวเอง และการสังคมศาสนา หรือการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน ในเรื่อง "สิงห์แก้เกม" จะมีตัวละครหลายคนที่มีลักษณะต่าง ๆ และมีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย เรื่องราวของพวกเขาจะมีการผสมผสานกันในกระแสเรื่องราวหลัก ๆ ของเรื่อง เรื่อง "สิงห์แก้เกม จับ "ติ๊ก เจษ" ประกบ "บัวขาว" ดัน "ซันโว" เบอร์ 2 เกลือแร่" นั้น เสนอเรื่องราวที่ดูเหมือนจะเป็นเกมส์หรือการแข่งขันในชีวิตประจำวัน โดยเอาเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันมาเล่นเป็นตำนานส่วนตัวของตัวละคร โดยเรื่องนี้อาจจะมีลักษณะเป็นเรื่องสั้น ๆ หรือนิยายสั้นที่เน้นการเรียกความสนุกสนานและความน่าตื่นเต้น แนวคิดหลักของเรื่องนี้อาจจะเป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ของตัวละครหลาย ๆ คนที่ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและท้าทายต่าง ๆ ในชีวิต แต่พวกเขากลับมีการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นเลิศในการเจรจาหาทางแก้ไขปัญหา ซึ่งบางครั้งอาจจะมีลักษณะของการเล่นเป็นความลับเพื่อต่อสู้กับความอันตราย หรือจะมีการเสี่ยงโดยไม่รู้ผลลัพธ์ของการแข่งขันกันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น การจับ "ติ๊ก เจษ" หรือการประกบ "บัวขาว" ที่อาจจะเป็นการเล่นเกมส์ หรือการแข่งขันที่มีแรงกดดัน และมีการต่อสู้ความแข็งแกร่ง เพื่อเอาชนะ "ซันโว" เบอร์ 2 เกลือแร่ ในที่สุด การเล่าเรื่องในแนวคิดนี้อาจจะมีการเสนอข้อคิดเรื่องการท้าทายตนเอง การเรียนรู้จากประสบการณ์ และความสำเร็จที่มีค่ามากมายในการเจรจาแก้ไขปัญหา ซึ่งสร้างความหมายและความสุขในชีวิตของตัวละครและผู้อ่านในที่สุด
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54861
Retail
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ ร้านค้าปลีกควรมีกลยุทธ์อย่างไรเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย?
null
1. นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือระดับ: ร้านค้าปลีกควรออกแบบพื้นที่เคาน์เตอร์แบรนด์ให้สวยงาม ดึงดูดใจ พนักงานขายควรได้รับการฝึกอบรมให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและสามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ นำเสนอบริการพิเศษ เช่น การทดสอบสินค้า บริการแต่งหน้า 2. เน้นกลยุทธ์ Omnichannel: ร้านค้าปลีกควรมีช่องทางจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ควบคู่กับหน้าร้าน นำเสนอบริการ Click & Collect ทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ 3. มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ: ร้านค้าปลีกควรวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตน เลือกแบรนด์เครื่องสำอางที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า 4. จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย: ร้านค้าปลีกควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างสม่ำเสมอ เสนอโปรโมชั่นส่วนลด ของแถม กิจกรรมแลกคะแนน จัดเวิร์คช็อป การสอนแต่งหน้า 5. เน้นกลยุทธ์ Personalization: ร้านค้าปลีกควรเก็บข้อมูลลูกค้า นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน เสนอโปรโมชั่นส่วนลด ของแถม กิจกรรมแลกคะแนน ที่ตรงใจลูกค้า ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกสามารถจัดเวิร์คช็อปการสอนแต่งหน้าโดยใช้ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์เคาน์เตอร์แบรนด์ ร้านค้าปลีกสามารถเสนอบริการพิเศษ เช่น บริการจัดส่งสินค้าฟรี บริการห่อของขวัญ ร้านค้าปลีกสามารถนำเสนอโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าสมาชิก ร้านค้าปลีกสามารถนำเสนอแอปพลิเคชั่นมือถือที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ ตรวจสอบสินค้าคงคลัง และรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโปรโมชั่นต่างๆ ผลลัพธ์: ดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขาย สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ ข้อควรระวัง: ร้านค้าปลีกควรคำนึงถึงงบประมาณที่มี ควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ควรติดตามผลและประเมินผลลัพธ์ของกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ โอกาส: ตลาดเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์มีแนวโน้มเติบโต ผู้บริโภคมีความสนใจในการดูแลตัวเองมากขึ้น ช่องทางออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ความท้าทาย: การแข่งขันในตลาดสูง ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น เศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค บทสรุป: ร้านค้าปลีกควรมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายในตลาดเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ที่แข่งขันรุนแรง กลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่ การนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือระดับ เน้นกลยุทธ์ Omnichannel มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และเน้นกลยุทธ์ Personalization
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54874
Retail
โมเดลคอนวีเนี่ยนสโตร์ 365 ของเทสโก้ โลตัส ทดลองเปิดสาขาแรกที่ประตูน้ำ และตั้งเป้าจะเปิดให้ครบ 5 สาขา ในทำเลที่แตกต่างกัน เพื่ออะไร
1. เป็นทางเลือกชิงส่วนแบ่งตลาด 2. ศึกษาถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและผลตอบรับ 3. ต้องการเติมเต็มทุกเซ็กเมนต์ค้าปลีก 4. ดึงซัพพลายเออร์สินค้าและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจมาทำตลาดร่วมกัน
คำตอบได้แก่ 2. เพราะว่า เพราะโมเดลคอนวีเนี่ยนสโตร์ 365 ของเทสโก้ โลตัส ทดลองเปิดสาขาแรกที่ประตูน้ำ และตั้งเป้าจะเปิดให้ครบ 5 สาขา ในทำเลที่แตกต่างกัน เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและผลตอบรับ เทสโก้ได้ตั้งบริษัทในเครือเพื่อเข้ามาบริหารและจัดการร้านโมเดล 365 โดยเฉพาะ และอยู่ระหว่างรับสมัครพนักงานจำนวนมาก และชูจุดขายการเป็นร้านสะดวกซื้อที่ทันสมัย รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ รวมถึงการใช้ความแข็งแกร่งของเทสโก้ ในการดึงซัพพลายเออร์สินค้าและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจมาทำตลาดร่วมกัน 365 จะย้ำแบรนด์ด้วยสโลแกนอิ่มสะดวกทางเลือกใหม่ อิ่มทุกวัน สะดวกทุกวัน ชนกับอิ่มสะดวก เซเว่นอีเลฟเว่นโดยตรง และช่วงแรกจะมีโปรโมชั่นเต็มรูปแบบเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาให้สัมผัสและรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นตั๋วรถเมล์มีค่าส่วนลดซื้อสินค้า หรือโปรโมชั่นร่วมกับเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ และรับจ่ายบิลค่าบริการต่าง ๆ ในราคา 3 บาท แบรนด์ 365 เป็นโมเดลคอนวีเนี่ยนสโตร์เต็มตัวของเทสโก้ โลตัส โดยทดลองเปิดสาขาแรกที่ประตูน้ำ มาประมาณ 1 เดือน ตั้งเป้าจะเปิดให้ครบ 5 สาขา ในทำเลที่แตกต่างกัน เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและผลตอบรับ คาดว่าต้องใช้เวลาทดลองตลาด 6 เดือน นอกจากประเทศไทย ยังได้ทดลองเปิดร้าน 365 ในเกาหลีควบคู่กัน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศต่างเป็นตลาดหลักของเทสโก้ รวมถึงเอเชียที่มีการเติบโตสูง
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54916
Retail
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) มีกิจกรรม ฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนของจังหวัดระยอง อะไรบ้าง ?
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) สานต่อภารกิจเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ผนึกกำลังเปิดโครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย” (Foster Future Forests) ผ่านความร่วมมือกับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และจังหวัดระยอง ร่วมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ รวมถึงชุมชนในจังหวัดระยอง มุ่งฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ 100 ไร่ ซึ่งยังไม่ได้รับการพัฒนาในบริเวณป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ หวังส่งเสริมความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของจังหวัดระยองผ่านแนวทางแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน พร้อมต่อยอดองค์ความรู้สู่พื้นที่ต้นแบบของการฟื้นฟูระบบนิเวศในอนาคต ป่าชายเลน ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก โดยจากข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งระบุว่า พื้นที่ป่าชายเลนในประเทศไทยสามารถดูดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงปีละกว่า 9.4 ตันต่อไร่ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดระยองมีแนวโน้มลดลง ดังนั้นโครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืนสู่ผืนป่าไทย” จึงถือเป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนของจังหวัดระยอง โดยมีแผนดำเนินการในระยะยาว 10 ปี พร้อมแบ่งกิจกรรมออกเป็น 5 ส่วน ตั้งแต่ออกแบบแผนฟื้นฟูป่าในเมืองตามหลักวิทยาศาสตร์ (Science Base Target) การสร้างองค์ความรู้เรื่องการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตให้กับชุมชน การจัดทำแผนติดตามและประเมินผล ศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงยกระดับการรับรู้ในวงกว้าง พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้ชุมชน พนักงานของทั้ง 3 บริษัท ไปจนถึงสังคมโดยรอบ โครงการฯ มุ่งสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชน ทั้งการทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียน เสริมความแข็งแกร่งและสนับสนุนทางด้านอาชีพให้ชุมชนมีรายได้มากขึ้น พร้อมผสานการใช้เทคโนโลยี เช่น การใช้โดรน เพื่อวัดผลสำเร็จอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ โดยภายในงาน ได้เปิดให้ผู้เข้าร่วมได้ชมและมีส่วนร่วมในกิจกรรมบูรณาการทางด้าน STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) กับสิ่งแวดล้อม กับโครงการ GLOBE (Global Learning and Observations to Benefit the Environment Program) ขององค์การ NASA (The National Aeronautics and Space Administration) พร้อมจัดกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ สะท้อนการสร้างความยั่งยืนของโครงการผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งและเทคโนโลยีล้ำสมัย ด้าน มร. โรเบิร์ต โจเซฟ โดบริค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “ในฐานะบริษัทที่ดำเนินกิจการในพื้นที่จังหวัดระยอง เรามุ่งมั่นสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของจังหวัดอยู่เสมอ ดังนั้นในทุกกระบวนการดำเนินงานของโครงการฯ บริษัทฯ จึงทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จังหวัดระยอง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง สำนักงานประมงจังหวัดระยอง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานระยอง รวมถึงหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และกลุ่มอนุรักษ์ต่าง ๆ พร้อมวางแผนพัฒนาพื้นที่ให้เป็นป่าในเมืองสำหรับคนระยอง พร้อมจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนและยังจะมีการทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนในพื้นที่ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าชายเลนเข้าไปในหลักสูตร ไปจนถึงเสริมทักษะอาชีพทั้งด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อต่อยอดความยั่งยืนในระยะยาว” นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า “ทุกโครงการเพื่อสังคมของเชฟรอน เราให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ผ่านการสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน โดยจุดเด่นของโครงการฯ นี้ คือการทำการศึกษา วิจัย และออกแบบเพื่อการสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาพื้นที่ป่าชายเลนที่เหมาะกับสภาพทางภูมิศาสตร์และระบบนิเวศวิทยาของระยอง และการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในหลากหลายด้าน โดยเรามีเครือข่ายด้านวิชาการที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่สมาคมส่งเสริมพัฒนากำลังคนสเต็มเพื่ออนาคต (IAFSW) คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ เพื่อวางแผนดำเนินการที่เหมาะสมกับป่าชายเลนแห่งนี้ พร้อมติดตามและประเมินผลด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงคำนวณปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ชดเชยจากโครงการฯ โดยเราหวังว่าพลังคนจากทุกภาคส่วน จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้โครงการเดินหน้าบรรลุเป้าหมายการสร้างพื้นที่ป่าในเมืองได้สำเร็จ” มร. ชาแชงค์ นานาวาติ ประธานและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “การสร้างโอกาสเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายด้านการลดคาร์บอน มีความสำคัญอย่างมากสำหรับบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คาลเท็กซ์ในประเทศไทย บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นพัฒนาสุขภาวะของสังคมและดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อ ลื่นภายใต้แบรนด์ “คาลเท็กซ์” ตลอดระยะเวลากว่า 75 ปี ในประเทศไทย ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย” ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ผนึกกำลังขับเคลื่อนการลดคาร์บอนและเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านการปลูกป่าชายเลนเพิ่มพื้นที่สีเขียวและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า ความสำเร็จของโครงการครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากการร่วมมือรวมพลังอย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วน ทั้งภาคีภาครัฐ ชุมชน รวมถึงการผนึกความร่วมมืออย่างแข็งแกร่งจากทั้ง 3 บริษัท โดยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของพนักงานทั้งการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และอาสาสมัครร่วมโครงการเพื่อสร้างความตระหนักรู้ และกระชับความสัมพันธ์ของพนักงานทั้ง 3 องค์กร” นายกำธร เวหน ปลัดจังหวัดระยอง กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมในฐานะตัวแทนประชาชนจังหวัดระยองทุกท่านรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทด้านพลังงานอย่างบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด และ SPRC ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่ของเรา โดยป่าชายเลน ถือเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของจังหวัดระยอง ทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยว และที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก รวมถึงเป็นแนวป้องกันชายฝั่งจากการกัดเซาะและกำบังคลื่นพายุได้เป็นอย่างดี โดยผมเชื่อมั่นว่า โครงการฯ ดังกล่าวจะสามารถสร้างประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นคืนระบบนิเวศป่าชายเลนในพื้นที่ และมอบประโยชน์โดยอ้อมผ่านการสร้างอาชีพ และปลูกฝังจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ให้กับชุมชนของเราได้อย่างมั่นคง” นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า “เป้าหมายของกรมฯ ในการฟื้นฟูป่าชายเลน 300,000 ไร่ ในพื้นที่ 23 จังหวัด ภายใน 10 ปี ระหว่างปี 2565 – 2574 เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก โดยได้รับประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตนั้น จะเกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานท้องถิ่น ชุมชน และเอกชน โดยโครงการ ‘เติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย’ ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างการบูรณาการและการสานความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนอย่างยั่งยืน โดยผมหวังว่าโครงการฯ จะช่วยสร้างประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งการเพิ่มพื้นที่ป่า เพิ่มความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้และระบบนิเวศวิทยา และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างรายได้และประโยชน์ต่อชุมชนและประชาชน ให้สามารถประกอบอาชีพตามวิถีชุมชนในเขตป่าชายเลนได้ต่อไป” โครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย” ถือเป็นหมุดหมายครั้งสำคัญของ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฟื้นคืน “ป่าในเมือง” ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชุมชน โดยการดำเนินโครงการฯ นี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ในก้าวถัดไปของการเก็บเกี่ยวองค์ความรู้และแนวทางการฟื้นฟูระบบนิเวศที่จะเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่อื่น ๆ เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ป่าชายเลนแห่งนี้ สู่ต้นแบบพื้นที่ดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญของประเทศไทยต่อไปในอนาคต
ป่าชายเลน ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก โดยจากข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งระบุว่า พื้นที่ป่าชายเลนในประเทศไทยสามารถดูดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงปีละกว่า 9.4 ตันต่อไร่ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดระยองมีแนวโน้มลดลง ดังนั้นโครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืนสู่ผืนป่าไทย” จึงถือเป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนของจังหวัดระยอง โดยมีแผนดำเนินการในระยะยาว 10 ปี พร้อมแบ่งกิจกรรมออกเป็น 5 ส่วน ตั้งแต่ออกแบบแผนฟื้นฟูป่าในเมืองตามหลักวิทยาศาสตร์ (Science Base Target) การสร้างองค์ความรู้เรื่องการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตให้กับชุมชน การจัดทำแผนติดตามและประเมินผล ศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงยกระดับการรับรู้ในวงกว้าง พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้ชุมชน พนักงานของทั้ง 3 บริษัท ไปจนถึงสังคมโดยรอบ โครงการฯ มุ่งสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชน ทั้งการทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียน เสริมความแข็งแกร่งและสนับสนุนทางด้านอาชีพให้ชุมชนมีรายได้มากขึ้น พร้อมผสานการใช้เทคโนโลยี เช่น การใช้โดรน เพื่อวัดผลสำเร็จอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ โดยภายในงาน ได้เปิดให้ผู้เข้าร่วมได้ชมและมีส่วนร่วมในกิจกรรมบูรณาการทางด้าน STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) กับสิ่งแวดล้อม กับโครงการ GLOBE (Global Learning and Observations to Benefit the Environment Program) ขององค์การ NASA (The National Aeronautics and Space Administration) พร้อมจัดกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ สะท้อนการสร้างความยั่งยืนของโครงการผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งและเทคโนโลยีล้ำสมัย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54922
Retail
สยามพิวรรธน์เสริมความแข็งแกร่ง Global Ecosystem อย่างไร ?
กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เดินหน้าผนึกพลังกับ 7 พันธมิตรค้าปลีกยักษ์ใหญ่ระดับโลกและ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับ Hyundai Department Store เชื่อมสิทธิประโยชน์เหนือระดับให้กับผู้ใช้บริการของศูนย์การค้าสู่ ONESIAM SuperApp และในเวลาเดียวกันสามารถดึงดูดนักช้อปสมาชิกของพันธมิตรค้าปลีกจากประเทศต่างๆ เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในศูนย์การค้ากลุ่มสยามพิวรรธน์ พร้อมกันนี้ อาลีเพย์ (Alipay), Klook และ ทริปดอทคอม กรุ๊ป (Trip.com Group) ร่วมยกระดับประสบการณ์แบบไร้รอยต่อของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น พร้อมสิทธิพิเศษ เพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวจีนและทั่วโลก นางสรัลธร อัศเวศน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด “สยามพิวรรธน์ได้ใช้กลยุทธ์ Collaborate to Win เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ผนึกพันธมิตรและคู่ค้าระดับผู้นำธุรกิจทั้งในประเทศและนานาประเทศทั่วโลก เพื่อสร้างระบบนิเวศแห่งความสำเร็จร่วมกันและเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจอย่างไร้ขีดจำกัด โดยสยามพิวรรธน์เป็นคนแรกที่ริเริ่มในการจับมือพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในระดับโลกเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับและสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเยี่ยมเยือนอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ อาทิ สยามพารากอน ได้รับรางวัลแบรนด์ยอดนิยมในหมวด Tourist Attraction Mall จากการมอบรางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2023” และล่าสุดกับ รางวัล “Best Luxury Lifestyle Mall” ศูนย์การค้าที่รวบรวมแบรนด์ระดับ Luxury ที่ครบครันมากที่สุดในประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นศูนย์การค้าระดับพรีเมี่ยมที่โดดเด่นที่สุด เป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นผู้นำที่ครองฐานกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทย” สยามพิวรรธน์เสริมความแข็งแกร่ง Global Ecosystem ด้วยการผสานความร่วมมือกับ 7 พันธมิตรค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในประเทศท่องเที่ยวระดับโลก และยังอยู่ระหว่างการหารือถึงความร่วมมือในการเป็นพันธมิตรกับ Hyundai Department Store เพื่อมาเสริมสร้างความพิเศษเหนือระดับที่จะมอบให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ (Global Privilege Partnership) Global Privilege Partnership เป็นการจับมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ได้แก่ ศูนย์การค้า PARCO ประเทศญี่ปุ่น TAIPEI 101 ไต้หวัน Hong Kong Times Square ฮ่องกง ห้างสรรพสินค้า ION Orchard ประเทศสิงคโปร์ Pavilion Kuala Lumper ประเทศมาเลเซีย Plaza Indonesia ประเทศอินโดนีเซีย และ FOSUN สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งศูนย์การค้า การท่องเที่ยว และบริการด้านสุขภาพ เพื่อเพิ่มความคุ้มค่าในด้านสิทธิประโยชน์แก่สมาชิก VIZ ที่มี ONESIAM SuperApp โดยมีสิทธิพิเศษได้แก่ การอัปเกรดสถานะสมาชิกเทียบเท่าสถานะสมาชิกระดับพรีเมี่ยมเพื่อรับสิทธิประโยชน์สูงสุด Welcome Gift พร้อมบริการที่สุดพิเศษซึ่งอำนวยความสะดวกสบายสูงสุด ได้แก่ บริการผู้ช่วยส่วนบุคคลที่จะคอยแนะนำบริการต่างๆ ภายในศูนย์การค้า บริการ Exclusive Lounge บริการรถลีมูซีนรับ-ส่ง เมื่อช้อปครบตามกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของบริการ ณ ศูนย์การค้าในประเทศนั้นๆ โดยความร่วมมือระหว่างสยามพิวรรธน์และพันธมิตรต่างๆ ระดับโลกในครั้งนี้จะส่งผลให้มีลูกค้าที่สามารถรับสิทธิประโยชน์ได้กว่า 4 ล้านคนต่อปี Mr. Vernon Ma, Senior Manager – Promotions & Centre Operations, Hong Kong Times Square : “ความร่วมมือในครั้งนี้เหนือกว่าการช้อปปิ้งและไดน์นิ่ง แต่เป็นการสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ ที่เราได้ร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์และสร้างความผูกพันกันอย่างใกล้ชิด” Ms. Yeo Mui Hong, Chief Executive Officer, ION Orchard ประเทศสิงคโปร์ : “ความร่วมมือในครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดพื้นฐานที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์ในการสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ขึ้นสำหรับลูกค้าสมาชิกของเรา รวมทั้งช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับจุดหมายปลายทางของเราด้วย” Ms.Yoko Nakata, General Manager of Global Marketing Department , Parco ประเทศญี่ปุ่น : “เราผนึกความร่วมมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็น เรามั่นใจว่าความพิเศษของความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับแหล่งทรัพยากรอันทรงคุณค่าของญี่ปุ่นในหลายๆ สถานที่ รวมทั้งช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวทั่วภูมิภาคเอเชีย” Ms. Kung Suan Ai, Director of Marketing, Pavilion Kuala Lumper ประเทศมาเลเซีย : “ความร่วมมือในครั้งนี้กับสยามพิวรรธน์ได้ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง และยังรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสใหม่ๆ สำหรับความร่วมมือในอนาคตด้วย” Mr. Zamri Mamat, General Manager Marketing, Plaza Indonesia ประเทศอินโดนีเซีย : “เราเสนอโปรโมชั่นพิเศษและสิทธิประโยชน์ซึ่งมีประโยชน์ต่อทั้งลูกค้าและศูนย์การค้าของเรา เราหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะส่งผลในเชิงบวกต่อธุรกิจโดยรวมในภูมิภาค” Ms. Annie Lee, Senior Director & Head of Mall Marketing, TAIPEI 101 ไต้หวัน : “ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการค้าปลีก แต่ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของไทยและไต้หวันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศได้รับชัยชนะทั้งสองฝ่าย” Mr. Yao Yuan, Principle Director of CRM and Lifestyle Project Director, Fosun, สาธารณรัฐประชาชนจีน : “เราทั้งสองฝ่ายมีวิสัยทัศน์ในการนำเสนอประสบการณ์ระดับเยี่ยมยอดให้กับลูกค้าในระดับสากล ปฏิเสธไม่ได้ว่าความร่วมมือกับสยามพิวรรธน์จะช่วยเพิ่มความสะดวกและมอบประสบการณ์ที่มากขึ้นให้กับลูกค้าของเรา” Global Privilege Partnership ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการมอบประสบการณ์แปลกใหม่ที่หลากหลายและมีความพิเศษที่จะทำให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ในเจเนอเรชั่น Y และ Z ได้อย่างตรงใจ พร้อมไฮไลท์สำคัญคือ การที่สมาชิก VIZ ไปแสดงสถานะสมาชิกเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และโรงแรมในเครือกลุ่มพันธมิตร จะได้รับสิทธิพิเศษเสมือนเป็นลูกค้าระดับบนของห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และโรงแรมในเครือ ในขณะเดียวกัน แคมเปญนี้จะสามารถดึงดูดนักช้อปสมาชิกของพันธมิตรค้าปลีกจากประเทศต่างๆ เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในศูนย์การค้ากลุ่มสยามพิวรรธน์ ได้เช่นกัน นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังได้ร่วมมือกับอาลีเพย์, Klook และทริปดอทคอม กรุ๊ป ที่เชื่อมั่นในศักยภายของกลุ่ม ซึ่งเกิดจากบทพิสูจน์ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือน และยอดจับจ่ายของฐานลูกค้านักช้อปสูงเป็นอันดับต้นของประเทศ ได้ร่วมมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์เหนือระดับให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและทั่วโลก นายสิทธิพงษ์ กิตติประภาพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป ด้าน Global Merchant Partnership ประจำประเทศไทย บริษัท แอนท์กรุ๊ป (Ant Group) เจ้าของแพลตฟอร์มรับชำระเงินอาลีเพย์ : “เราเห็นสัญญาณที่ดีมากของการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของโลก เราทำงานร่วมกับพันธมิตรในประเทศ อย่างเช่น สยามพิวรรธน์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่จะโปรโมทให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับเลือก และเพิ่ม Visibility เพื่อให้ธุรกิจในประเทศเป็นที่รู้จักมากขึ้น สยามพิวรรธน์และแอนท์ กรุ๊ป มีพันธกิจร่วมกันที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวในประเทศไทยผ่านการใช้นวัตกรรมดิจิทัล เราหวังว่าจะได้ร่วมกันต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้นในเดือนที่จะถึงนี้ เพื่อสร้างปรากฏการณ์ Amazing Thailand” Michael Liu, VP, global shopping business, ทริปดอทคอมกรุ๊ป (Trip.com Group) ผู้นำการให้บริการด้านการจองการท่องเที่ยวออนไลน์ระดับโลก: “Trip.com มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการสร้าง Ecosystem ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้กลับมาพลิกฟื้นและเติบโตอีกครั้ง ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มสยามพิวรรธน์ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและ นักเดินทางจากทั่วโลก” Klook แพลตฟอร์มในการจองกิจกรรมและประสบการณ์การท่องเที่ยว กล่าวว่า ความร่วมมือกับสยามพิวรรธน์เป็นการสร้างปรากฏการณ์ Global Ecosystem ที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มออนไลน์ Klook ซึ่งรวบรวมกิจกรรมและบริการการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมาไว้ในที่เดียว เพื่อมอบประสบการณ์และบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และเชื่อมั่นว่าการผนึกกำลังครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของไทยโดยรวม เชื่อมประสบการณ์และสิทธิประโยชน์สู่ ONESIAM SuperApp กลไกสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ นายปานเทพย์ นิลสินธพ ประธานบริหารสายงานประสบการณ์ลูกค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ONESIAM SuperApp เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างการเติบโตของกลุ่มอย่างก้าวกระโดด เป็น gateway สู่ศูนย์การค้าในเครือของเราทั้งหมดที่ช่วยยกระดับการสร้างประสบการณ์และบริการลูกค้า และสนับสนุนส่งเสริมธุรกิจของร้านค้าและพันธมิตรจากหลายอุตสาหกรรมที่ร่วมใน Global Ecosystem และยังเป็นแอปพลิเคชั่นของศูนย์การค้าแห่งเดียวที่มีสกุลเงินดิจิทัล หรือ VIZ Coins สำหรับการจับจ่ายใช้สอยใน 6 ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ รวมถึงร้านค้าและพันธมิตรที่ร่วมรายการ ONESIAM SuperApp มีจุดเด่นดังนี้ 1. ยกระดับประสบการณ์ให้กับลูกค้าสมาชิกที่สามารถค้นพบกิจกรรม และโปรโมชั่นของศูนย์การค้าได้ก่อนใคร และในปีนี้ได้มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ SNAP & COLLECT เพื่อความสะดวกสบายมากขึ้น ลูกค้าสามารถสะสมยอดใช้จ่ายด้วยการถ่ายรูปใบเสร็จ เพื่อรับ VIZ Coins ผ่านแอปพลิเคชัน 2. เปิดประตูสู่ความพิเศษของศูนย์การค้าในเครือทั้งหมดด้วย Exclusive benefits | Exclusive experience | Exclusive promotions โดย ONESIAM SuperApp นำเสนอสิทธิพิเศษแบบ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่จัดมาเพื่อสมาชิกโดยเฉพาะ นับตั้งแต่ประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟ อาทิ แคมเปญ Clash de Cartier ร่วมกับคาร์เทียร์ (Cartier) ที่กลายเป็น talk of the town ไปจนถึงประสบการณ์สิทธิพิเศษที่คัดสรรสำหรับลูกค้า ONESIAM โดยเฉพาะ ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีเครือข่ายทั้งในประเทศและทั่วโลก อย่างสายการบินชั้นนำของโลก การเปิดตัว ONESIAM Travel Club คอมมูนิตี้สำหรับลักซ์ซูรี่ไลฟ์สไตล์ และการผนึกกำลังร่วมกับ โรงพยาบาลชั้นนำ เป็นต้น 3. เข้าถึงความหลากหลายของ luxury brand ที่มากที่สุดในประเทศไทย เป็นคนแรกที่สามารถซื้อสินค้าที่อยู่ในกระแสความนิยม ของสะสม เช่น Carlyn, Mardi, emis, LEGO ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้ทุกที่ ทุกเวลา สำหรับฟีเจอร์ที่ได้รับความสนใจต่อเนื่อง อาทิ Luxury Chat and Shop เลือกช้อปสินค้าแบรนด์ดังระดับโลก ในศูนย์การค้าในเครือ การคัดสรรสินค้า Collection พิเศษ นับตั้งแต่เปิดตัวในปลายปี 2564 ONESIAM SuperApp ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานลูกค้าให้เติบโตต่อเนื่อง จากการตอบรับแคมเปญการตลาดแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่สร้างสรรค์และโดนใจลูกค้า ทำให้มีสมาชิกมากกว่า 1.7 ล้านราย จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้านคน เติบโต 102% เทียบกับช่วงก่อนเปิดตัวในปลายปี 2564 ขณะที่จำนวน Active member เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 2 เท่า และมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวราว 60,000 บาทต่อคน ทำให้ยอดการใช้จ่ายต่อครั้ง (per transaction) มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 15,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานการจับจ่ายในศูนย์การค้าโดยเฉลี่ย ในปี 2567 ที่จะมาถึงนี้ ONESIAM SuperApp จะมอบบริการและสิทธิพิเศษที่เหนือระดับไปอีกขั้น พร้อมขยาย VIZ Coin ให้ออกไปไกลกว่าธุรกิจรีเทล เชื่อมโยงประสบการณ์ช้อปปิ้งทั้งโลกจริงและโลกดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ
สยามพิวรรธน์เสริมความแข็งแกร่ง Global Ecosystem ด้วยการผสานความร่วมมือกับ 7 พันธมิตรค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในประเทศท่องเที่ยวระดับโลก และยังอยู่ระหว่างการหารือถึงความร่วมมือในการเป็นพันธมิตรกับ Hyundai Department Store เพื่อมาเสริมสร้างความพิเศษเหนือระดับที่จะมอบให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ (Global Privilege Partnership) Global Privilege Partnership เป็นการจับมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ได้แก่ ศูนย์การค้า PARCO ประเทศญี่ปุ่น TAIPEI 101 ไต้หวัน Hong Kong Times Square ฮ่องกง ห้างสรรพสินค้า ION Orchard ประเทศสิงคโปร์ Pavilion Kuala Lumper ประเทศมาเลเซีย Plaza Indonesia ประเทศอินโดนีเซีย และ FOSUN สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งศูนย์การค้า การท่องเที่ยว และบริการด้านสุขภาพ เพื่อเพิ่มความคุ้มค่าในด้านสิทธิประโยชน์แก่สมาชิก VIZ ที่มี ONESIAM SuperApp โดยมีสิทธิพิเศษได้แก่ การอัปเกรดสถานะสมาชิกเทียบเท่าสถานะสมาชิกระดับพรีเมี่ยมเพื่อรับสิทธิประโยชน์สูงสุด Welcome Gift พร้อมบริการที่สุดพิเศษซึ่งอำนวยความสะดวกสบายสูงสุด ได้แก่ บริการผู้ช่วยส่วนบุคคลที่จะคอยแนะนำบริการต่างๆ ภายในศูนย์การค้า บริการ Exclusive Lounge บริการรถลีมูซีนรับ-ส่ง เมื่อช้อปครบตามกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของบริการ ณ ศูนย์การค้าในประเทศนั้นๆ โดยความร่วมมือระหว่างสยามพิวรรธน์และพันธมิตรต่างๆ ระดับโลกในครั้งนี้จะส่งผลให้มีลูกค้าที่สามารถรับสิทธิประโยชน์ได้กว่า 4 ล้านคนต่อปี
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54928
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต
null
โลกเสมือนจริงในสยามพารากอน ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร สยามพารากอน ศูนย์การค้าระดับโลก ได้เปิดตัวพื้นที่ใหม่ "SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX" เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต บนชั้น 4 พื้นที่แห่งนี้เปรียบเสมือนประตูสู่โลกอนาคต เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย นวัตกรรมใหม่ ๆ และกิจกรรมมากมายที่รอให้ผู้คนเข้ามาสัมผัส หนึ่งในผู้มาเยือน "SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX" คือ "พิม" นักศึกษาสาวผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ พิมสนใจเทคโนโลยีและมองหาโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ เธอทราบข่าวการเปิดตัวพื้นที่แห่งนี้จากโซเชียลมีเดีย จึงตัดสินใจมาเยี่ยมชมด้วยตัวเอง เมื่อพิมก้าวเข้าสู่ "SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX" เธอรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปยังโลกอีกมิติ เต็มไปด้วยแสงสี เสียง และผู้คนมากมาย บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและพลังงาน พิมเดินสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ เธอเริ่มต้นที่โซน "DEV CONNECT" คอมมูนิตี้ของเหล่านักพัฒนาเทคโนโลยี พิมได้พูดคุยกับนักพัฒนาหลายคน เรียนรู้เกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ ๆ ในวงการไอที และแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับธุรกิจในอนาคต พิมเดินต่อไปยังโซน "BLOCKCHAIN WEB3 & FINTECH" ที่นี่เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สกุลเงินดิจิทัล และเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบใหม่ พิมรู้สึกทึ่งกับศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้ และเริ่มมองเห็นโอกาสในการนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเธอ ในโซน "NEW TECH" พิมได้พบกับนวัตกรรมใหม่ ๆ มากมาย เช่น หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยี VR เธอได้ทดลองใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ด้วยตัวเอง รู้สึกประทับใจกับความล้ำสมัยและความสะดวกสบาย พิมเริ่มคิดไอเดียใหม่ ๆ สำหรับธุรกิจของเธอ โดยผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ากับสินค้าและบริการ พิมใช้เวลาทั้งวันใน "SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX" เธอได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากมาย พบปะผู้คนมากมาย และได้รับแรงบันดาลใจมากมาย พิมรู้สึกมั่นใจขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจเธอ เธอพร้อมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากที่นี่ไปต่อยอดธุรกิจของเธอให้ประสบความสำเร็จ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54954
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "OR x “โอ้กะจู๋” เปิดตัว Drive – Thru ใน PTT Station สาขาแฟลกชิป วิภาวดี 62 เอาใจคนรักสุขภาพแบบครบวงจร" ให้หน่อยคะ
เทรนด์ผู้บริโภคที่ยังคงมาแรงและมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ การดูแลสุขภาพ ขณะเดียวกันต้องการความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงสินค้าบริการได้ง่ายและครบวงจร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จึงพัฒนารูปแบบพีทีที สเตชั่น (PTT Station) ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ต่อยอดธุรกิจมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน ล่าสุด OR เปิดตัวร้าน “โอ้กะจู๋” ในรูปแบบ Drive – Thru ที่พีทีที สเตชั่น สาขาแฟลกชิป วิภาวดี 62 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าสายสุขภาพ ด้วยคอนเซปท์ ส่งตรงความสดใหม่ถึงมือลูกค้าอย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่ง “โอ้กะจู๋” ในรูปแบบ Drive – Thru เป็นสาขาที่ 2 หลังจากได้เปิดทำการสาขาแรกที่พีทีที สเตชั่น เวสต์วิลเลจ บางใหญ่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า วิเคราะห์จากเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ที่นิยมใช้บริการครบวงจรใกล้บ้าน พร้อมมองหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เข้าถึงง่ายและสะดวก แต่ยังเน้นให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ร้านโอ้กะจู๋ Drive Thru จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ OR มอบให้กับลูกค้าภายใน พีทีที สเตชั่น สาขาแฟลกชิป วิภาวดี 62 แห่งนี้ นอกเหนือจากร้านอาหารและเครื่องดื่มกว่า 15 แบรนด์ ร้าน “โอ้กะจู๋” สาขา พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 มีพื้นที่ใช้สอยขนาด 440 ตารางเมตร รองรับลูกค้าได้กว่า 180 คน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “From Farm to Table” ที่เน้นเสิร์ฟผักออร์แกนิกสดใหม่คุณภาพดีจากสวน พร้อมให้บริการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคทุกรูปแบบ ทั้งแบบ Drive Thru, Dine-In, Takeaway และ Delivery โดยเน้นไปที่เมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งเมนูสลัด สปาเก็ตตี้ อาหารจานเดียว และของทานเล่น รวมไปถึงเมนูพิเศษที่มีขายเฉพาะสาขา Drive Thru อาทิ ฟิชทาโก้แรพ สลัดไก่ย่างโซบะ ข้าวโบล์วแซลมอนกุ้งอะโวคาโด Sweet Potato Fries Fish&Chips ทรัฟเฟิลแฮมชีสโทส และ ACAI BOWL ให้ลูกค้าได้เลือกรับประทานอย่างสะดวก สำหรับการจับมือระหว่าง OR และ โอ้กะจู๋ ปัจจุบันได้มีการบริหารงานร้าน “โอ้กะจู๋” ร่วมกันไปแล้วทั้งสิ้น 4 ร้าน ในรูปแบบสาขาในสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และมีการจำหน่ายอาหารแบบ Grab & Go ผ่านร้าน Café Amazon อีกรวมกว่า 250 สาขา และมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทิศทางธุรกิจของ OR จะมุ่งให้ความสำคัญกับธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น ด้วยการลงทุนสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Business Value Chain และการพัฒนา พีทีที สเตชั่น รูปแบบใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ เป็นต้นแบบในการขยายตัว อย่างเช่น พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 ที่รวบรวมร้านอาหารและเครื่องดื่มกว่า 15 แบรนด์ไว้ที่เดียวกันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร ด้วยรูปแบบสถานีบริการน้ำมันที่เข้าถึงง่าย สะดวก และรวดเร็วในการเข้าใช้บริการ ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าที่มาใช้บริการค้าปลีกมีสัดส่วนมากกว่ามาใช้บริการเติมน้ำมัน ธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR จึงเป็นเรือธงที่จะสร้างรายได้ให้กับกลุ่มมากขึ้น ตามวิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth” หรือ “เติมเต็มโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน” การหาพันธมิตรที่คุณภาพและแบรนด์ที่ดี มาเชื่อมต่อแพลตฟอร์มพลังงานและไลฟ์สไตล์ เสริมความแข็งแกร่งของแต่ละธุรกิจให้สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตผู้บริโภคในอนาคต
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้ปรับตัวเข้ากับเทรนด์ผู้บริโภคที่มีการดูแลสุขภาพและความสะดวกสบายเป็นหลัก โดยเปิดตัวร้าน "โอ้กะจู๋" ในรูปแบบ Drive-Thru ที่สาขาพีทีที สเตชั่น วิภาวดี 62 เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าสายสุขภาพ โดยให้บริการอาหารที่สดใหม่และคุณภาพดี ภายใต้คอนเซ็ปต์ "From Farm to Table" ที่เน้นเสิร์ฟผักออร์แกนิกสดจากสวน และมีเมนูสุขภาพหลากหลาย รวมถึงเมนูพิเศษที่มีให้เลือกหลากหลาย เช่น ฟิชทาโก้แรพ สลัดไก่ย่างโซบะ และ ACAI BOWL ในรูปแบบ Drive-Thru ที่สาขาที่ 2 ของ "โอ้กะจู๋" นี้ โดย OR ได้มุ่งเน้นการขยายตัวในธุรกิจค้าปลีก โดยบริหารร้าน "โอ้กะจู๋" ร่วมกับ OR ทั้งหมด 4 ร้านในรูปแบบสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และมีการจำหน่ายอาหารแบบ Grab & Go ผ่านร้าน Café Amazon มากกว่า 250 สาขา และมีแผนขยายสาขาต่อเนื่อง รวมถึงการมุ่งหาพันธมิตรที่ดีเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ในทิศทางธุรกิจ OR มุ่งสร้างรายได้จากกลุ่มลูกค้าค้าปลีกมากขึ้น ตามวิสัยทัศน์ "Empowering All toward Inclusive Growth" หรือ "เติมเต็มโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน" ด้วยการเน้นที่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตผู้บริโภคในอนาคต
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54980
Retail
ช่วยสรุปบทความ Trade war ทำโลกฝุ่นตลบ แต่ทำไมหุ้นไทยมีโอกาสพุ่งแตะ 1,700 จุดในเดือนมิ.ย.นี้
Trade War ไม่จบสหรัฐฯ -จีน แข่งกันตั้งภาษี เมื่อวันศุกร์ (10 พ.ค. 2562) สหรัฐฯ ตั้งภาษีสินค้าจีนที่จะนำเข้าสหรัฐจาก 10% เป็น 25% มูลค่าประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 2 แสนล้านบาท) เพื่อกดดันจีนในการเจรจาการค้า (แต่เจรจาการค้าไม่สำเร็จ) จนล่าสุดจีนประกาศตั้งกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐฯ ที่ส่งเข้ามาในจีน 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มใช้ 1 มิ.ย. 2562 เช่นกัน ขณะที่ Trade war ยังฝุ่นตลบทางสหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆ จากจีนอีก 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (9.6 ล้านล้านบาท) โดย Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่าจะเจรจาการค้าภายในเดือนมิ.ย. 2562 SCB CIO Office บอกว่า ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ (13 พ.ค. 2562) ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก ตั้งแต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นไทย ขณะเดียวกันราคาน้ำมันโลกปรับลดลง สาเหตุหลักเพราะนักลงทุนกังวลเรื่องสงครามการค้าอาจจะกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้ความต้องการใช้น้ำมันที่ต่ำลง ทั้งนี้เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกติดลบ และความเชื่อมั่นนักลงทุนต่ำลง จะเห็นว่าเงินไหลไปอยูในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น นักลงทุนเข้าซื้อทองคำ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องจับตามองหลังจากนี้ ได้แก่ การเจรจาสงครามการค้า (Trade War) จะมีข้อสรุปอย่างไร? ในวันที่ 11-12 พ.ค. นี้ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐ จะประกาศผลการสอบสวนกรณีการนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วนสหรัฐฯ จากคู่ค้าหลัก เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ภายใต้ Section 232 หรือไม่? ปัจจัยในประเทศ ต้องจับตามอง รายชื่อสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และจับตาการการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) คาดว่าจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี ได้ในช่วงปลายเดือน พ.ค. นี้ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องจับตามองในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีน, ผลผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ยูโรโซน และจีน, ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมัน, ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ, GDP ในไตรมาส 1/2562 ของยูโรโซน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ทิสโก้ชี้หุ้นไทยเตรียมบวก 1,690-1,700 จุด ต่างชาติหอบเงินลงทุนเข้าประเทศ-การเมืองนิ่ง วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ บอกว่า เดือนพ.ค.-มิ.ย. 2562 คาดว่าตลาดหุ้นไทย (​SET) จะมีแนวรับอยู่ที่ 1,630 – 1,650 จุด โดยเฉพาะช่วงมิ.ย. อาจขยับสูงขึ้นคาดว่ามีแนวต้านที่ 1,680 – 1,700 จุด ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเติบโตจาก 2 ปัจจัยบวก คือ ดัชนี MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยเป็น 2.5% จากเดิม 2.3% คาดว่าจะส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าไทย และตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. นี้ (วันที่ MSCI ประกาศการเพิ่มน้ำหนักลงทุน) มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าไทยประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาท ทาง ทิสโก้ประเมินว่ามีหุ้นที่จะได้รับการเพิ่มน้ำหนักได้แก่ SCC – บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) BDMS – บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) CPN – บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPALL – บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) KBANK – ธนาคารกสิกรไทย LH – บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) PTT – บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) BANPU – บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) EGCO – บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) การเมืองไทยมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้เดือนมิ.ย. 2562 นี้คาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ “ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาเงินทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิทุกตลาดในภูมิภาคเอเชียยกเว้นตลาดหุ้นไทย เพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่หลังจากการเมืองไทยเริ่มชัดเจนแล้วจึงเป็นไปได้สูงว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง กลยุทธ์การลงทุนเดือนพ.ค.นี้ แนะนำให้นักลงทุนถือเงินสด 20% และลงทุนในหุ้น 80% ของเงินลงทุนทั้งหมด” นอกจากนี้การลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะในตลาด A-Shares เพราะเป็นหนึ่งในตลาดที่ MSCI ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ทางทิสโก้ คาดว่าตลาดหุ้นจีน A-Shares จะปรับขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2561 ได้อีกครั้ง แม้จะมีความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ แต่เชื่อว่ามาตรการกำแพงภาษีจะถูกยกเลิก (เพราะไม่มีฝ่ายไหนได้ประโยชน์)
Trade War ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงดำเนินต่อไป โดยทั้งสองฝ่ายได้เพิ่มอัตราภาษีสินค้าต่อกัน เมื่อวันศุกร์ที่ 10 พ.ค. 2562, สหรัฐฯ สูงขึ้นภาษีสินค้าจีนจาก 10% เป็น 25% มูลค่าประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกดดันให้จีนเข้าร่วมเจรจาการค้า จีนตอบโต้โดยการตั้งกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ ที่เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2562 Trade War ยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยตลาดหุ้นและราคาน้ำมันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนกังวลว่าสงครามการค้าอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และเสี่ยงทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง ทั้งนี้เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกติดลบ และความเชื่อมั่นนักลงทุนต่ำลง ปัจจัยที่ต้องจับตามองหลังจากนี้ ได้แก่ - การเจรจาสงครามการค้ามีข้อสรุปอย่างไร? - Donald Trump จะประกาศผลการสอบสวนกรณีการนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วนสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคาม ต่อความมั่นคง ภายใต้ Section 232 หรือไม่? - ปัจจัยในประเทศ ต้องจับตามอง รายชื่อสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และจับตาการการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) - ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องจับตามองคือดัชนีต่างๆ ทิสโก้คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะบวกขึ้นที่ระดับ 1,690-1,700 จุด เดือนพ.ค.-มิ.ย. 2562 โดยมีแนวรับที่ 1,630 – 1,650 จุด และแนวต้านที่ 1,680 – 1,700 จุด ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเติบโตจาก 2 ปัจจัยบวก คือ 1. ดัชนี MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยจาก 2.3% เป็น 2.5% ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าไทย เป็นจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. บางหุ้นที่คาดว่าจะได้รับการเพิ่มน้ำหนักได้แก่ SCC, BDMS, CPN, CPALL, KBANK, LH, PTT, BANPU และ EGCO 2. การเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้น ทำให้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในเดือนมิ.ย. 2562 นักลงทุนมีแนวโน้มกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนในเดือนพ.ค.โดยแนะนำให้ถือเงินสด 20% และลงทุนในหุ้น 80% นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-Shares มีโอกาสปรับขึ้น ทิสโก้คาดว่าตลาดหุ้นจีน A-Shares จะสูงขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้าจีน-สหรัฐ แต่คาดว่ามาตรการกำแพงภาษีจะถูกยกเลิก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_55009
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย หาจุดยืนใหม่ มอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ดึงดูดผู้คนให้กลับมา
null
ห้างสรรพสินค้าร้าง: บทเรียนจากอดีต สู่โอกาสในอนาคต ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ กลับเงียบสงัด ไร้ซึ่งผู้คน เหลือเพียงเสียงเพลงบรรเลงจากวิทยุที่ดังก้องไปทั่ว บรรยากาศภายในห้างดูโทรม โคมไฟบางดวงดับ โปสเตอร์เก่าๆ ซีดจาง เต็มไปด้วยฝุ่น ณ ร้านขายของเล่น เด็กชายวัย 10 ขวบ นามว่า "ต้น" กำลังเล่นกับหุ่นยนต์ของเล่นตัวโปรด เขานั่งอยู่บนพื้นหินอ่อนเย็นๆ มองดูห้างร้างด้วยสายตาสงสัย ต้นไม่เคยเห็นผู้คนมากมายในห้างแห่งนี้ เขาเคยได้ยินเรื่องราวจากปู่ย่าตายาย ว่าในอดีต ห้างนี้เคยคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คน ร้านค้ามากมาย สินค้าล้ำสมัย ผู้คนต่างมาจับจ่ายซื้อของ กินข้าว ดูหนัง เล่นเกม เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของครอบครัว ต้นถามปู่ว่า "ทำไมห้างนี้ถึงร้างล่ะครับ?" ปู่ตอบว่า "หลายสาเหตุนะ หลักๆ ก็คือ ผู้คนนิยมซื้อของออนไลน์มากขึ้น ห้างสรรพสินค้าเลยปรับตัวไม่ทัน ร้านค้าทยอยปิด รายได้ห้างลดลง สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลง" ต้นรู้สึกสงสัยและอยากเรียนรู้เพิ่มเติม เขาเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้าร้าง ศึกษาโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ พฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล และเทรนด์ต่างๆ ในอนาคต ต้นค้นพบว่า ห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ผู้คนเปลี่ยนมาซื้อของออนไลน์มากขึ้น ห้างต้องหาจุดยืนใหม่ ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย มอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ดึงดูดผู้คนให้กลับมา ต้นมีความฝัน เขาอยากฟื้นฟูห้างสรรพสินค้าร้างแห่งนี้ ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาคิดไอเดียใหม่ๆ มากมาย เช่น เปลี่ยนห้างเป็นพื้นที่ Co-working Space สำหรับคนรุ่นใหม่ เปิดพื้นที่สำหรับ Start-up นำเสนอสินค้าและบริการที่ล้ำสมัย จัดงานอีเวนต์และเวิร์คช็อปที่น่าสนใจ เนรมิตพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะในร่ม สนามเด็กเล่น พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง ต้นเริ่มต้นลงมือทำ เขารวบรวมข้อมูล เขียนแผนธุรกิจ นำเสนอต่อนักลงทุน หาพันธมิตร พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบดั้งเดิม หลังจากผ่านความยากลำบาก อุปสรรคมากมาย ในที่สุด ห้างสรรพสินค้าร้างก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เต็มไปด้วยผู้คน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เต็มไปด้วยร้านค้า สินค้า และบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55033
Retail
ข้อใดเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า
a. การค้าโลกชะลอตัวลง b. สินทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น c. การค้าโลกชะลอตัวลง d. ราคาทองคำคงที่
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ c. เนื่องจาก การค้าโลกชะลอตัวลง โดย สงครามการค้าทำให้เกิดผลกระทบใน 3 ช่องทางสำคัญ คือ การค้าโลกชะลอตัวลง ความเชื่อมั่นถูกบั่นทอนลง ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น เนื่องจาก เข้าสู่ปี 2019 เศรษฐกิจโลกยังโดนประเด็นสำคัญอย่างสงครามการค้ากดดันต่อจากปี 2018 แน่นอนว่าผลกระทบนี้ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยต่อ โดย SCB EIC ได้ปรับประมาณการณ์การเติบโตของ GDP ไทยลงมาเหลือเพียงแค่ 3.8% และยังได้ปรับเป้าการส่งออกของไทยลดลงด้วย ผลกระทบดังกล่าวทำให้ต้องมีการปรับตัวเลขทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการเติบโต GDP ของจีนอาจเหลือแค่ 6.2% เท่านั้น และได้รับผลจากสงครามการค้ามากกว่าที่คิด ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ถดถอย นอกจากนี้ยังได้ปรับประมาณการณ์ GDP ของไทยในปีนี้จะเติบโตแค่ 3.8% ด้วย
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_55095
Retail
กลยุทธ์การตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่มุ่งเป้าไปที่วัยรุ่นนั้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
ตลาดบุหรี่ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น สาเหตุหลักมาจากกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มนี้ ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพและท้าทายกฎหมาย ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. ความเสี่ยงต่อสุขภาพ: การสูบบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในวัยรุ่น ซึ่งร่างกายยังไม่พัฒนาเต็มที่ การใช้นิโคตินส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง ระบบประสาท และหัวใจ ส่งผลต่อพฤติกรรม การเรียน และสุขภาพจิตในระยะยาว 2. กฎหมายเข้มงวด: หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ ตระหนักถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าต่อวัยรุ่น จึงออกกฎหมายควบคุมการโฆษณา การขาย และการใช้งาน ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าเหล่านี้ 3. ภาพลักษณ์ทางธุรกิจ การจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับวัยรุ่น อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจค้าปลีก ลูกค้าอาจมองว่าร้านค้าไร้ความรับผิดชอบ สนับสนุนพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อวัยรุ่น 4. กลยุทธ์การตลาดที่ผิดจริยธรรม: ผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าหลายราย ใช้กลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเป้าไปที่วัยรุ่น ใช้ภาพลักษณ์ที่น่าสนใจ ดารา หรืออินฟลูเอนเซอร์ ดึงดูดให้วัยรุ่นอยากลองใช้สินค้า โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อสุขภาพ 5. ผลกระทบต่อยอดขาย: กฎหมายที่เข้มงวด ภาพลักษณ์ที่เสียหาย และกลยุทธ์การตลาดที่ผิดจริยธรรม ส่งผลต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า 6. ทางเลือกใหม่: ธุรกิจค้าปลีกสามารถหันมาจำหน่ายสินค้าทดแทนบุหรี่ไฟฟ้า เช่น หมากฝรั่งนิโคติน แผ่นแปะนิโคติน หรือ ลูกอมที่มีส่วนผสมของนิโคติน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพน้อยกว่า 7. ความรับผิดชอบต่อสังคม: ธุรกิจค้าปลีกมีบทบาสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภค ควรมีนโยบายที่ชัดเจน ไม่สนับสนุนการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับวัยรุ่น 8. มุมมองของผู้บริโภค: ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ธุรกิจค้าปลีกควรปรับกลยุทธ์การตลาด มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขภาพ 9. โอกาสทางธุรกิจ: ธุรกิจค้าปลีกสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้เลิกสูบบุหรี่ 10. อนาคตของธุรกิจ: อนาคตของธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับกฎหมาย กลยุทธ์การตลาด และความรับผิดชอบต่อสังคม
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55099
Retail
ห้างเซ็นทรัลปรับโฉมใหม่ พลิกประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบเดิมๆ นำร่องทยอยปรับแล้วหลายสาขา โดยได้เพิ่มโซนใหม่ ๆ และบริการใหม่ ๆ อะไรบ้าง
ห้างเซ็นทรัลปรับโฉมใหม่ พลิกประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบเดิมๆ ต้องเพิ่มโซน และบริการใหม่ๆ ให้ลูกค้าเข้ามาใช้เวลามากขึ้น ไม่ใช่แค่เดินช้อปอย่างเดียว นำร่องทยอยปรับแล้วหลายสาขา ค้าปลีกยุคใหม่ ใครเขามาเดินช้อปอย่างเดียว ในช่วงหลายปีมานี้ได้เห็นการปรับตัวของ “เซ็นทรัลกรุ๊ป” มาตลอด เพราะด้วยสถานการณ์ค้าปลีกในไทยมีทั้งเติบโต แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ไม่น้อย ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการที่ดิจิทัลเข้ามา Disrupt วงการ การปรับตัวนั้นเกิดทั้งในส่วนของธุรกิจออนไลน์ และค้าปลีกออฟไลน์ที่เซ็นทรัลแข็งแกร่ง มีการรีโนเวทปรับโฉมทั้งตัวศูนย์การค้า และห้างสรรพสินค้า มีการเสริมแม็กเน็ตเพื่อดึงลูกค้าให้มาใช้บริการ และอยู่ในศูนย์การค้านานขึ้น เรียกว่าเป็นการ “ใช้ชีวิต” เหมือนบ้านหลังที่ 2 ไม่ใช่สถานที่แค่มาเดินช้อปปิ้งเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปเหมือนในอดีต กลุ่มเซ็นทรัลได้กางแผนการลงทุนครั้งใหญ่ทยอยรีโนเวทศูนย์การค้าตั้งแต่ปี 2559 ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลพลาซา บางนา, เซ็นทรัล มารีนา พัทยา, แพลตฟอร์ม วงเวียนใหญ่ (หรือเซ็นทรัล ลาดหญ้า), เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัลพลาซา พระราม 3 ด้วยงบลงทุนหลายหมื่นล้านบาท หัวใจสำคัญในการรีโนเวทก็คือดีไซน์ที่ทันสมัยขึ้น เป็นดีไซน์ทั้งภายนอกภายใน รวมถึงการปรับ “คอนเทนต์” ภายในศูนย์ คอนเทนต์ในที่นี้คือสินค้า และบริการ มีการเพิ่มร้านอาหารมากขึ้น หรือเป็นบริการที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ให้เป็นมากกว่าการเดินช้อปปิ้งเพียงอย่างเดียว รวมถึงการผนวกดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ เพื่อสร้างเอ็นเกจเมนต์กับลูกค้า และสามารถใช้ดาต้าจากสื่อดิจิทัลให้เป็นประโยชน์ได้อีกด้วย เพราะผู้หญิงเป็นใหญ่! เสริมโซนบิวตี้–สปอร์ตเอาใจสาวๆ ในส่วนของห้างสรรพสินค้าได้มีการปรับโฉมอยู่ไม่น้อย มีการเพิ่มสินค้า และบริการเพื่อรับกับไลฟ์สไตล์กับคนทุกกลุ่ม แต่ที่เห็นว่าจะเป็นกลุ่มสำคัญที่สุดคงจะเป็นกลุ่ม “ผู้หญิง” เพราะเป็นผู้มีอิทธิพลในการใช้จ่ายที่สุดภายในบ้าน เป็นขาช้อปตัวยง ห้างเซ็นทรัลได้เพิ่มไฮไลต์ในแผนก Beauty Galerie ที่เป็นแผนกเครื่องสำอาง น้ำหอมระดับเคาท์เตอร์แบรนด์ ได้เพิ่ม Beauty Zone ที่รวบรวมสินค้าด้านความงามทั้งสกินแคร์ ทำความสะอาดร่างกาย ผิวหน้า อุปกรณ์เสริมความงามต่างๆ สินค้าต่างๆ นี้เป็นสินค้าที่วางจำหน่ายที่เซ็นทรัลแบบ Exclusive เท่านั้น ยังไม่เคยมีเคาท์เตอร์ที่ไหน พร้อมกับบริการทำเล็บ สปามือ ต่อขนตา ทำคิ้ว เป็นการทำบริการให้เป็น One Stop Service มาซื้อของ แล้วมีบริการอื่นๆ ด้วย ตอนนี้ได้มีที่เซ็นทรัล โคราช, เซ็นทรัลพลาซา พระราม 3 และเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว แต่ละที่จะมีบริการไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายในย่านนั้น และพื้นที่ โดยที่โคราชจะมีบริการซาลอนทำผมด้วย เพราะมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ อีกโซนหนึ่งที่รับกับไลฟ์สไตล์ของสาวๆ ยุคนี้ก็คือ Woman’s Activewear เป็นโซนที่รวบรวมชุดออกกำลังกาย แต่มีความเป็นแฟชั่นอยู่หน่อยๆ มีดีไซน์ที่โดนใจสาวๆ รุ่นใหม่ที่ชอบออกกำลังกาย รวมถึงอุปกรณ์ในการออกกำลังกายด้วย ต้องปรับทุกโซนให้รับกับทุกกลุ่มลูกค้า การทำการตลาดยุคนี้จำเป็นต้องเจาะแบบ Personalize หรือสื่อสารเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เพราะการจับกลุ่มแบบกว้างๆ หวังให้เข้าถึงทุกกลุ่มไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว การปรับโฉมของเซ็นทรัลก็ได้ปรับคอนเทนต์ให้เข้ากับทุกกลุ่ม ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และผู้สูงอายุ นอกจากโซนผู้หญิงทีไ่ด้เพิ่มสินค้าที่โดนใจแล้ว กลุ่มผู้ชายก็มีการเพิ่มโซน Men’s Gadget สำหรับรวบรวมแกดเจ็ตต่างๆ ที่ผู้ชายต้องมี เช่น โดรน, สมาร์ทวอร์ช, หูฟัง, ลำโพง เป็นต้น สำหรับกลุ่มเด็กได้มีโซน Kidspace เป็นพื้นที่ให้เด็กๆได้เล่นเครื่องเล่นสามารถเป็นอีกพื้นที่ให้ผู้ปกครองได้มาฝากแล้วไปเดินช้อปปิ้งได้แต่ทางที่ดีควรจะอยู่เฝ้าดีกว่า และในโซนของ HouseWare สินค้าภายในบ้าน เพิ่มโซน Elderly รวมสินค้าเพื่อผู้สูงอายุไว้ ตอบรับกับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังมีมากขึ้นในประเทศไทย รวมถึงมีห้อง Trial Pillow Room หรือห้องลองหมอน เพื่อให้ลูกค้าสามารถลองหนุนหมอนก่อนตัดสินใจซื้อได้ จากที่แต่เดิมไม่เคยมี เป็นการกำจัด Pain Point ของลูกค้าได้ สรุป ตลาดค้าปลีกยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้เล่นในตลาดต้องมีการปรับตัวเพื่อรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน การที่เซ็นทรัลปรับโฉมศูนย์การค้านั้นถือเป็นการช่วยให้แบรนด์ดูทันสมัยอยู่เสมอ ยิ่งช่วยให้ลูกค้ายังคงกลับมาอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มเซ็นทรัลได้กางแผนการลงทุนครั้งใหญ่ทยอยรีโนเวทศูนย์การค้าตั้งแต่ปี 2559 ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลพลาซา บางนา, เซ็นทรัล มารีนา พัทยา, แพลตฟอร์ม วงเวียนใหญ่ (หรือเซ็นทรัล ลาดหญ้า), เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัลพลาซา พระราม 3 ด้วยงบลงทุนหลายหมื่นล้านบาท หัวใจสำคัญในการรีโนเวทก็คือดีไซน์ที่ทันสมัยขึ้น เป็นดีไซน์ทั้งภายนอกภายใน รวมถึงการปรับ “คอนเทนต์” ภายในศูนย์ คอนเทนต์ในที่นี้คือสินค้า และบริการ มีการเพิ่มร้านอาหารมากขึ้น หรือเป็นบริการที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ให้เป็นมากกว่าการเดินช้อปปิ้งเพียงอย่างเดียว การทำการตลาดยุคนี้จำเป็นต้องเจาะแบบ Personalize หรือสื่อสารเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เพราะการจับกลุ่มแบบกว้างๆ หวังให้เข้าถึงทุกกลุ่มไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว การปรับโฉมของเซ็นทรัลก็ได้ปรับคอนเทนต์ให้เข้ากับทุกกลุ่ม ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และผู้สูงอายุ นอกจากโซนผู้หญิงทีไ่ด้เพิ่มสินค้าที่โดนใจแล้ว กลุ่มผู้ชายก็มีการเพิ่มโซน Men’s Gadget สำหรับรวบรวมแกดเจ็ตต่างๆ ที่ผู้ชายต้องมี เช่น โดรน, สมาร์ทวอร์ช, หูฟัง, ลำโพง เป็นต้น สำหรับกลุ่มเด็กได้มีโซน Kidspace เป็นพื้นที่ให้เด็กๆได้เล่นเครื่องเล่นสามารถเป็นอีกพื้นที่ให้ผู้ปกครองได้มาฝากแล้วไปเดินช้อปปิ้งได้แต่ทางที่ดีควรจะอยู่เฝ้าดีกว่า และในโซนของ HouseWare สินค้าภายในบ้าน เพิ่มโซน Elderly รวมสินค้าเพื่อผู้สูงอายุไว้ ตอบรับกับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังมีมากขึ้นในประเทศไทย รวมถึงมีห้อง Trial Pillow Room หรือห้องลองหมอน เพื่อให้ลูกค้าสามารถลองหนุนหมอนก่อนตัดสินใจซื้อได้ จากที่แต่เดิมไม่เคยมี เป็นการกำจัด Pain Point ของลูกค้าได้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55114
Retail
ประเทศไทยมี MR. D.I.Y. เปิดสาขาแรกคือที่ใด
null
ประเทศไทยเป็นประเทศแรก MR. D.I.Y. เปิดสาขาแรกในไทยที่ซีคอน บางแคเมื่อปี 2559 จริงๆ ก็คือได้ทำตลาดมา 2 ปีแล้วแต่ไม่ได้มีการทำการตลาดมากนักในปีนี้จะเป็นการบุกตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น MR. D.I.Y. 2559 2 ตีตลาดร้านทุกอย่าง 20 บาท ในราคาเริ่มต้น 5 บาท 20 5 ร้าน MR. D.I.Y. ได้วางจุดยืนเป็นร้านกลุ่มไลฟ์สไตล์ สินค้าจิปาถะต่างๆ มีตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ ถ้าให้มองคู่แข่งโดยตรงก็คือร้านทุกอย่าง 20 บาทที่ได้เห็นตามตลาดนัด หรือในห้างสรรพสินค้าบางแห่ง รวมไปถึงร้านไลฟ์สไตล์จากต่างแดนที่ตบเท้าเข้ามาในไทยกันอย่างต่อเนื่องทั้ง Miniso, Daiso ที่มีทั้งราคาเดียว และหลายราคา MR. D.I.Y. 20 Miniso, Daiso สินค้าทุกอย่างจะมาจากประเทศจีน แต่ด้วยความที่เป็นธุรกิจสเกลใหญ่ทำให้ดีลกับโรงงานที่ประเทศจีน และได้ในราคาถูก MR. D.I.Y. จึงมีเพดานราคาที่ต่ำ สามารถตั้งราคาที่ต่ำได้จริงๆ ทำให้ร้านชูจุดเด่นเรื่องราคาถูก สินค้าราคาเริ่มต้นที่ 5 บาทไปจนถึงหลักพัน MR. D.I.Y. 5 ภายในร้านมีสินค้ากว่า 20,000 รายการ ครอบคลุม 9 กลุ่ม ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องมือฮาร์ดแวร์, ของใช้ในครัวเรือน, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์ประดับยนต์, ของเล่น, เครื่องเขียน, ของขวัญ, กีฬา, เครื่องประดับและเครื่องสำอาง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55115
Retail
อีคอมเมิร์ซที่มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซสูงมีอุตสาหกรรมอะไรบ้าง ?
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA แถลงตัวเลขคาดการณ์ผลสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซในไทยปี 2560 มูลค่าอีคอมเมิร์ซทั้งสิ้น 2,812,592.03 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นมูลค่าอีคอมเมิร์ซประเภท B2B หรือการซื้อระหว่างองค์กร ประมาณ 1,675,182.23 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59.56% สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ( องค์การมหาชน ) หรือ ETDA แถลงตัวเลขคาดการณ์ผลสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซในไทยปี 2560 มูลค่าอีคอมเมิร์ซทั้งสิ้น 2,812,592.03 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นมูลค่าอีคอมเมิร์ซประเภท B2B หรือการซื้อระหว่างองค์กร ประมาณ 1,675,182.23 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59.56% รองลงมา เป็นมูลค่าของประเภท B2C หรืออีคอมเมิร์ซระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค จำนวนมากกว่า 812,612.68 ล้านบาท หรือ 28.89% และส่วนที่เหลือราว 324,797.12 ล้านบาท หรือ 11.55% เป็นมูลค่าตามธุรกิจประเภท B2G รองลงมา เป็นมูลค่าของประเภท B2C หรืออีคอมเมิร์ซระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค จำนวนมากกว่า 812,612.68 ล้านบาท หรือ 28.89% และส่วนที่เหลือราว 324,797.12 ล้านบาท หรือ 11.55% เป็นมูลค่าตามธุรกิจประเภท B2G เมื่อเทียบมูลค่าอีคอมเมิร์ซระหว่างปี 2560 กับปี 2559 จะพบว่ามูลค่าของประเภท B2B มีการเติบโตขึ้น 8.63% ประเภท B2C ที่โตขึ้น 15.54% เมื่อเทียบมูลค่า อีคอมเมิร์ซระหว่างปี 2560 กับปี 2559 จะพบว่ามูลค่าของประเภท B2B มีการเติบโตขึ้น 8.63% ประเภท B2C ที่โตขึ้น 15.54% ค้าปลีก-ค้าส่ง ครองแชมป์มูลค่าอีคอมเมิร์ซสูงสุด ส่วนของการแบ่งมูลค่าอีคอมเมิร์ซตามประเภทอุตสาหกรรมทั้ง 8 กลุ่ม พบว่าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซสูงที่สุด ได้แก่ ส่วนของการแบ่งมูลค่าอีคอมเมิร์ซตามประเภทอุตสาหกรรมทั้ง 8 กลุ่ม พบว่าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซสูงที่สุด ได้แก่ อันดับที่ 1 อุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่ง มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 869,618.40 ล้านบาท (30.92%) อันดับที่ 2 อุตสาหกรรมการให้บริการที่พัก มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 658,131.15 ล้านบาท (23.40%) อันดับที่ 3 อุตสาหกรรมการผลิต มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 417,207.07 ล้านบาท (14.83%) อันดับที่ 4 อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 404,208.00 ล้านบาท (14.37%) อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมการขนส่ง มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 104,904.28 ล้านบาท (3.73%) อันดับที่ 6 อุตสาหกรรมศิลปะความบันเทิง และนันทนาการ มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 19,716.04 ล้านบาท (0.70%) อันดับที่ 7 อุตสาหกรรมบริการอื่นๆ มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 11,280.33 ล้านบาท (0.43%) อันดับที่ 8 อุตสาหกรรมการประกันภัย มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 2,729.65 ล้านบาท (0.10%) อันดับที่ 1 อุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่ง มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 869,618.40 ล้านบาท (30.92%) อันดับที่ 1 อุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่ง มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 869,618.40 ล้านบาท (30.92%) อันดับที่ 2 อุตสาหกรรมการให้บริการที่พัก มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 658,131.15 ล้านบาท (23.40%) อันดับที่ 2 อุตสาหกรรมการให้บริการที่พัก มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 658,131.15 ล้านบาท (23.40%) อันดับที่ 3 อุตสาหกรรมการผลิต มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 417,207.07 ล้านบาท (14.83%) อันดับที่ 3 อุตสาหกรรมการผลิต มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 417,207.07 ล้านบาท (14.83%) อันดับที่ 4 อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 404,208.00 ล้านบาท (14.37%) อันดับที่ 4 อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 404,208.00 ล้านบาท (14.37%) อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมการขนส่ง มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 104,904.28 ล้านบาท (3.73%) อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมการขนส่ง มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 104,904.28 ล้านบาท (3.73%) อันดับที่ 6 อุตสาหกรรมศิลปะความบันเทิง และนันทนาการ มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 19,716.04 ล้านบาท (0.70%) อันดับที่ 6 อุตสาหกรรมศิลปะความบันเทิง และนันทนาการ มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 19,716.04 ล้านบาท (0.70%) อันดับที่ 7 อุตสาหกรรมบริการอื่นๆ มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 11,280.33 ล้านบาท (0.43%) อันดับที่ 7 อุตสาหกรรมบริการอื่น ๆ มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 11,280.33 ล้านบาท (0.43%) อันดับที่ 8 อุตสาหกรรมการประกันภัย มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 2,729.65 ล้านบาท (0.10%) อันดับที่ 8 อุตสาหกรรมการประกันภัย มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 2,729.65 ล้านบาท (0.10%) ตั้ง e-Commerce Park พัฒนาแรงงานรับตลาดโต ETDA เตรียมจัดตั้ง e-Commerce Park เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร ที่จะเป็นตลาดแรงงานในตลาด e-Commerce ต่อไปในอนาคต ภายใต้การสนับสนุนจากภาครัฐ สถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจ สำหรับการส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซในระดับประเทศอย่างครบวงจร ETDA เตรียมจัดตั้ง e-Commerce Park เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร ที่จะเป็นตลาดแรงงานในตลาด e-Commerce ต่อไปในอนาคต ภายใต้การสนับสนุนจากภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคธุรกิจ สำหรับการส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซในระดับประเทศอย่างครบวงจร นอกจากนี้ยังมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดตั้ง e-Commerce Park ระหว่าง ETDA กับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่จะร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งดำเนินกิจกรรมในรูปแบบ e-Commerce Park อันจะเป็นเครื่องมือสนับสนุน และอำนวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการ SMEs ผู้ผลิตสินค้า ผู้ให้บริการ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรม e-Commerce นอกจากนี้ยังมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดตั้ง e-Commerce Park ระหว่าง ETDA กับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่จะร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งดำเนินกิจกรรมในรูปแบบ e-Commerce Park อันจะเป็นเครื่องมือสนับสนุน และอำนวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการ SMEs ผู้ผลิตสินค้า ผู้ให้บริการ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรม e-Commerce อีกทั้ง ETDA ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ Dongguan China Council for the Promotion of International Trade (Dongguan CCPIT) ประเทศจีน หน่วยงานรัฐเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมความร่วมมือ และการค้าระหว่างประเทศของภาคธุรกิจในเมือง Dongguan (ตงกวน) ซึ่งเป็นเมืองอีคอมเมิร์ซอันดับ 1 ของจีน และเป็นแหล่งผลิตเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ETDA ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ Dongguan China Council for the Promotion of International Trade (Dongguan CCPIT) ประเทศจีน หน่วยงานรัฐเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมความร่วมมือ และการค้าระหว่างประเทศของภาคธุรกิจในเมือง Dongguan ( ตงกวน ) ซึ่งเป็นเมืองอีคอมเมิร์ซอันดับ 1 ของจีน และเป็นแหล่งผลิตเทคโนโลยีชั้นนำของโลก เป้าหมายในการสร้างความร่วมมือในครั้งนี้มีด้วยกัน 5 ด้าน คือ 1. เพื่อการแลกเปลี่ยน พัฒนา รวบรวมความรู้ ข้อมูลทักษะการปฏิบัติงาน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ 2. การแลกเปลี่ยนบุคลากร การปรึกษาหารือ กระบวนการทำงานร่วมกัน และ/หรือ โครงการที่จัดทำขึ้น 3. จัดกิจกรรมร่วมกัน ทั้งการบรรยาย การจัดอบรมสัมมนา และ/หรือโครงการวิจัย ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกันตามความเหมาะสม 4. การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมปัจจุบันและวางแผนกิจกรรมที่ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง และ 5. การส่งเสริมกิจกรรมอื่นๆเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ร่วมกัน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ในประเทศจีน และทั่วโลก เป้าหมายในการสร้างความร่วมมือในครั้งนี้มีด้วยกัน 5 ด้าน คือ 1. เพื่อการแลกเปลี่ยน พัฒนา รวบรวมความรู้ ข้อมูลทักษะการปฏิบัติงาน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ 2. การแลกเปลี่ยนบุคลากร การปรึกษาหารือ กระบวนการทำงานร่วมกัน และ / หรือ โครงการที่จัดทำขึ้น 3. จัดกิจกรรมร่วมกัน ทั้ง การบรรยาย การจัดอบรมสัมมนา และ / หรือโครงการวิจัย ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกันตามความเหมาะสม 4. การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมปัจจุบันและวางแผนกิจกรรมที่ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง และ 5. การส่งเสริมกิจกรรมอื่นๆเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ร่วมกัน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ในประเทศจีน และทั่วโลก ที่จีนมีการพัฒนา e-Commerce Park กว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ มีลักษณะคล้ายนิคมอุตสาหกรรม หรือเมืองที่มีพื้นที่สำหรับการดำเนินงานร่วมกันของบริษัทต่างๆ เพื่อเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ, ศูนย์ฝึกอบรม, ส่วนให้คำปรึกษา, ส่วนพื้นที่คลังสินค้า และพื้นที่สำหรับการทำ Workshop ด้วย มีลักษณะคล้ายนิคมอุตสาหกรรม หรือเมืองที่มีพื้นที่สำหรับการดำเนินงานร่วมกันของบริษัทต่างๆ เพื่อเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ , ศูนย์ฝึกอบรม , ส่วนให้คำปรึกษา , ส่วนพื้นที่คลังสินค้า และพื้นที่สำหรับการทำ Workshop ด้วย ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related อีคอมเมิร์ซปี 59 สะพัด 2.5 ล้านล้านบาท ทำไทยขึ้นแท่นเบอร์ 1 ค้าออนไลน์อาเซียน In "News" DAAT เผยมูลค่าโฆษณาดิจิทัล 2018 แตะ 17,000 ล้านบาท In "News" Google เปิดรายงาน e-Conomy SEA Report 2022 เศรษฐกิจดิจิทัลไทยโต17% In "Article"
การแบ่งมูลค่าอีคอมเมิร์ซตามประเภทอุตสาหกรรมทั้ง 8 กลุ่ม พบว่าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซสูงที่สุด ได้แก่ อันดับที่ 1 อุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่ง มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 869,618.40 ล้านบาท (30.92%) อันดับที่ 2 อุตสาหกรรมการให้บริการที่พัก มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 658,131.15 ล้านบาท (23.40%) อันดับที่ 3 อุตสาหกรรมการผลิต มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 417,207.07 ล้านบาท (14.83%) อันดับที่ 4 อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 404,208.00 ล้านบาท (14.37%) อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมการขนส่ง มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 104,904.28 ล้านบาท (3.73%) อันดับที่ 6 อุตสาหกรรมศิลปะความบันเทิง และนันทนาการ มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 19,716.04 ล้านบาท (0.70%) อันดับที่ 7 อุตสาหกรรมบริการอื่นๆ มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 11,280.33 ล้านบาท (0.43%) อันดับที่ 8 อุตสาหกรรมการประกันภัย มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ 2,729.65 ล้านบาท (0.10%) ETDA เตรียมจัดตั้ง e-Commerce Park เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร ที่จะเป็นตลาดแรงงานในตลาด e-Commerce ต่อไปในอนาคต ภายใต้การสนับสนุนจากภาครัฐ สถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจ สำหรับการส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซในระดับประเทศอย่างครบวงจร นอกจากนี้ยังมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดตั้ง e-Commerce Park ระหว่าง ETDA กับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่จะร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งดำเนินกิจกรรมในรูปแบบ e-Commerce Park อันจะเป็นเครื่องมือสนับสนุน และอำนวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการ SMEs ผู้ผลิตสินค้า ผู้ให้บริการ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรม e-Commerce
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55173
Retail
การวางมือของลี กา ชิง จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงอย่างไร
null
1. ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงอาจเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง: ลี กา ชิง เป็นนักธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และกลยุทธ์ที่เฉียบแหลม การวางมือของเขาอาจทำให้ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงสูญเสียผู้นำที่ทรงพลัง วิคเตอร์ ลี ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อ มีแนวโน้มที่จะนำกลยุทธ์ใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกง ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง 2. ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงมีโอกาสเติบโต: วิคเตอร์ ลี มีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก เขาอาจนำแนวคิดใหม่ ๆ มาพัฒนาธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงอาจสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของลี กา ชิง 3. กลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงควรนำไปใช้: พัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ นำเสนอสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น เน้นประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ผสมผสานออนไลน์และออฟไลน์ พัฒนารูปแบบการบริการที่ personalized สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า 4. ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงที่ประสบความสำเร็จ: ร้านขายของที่ระลึก: ร้านขายของที่ระลึกสามารถนำเสนอสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ร้านอาหาร: ร้านอาหารสามารถนำเสนอประสบการณ์การชิมอาหารฮ่องกงที่แท้จริง ร้านขายสินค้าแฟชั่น: ร้านขายสินค้าแฟชั่นสามารถนำเสนอสินค้าที่มีดีไซน์ไม่เหมือนใคร 5. อนาคตของธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกง: ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงจำเป็นต้องผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ผู้บริโภคจะมองหาประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นและสะดวก ธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ข้อควรระวัง: ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงจำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยี การแข่งขันในตลาดค้าปลีกสูง ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูง สรุป: การวางมือของลี กา ชิง จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง คำแนะนำเพิ่มเติม: ธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับลี กา ชิง และวิคเตอร์ ลี พัฒนากลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เรียนรู้จากธุรกิจค้าปลีกในฮ่องกงที่ประสบความสำเร็จ ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_55217
Retail
ช่วยสรุปบทความ ก้าวให้ทันโลก อัพเดตเทรนด์ Online Business ปี 2018
ในยุค 4.0 นี้ มักจะได้ยินบ่อยๆว่า “การเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเติบโตแบบก้าวกระโดด ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล เพราะด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ใครๆก็เป็นเจ้าของธุรกิจได้ เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนเพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็ว” ทำให้ 1-2 ปีมานี้ พบว่าประเทศไทยเกิดพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ขึ้นมากมาย ที่เติบโตขึ้นตามอัตราการเข้าถึงสมาร์ทโฟน โซเชียลมีเดีย และอินเทอร์เน็ต ทำให้ตอนนี้ตลาดขายสินค้าออนไลน์ในไทยกลายเป็น Red Ocean มีการแข่งขันกันสูงมาก ทุกคนต่างทำเพจขายสินค้ากันแข่งขันกันหายอดไลค์ยอดแชร์ ด้วยวิธีการเหมือน ๆ กันหมด คือการทำคอนเทนต์คุณภาพดีๆ ไม่ก็อัดงบซื้อโฆษณาออนไลน์เยอะๆ เพราะคิดว่าหากช่องทางสื่อสารที่มีสามารถเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมากๆ จะเป็นทางรอดของธุรกิจ สิ่งต่างๆเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในเรื่องการทำธุรกิจในยุค 4.0 ที่ภาครัฐพยายามจะผลักดันนั้น ยังคงมีหนทางอีกยาวไกล เพราะคำว่าธุรกิจในยุค 4.0 ที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจเป็นเพียงเรื่องของการใช้แพลตฟอร์มเป็นเครื่องมือ เป็น Market Place เพื่อขายของและเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ แนวคิดสำหรับธุรกิจในอนาคตจริงๆ ยังมองไม่เห็นภาพที่ชัดเจนมากนัก หากจะให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดให้เห็นถึงแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในยุค 4.0 จะต้องเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่มีรูปแบบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำหรับโลกอนาคตที่เป็นดิจิทัลและมีความเป็น Globalization ได้ไปพร้อมๆ กัน อาทิ จีนมี Alibaba ที่โดดเด่นในเรื่องช่องทางค้าปลีกออนไลน์ ที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กในประเทศสามารถมาใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ธุรกิจเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งระบบเศรษฐกิจในประเทศและทั่วโลก ญี่ปุ่นมี Bitcoin ที่เป็นหน่วยสกุลเงินในโลกดิจิทัล อยู่ภายใต้การดูแลของระบบเน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์ ไม่มีการควบคุมด้วยแบงค์ชาติหรือธนาคาร ทำให้ทุกประเทศทั่วโลกที่ยอมรับหน่วยสกุลเงินนี้สามารถใช้สกุลเงินเดียวกันเพื่อทำการค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องมีข้อจำกัดทางธุรกรรมที่ยุ่งยาก หรือแม้กระทั่งอินเดียที่สามารถผลิตบุคลากรอัจฉริยะทางด้านไอทีกระจายตัวทำงานอยู่ใน “ซิลิคอน วัลเลย์” แหล่งร่วมบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกมากที่สุดในโลก โดยบริษัทอินเดีย 7 แห่งถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 15 บริษัทรับจ้างทางเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ทำให้มีการประมาณว่าอินเดียจะมีรายได้จากธุรกิจไอทีได้สูงถึง 2.25 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2020
ในยุค 4.0 การทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ด้วยการใช้สมาร์ทโฟน เป็นที่เจริญของผู้ประกอบการออนไลน์ในประเทศไทย ทำให้ตลาดการขายสินค้าออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เพราะมีการแข่งขันสูงมาก ทำให้ตลาดกลายเป็น Red Ocean ที่ทุกคนต้องแข่งขันหายอดไลค์และแชร์ โดยใช้วิธีการเดียวกัน เช่น การสร้างคอนเทนต์คุณภาพหรือการลงทุนในโฆษณาออนไลน์ เพื่อเป็นทางรอดของธุรกิจ การทำธุรกิจในยุค 4.0 ยังมีหลายแนวทาง ภาครัฐพยายามส่งเสริมแนวคิดนี้ แต่ยังมีทางที่ยาวไกล เพราะคนไทยส่วนใหญ่มองเรื่องธุรกิจในยุค 4.0 เป็นเรื่องของการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อขายสินค้าและเข้าถึงลูกค้า แต่แนวคิดสำหรับอนาคตยังมีความไม่ชัดเจนมาก การเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ได้นำแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในยุค 4.0 มีตัวอย่างเช่น จีนที่มี Alibaba ที่เป็นช่องทางค้าปลีกออนไลน์ที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลก ส่วนญี่ปุ่นมี Bitcoin เป็นหน่วยสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยแบงค์หรือธนาคารชาติ ทำให้ทุกประเทศที่ยอมรับสกุลเงินนี้สามารถทำการค้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางธุรกรรมที่ซับซ้อน อินเดียมีบุคลากรอัจฉริยะทางไอทีที่กระจายตัวทำงานใน "ซิลิคอน วัลเลย์" และมี 7 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 15 บริษัทรับจ้างทางเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ประมาณว่าอินเดียจะมีรายได้จากธุรกิจไอทีประมาณ 2.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_55247
Retail
โครงการ I’m Chinatown ประกอบด้วยอะไรบ้าง
"I'm Chinatown" โครงการ Mix-Use ย่านเยาวราช | Brand Inside ​ “เยาวราช” คือพื้นที่ธุรกิจที่ทุกจุดเป็นเงินเป็นทอง ทำให้คนดั้งเดิมย่านนั้นต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น และร้านค้าใหม่ๆ ก็เกิดยาก “แกรนด์ ยูนิแลนด์” จึงลงทุน 3,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโครงการ I’m Chinatown ที่มีทั้งห้างฯ, คอนโดฯ และโรงแรมขึ้นในย่านนี้ Location สำคัญ ถึงมีเงินก็หาซื้อไม่ได้ ในธุรกิจห้างค้าปลีกนั้น Location หรือสถานที่นั้นคือเรื่องสำคัญระดับต้นๆ เพราะถึงจะดึงร้านค้า และมีบริการดีขนาดไหน ถ้าย่านนั้นไม่มีความหนาแน่นของประชากร โอกาสที่จะเกิดการค้าขายก็คงยาก และยิ่งเป็นย่านเยาวราชแล้ว Location ดีๆ ในการทำธุรกิจห้างค้าปลีกก็ค่อนข้างยาก เพราะแทบไม่มีพื้นที่ว่าเหลืออยู่ สุวรรณ เลิศปัญญาโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท แกรนด์ ยูนิแลนด์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า พื้นที่เกือบทั้งหมดของเยาวราชเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และผู้เช่าเดิมๆ ก็ไม่มีแนวโน้มที่จะปล่อยที่ให้ผู้อื่น หรือหากปล่อยจริงๆ ก็มีราคาแพงมาก บางครั้งเซ้งกันถึง 40 ล้านบาท เพียงแค่ห้องแถวเพียงห้องเดียว “ผมเกิด และโตที่นี่ จึงขอยืนยันอีกเสียงว่าใครๆ ก็อยากเข้ามาทำธุรกิจในเยาวราช แต่เมื่อที่มันไม่จริงๆ จะให้ทำอย่างไร และเมื่อทางกลุ่มเราโชคดีที่ได้ที่ดินราว 3 ไร่เศษใกล้กับวัดมังกรฯ ติดประตูรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ผ่านสัญญาเช่า 30 มา จึงตั้งใจที่จะพัฒนาที่ดินนี้ให้มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือโครงการแบบ Mix-Use” คอนโดฯ และโรงแรมเชนแรกๆ ที่นี่ สำหรับโครงการ I’m Chinatown ประกอบด้วยโรงแรม 4 ดาว Holliday Inn Express ถือเป็นโรงแรมเชนแห่งแรกภายในเยาวราช ค่าห้องเริ่ม 1,800 บาท, ห้างสรรพสินค้า 3 ชั้น ที่รวมร้านอาหาร Street Food และร้านขายของดังๆ ในเยาวราชเอาไว้ ค่าเช่าเริ่ม 2,500 บาท และคอนโดมิเนียม 8 ชั้น 46 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท มีที่จอดรถใต้ดินจุ 300 คัน มากที่สุดในย่านนี้ โดยกลุ่มเป้าหมายของผู้เข้ามาใช้บริการส่วนต่างๆ ของศูนย์ฯ นี้ประกอบด้วยนักท่องเที่ยว, นักธุรกิจ และกลุ่มผู้อยู่อาศัยเดิม เพราะคนที่อาศัยที่นี่ต้องย้ายไปอยู่ย่านชานเมือง เช่นตลิ่งชัน หรือฝั่งธนฯ เพราะต้องยอมให้ที่เยาวราชนั้นเป็นที่สำหรับทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว “ตอนนี้ฝั่งวัดมังกรฯ หรือเส้นเจริญกรุงอาจไม่คึกคักมาก แต่พอรถไฟฟ้าเสร็จในปี 2562 พร้อมกับโครงการเราเปิดให้บริการ ฝั่งนี้ต้องเจริญขึ้นแน่ เพราะฝั่งตรงข้ามก็เป็นย่าน Street Food ดังๆ นอกจากนี้ตัวห้าง The Old Siam เองก็หมดสัญญา ทำให้เราได้ร้านเพชรพลอยจากที่นั่นมาอยู่ด้วย และตัวค้าปลีกเองก็มีคนมาจองที่แล้ว 70%” รุกค้าปลีกเพิ่ม เพราะโอกาสมากกว่า ทั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่ม “แกรนด์ ยูนิแลนด์” เข้ามารุกตลาดค้าปลีก เพราะก่อนหน้านี้ก็ทำโครงการย่านโบ๊เบ๊ และ I’m Park บริเวณสามย่าน และหลังจากโครงการ I’m Chinatown เปิดให้บริการในปี 2562 ทางกลุ่มก็มีแผนเปิดค้าปลีกแห่งใหม่ โดยวางระยะเวลาไว้ 1-2 ปีต่อ 1 โครงการ และมองโครงการในต่างจังหวัดไว้ด้วย เช่นหัวหิน “เราโตมาจากผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัย โดยเฉพาะหมู่บ้าน แต่ปัจจุบันคู่แข่งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั้นเข้ามารุกทุกรูปแบบโครงการที่พักอาศัย ทำให้เราอยู่ยาก และยิ่งเราไม่อยากเข้าระดมทุนด้วย การหนีมาที่ฝั่งค้าปลีกก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะจริงๆ ยังมีพื้นที่ที่มีคนหนาแน่นอยู่อีกมา และเราจะไปบุกตรงนั้นเพิ่มเติม” สำหรับรายได้จากธุรกิจค้าปลีกของบริษัทนั้นอยู่ราว 30% ของรายได้กว่า 300 ล้านบาท/ปี แต่หลังจากโครงการ I’m China และโครงการค้าปลีกอื่นๆ พร้อมให้บริการ โอกาสที่รายได้จากฝั่งค้าปลีกจะเป็น 60% ก็มีสูง ยิ่งกำลังซื้อของผู้บริโภคก็เริ่มกลับมา ทำให้การค้าน่าจะคึกคักมากขึ้นเช่นกัน สรุป ต้องยอมรับว่าย่านเยาวราชหาพื้นที่ใหญ่ๆ ยากมาก และการได้พื้นที่ขนาด 3 ไร่ของ I’m Chinatown ถ้าพัฒนาเป็นแบบอื่นก็คงเสียของ แต่ก็ต้องลุ้นกันว่า หลังจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเสร็จแล้ว จะช่วยสร้างความคึกคักของโครงการได้มากขนาดไหน แต่ขึ้นชื่อว่าตั้งอยู่ในท้องมังกร ถึงอย่างไรก็ต้องไปได้ตามเป้าแน่ๆ
ในธุรกิจห้างค้าปลีกนั้น Location หรือสถานที่นั้น คือเรื่องสำคัญระดับต้นๆ เพราะถึงจะดึงร้านค้า และมีบริการดีขนาดไหน ถ้าย่านนั้นไม่มีความหนาแน่นของประชากร โอกาสที่จะเกิดการค้าขายก็คงยาก และยิ่งเป็นย่านเยาวราชแล้ว Location ดีๆ ในการทำธุรกิจห้างค้าปลีกก็ค่อนข้างยาก เพราะแทบไม่มีพื้นที่ว่าเหลืออยู่ เยาวราช คือ พื้นที่ธุรกิจที่ทุกจุดเป็นเงินเป็นทอง ทำให้คนดั้งเดิมย่านนั้นต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น และร้านค้าใหม่ๆ ก็เกิดยาก “แกรนด์ ยูนิแลนด์” จึงลงทุน 3,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโครงการ I’m Chinatown โดยโครงการ I’m Chinatown ประกอบด้วยโรงแรม 4 ดาว Holliday Inn Express ถือเป็นโรงแรมเชนแห่งแรกภายในเยาวราช ค่าห้องเริ่ม 1,800 บาท, ห้างสรรพสินค้า 3 ชั้น ที่รวมร้านอาหาร Street Food และร้านขายของดังๆ ในเยาวราชเอาไว้ ค่าเช่าเริ่ม 2,500 บาท และคอนโดมิเนียม 8 ชั้น 46 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท มีที่จอดรถใต้ดินจุ 300 คัน มากที่สุดในย่านนี้ โดยกลุ่มเป้าหมายของผู้เข้ามาใช้บริการส่วนต่างๆ ของศูนย์ฯ นี้ประกอบด้วยนักท่องเที่ยว, นักธุรกิจ และกลุ่มผู้อยู่อาศัยเดิม เพราะคนที่อาศัยที่นี่ต้องย้ายไปอยู่ย่านชานเมือง เช่น ตลิ่งชัน หรือฝั่งธนฯ เพราะต้องยอมให้ที่เยาวราชนั้นเป็นที่สำหรับทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่ม “แกรนด์ ยูนิแลนด์” เข้ามารุกตลาดค้าปลีก เพราะก่อนหน้านี้ก็ทำโครงการย่านโบ๊เบ๊ และ I’m Park บริเวณสามย่าน และหลังจากโครงการ I’m Chinatown เปิดให้บริการในปี 2562 ทางกลุ่มก็มีแผนเปิดค้าปลีกแห่งใหม่ โดยวางระยะเวลาไว้ 1-2 ปีต่อ 1 โครงการ และมองโครงการในต่างจังหวัดไว้ด้วย เช่น หัวหิน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55256
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....โลกออนไลน์และเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิต แต่สิ่งสำคัญคืออย่าลืมคุณค่าของสิ่งดั้งเดิม
null
ร้านขายของเล่นเก่าแก่: บทเพลงแห่งยุคสมัยที่เปลี่ยนผัน ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืนอันเจิดจ้าของนิวยอร์กซิตี้ ร้านขายของเล่นเก่าแก่ "Toyland" ตั้งตระหง่านอยู่บนถนน Fifth Avenue ดั่งปราการแห่งจินตนาการที่เด็กๆ ต่างใฝ่ฝัน ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ยืนต้อนรับอยู่หน้าร้าน ดึงดูดสายตาผู้คนให้หลงใหลไปกับโลกแห่งของเล่นที่เต็มไปด้วยสีสัน ภายในร้าน บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของวันวาน ชั้นวางเรียงรายไปด้วยของเล่นหลากชนิด ตุ๊กตา ทหาร ของเล่นไม้ เกมกระดาน ล้วนเป็นของสะสมหายากที่หาซื้อไม่ได้อีกแล้ว เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังก้องไปทั่ว เปี่ยมไปด้วยความสุขและความสนุกสนาน เบื้องหลังความรุ่งเรืองนี้คือ "คุณปู่จอห์น" เจ้าของร้านผู้ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับ Toyland เขารู้จักชื่อและเรื่องราวของของเล่นทุกชิ้น ราวกับว่าของเล่นเหล่านี้มีชีวิตและจิตวิญญาณ คุณปู่จอห์นยินดีเสมอที่จะเล่าเรื่องราวและความทรงจำอันล้ำค่าเกี่ยวกับของเล่นให้กับลูกค้าที่มาเยือน ทว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนผัน โลกออนไลน์กลายเป็นสนามเด็กเล่นแห่งใหม่ เด็กๆ หันมาสนใจเกมออนไลน์และสมาร์ทโฟนมากกว่าของเล่นแบบดั้งเดิม ยอดขายของ Toyland เริ่มร่วงลงอย่างน่าใจหาย บรรยากาศภายในร้านเงียบเหงาลง เหลือเพียงเสียงเพลงบรรเลงจากกล่องดนตรีเก่าแก่ที่ดังก้องอยู่เพียงลำพัง คุณปู่จอห์นเริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตของ Toyland เขาพยายามปรับตัวหันมาขายของเล่นออนไลน์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีและโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่อยู่ไกลตัวเขา เขารู้สึกเหมือนถูกโลกทิ้งไว้ข้างหลัง วันหนึ่ง เด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ "โซเฟีย" เดินเข้ามาในร้าน Toyland ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น โซเฟียไม่เคยเห็นของเล่นแบบนี้มาก่อน เธอเดินดูของเล่นอย่างสนใจ ถามคุณปู่จอห์นเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ของเล่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น คุณปู่จอห์นรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต เขาเล่าเรื่องราวของเล่นให้โซเฟียฟังด้วยความสุข เด็กหญิงฟังอย่างตั้งใจ ราวกับถูกมนต์ขลังของของเล่นดึงดูด โซเฟียกลับมาที่ Toyland อีกหลายครั้ง เธอกลายเป็นลูกค้าประจำของร้าน ความสดใสร่าเริงของเธอทำให้คุณปู่จอห์นรู้สึกมีกำลังใจ เขาเริ่มคิดหาวิธีใหม่เพื่อรักษา Toyland ไว้ คุณปู่จอห์นตัดสินใจจัดกิจกรรมต่างๆ ในร้าน เช่น กิจกรรมเล่านิทาน กิจกรรมวาดรูป กิจกรรมประดิษฐ์ของเล่น ดึงดูดเด็กๆ ให้กลับมาสนใจของเล่นแบบดั้งเดิมอีกครั้ง กิจกรรมของ Toyland ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เด็กๆ ต่างสนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ บรรยากาศภายในร้านกลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังก้องไปทั่ว Toyland กลายเป็นสถานที่ที่เด็กๆ สามารถมาเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างจากโลกออนไลน์ เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะใช้จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการเข้าสังคม คุณปู่จอห์นยิ้มอย่างมีความสุข เขารู้ว่า Toyland จะอยู่ต่อไปได้อีกนาน เด็กๆ รุ่นต่อไปจะได้สัมผัสกับมนต์ขลังของของเล่นแบบดั้งเดิม และ Toyland จะกลายเป็นบทเพลงแห่งยุคสมัยที่เปลี่ยนผัน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55262
Retail
อะไรคือกลยุทธ์การขยายธุรกิจของ Ikea ในตลาดละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้?
ปีที่ผ่านมา Ikea มียอดการเติบโตที่ตกลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และถ้าดูภาพใหญ่ทั้งหมด ตลาดที่ Ikea ครองอยู่ก็เริ่มนิ่ง แผนต่อไปของ Ikea คือการลุยตลาดใหม่ในภูมิภาคที่ดูแล้วมีกำลังซื้อ ตลาดที่ครองอยู่เริ่มตัน Ikea ต้องบุกหาตลาดใหม่ Ikea ยักษ์ใหญ่เฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านกำลังวางแผนลงเล่นในตลาดภูมิภาคละตินอเมริกา (Latin America) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ตอนนี้ Ikea มีสาขาอยู่ใน 49 ตลาดทั่วยุโรป อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง เอเชีย และออสเตรเลีย ในจำนวนนี้นับเป็นจำนวนหน้าร้านก็กว่า 400 แห่ง แผนการบุกตลาดใหม่อย่างละตินอเมริกาและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นกลยุทธ์ใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ Ikea บุกไปเล่นในตลาดจีนและรัสเซียอย่างหนัก แผนของ Ikea ในขั้นแรกจะบุกไปในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา ได้แก่ ชิลี, โคลอมเบีย, เม็กซิโก และเปรู เพราะเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างน่าสนใจ ที่จริงแล้วประเทศแถบละตินอเมริกาก็เป็นหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ ทวีปซึ่ง Ikea มองว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก Torbjorn Loof ผู้บริการของ Inter Ikea ถึงกับบอกไว้เลยว่า “อเมริกาใต้คือตลาดที่สำคัญในระยะยาว [ของ Ikea]” แผนของ Ikea ตอนนี้เป็นการวางไว้ว่า ภายใน 5 ปีนี้จะเปิดสาขาแรกในแถบในอเมริกาใต้ พร้อมๆ กับบุกตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือลุยหนักไปที่เวียดนามและฟิลิปปินส์ไปพร้อมกันเลย รวมถึงตลาดที่ทำมาก่อนหน้าในแถบนี้อย่างมาเลเซียกับไทยด้วย ในปีนี้ Ikea วางแผนจะเปิดสาขาใหม่ประมาณ 22 แห่ง จากปี 2017 ที่เปิดเพิ่มเพียง 14 แห่ง แต่ในอนาคตหลังจากบุกตลาดใหม่ๆ เรียบร้อยแล้ว Ikea วางแผนไว้ว่าจะเปิดสาขาใหม่ประมาณ 25 แห่งในทุกๆ ปีให้ได้ แผนการบุกตลาดใหม่ครั้งนี้ถือความพยายามในการเสริมทัพทางธุรกิจที่เริ่มอิ่มตัว เพราะอย่างปีที่ผ่านมายอดขายก็เติบโตน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น แต่ในปีหน้าตั้งเป้าไว้ว่าจะพุ่งขึ้นมา 8 – 9% อย่างไรก็ตาม ถ้าไปดูในส่วนของตัวเลขยอดขาย Ikea ในหมวดค้าปลีกซึ่งรวมแฟรนไชส์และบริการลูกค้า นับจากต้นปี 2017 จนถึงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตอนนี้อยู่ที่ 45 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) ที่มา – Bloomberg ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related VinFast เตรียมบุกตลาดอาเซียนเต็มตัว มาทั้งรถยนต์ไฟฟ้า และจักรยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมท้าชนแบรนด์จีน In "News" หรืออนาคตของ Heineken จะขึ้นอยู่กับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ In "Analysis" IKEA เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำรายได้แตะ 29,000 ล้านบาท พร้อมปรับตัวรับลูกค้าเพิ่ม In "News"
Ikea วางกลยุทธ์การขยายธุรกิจในตลาดละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนี้ 1. มุ่งเน้นไปที่ตลาดที่มีศักยภาพสูง: Ikea เลือกมุ่งเน้นไปที่ประเทศที่มีเศรษฐกิจกำลังเติบโตและมีประชากรวัยกลางคนจำนวนมากในละตินอเมริกา เช่น ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก และเปรู ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Ikea มุ่งเน้นไปที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย ประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นและผู้บริโภคที่พร้อมจะจ่ายเงินสำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพและดีไซน์ 2. ปรับรูปแบบร้านค้าให้เหมาะกับตลาด: Ikea วางแผนปรับรูปแบบร้านค้าให้เหมาะกับขนาดพื้นที่และพฤติกรรมของผู้บริโภคในท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น ในบางประเทศ Ikea อาจเปิดร้านค้าขนาดเล็กที่มีสินค้าเฉพาะบางประเภท หรืออาจนำเสนอบริการจัดส่งและประกอบเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม 3. เน้นการเข้าถึงออนไลน์: Ikea มุ่งเน้นการขยายช่องทางการขายออนไลน์เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคที่สะดวกในการช้อปปิ้งผ่านช่องทางออนไลน์ Ikea ลงทุนพัฒนาระบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นมือถือ เสนอบริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และจัดส่งสินค้าถึงบ้าน 4. สร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย: Ikea วางแผนกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายในแต่ละท้องถิ่น Ikea ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า 5. ร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น: Ikea มองหาพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อช่วยขยายธุรกิจในตลาดใหม่ พันธมิตรท้องถิ่นสามารถช่วย Ikea เข้าใจตลาดท้องถิ่น กฎระเบียบ วัฒนธรรม และประเพณี กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ Ikea สามารถขยายธุรกิจในตลาดละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำตลาดเฟอร์นิเจอร์ระดับโลก
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55278
Retail
อะไรคือกลยุทธ์การขยายธุรกิจ Retail ของธนาคารกสิกรไทยในประเทศอินโดนีเซียผ่านการเข้าถือหุ้นในธนาคารแมสเปี้ยน?
เวลาการการเน้นตลาดในประเทศด้วยการโปรโมท K Plus Shop กระตุ้นให้ร้านค้าเปิดรับชำระเงินด้วย QR Code แบบยิงปิ๊บจ่ายปั๊บ ตามนโยบาย National Payment แล้ว ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank ยังเดินหน้าลงทุนต่างประเทศไปพร้อมกัน โดยหวังเป็นฐานรองรับการค้าการลงทุน มุ่ง Digital Banking SME รองรับยุทธศาสตร์ AEC+3 ปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ของ KBank บอกว่า KBank มีเป้าหมายเป็นธนาคารแห่ง AEC+3 เพื่อรองรับการค้าการลงทุนของลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศในอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยล่าสุดได้เข้าลงทุนถือหุ้นใน ธนาคารแมสเปี้ยน (Bank Maspion) ในอินโดนีเซีย สัดส่วน 9.99% ธนาคารแมสเปี้ยน ถือเป็นธนาคารพาณิชย์เอกชนระดับ BUKU2 เน้นให้บริการลูกค้าบุคคลและ SME และมีการลงทุนพัฒนา Digital Banking สอดคล้องกับทิศทางของ KBank ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง มีสัดส่วน NPL ประมาณ 0.91% ขณะที่อัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 2.93% มีเครือข่ายสำนักงานทั่วประเทศ 51 แห่ง ครอบคลุมเมืองสำคัญที่ลูกค้า KBank เข้าทำธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้บริการและคำปรึกษาได้ดียิ่งขึ้น ธนาคารแมสเปี้ยน ยังอยู่ใน Maspion Group กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของอินโดนีเซีย ทำธุรกิจการเงินการธนาคาร ค้าปลีกค้าส่ง โลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ เป็นผู้เล่นอันดับหนึ่งในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคแบบถาวร เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ในครัวเรือน มีฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ลงทุนต่างประเทศ ก้าวที่ท้าทายของ KBank สำหรับตลาดอินโดนีเซียถือเป็นตลาดที่ท้าทาย ในเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์เป็นประเทศเกาะที่มีวัฒนธรรมและกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย ปัจจุบันมีธนาคารให้บริการอยู่กว่า 100 ธนาคาร ทำให้เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมาก ดังนั้นการการเข้าถือหุ้นจึงเป็นการเดินหมากที่ตอบโจทย์ธุรกิจของทั้งลูกค้าและ KBank ได้ดีที่สุด การเข้าไปถือหุ้นในธนาคารแมสเปี้ยน แม้จะเป็นสัดส่วนที่ยังไม่มากแต่เป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าไปเป็นพันธมิตรการค้าการลงทุน และการก้าวเป็นธนาคาร AEC+3 โดย KBank และธนาคารแมสเปี้ยน จะร่วมกันพัฒนาบริการระหว่างประเทศ บริการเพื่อธุรกิจ SME และบริการ Digital Banking ช่วยสนับสนุนให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถให้บริการของแก่ลูกค้าธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียและลูกค้าอินโดนีเซียที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ Alim Markus ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มแมสเปี้ยน บอกว่า ความร่วมมือครั้งนี้นอกจากพัฒนาบริการร่วมกัน ยังแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ Digital Banking และการให้บริการกลุ่มลูกค้า SME ขณะเดียวกันเครือข่ายบริการของแมสเปี้ยนที่ครอบคลุมพื้นที่ธุรกิจสำคัญ ได้แก่ หมู่เกาะสุมาตรา หมู่เกาะชวา หมู่เกาะบาหลี หมู่เกาะสุลาเวสี และหมู่เกาะกาลิมันตัน จะช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการและคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียได้อย่างใกล้ชิด เชื่อมธุรกิจไทยในอินโดฯ กระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำหรับภูมิภาค AEC+3 เป็นตลาดที่สำคัญต่อภาคธุรกิจไทยในการเชื่อมโยงธุรกิจ การค้า การลงทุนในภูมิภาค ซึ่งในห้วงปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ขยายเครือข่ายการให้บริการในภูมิภาคอย่างครอบคลุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสาขาในประเทศกัมพูชา การยกระดับการบริการเป็นธนาคารท้องถิ่นในประเทศลาวและจีน และล่าสุดก็คือประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่า GDP ใหญ่เป็นอันดับที่หนึ่งในภูมิภาค AEC การเข้าไปถือหุ้นของธนาคารแมสเปี้ยนในครั้งนี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ AEC+3 โดยจะพร้อมให้บริการในเดือนกันยายนนี้ เฟสแรกจะเริ่มให้บริการลูกค้ากลุ่มธุรกิจ เปิด Foreign Desk มีตัวแทนของ KBank ประจำเพื่อช่วยธุรกิจไทยในอินโดนีเซีย อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีประชากร 260 ล้านคน เป็นอันดับที่ 4 ของโลก อัตราการเติบโตของ GDP ขยับเข้าใกล้มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ จากการวิเคราะห์ของ Deloitte อินโดนีเซียจะก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่มีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกภายในปี 2563 ปัจจุบันได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาลงทุนมากเป็นอันดับต้นๆ ในช่วงปี 2553-2558 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 55% รวมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลอินโดนีเซียในการปฏิรูปที่ดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง ด้านมูลค่าการค้าระหว่างอินโดนีเซียและไทย ณ สิ้นปี 2559 อยู่ที่ประมาณ 5.3 แสนล้านบาท และจากการเกิดบริการรับชำระด้วยสกุลเงินท้องถิ่นโดยตรงระหว่าง (exotic currency settlement initiative) ระหว่างสกุลบาทไทย และ สกุลรูเปียอินโดนีเซีย คาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศแตะ 7 แสนล้านบาท ภายในปี 2563 นอกจากนี้ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ประเทศอินโดนีเซีย (BKPM) ระบุว่ามูลค่าการลงทุนจากไทยเข้าในอินโดนีเซีย (TDI) ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน คิดเป็นเม็ดเงินจำนวนกว่า 2.3 แสนล้านบาท ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related KBANK ลงทุนเพิ่มในแบงก์อินโดฯ “Bank Maspion” แบงก์ชาติไฟเขียวแล้ว In "News" KBank บุกเวียดนาม! เปิดสาขาโฮจิมินห์ รุกดิจิทัล แบงกิ้งลูกค้ารายย่อย In "News" KBank รุกเวียดนาม เตรียมเปิดสาขานครโฮจิมินห์ เป็นธนาคารกลุ่มประเทศ AEC+3 In "News"
ธนาคารกสิกรไทย (KBank) วางกลยุทธ์การขยายธุรกิจ Retail ในประเทศอินโดนีเซียผ่านการเข้าถือหุ้นในธนาคารแมสเปี้ยน ดังนี้ 1. ขยายฐานลูกค้า: ธนาคารแมสเปี้ยนมีฐานลูกค้าบุคคลและ SME ที่แข็งแกร่งในอินโดนีเซีย KBank สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่เหล่านี้ผ่านเครือข่ายสาขาและช่องทางดิจิทัลของธนาคารแมสเปี้ยน 2. นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย: KBank สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายแก่ลูกค้าในอินโดนีเซีย เช่น บัญชีเงินฝาก สินเชื่อ บัตรเครดิต บริการโอนเงิน และบริการดิจิทัลอื่นๆ 3. พัฒนาบริการดิจิทัล: KBank และธนาคารแมสเปี้ยนจะร่วมกันพัฒนาบริการดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในอินโดนีเซีย KBank มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลแบงกิ้ง ธนาคารแมสเปี้ยนสามารถนำเสนอบริการเหล่านี้แก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. ขยายเครือข่ายสาขา: KBank สามารถขยายเครือข่ายสาขาในอินโดนีเซียผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารแมสเปี้ยน KBank สามารถเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ห่างไกลได้มากขึ้น 5. ร่วมมือกับพันธมิตร: KBank สามารถร่วมมือกับพันธมิตรของธนาคารแมสเปี้ยนในอินโดนีเซีย KBank สามารถขยายธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ KBank สามารถขยายธุรกิจ Retail ในอินโดนีเซียและบรรลุเป้าหมายในการเป็นธนาคารชั้นนำในภูมิภาค AEC+3
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55292
Retail
การที่ Zanroo พัฒนาบริการ ARUN จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเพิ่มยอดขายได้หรือไม่
null
มีโอกาสเป็นไปได้ เหตุผล: 1. ARUN ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า: ARUN วิเคราะห์ข้อมูลจาก Paid Media, Owned Media และ Earned Media ซึ่งช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง 2. ARUN ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ: ARUN วิเคราะห์ข้อมูลและแสดงผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่ตรงใจลูกค้าและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ 3. ARUN ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สื่อ: ARUN แสดงผลลัพธ์ของ Paid Media, Owned Media และ Earned Media ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่าควรลงทุนกับสื่อประเภทไหน 4. ARUN ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเพิ่ม ROI: ARUN วิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาด ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกวัดผล ROI และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคบางประการที่ธุรกิจค้าปลีกต้องเผชิญ 1. ค่าใช้จ่าย: ARUN เป็นบริการที่มีค่าใช้จ่าย ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กอาจไม่มีงบประมาณเพียงพอ 2. ความซับซ้อน: ARUN เป็นระบบที่มีความซับซ้อน ธุรกิจค้าปลีกอาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และใช้งาน 3. ทักษะ: ธุรกิจค้าปลีกอาจต้องมีทักษะเฉพาะทางในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยสรุป: การที่ Zanroo พัฒนาบริการ ARUN มีโอกาสช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเพิ่มยอดขายได้ แต่ธุรกิจค้าปลีกต้องพิจารณาค่าใช้จ่าย ความซับซ้อน และทักษะที่จำเป็นในการใช้งาน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_55350
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยี AR กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการค้าปลีก ผู้บริโภคจะได้สัมผัสประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ล้ำสมัย สะดวกสบาย และตรงใจมากขึ้น ร้านค้าที่ปรับตัวและนำเทคโนโลยี AR มาใช้ จะสามารถดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้อย่างแน่นอน
null
รอยยิ้มแห่งนวัตกรรม ณ ใจกลางกรุงปารีส เมืองหลวงแห่งแฟชั่น บนถนน Champs-Elysees อันเลื่องชื่อ เหล่านักช้อปผู้รักรองเท้าต่างมุ่งหน้าสู่ร้าน Nike สาขา flagship แห่งใหม่ ด้วยความตื่นเต้นอยากสัมผัสประสบการณ์ล้ำสมัย กับเทคโนโลยี AR ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการค้าปลีกไปตลอดกาล ณัฐ หนุ่มวัย 20 กำลังมองหารองเท้า Air Max คู่ใหม่ เขาใฝ่ฝันอยากออกแบบรองเท้าด้วยตัวเอง แต่ด้วยความกังวลว่าสีและลวดลายที่เลือกจะออกมาตรงใจหรือไม่ ณัฐจึงลังเลที่จะสั่งซื้อออนไลน์ ทันใดนั้น สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่แท่นพิเศษภายในร้าน แท่นนี้มีชื่อว่า NIKEiD AR บนแท่นวางแท็บเล็ตพร้อมซอฟต์แวร์ออกแบบรองเท้า และอุปกรณ์ฉายภาพ Hologram ณัฐรู้สึกตื่นเต้น เขาตัดสินใจลองใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ ณัฐวางรองเท้า Air Max สีขาวบนแท่น ทันใดนั้น ภาพ Hologram ของรองเท้าก็ปรากฏขึ้น เขาใช้แท็บเล็ตเลือกสีและลวดลายต่างๆ สั่งการให้ภาพ Hologram เปลี่ยนแปลงไปตามจินตนาการ ณัฐลองสีสันสดใส ลวดลายกราฟฟิก และแม้กระทั่งสกรีนชื่อตัวเองลงบนรองเท้า เขารู้สึกประทับใจกับความสมจริงของภาพ Hologram ที่ช่วยให้เขาตัดสินใจเลือกการออกแบบได้อย่างมั่นใจ พนักงานขาย สาวสวยคนหนึ่งเข้ามาอธิบายเพิ่มเติมว่า เทคโนโลยี AR นี้ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพรองเท้าที่ออกแบบเองได้อย่างเสมือนจริง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ช่วยลดปัญหาการสั่งซื้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ณัฐรู้สึกขอบคุณพนักงานขาย เขาตัดสินใจซื้อรองเท้า Air Max ที่ออกแบบด้วยตัวเอง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ ณัฐเดินออกจากร้านพร้อมกับรองเท้าคู่ใหม่ เขาภูมิใจกับผลงานการออกแบบของตัวเอง และรู้สึกประทับใจกับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ล้ำสมัย เทคโนโลยี AR ของ NikeiD เปลี่ยนมุมมองของเขาต่อการช้อปปิ้งรองเท้าไปตลอดกาล
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55353
Retail
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรทางด้านไอที กับความต้องการทางด้านการตลาดสำหรับ Thailand 4.0 เป็นอย่างไร
null
Thailand 4.0 เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงตลอดในรัฐบาลชุดนี้ เพราะต้องการยกระดับประเทศไทยด้วยอุตสาหกรรมใหม่ แต่อยากทำอะไรใหม่ๆ แล้วคนไม่พร้อมจะเริ่มได้อย่างไร โดยเฉพาะบุคลากรด้านไอทีที่ถือเป็นฐานรากของการเดินหน้านโยบายนี้ พิสิษฐ์ ชาญเกียรติก้อง คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ บอกว่า ในแต่ละปีสถาบันการศึกษาไทยสามารถผลิตคนไอที โดยเฉพาะกลุ่ม Developer และ Programmer ได้เพียง 2,000 คน/ปี ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดต้องการถึง 3 เท่าตัว ประกอบกับคนเหล่านั้นจบออกมาแล้วมีคุณภาพ หรือไม่ต้องสอนอะไรมากก็ทำได้เลยแค่ 16.5% เท่านั้น ที่สำคัญคนกลุ่มนี้ยังเสี่ยงสมองไหลออกไปต่างประเทศ ผ่านค่าตอบแทน และ Career Path ที่ดีกว่า ดังนั้นถ้าปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นต่อไป โอกาสที่ประเทศจะพัฒนาสู่ Thailand 4.0 ก็ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเดินหน้านโยบายเกี่ยวกับการยกระดับเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีใหม่นั้นเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ทุกประเทศต่างต้องการบุคลากรไอทีคุณภาพไปทำงานด้วย เพราะภายใน 5 ปีข้างหน้า โอกาสที่ 4 ใน 10 ของบริษัทที่ติดอยู่ในระดับท็อปของทุกอุตสาหกรรม เช่นไอที, สื่อต่างๆ, ค้าปลีก, การเงิน, โทรคมนาคม รวมถึงสถาบันการศึกษา จะถูกแทนที่ด้วย Digital Disruption ทั้งหมด ดังนั้นเพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกขบวน การกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐเข้ามากระตุ้นให้สถาบันการศึกษาสนับสนุนเรื่องการเรียนการสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ก็จำเป็น จะพึ่งแค่เอกชนสนับสนุนก็ไม่ได้ คนไอทีกลายเป็นอีกปัญหาสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศด้วนนโยบายดิจิทัลในแง่มุมต่างๆ ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องใส่ใจในเรื่องนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินหน้าเรื่องนี้ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะมาหวังพึ่งเอกชนอย่างเดียวไม่ได้ หน่วยงานรัฐต้องลงทุนปูพรมความรู้เรื่องนี้ให้กับสถาบันการศึกษาด้วย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55354
Retail
เหตุที่ Ferrero ผู้ผลิต Nutella ต้องใช้อุณหภูมิสูงในการปรุงน้ำมันปาล์ม เพราะเหตุใด
Nutella เสี่ยงโดนแบน จากเหตุใช้วัตถุดิบเสี่ยงก่อมะเร็ง ด้าน Ferrero ชี้แจงกระบวนการผลิตปลอดภัย | Brand Inside ​ หลายคนคงเคยกิน Nutella กันมาบ้าง เพราะเป็นครีมทาขนมปังที่ทำมาจากเฮเซลนัทกับโกโก้ ที่ให้ความรู้สึกฟินเอามากๆ จริงหรือไม่ บางประเทศเริ่มถอด Nutella ออกจาก Supermarket เรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากรายงานของ European Food Safety Authority หรืออย. ของประเทศยุโรป วิจัยออกมาว่า การใช้น้ำมันปาล์มเพื่อปรุงอาหาร หรือสินค้าบริโภคต่างๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งค่อนข้างสูง เพราะมีกรดไขมัน Glycidyl จำนวนมาก และเมื่อเทียบกับน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ก็มีความเสี่ยงของสารก่อมะเร็งที่มากกว่า โดยเฉพาะหากปรุงน้ำมันปาล์มด้วยอุณหภูมิเกิน 200 องศาเซลเซียส ก็ยิ่งเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญน้ำมันปาล์มนั้นถูกใช้เป็นวัตถุดิบผลิตครีมทาขนมปังของแบรนด์ต่างๆ ซึ่ง Nutella ก็เป็นหนึ่งในนั้น และจากเหตุนี้เอง ทำให้ร้านค้าบางประเทศในทวีปยุโรป เริ่มนำ Nutella ออกจากชั้นวางจำหน่ายแล้ว เช่น ร้าน Coop หนึ่งในร้านค้าปลีกรายใหญ่ของประเทศอิตาลีก็ยกเลิกการจำหน่ายครีมทาขนมปังที่ทำมาจากเฮเซลนัทกับโกโก้แล้ว อย่างไรรายงานฉบับดังกล่าวถูกเผยแพร่มาเป็นเวลา 8 เดือนแล้ว จึงน่าแปลกใจที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในขณะนี้ ที่สำคัญยังเจาะจงเฉพาะแบรนด์ Nutella เฮเซลนัทผสมนมและโกโก้ที่ผู้บริโภคนิยมมากที่สุดเมื่อนึกถึงครีมทาขนมปัง ส่วนทางฝั่งสหรัฐอเมริกานั้น ยังไม่มีรายงานว่า Nutella ถูกถอดออกจาก Supermarket ทางด้าน Ferrero ผู้ผลิต Nutella แจ้งกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ในกระบวนการผลิตไม่ได้มีการปรุงน้ำมันปาล์มในอุณหภูมิที่สูงขนาดนั้น และทุกขั้นตอนนั้นถูกควบคุมด้วยความปลอดภัยขั้นสูง ในทางกลับกัน เหตุที่ผู้ผลิตต้องใช้อุณหภูมิสูงในการปรุงน้ำมันปาล์ม เพราะต้องการเจือจางสีแดงที่เป็นสีของน้ำมันปาล์ม รวมถึงแต่งกลิ่นให้เป็นธรรมชาติมากขึ้นเช่นกัน สำหรับครีมทาขนมปังที่ทำมาจากเฮเซลนัทกับโกโก้ เกิดขึ้นมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองในพื้นที่ยุโรป และเริ่มมีแบรนด์ต่างๆ ผลิตออกมาจำหน่ายในวงกว้าง หลังจากนั้นก็เริ่มไปได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาช่วงปี 2523 แต่ในขณะนั้นไม่ได้ถูกใช้ทาขนมปังอย่างเดียวแล้ว มีการนำไปใช้ร่วมกับการทำของหวานชนิดต่างๆด้วย Ferrero ชี้แจงกระบวนการผลิตและวัตถุดิบปลอดภัย ไม่ถูกถอดจากร้านค้า ทาง Brand Inside ได้รับการติดต่อจากตัวแทน Ferrero ผู้ผลิต Nutella เกี่ยวกับข่าวที่นำเสนอดังกล่าว พร้อมชี้แจงว่า การเลือกวัตถุดิบและกระบวนการผลิต มีความปลอดภัย และไม่มีการถูกถอดจากร้านค้า โดยเนื้อหาหนังสือชี้แจง มีดังนี้ “เมื่อปีที่ผ่านมา หน่วยงานกำหนดมาตรฐานอาหารในยุโรป (EFSA) ได้ศึกษาและรายงานว่าการกลั่นน้ำมันปาล์มด้วยความร้อนในระดับสูงสามารถก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง (‘GE’) ได้ ซึ่งในกระบวนการผลิตนั้นเฟอเรโร่ได้ให้ความสำคัญต่อการกลั่นน้ำมันปาล์มในระดับความร้อนที่ต่ำกว่าที่ EFSA ได้ระบุเอาไว้ โดยเฟอเรโร่ ได้ใส่ใจถึงข้อกำหนดดังกล่าวและใช้ความร้อนต่ำในการผลิตนั้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นขั้นตอนที่จำเป็นต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้ความร้อนสูง แต่นี่วิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเฟอเรโร่จะมีคุณภาพดีที่สุด นอกจากนี้ทางบริษัทเฟอเรโร่เองยังได้ทำงานใกล้ชิดกับ EFSA เพื่อให้มั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์ของเฟอเรโร่นั้นถูกต้องตามแนวปฏิบัติของ EFSA ทั้งนี้เฟอเรโร่ ยังคงต้องการสร้างความเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเฟอเรโร่ รวมถึงนูเทลล่านั้น ยังไม่ได้ถูกถอดออกจากชั้นวางจำหน่าย ไม่ว่าจะในประเทศใด ก็ตาม และEFSA เองก็ไม่ได้มีคำร้องขอให้ถอกการจัดจำหน่ายนูเทลล่า หรือผลิตภัณฑ์จากเฟอเรโร่ น้ำมันปาล์มถือเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดที่ทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์มีความข้นและเนียนนุ่ม นอกจากนี้ น้ำมันปาล์มยังไม่ทำลายรสชาติของส่วนผสมอื่นๆ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือน้ำมันปาล์มไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการไฮโดจิเนชั่น หรือ กระบวนการเติมไฮโดรเจน ที่ก่อให้เกิดไขมันทรานส์ ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ น้ำมันชนิดอื่นๆหลายชนิดจะต้องผ่านกระบวนการไฮโดจิเนชั่นเพื่อสร้างความคงตัวที่ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผลิตภัณฑ์ของเฟอเรโร่ ซึ่งน้ำมันปาล์มสามารถตอบโจทย์นั้นโดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการไฮโดจิเนชั่น” อ้างอิง // Nutella is being pulled from some stores in Italy after a report links palm oil to cancer
เหตุที่ Ferrero ผู้ผลิต Nutella ต้องใช้อุณหภูมิสูงในการปรุงน้ำมันปาล์ม เพราะต้องการเจือจางสีแดงที่เป็นสีของน้ำมันปาล์ม รวมถึงแต่งกลิ่นให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น และในกระบวนการผลิตไม่ได้มีการปรุงน้ำมันปาล์มในอุณหภูมิที่สูง และทุกขั้นตอนนั้นถูกควบคุมด้วยความปลอดภัยขั้นสูง จากรายงานของ European Food Safety Authority หรืออย. ของประเทศยุโรป วิจัยออกมาว่า การใช้น้ำมันปาล์มเพื่อปรุงอาหาร หรือสินค้าบริโภคต่างๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งค่อนข้างสูง เพราะมีกรดไขมัน Glycidyl จำนวนมาก และเมื่อเทียบกับน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ก็มีความเสี่ยงของสารก่อมะเร็งที่มากกว่า โดยเฉพาะหากปรุงน้ำมันปาล์มด้วยอุณหภูมิเกิน 200 องศาเซลเซียส ก็ยิ่งเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญน้ำมันปาล์มนั้นถูกใช้เป็นวัตถุดิบผลิตครีมทาขนมปังของแบรนด์ต่างๆ ซึ่ง Nutella ครีมทาขนมปังที่ทำมาจากเฮเซลนัทกับโกโก้ เป็นหนึ่งในนั้น และจากเหตุนี้ ทำให้ร้านค้าบางประเทศในทวีปยุโรป เริ่มนำ Nutella ออกจากชั้นวางจำหน่าย เช่น ร้าน Coop หนึ่งในร้านค้าปลีกรายใหญ่ของประเทศอิตาลีก็ยกเลิกการจำหน่ายครีมทาขนมปังที่ทำมาจากเฮเซลนัทกับโกโก้แล้ว อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับดังกล่าวถูกเผยแพร่ในเดือนมิถุนายน ปี 2017 จึงน่าแปลกใจที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง ที่สำคัญยังเจาะจงเฉพาะแบรนด์ Nutella เฮเซลนัทผสมนมและโกโก้ที่ผู้บริโภคนิยมมากที่สุดเมื่อนึกถึงครีมทาขนมปัง ส่วนทางฝั่งสหรัฐอเมริกานั้น ยังไม่มีรายงานว่า Nutella ถูกถอดออกจาก Supermarket
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55374
Retail
จงสรุปบทความเรื่อง "ซัมซุง กับข้อเสนอแยกบริษัทเป็นสองส่วน เพื่อปรับโครงสร้าง" ให้หน่อยคะ
ยักษ์ใหญ่อย่างซัมซุง อาจถึงคราวแตกบริษัทเป็นสองส่วน? นี่ไม่ใช่การแตกบริษัทเพราะธุรกิจมีปัญหา แต่เป็นเพราะกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ Elliott Management เสนอให้ซัมซุง (ในที่นี้คือ Samsung Electronics เพียงอย่างเดียว ไม่รวมบริษัทอื่นในเครือ) แตกบริษัทออกเป็น 2 ส่วน เพื่อดึงศักยภาพของราคาหุ้นให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ Elliott Management มองว่า Samsung Electronics มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของโลก ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดในโลก ผู้นำด้านการผลิตจอภาพและสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับคอนซูเมอร์ บริษัทมีกำไรมาก แต่ราคาหุ้นกลับไม่สะท้อนภาพกิจการที่แท้จริง Elliott Management ซึ่งถือหุ้นในซัมซุงด้วย มองว่าราคาหุ้นของซัมซุงตอนนี้ถูกกว่าที่ควรจะเป็นไปมากถึง 30-70% และปัญหาของซัมซุงเกิดจากโครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อน และบริหารต้นทุนการเงินได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้หุ้นของซัมซุงยังไม่ถูกขายในตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (ซัมซุงขายหุ้นอยู่ในตลาดเกาหลีใต้) นักลงทุนต่างชาติจึงเข้าไม่ถึงหุ้นตัวนี้ ทางบริษัทจึงมีข้อเสนอให้ Samsung Electronics จัดโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยแยกบริษัทเป็น 2 ส่วนคือ บริษัทแม่ Samsung Holdco ทำหน้าที่เป็น holding เพียงอย่างเดียว บริษัทลูก Samsung Opco ทำธุรกิจจริงๆ บริษัทแม่ Samsung Holdco ทำหน้าที่เป็น holding เพียงอย่างเดียว บริษัทลูก Samsung Opco ทำธุรกิจจริงๆ จากนั้นให้ Samsung Holdco ทำการเสนอซื้อหุ้น (tender offer) บริษัทลูก Samsung Opco จากผู้ถือหุ้นรายย่อย และให้ Samsung Holdco ควบกิจการกับ Samsung C&T บริษัทด้านก่อสร้างและค้าปลีกของซัมซุง ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ เพื่อให้เป็นบริษัทโฮลดิ้งเพียงบริษัทเดียวของเครือซัมซุงทั้งหมด เมื่อปรับโครงสร้างเสร็จแล้ว Elliott เสนอให้ Samsung Opco เข้าตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้เข้าถึงนักลงทุนและนักวิเคราะห์ที่ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่ดีขึ้นของตลาดสหรัฐ เมื่อเทียบกับตลาดเกาหลีใต้ เช่น การลดจำนวนบอร์ดที่เป็นคนเกาหลีลง และเพิ่มบอร์ดที่มีประสบการณ์หลากหลายมากขึ้น ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้จาก Elliott Management ฝั่งของซัมซุงออกมารับว่าจะ “พิจารณาข้อเสนอนี้” ในฐานะที่ Elliott เป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในทันที ข้อมูลจาก Elliott, New York Times, Korea Herald, SamMobile ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related Tencent และ Samsung กำลังแข่งกันเป็นบริษัทมูลค่าหุ้นสูงสุดของเอเชีย In "News" ซัมซุง เผยยอดขายทีวีพรีเมียมปี 2020 โต 35% สวนตลาดทีวีรวม 26,500 ล้านบาทหดตัว In "PR News" อันดับ 1 ในอาเซียน ซัมซุงทุ่มเงิน 6.8 พันล้านบาทสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาในเวียดนาม In "Article"
ยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung Electronics อาจแบ่งบริษัทเป็นสองส่วนตามข้อเสนอของ Elliott Management, กองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ ที่เห็นว่าราคาหุ้นของ Samsung Electronics ถูกกว่ามูลค่าทางธุรกิจจริง และมีปัญหาโครงสร้างองค์กรและการบริหารต้นทุนการเงินไม่ดีนัก การแตกบริษัทจะเป็นการแยกออกเพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้น โดยแยกเป็นบริษัทแม่ (Samsung Holdco) และบริษัทลูก (Samsung Opco) ซึ่งจะทำธุรกิจจริง หลังจากนั้น Samsung Holdco จะเสนอซื้อหุ้น Samsung Opco จากผู้ถือหุ้นรายย่อย และทำให้ Samsung C&T เป็นบริษัทโฮลดิ้งเพียงบริษัทเดียวของเครือ Samsung แผนนี้รวมถึงการเข้าตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เพื่อเข้าถึงนักลงทุนและนักวิเคราะห์ในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ซัมซุงยังไม่ได้ขายหุ้นในตลาดนานาชาติ การปรับโครงสร้างนี้ได้รับความสนใจจาก Elliott Management และยังต้องรอการพิจารณาจาก Samsung Electronics ในที่ต่อไป. ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related Tencent และ Samsung กำลังแข่งกันเป็นบริษัทมูลค่าหุ้นสูงสุดของเอเชีย In "News" ซัมซุง เผยยอดขายทีวีพรีเมียมปี 2020 โต 35% สวนตลาดทีวีรวม 26,500 ล้านบาทหดตัว In "PR News" อันดับ 1 ในอาเซียน ซัมซุงทุ่มเงิน 6.8 พันล้านบาทสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาในเวียดนาม In "Article"
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_55386
Retail
ช่วยสรุปบทความเรื่อง "พฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนในประเทศไทย: การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและการเชื่อมต่อทางดิจิทัล" ให้หน่อยคะ
สมาร์ทโฟน คือ อุปกรณ์ประจำตัวที่ต้องใช้ประจำวันแทบจะตลอดเวลาของคนยุคดิจิทัล ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ จึงให้ความสนใจกับพฤติกรรมการใช้งานว่า ผู้บริโภคใช้งานสมาร์ทโฟนตอนไหน ใช้ทำอะไรบ้าง เพื่อจะได้สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ตรงใจมากที่สุด นีลเส็น (Nielsen) เลยทำการสำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟน เก็บข้อมูลโดยการติดตั้ง Tools Meter ในสมาร์ทโฟนเพื่อเก็บการใช้งาน โดยไม่ต้องตอบแบบสอบถาม และไม่ละเมิดสิทธิ์ เพราะดูเพียงการใช้งาน แต่ไม่ได้ลงลึกถึงคอนเทนต์ภายใน นีลเส็น เปิดเผยว่า การเก็บข้อมูลครั้งนี้ เลือกเก็บจากผู้ใช้สมาร์ทโฟน แอนดรอยด์ ซึ่งเป็นผู้ใช้กลุ่มใหญ่ จำนวน 705 คนทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และก่อนหน้านี้ได้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 965 คนในไตรมาสแรก ผลการสำรวจเชื่อว่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของธุรกิจการเงิน, ธุรกิจให้บริการ Payment และธุรกิจค้าปลีก ซึ่ง นีลเส็น เรียกว่า เป็นกลุ่มธุรกิจ m-Commerce (มี 3 ธุรกิจบนมือถือ คือ การเงินธนาคาร, Payment และค้าปลีก) ผลสำรวจพบว่า คนไทยมีการใช้งานมือถือเฉลี่ย 234 นาทีต่อวัน หรือเกือบ 4 ชั่วโมง และช่วงเวลาที่มีการใช้สม่ำเสมอคือ เวลา 8.00 – 23.00 น. เฉลี่ย 12 นาทีต่อชั่วโมง และใช้งานหนาแน่นที่สุดช่วง 20.00 – 21.00 น. เพิ่มเป็น 13 นาทีต่อชั่วโมง การใช้งานมากที่สุดคือ การใช้เพื่อสื่อสาร (Communications) ใช้ไปทั้งหมด 78 นาที โดยใช้เพื่อ Chat และ VOIP อันดับ 2 ที่มีการใช้ คือ แอปพลิเคชั่น ซึ่งใช้เวลาอยู่ที่ 66 นาที ตามมาด้วยเอนเตอร์เทนเม้นท์ 42 นาที และ การบริหารจัดการ Device Management 27 นาที การใช้งาน Chat และ VOIP หนักในช่วงเช้าเวลา 9 -11 โมง และอีกช่วงหนึ่งคือตอนกลางคืน ตั้งแต่ 6 โมง ถึง 3 ทุ่ม ในขณะที่ การใช้งาน Social Network นั้นถูกใช้เยอะช่วงตอนเที่ยง และอีกทีตอน 2-3 ทุ่ม เมื่อเปรียบเทียบการใช้งาน ไตรมาสแรกและไตรมาสสอง ที่เพิ่มขึ้น พบว่าการใช้งานหลักคือ การติดต่อสื่อสาร คือเพิ่มจาก 65 นาทีเป็น 78 นาที แสดงว่าคนใช้เวลาในการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น แต่ใช้วิธีการ Chat มากกว่าพูดคุย พฤติกรรมหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ใช้สมาร์ทโฟนไทย มีการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านทั้ง WiFi และ Cellular ซึ่งการใช้ผ่าน WiFi มีการเติบโตมากขึ้น มาจากความนิยมคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ การถ่ายทอดสด และ Streaming เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเชื่อมต่อ WiFi นอกจากให้ความเร็วที่ดี ยังประหยัดการใช้อินเทอร์เน็ตมือถือ อีกทั้ง ผู้ใช้เลือกเชื่อมต่อกับ WiFi ทุกครั้งที่มีโอกาส ดังนั้น ผู้ให้บริการที่มีบริการ WiFi จัดแพ็คเกจที่มีบริการ WiFi อยู่ด้วยจะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ใช้มากกว่า เมื่อพิจารณาถึงการใช้งานประเภท m-Commerce ทั้ง 3 ส่วน พบว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างธุรกิจของผู้ให้บริการ โดยพบว่าการใข้บริการแอปของธุรกิจการเงินการธนาคาร เติบโตขึ้น 39% โดยในไตรมาส 2 มีสัดส่วนผู้ใช้งาน 49% อีกส่วนหนึ่งคือ แอป ช้อปปิ้ง มีการเติบโต 57% มีสัดส่วนผู้ใช้งาน 33% ในไตรมาส 2 เป็นการยืนยันว่า ธนาคาร สถาบันการเงิน ต้องมีการพัฒนาบริการบนมือถือเพื่อรองรับการเติบโตของผู้ใช้ เช่นเดียวกับ ธุรกิจค้าปลีก ที่ต้องพัฒนาแอปเพื่อรองรับการซื้อของบนมือถือเช่นกัน ขณะที่บริการ Payment มีการเติบโต 100% แต่ยังมีสัดส่วนผู้ใช้ประมาณ 24% อาจจะน้อยกว่า แต่เชื่อว่ากำลังเติบโตขึ้นตามลำดับ และนี่คือ 10 แอป ที่คนมีการเข้าใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน แอนดรอยด์ มากที่สุด โดย LINE มาเป็นอันดับ 1 เพราะคนใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารกับ ทั้ง Chat และ VoIP ตามมาด้วย Facebook ซึ่งเป็นสื่อโซเชียลอันดับ 1 อยู่แล้ว ตามมาด้วย Google Chrome และ Youtube ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related เปิด 5 เหตุผลที่ว่า ใช้โนเกียสมาร์ทโฟนแล้วดีอย่างไร? ใช้ระบบปฏิบัติการ Android One ที่ไม่ลอยแพการอัปเกรด In "Featured" dtac เปิดตัวโซลูชั่น Android Zero-Touch ติดปีกธุรกิจให้ลูกค้าองค์กรสู่ Digital Transformation ในไทย In "Featured" ภาพรวมสมาร์ทโฟนยังไปได้ดี Samsung มั่นใจ Galaxy Note7 จุดพลุตลาดครึ่งปีหลัง In "News" ​
Nielsen ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของผู้ใช้ในประเทศไทย โดยใช้ Tools Meter ที่ติดตั้งบนสมาร์ทโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานโดยไม่ต้องตอบแบบสอบถาม ผลการสำรวจพบว่า: - คนไทยใช้สมาร์ทโฟนเฉลี่ย 234 นาทีต่อวัน (เกือบ 4 ชั่วโมง) - ช่วงเวลาที่มีการใช้สมาร์ทโฟนมากที่สุดคือ 8.00 – 23.00 น., โดยเฉลี่ย 12 นาทีต่อชั่วโมง, และหนาแน่นที่สุดช่วง 20.00 – 21.00 น. เพิ่มเป็น 13 นาทีต่อชั่วโมง - การใช้งานมีการเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา, โดยการติดต่อสื่อสารมีเพิ่มจาก 65 นาทีเป็น 78 นาที - การใช้อินเทอร์เน็ตผ่าน WiFi เพิ่มมากขึ้น, โดยมีการเชื่อมต่อ WiFi ทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อให้ความเร็วดีและประหยัดการใช้อินเทอร์เน็ตมือถือ - ในส่วนของ m-Commerce (การเงิน, การช้อปปิ้ง, และการชำระเงิน), พบว่ามีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ, โดยการใช้บริการแอปของธุรกิจการเงินการธนาคารเติบโตขึ้น 39%, แอปช้อปปิ้งเติบโต 57%, และบริการ Payment เติบโต 100% - 10 แอปที่คนไทยมีการใช้งานมากที่สุดคือ LINE, Facebook, Google Chrome, และ Youtube ทั้งนี้การเปรียบเทียบการใช้งานระหว่างไตรมาสแรกและไตรมาสสองพบว่ามีการเพิ่มขึ้นในการติดต่อสื่อสารและการใช้อินเทอร์เน็ตผ่าน WiFi มากขึ้น, และ m-Commerce มีการเติบโตมากขึ้นที่สำคัญ เส้นทางนี้อาจส่งผลต่อโครงสร้างธุรกิจของธนาคาร, ธุรกิจ Payment, และธุรกิจค้าปลีก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_55424
Retail
ในปี 2017 ตลาดวงการค้าปลีกมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง ?
อุตสาหกรรมค้าปลีกในไทยมีความคึกคักอย่างต่อเนื่องทั้งปี และมีการแข่งขันกันดุเดือดมาอีกตลาดหนึ่ง โดยที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการปรับตัวมากขึ้นเพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ ต้องมีโมเดลใหม่ มีกิมมิกดึงลูกค้า หลายคนมองเห็นกรณีศึกษามากมายในต่างประเทศที่ห้างค้าปลีกได้ทยอยปิดตัวลงกันอย่างต่อเนื่อง เพราะโดนพิษจากช้อปออนไลน์ แต่ตรงข้ามกับในประเทศไทยที่ค้าปลีกยังเติบโตต่อเนื่อง มีการขยายสาขาต่อเนื่อง แต่มีโมเดลที่แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับโลเคชั่น ในขณะเดียวกันกับอีคอมเมิร์ซก็เติบโต แต่ยังไม่ได้กระทบมาก เพราะยังเป็นฐานเล็ก ในปีที่ผ่านมาได้เห็นปรากฎการณ์ของวงการค้าปลีกมากมายทั้งเรื่องราวเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องราวใหญ่ๆ ได้ทำการรีแคปให้เห็นการเคลื่อนไหวของตลาดโดยได้สรุปมา 10 ข้อได้ศึกษากัน ร้านสะดวกซื้อเข้าถึงไลฟ์สไตล์ ร้านสะดวกซื้อเข้าถึงไลฟ์สไตล์ ร้านสะดวกซื้อเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีสีสันเพราะใกล้ตัวผู้บริโภคมากที่สุด โดยที่ปัจจุบันมีผู้เล่นหลายรายทั้งเซเว่นฯ, แฟมิลี่มาร์ท, Lawson 108 และมีร้านฟอร์แมทเล็กของไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Tesco Lotus Express และ Mini Big C ลงมาเล่นในตลาดด้วย ส่วนใหญ่ได้วางจุดยืนในเรื่องอาหารอิ่มสะดวก และมีโลเคชั่นที่เข้าถึงผู้บริโภค แต่ช่วงปีที่ผ่านมาได้สร้างเสียงว้าวมากมายโดยที่ร้านสะดวกซื้อได้เพิ่มบริการที่เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นทั้งอาหารตามสั่ง กาแฟสด และมีการรีโนเวทร้านเพื่อให้ทันสมัยใช้โมเดลใหม่ๆ มี Co-working Space มีผลไม้สด ส่งพัสดุ เป็นการเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านมากขึ้น ซุปเปอร์มาร์เก็ตโตก็ต้องแตก (โมเดล) ซุปเปอร์มาร์เก็ตโตก็ต้องแตก (โมเดล) เทรนด์เรื่องสินค้าพรีเมี่ยมยังไปได้สวย พบว่าผู้บริโภคยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้สินค้า และประสบการณ์ที่ดี ทำให้ค้าปลีกกลุ่มซุปเปอร์มาร์เก็ตมีการเติบโตมากที่สุดในบรรดาค้าปลีกทั้งหมด ในไทยก็มีแบรนด์หลักๆ Tops จากค่ายเซ็นทรัล และ Gourmet Market จากค่ายเดอะมอลล์ สิ่งที่ได้เห็นในปีนี้คือนอกจากจะมีสินค้า และบริการระดับพรีเมี่ยมแล้ว ยังมีการแตกโมเดลใหม่ๆ ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยที่ท็อปส์ได้แตกโมเดล Tops Plaza เป็นศูนย์การค้าขนาดย่อมๆ ประเดิมสาขาแรกในจังหวัดพิจิตร บนพื้นที่ 60,000 ตารางเมตร มีร้านค้า และศูนย์ความบันเทิง ให้ช้อปปิ้งมากกว่าในซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วน Gourmet Market ได้แตกสาขานอกห้างมากขึ้น เพราะข้อจำกัดที่เดอะมอลล์มีการขยายสาขาน้อย ทำให้ Gourmet Market ขยายไปสู่รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ลาดพร้าว และเดอะคริสตัล เป็นโมเดลในการขยายสาขาธุรกิจอื่นๆ ในเครือเดอะมอลล์เช่นกัน ห้างไซส์ใหญ่เริ่มขยับไปไซส์เล็ก เจาะชุมชน/เมืองรอง ห้างไซส์ใหญ่เริ่มขยับไปไซส์เล็ก เจาะชุมชน/เมืองรอง ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ๆ จะอยู่ในกลุ่มของไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Tesco Lotus และ Big C รวมถึง ห้างค้าส่งอย่าง Makro ด้วย เมื่อมีการขยายสาขาแบบเต็มขีดจำกัดทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่แล้ว ก็เริ่มเบนเข็มออกสู่โลเคชั่นอื่นๆ ที่มีศักยภาพ ได้เห็นผู้เล่นค้าปลีกเริ่มเจาะพื้นที่จังหวัดเล็กๆ หรือลงพื้นที่ระดับอำเภอมากขึ้น เป็นสาขาขนาดเล็กลง แต่คล่องตัวขึ้น อย่างโรบินสันก็เริ่มเจาะเมืองรองเช่น แม่สอด ร้อยเอ็ด สกลนคร ส่วน Makro มีการขยายโมเดล Food Service มากขึ้นเพื่อเจาะตลาด HoReCa มีการขยายสาขาอย่างหนักในกรุงเทพ เน้นเจาะพื้นที่ชุมชนที่มีร้านอาหารเยอะ Community Mall ไม่ตาย แต่ไม่เพิ่ม Community Mall ไม่ตาย แต่ไม่เพิ่ม เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่กลุ่ม Community Mall รุ่งเรืองมาก มีการเปิดกันสนั่นหลายต่อหลายแบรนด์ เพราะด้วยโลเคชั่นที่เข้าถึงชุมชน และความสะดวกสบาย เน้นเรื่องร้านอาหาร และมีธนาคารหลักๆ ให้ทำธุรกรรม แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคนี้ต้องการสถานที่ One Stop Service ต้องมีบริการครบจบในที่เดียวทั้งทานอาหาร ดูหนัง ช้อปปิ้ง ทำธุระ ทำให้ความนิยมของ Community Mall ค่อยๆ ลดลง แต่ก็ไม่ถึงกับล้มหายตายจากไป แบรนด์เดิมก็ยังคงอยู่ในตลาด แต่อาจจะมีแม็กเน็ตด้วยการจัดอีเวนท์เพื่อดึงทราฟิกมากขึ้น แต่เท่าที่สังเกตการณ์ไม่ค่อยมีแบรนด์ใหม่เข้ามา ที่เห็นล่าสุดกับ Summer Hill ย่านพระโขนง แต่ได้วางจุดยืนเป็น Community Mall ผสม Mix Use ศูนย์การค้าต้องไปให้สุด แล้วหยุดที่ Mix-use ศูนย์การค้าต้องไปให้สุด แล้วหยุดที่ Mix-use ช่วงหลายปีมานี้เห็นการเปิดตัวใหม่ของศูนย์การค้าทั้งจากค่ายเซ็นทรัล และเดอะมอลล์ รวมถึงโปรเจ็คต์ยักษ์จากค่ายอื่นๆ ล้วนแล้วแต่อลังการงานสร้างกันมากขึ้น ทั้งทุ่มงบมหาศาล สร้างให้ยิ่งใหญ่ หรูหรา มีร้านค้าพันธมิตรมากมาย และมีแม็กเน็ตที่น่าสนใจมาดึงดูด แต่ในช่วงหลังเทรนด์เริ่มไปในเรื่องการผสมผสานมากขึ้น แค่ศูนย์การค้าอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ต้องรองรับด้วย Mix-use เป็นโครงการที่รวมทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม เป็นการจับลูกค้าหลายๆ กลุ่ม สังเกตได้ว่าการขยายสาขาใหม่ของเซ็นทรัล และเดอะมอลล์ล้วนไปในโมเดล Mix-use เกือบทั้งหมด เพราสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้โครงการได้ รองรับลุกค้าธุรกิจ และนักท่องเที่ยวได้เพิ่มเติม ศึกค้าปลีกในปั๊มน้ำมัน ต้องจับกับพาร์ทเนอร์ ศึกค้าปลีกในปั๊มน้ำมัน ต้องจับกับพาร์ทเนอร์ เมื่อผู้ให้บริการสถานีน้ำมันเริ่มเบนเข็มมาโฟกัสกลุ่มธุรกิจ Non-oil มากขึ้น ก็คือค้าปลีกภายในปั๊ม เพื่อเป็นจุดดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าปั๊มมากขึ้น โดยที่ปตท.ได้เริ่มโมเดลนี้ก่อนใคร จนในปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นผู้เล่นรายอื่นเดินตามบ้างแล้ว ทำให้ได้เห็นการเปิดศึกจับมือพาร์ทเนอร์กับ “ร้านสะดวกซื้อ” ที่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของปั๊มน้ำมัน เซเว่นฯ ได้จับกับปั๊มปตท.มานานหลายปี แต่ปตท.เองก็พยายามปั้น Jiffy ที่เป็นร้านสะดวกซื้อของตนเองหลังจากที่ซื้อกิจการปั๊ม Jet ปั๊มเอสโซ่ได้พยายามจับกับ Tesco Lotus Express เป็นโมเดลขนาดเล็กของเทสโก้ โลตัส ส่วนบางจากได้จับมือกับ SPAR ซูเปอร์มาร์เก็ตจากเนเธอร์แลนด์ และปั๊มซัสโก้ที่ได้จับมือกับ Lawson 108 เป็นการเปิดศึกธูรกิจค้าปลีกอย่างเต็มรุปแบบของธุรกิจปั๊มน้ำมัน ที่จะโฟกัสแค่ธุรกิจน้ำมันอย่างเดียวไม่ได้แล้ว จากอีคอมเมิร์ซ สู่ Omni Channel จากอีคอมเมิร์ซ สู่ Omni Channel มีการพูดถึงอีคอมเมิร์ซมาหลายปีแล้วในวงการค้าปลีกว่าจะกระทบต่อหน้าร้านออฟไลน์มากแค่ไหน แต่ก็พบว่าในไทยยังไม่ได้มีผลกระทบหนักเหมือนอย่างที่ต่างประเทศ เพราะสัดส่วนรายได้จากออนไลน์ยังน้อยมากอยู่ แต่ก็ได้เห็นการเติบโตมากขึ้น ซึ่งผู้เล่นค้าปลีกได้พยายามพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซของตัวเอง เพื่อที่จะดึงลูกค้าไม่ให้ไปไหน สร้างลอยัลตี้ให้มากขึ้น มีการพูดถึงอีคอมเมิร์ซไปจนถึง Omni Channel ที่ผนึกรวมร้านค้าออนไลน์ กับออฟไลน์เข้าด้วยกัน หมายถึงดูสินค้าจากออนไลน์ และไปซื้อที่หน้าร้านออฟไลน์ หรือมีบริการที่เสริมกัน เป็นนโยบายที่ทางกลุ่มเซ็นทรัลบุกหนักมากขึ้น ส่วนค้าปลีกรายอื่นยังไม่เห็นทิศทางมากนัก สาวไทย ยังไงต้องสวย Health & Beauty ก็โตสวย สาวไทย ยังไงต้องสวย Health & Beauty ก็โตสวย เป็นกระแสร้อนแรงมากในช่วงหลายปีนี้กับค้าปลีกในกลุ่ม Health & Beauty Store แต่เดิมมีผู้เล่นใหญ่แค่ไม่กี่รายอย่าง Watsons และ Boots ต่อมาเริ่มมีผู้เล่นจากต่างชาติเข้ามาเขย่าตลาดเพิ่มเติมอย่าง Tsuruha ประเทศญี่ปุ่นจากค่ายสหพัฒน์ฯ และ Matsutomo Kiyoshi ประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน กลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้นำเข้ามา เป็นร้านที่หลายคนรู้จักเมื่อเวลาไปเยือนประเทศญี่ปุ่น แต่ที่สร้างกระแสในตลาดได้เป็นอย่างดีก็คือร้าน Eveandboy ร้านมัลติแบรนด์เครื่องสำอาง น้ำหอมต่างๆ โดยที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปีนี้มีการขยายสาขาอย่างหนักในห้างสรรพสินค้า ทำให้เกิดร้านมัลติแบรนด์อื่นๆ ตามมาอย่างบิวเที่ยม หรือการเข้ามาของ Sephora แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้ที่ชอบเข้าร้านมัลติแบรนด์ ร้านราคาเดียวกลับมาบูม 12 บาท ยัน 60 บาท ร้านราคาเดียวกลับมาบูม 12 บาท ยัน 60 บาท ถ้าพูดถึงร้านไลฟ์สไตล์ที่ขายสินค้าราคาเดียวที่เป็นต้นแบบจากร้าน 100 เยนในประเทศญี่ปุ่น มีผู้เล่นรายใหญ่ที่นึกถึงมากที่สุดคือ “Daiso” เนื่องจากมีการทำตลาดมานาน มีสาขาเยอะ ราคาไม่แพง และมีสินค้ามากมายตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ แต่ในตลาดก้มีแบรนด์อื่นๆ ได้แก่ Komonoya จากกลุ่มเซ็นทรัล, Just Buy ในโรบินสิน, Arcova, โตคูโตคูยะ และ Can Do ส่วนใหญ่จะมีราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่ามีร้านใหม่ๆ ทยอยตบเท้าเข้ามาในตลาด พร้อมกับราคาที่ย่อมเยากว่าเดิม เช่น เพนกวิน, แบร์ สโตร์, โมชิโมชิ และมินิโซ เป็นทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างประเทศ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 12 บาท ไปจนถึง 60 บาท แต่ที่เห็นได้ชัดคือร้าน Miniso จากประเทศจีนมีการบุกตลาดหนักหน่วง จองทำเลในห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานหลายๆ แห่ง มีราคาเริ่มต้น 69 บาท เน้นสินค้ามินิมอลสไตล์ญี่ปุ่น ทำให้ได้เห็นพฤติกรรมของคนไทยยังตอบรับกับร้านไลฟ์สไตล์ที่ราคาไม่แพง ค้าปลีก Go Digital สร้างแพลตฟอร์ม Engage กับผู้บริโภค ค้าปลีก Go Digital สร้างแพลตฟอร์ม Engage กับผู้บริโภค นอกจากเรื่องการสร้าง Loyalty Program ของแต่ละห้างแล้ว การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วมเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น โดยส่วนใหญ่มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อใช้ในการสื่อสาร และสร้าง Engagement กับลูกค้า พร้อมกับเชื่อมกับบัตร Loyalty Program เพื่อสร้างความสะดวก กลุ่มเซ็นทรัลได้พัฒนาแอพ Central Department Store สำหรับห้างสรรพสินค้า ใช้สำหรับแจ้งโปรโมชั่น สะสมแต้ม แจ้งข่าวสาร รวมถึงบริการซื้อออนไลน์ กลุ่มเดอะมอลล์ก็มีแอพ The Mall Group เช่นกัน หรืออย่าง Tesco Lotus ก็พัฒนาแอพ พร้อมกับผลักดันเทคโนโลยี iBeacon ที่จะแจ้งข้อมูล โปรโมชั่นเมื่อเวลาลูกค้าเดินในสโตร์ แต่ยังมีข้อจำกัดเพราะต้องเปิดบลูทูธตลอดเวลา จังยังไม่ค่อยนิยมมากนัก สรุป ธุรกิจค้าปลีกในไทยยังมีอะไรตื่นเต้นอีกมากมาย มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปีต่อไปอาจจะได้เห็นอะไรแปลกใหม่มากขึ้เพื่อให้เท่าทันกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้สมาคมค้าปลีกไทยได้ประเมินอุตสาหกรรมค้าปลีกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 น่าจะเติบโตระหว่าง 8-3.0% คืออยู่ในระดับทรงตัว และได้ประเมินภาพรวมดัชนีค้าปลีกปี 2560 มีการเติบโต 3.2-3.4 % (ในขณะที่คาดการณ์ว่า GDP ทั้งปี 2560 จะเติบโตที่ 3.9%) ธุรกิจค้าปลีกในไทยยังมีอะไรตื่นเต้นอีกมากมาย มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปีต่อไปอาจจะได้เห็นอะไรแปลกใหม่มากขึ้เพื่อให้เท่าทันกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้สมาคมค้าปลีกไทยได้ประเมินอุตสาหกรรมค้าปลีกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 น่าจะเติบโตระหว่าง 8-3.0% คืออยู่ในระดับทรงตัว และได้ประเมินภาพรวมดัชนีค้าปลีกปี 2560 มีการเติบโต 3.2-3.4 % (ในขณะที่คาดการณ์ว่า GDP ทั้งปี 2560 จะเติบโตที่ 3.9%) ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related สรุป 10 ปรากฎการณ์ค้าปลีกในปี 2018 ยุคที่ห้างเป็นมากกว่าที่ช้อปปิ้ง In "News" ใครว่าร้านค้ายุคนี้ต้องออนไลน์? Watsons เตรียมลุยเปิดสาขาทั่วโลกอีก 1,400 สาขาในปีนี้ In "Article" ประเมินสถานการณ์ค้าปลีกไทย 2562 “ซึม-ทรง-เสี่ยง” จากหลายปัจจัยไม่แน่นอน In "News"
1.ร้านสะดวกซื้อเข้าถึงไลฟ์สไตล์ ร้านสะดวกซื้อเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีสีสันเพราะใกล้ตัวผู้บริโภคมากที่สุด โดยที่ปัจจุบันมีผู้เล่นหลายรายทั้งเซเว่นฯ, แฟมิลี่มาร์ท, Lawson 108 และมีร้านฟอร์แมทเล็กของไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Tesco Lotus Express และ Mini Big C ลงมาเล่นในตลาดด้วย ส่วนใหญ่ได้วางจุดยืนในเรื่องอาหารอิ่มสะดวก และมีโลเคชั่นที่เข้าถึงผู้บริโภค 2.ซุปเปอร์มาร์เก็ตโตก็ต้องแตก (โมเดล) เทรนด์เรื่องสินค้าพรีเมี่ยมยังไปได้สวย พบว่าผู้บริโภคยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้สินค้า และประสบการณ์ที่ดี ทำให้ค้าปลีกกลุ่มซุปเปอร์มาร์เก็ตมีการเติบโตมากที่สุดในบรรดาค้าปลีกทั้งหมด ในไทยก็มีแบรนด์หลักๆ Tops จากค่ายเซ็นทรัล และ Gourmet Market จากค่ายเดอะมอลล์ 3.ห้างไซส์ใหญ่เริ่มขยับไปไซส์เล็ก เจาะชุมชน/เมืองรอง ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ๆ จะอยู่ในกลุ่มของไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Tesco Lotus และ Big C รวมถึง ห้างค้าส่งอย่าง Makro ด้วย เมื่อมีการขยายสาขาแบบเต็มขีดจำกัดทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่แล้ว ก็เริ่มเบนเข็มออกสู่โลเคชั่นอื่นๆ ที่มีศักยภาพ 4.Community Mall ไม่ตาย แต่ไม่เพิ่ม เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่กลุ่ม Community Mall รุ่งเรืองมาก มีการเปิดกันสนั่นหลายต่อหลายแบรนด์ เพราะด้วยโลเคชั่นที่เข้าถึงชุมชน และความสะดวกสบาย เน้นเรื่องร้านอาหาร และมีธนาคารหลักๆ ให้ทำธุรกรรม แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคนี้ต้องการสถานที่ One Stop Service ต้องมีบริการครบจบในที่เดียวทั้งทานอาหาร ดูหนัง ช้อปปิ้ง ทำธุระ ทำให้ความนิยมของ Community Mall ค่อยๆ ลดลง 5.ศูนย์การค้าต้องไปให้สุด แล้วหยุดที่ Mix-use ช่วงหลายปีมานี้เห็นการเปิดตัวใหม่ของศูนย์การค้าทั้งจากค่ายเซ็นทรัล และเดอะมอลล์ รวมถึงโปรเจ็คต์ยักษ์จากค่ายอื่นๆ ล้วนแล้วแต่อลังการงานสร้างกันมากขึ้น ทั้งทุ่มงบมหาศาล สร้างให้ยิ่งใหญ่ หรูหรา มีร้านค้าพันธมิตรมากมาย และมีแม็กเน็ตที่น่าสนใจมาดึงดูด 6.ศึกค้าปลีกในปั๊มน้ำมัน ต้องจับกับพาร์ทเนอร์ เมื่อผู้ให้บริการสถานีน้ำมันเริ่มเบนเข็มมาโฟกัสกลุ่มธุรกิจ Non-oil มากขึ้น ก็คือค้าปลีกภายในปั๊ม เพื่อเป็นจุดดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าปั๊มมากขึ้น โดยที่ปตท.ได้เริ่มโมเดลนี้ก่อนใคร จนในปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นผู้เล่นรายอื่นเดินตามบ้างแล้ว ทำให้ได้เห็นการเปิดศึกจับมือพาร์ทเนอร์กับ “ร้านสะดวกซื้อ” ที่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของปั๊มน้ำมัน 7.จากอีคอมเมิร์ซ สู่ Omni Channel มีการพูดถึงอีคอมเมิร์ซมาหลายปีแล้วในวงการค้าปลีกว่าจะกระทบต่อหน้าร้านออฟไลน์มากแค่ไหน แต่ก็พบว่าในไทยยังไม่ได้มีผลกระทบหนักเหมือนอย่างที่ต่างประเทศ เพราะสัดส่วนรายได้จากออนไลน์ยังน้อยมากอยู่ แต่ก็ได้เห็นการเติบโตมากขึ้น 8.สาวไทย ยังไงต้องสวย Health & Beauty ก็โตสวย เป็นกระแสร้อนแรงมากในช่วงหลายปีนี้กับค้าปลีกในกลุ่ม Health & Beauty Store แต่เดิมมีผู้เล่นใหญ่แค่ไม่กี่รายอย่าง Watsons และ Boots ต่อมาเริ่มมีผู้เล่นจากต่างชาติเข้ามาเขย่าตลาดเพิ่มเติมอย่าง Tsuruha ประเทศญี่ปุ่นจากค่ายสหพัฒน์ฯ และ Matsutomo Kiyoshi ประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน กลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้นำเข้ามา เป็นร้านที่หลายคนรู้จักเมื่อเวลาไปเยือนประเทศญี่ปุ่น 9.ร้านราคาเดียวกลับมาบูม 12 บาท ยัน 60 บาท ถ้าพูดถึงร้านไลฟ์สไตล์ที่ขายสินค้าราคาเดียวที่เป็นต้นแบบจากร้าน 100 เยนในประเทศญี่ปุ่น มีผู้เล่นรายใหญ่ที่นึกถึงมากที่สุดคือ “Daiso” เนื่องจากมีการทำตลาดมานาน มีสาขาเยอะ ราคาไม่แพง และมีสินค้ามากมายตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ แต่ในตลาดก้มีแบรนด์อื่นๆ ได้แก่ Komonoya จากกลุ่มเซ็นทรัล, Just Buy ในโรบินสิน, Arcova, โตคูโตคูยะ และ Can Do ส่วนใหญ่จะมีราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท 10.ค้าปลีก Go Digital สร้างแพลตฟอร์ม Engage กับผู้บริโภค นอกจากเรื่องการสร้าง Loyalty Program ของแต่ละห้างแล้ว การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วมเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น โดยส่วนใหญ่มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อใช้ในการสื่อสาร และสร้าง Engagement กับลูกค้า พร้อมกับเชื่อมกับบัตร Loyalty Program เพื่อสร้างความสะดวก
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55460
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....มิตรภาพและความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสำเร็จ
null
พันธมิตร มิตรภาพ และบัตรใบใหม่ ณ ใจกลางเมืองหลวง แสงไฟสว่างไสวของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ท่าพระ ดึงดูดผู้คนมากมายให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอย เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงเพลงบรรเลง ผสมผสานกันเป็นบรรยากาศคึกคัก ท่ามกลางความวุ่นวาย ดวงตาสีดำสนิทของ ‘วรัญญา’ พนักงานขายแผนกเครื่องสำอาง กำลังจับจ้องไปที่กลุ่มลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อสินค้า ใบหน้าของเธอเปื้อนยิ้มอย่างเป็นมิตร เธอพร้อมให้บริการลูกค้าด้วยความเต็มใจ วรัญญารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษกับวันนี้ เพราะเป็นวันที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ เปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ “Bangkok Bank M Visa” ผลงานความร่วมมือระหว่างเดอะมอลล์และธนาคารกรุงเทพ เธอเคยได้ยินเรื่องราวความสัมพันธ์อันยาวนานของสององค์กรนี้มาบ้าง เริ่มต้นจากเมื่อ 40 ปีก่อน ธนาคารกรุงเทพให้ความไว้วางใจ ปล่อยสินเชื่อ 350 ล้านบาท แก่ ‘ศุภชัย อัมพุช’ ผู้ก่อตั้งเดอะมอลล์ เพื่อสร้างโครงการเดอะมอลล์ ท่าพระ นับจากนั้น ธนาคารกรุงเทพก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเงินทุนแก่เดอะมอลล์มาโดยตลอด ผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น บางกะปิ สยามพารากอน และดิ เอ็มควอเทียร์ “ความสัมพันธ์ของเดอะมอลล์และธนาคารกรุงเทพ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ แต่เป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ‘มิตร’ ” วรัญญานึกในใจ เธอหวนนึกถึงคำพูดของ ‘ศุภลักษณ์ อัมพุช’ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ที่กล่าวไว้ว่า “ธนาคารกรุงเทพคือหนึ่งในคนสำคัญที่ทำให้กลุ่มเดอะมอลล์สามารถเริ่มต้นธุรกิจขึ้นมาได้” วรัญญา รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ เธอยิ้มให้กับลูกค้าอีกครั้ง อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับบัตร Bangkok Bank M Visa ด้วยความคล่องแคล่ว บัตรใบนี้มอบสิทธิประโยชน์มากมายแก่ผู้ถือ เช่น ส่วนลดสูงสุด 10% เมื่อใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ และเครือข่ายพันธมิตร สะสมคะแนน M Point สูงสุด 4 เท่า ลูกค้าหลายคนสนใจสมัครบัตร Bangkok Bank M Visa บรรยากาศภายในห้างเต็มไปด้วยความคึกคัก วรัญญารู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เธอหวังว่าบัตรใบนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเดอะมอลล์และลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55473
Retail
จงสรุปบทความเรื่อง "องค์กรไทยเร่งรับมือภัยไซเบอร์ ธุรกิจการเงิน และขนส่งตื่นตัวสุด มอง AI เป็นอีกตัวช่วยป้องกัน" ให้หน่อยคะ
Palo Alto Networks รายงานสถานการณ์ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ของภูมิภาคอาเซียนว่า ทุกประเทศเพิ่มงบประมาณเรื่องนี้ มีธุรกิจการเงินธนาคารถูกโจมตีมากที่สุด รองลงมาเป็นภาครัฐ และบริษัทขนส่งพัสดุ ทั้งมอง AI เป็นอีกตัวช่วยลดการเกิดเหตุร้ายผ่านการป้องกันก่อนโดนโจมตี ทุกประเทศเพิ่มดีกรีป้องกันภัยไซเบอร์ เอียน ลิม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยภาคสนาม ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Palo Alto Networks เล่าให้ฟังว่า องค์กรในภูมิภาคอาเซียนมีการเพิ่มงบประมาณเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์ และมีการหารือเรื่องดังกล่าวทุกไตรมาสเพื่อยกระดับการป้องกันจน 90% ขององค์กรต่าง ๆ รู้สึกมั่นใจในเรื่องนี้ “หากเฉลี่ยออกมาจะพบว่า องค์กรในภูมิภาคอาเซียนมีการเพิ่มงบประมาณเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์ 66% จากปี 2022 โดยประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือสิงคโปร์ เพราะใช้งบประมาณเพิ่ม 77% ส่วนไทยเพิ่มขึ้นในอัตรา 49% น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เนื่องจากหลายองค์กรในไทยมีการลงทุนเรื่องนี้พอสมควรแล้ว” ตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงจากการสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที และผู้นำธุรกิจ 500 คน ในอาเซียน เมื่อเดือน เม.ย. 2023 โดยทั้งหมดอยู่ในธุรกิจบริการ (ธนาคาร การเงิน), รัฐบาล/ภาครัฐ/บริการพื้นฐาน, โทรคมนาคม/เทคโนโลยี/สื่อสาร, ภาคค้าปลีก/โรงแรม/อาหารและเครื่องดื่ม, ขนส่งและโลจิสติกส์ และภาคการผลิต ธุรกิจบริการตกเป็นเป้าหมายคุกคามสูงสุด หากแบ่งเป็นภาคธุรกิจจะพบว่า ธุรกิจบริการ ที่ประกอบด้วยธนาคาร กับองค์กรทางการเงินคือเป้าหมายที่ผู้ไม่ประสงค์ดีจะเข้ามาโจมตีสูงที่สุด รองลงมาเป็นภาครัฐบาล, โทรคมนาคม, ค้าปลีก, การขนส่ง และภาคการผลิต โดยทั้งหมดนี้นำระบบคลาวด์, การยืนยันตัวตน และการรักษาความปลอดภัย IoT เข้ามาใช้มากขึ้น หากเจาะไปที่ประเทศไทยจะพบว่า ประเภทการโจมตีที่องค์กรในไทยมีความกังวลมากที่สุดคือ มัลแวร์ 57% การเข้าควบคุมบัญชีผู้ใช้ 57% การโจมตีรหัสผ่าน 53% มัลแวร์ 57% การเข้าควบคุมบัญชีผู้ใช้ 57% การโจมตีรหัสผ่าน 53% ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างดีในด้านการเผชิญความเสี่ยงเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์และการยกระดับทักษะในด้านนี้ โดยมีองค์กรเพียง 37% เท่านั้นที่มองว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์อยู่ในระดับสูงหรือสูงมาก และถือเป็นอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดในอาเซียน ขณะที่องค์กรในไทยที่มองว่าเกิดการโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างหนักเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% นั้น มีจำนวนอยู่เพียงราว 22% ขององค์กรทั้งหมดที่มีความมั่นใจในการติดตามปัญหาระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดในอาเซียน มอง AI เป็นอีกเครื่องมือช่วยป้องกัน ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย และอินโดจีน Palo Alto Networks เสริมว่า กลยุทธ์ด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่สำคัญที่สุดสามอันดับแรกในไทยประกอบด้วย การรักษาความปลอดภัยแก่ IoT/OT 43% การยกเครื่องระบบตรวจจับภัยคุกคามและระบบ/แพลตฟอร์มตรวจหาพฤติการณ์ที่สัมพันธ์ 40% การจัดการตัวตนและการเข้าถึงระบบ 38% การประสานงาน การรับมือ และระบบอัตโนมัติด้านการรักษาความปลอดภัย (SOAR) สำหรับ SOC 38% การรักษาความปลอดภัยแก่ IoT/OT 43% การยกเครื่องระบบตรวจจับภัยคุกคามและระบบ/แพลตฟอร์มตรวจหาพฤติการณ์ที่สัมพันธ์ 40% การจัดการตัวตนและการเข้าถึงระบบ 38% การประสานงาน การรับมือ และระบบอัตโนมัติด้านการรักษาความปลอดภัย (SOAR) สำหรับ SOC 38% ขณะเดียวกันการผสานการทำงานกับ AI เป็นเทคโนโลยีที่ธุรกิจกำลังเตรียมติดตั้งในต่อเนื่องทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในไทย โดยธุรกิจด้านโทรคมนาคม/เทคโนโลยี/สื่อสาร ให้ความสนใจในการนำ AI เข้ามาใช้มากที่สุดในภูมิภาค และมีโอกาสเติบโตในอัตราที่เร็วขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า “ปัญหาในหลายองค์กร รวมถึงที่ไทยกำลังประสบคือการที่องค์กรเดียวมีตัวป้องกันความปลอดภัยหลายระบบ สร้างความวุ่นวายในการบริหารจัดการ ดังนั้นควรยุบลงมาเหลือ 3-4 แบรนด์ก็เพียงพอ นอกจากนี้การใช้ AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อมี Playbook ในการกำจัด และให้รายละเอียดถึง Log ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ได้ถูกต้อง” ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related G-Able ส่ง CyberGenics แข่งความปลอดภัยไซเบอร์ 13,000 ล้านบาท หวังคงส่วนแบ่งท็อป 5 ตลาด In "Business" Cisco ชี้ องค์กรไทยแค่ 27% พร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เสี่ยงเสียหายอย่างน้อย 5 แสนเหรียญ In "Business" วางแผนและรับมือภัยคุกคามทาง Cybersecurity ด้วย IBM Security In "Featured"
รายงานสถานการณ์ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคอาเซียนของ Palo Alto Networks ระบุว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้เพิ่มงบประมาณในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยธุรกิจการเงินและธนาคารเป็นศัตรูหลักที่ถูกโจมตีมากที่สุด และมีการมองหาความช่วยเหลือจากการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อลดการเกิดเหตุร้ายก่อนที่จะถูกโจมตี ทั้งหมดนี้ส่งผลให้มีการเพิ่มดีกรีป้องกันภัยไซเบอร์ทั่วภูมิภาค โดยมีการเพิ่มงบประมาณมากที่สุดในประเทศสิงคโปร์ (เพิ่มขึ้น 77%) และประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นที่มีอัตราน้อยที่สุด (เพิ่มขึ้น 49%) จากปี 2022 ทั้งนี้ ภูมิภาคอาเซียนมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับความปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีเป้าหมายให้ 90% ขององค์กรในภูมิภาคป้องกันได้ โดยเฉลี่ยมีการเพิ่มงบประมาณเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์ขึ้น 66% จากปี 2022 โดยมีการหารือเกี่ยวกับความปลอดภัยทุกไตรมาส ในการวิเคราะห์การโจมตีทางไซเบอร์ในประเทศไทย พบว่ามัลแวร์เป็นประเภทการโจมตีที่กังวลมากที่สุด (57%) ตามด้วยการเข้าควบคุมบัญชีผู้ใช้ (57%) และการโจมตีรหัสผ่าน (53%) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทำให้ทราบถึงความกังวลในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรในประเทศ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองทั่วไป ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ดีในด้านการเผชิญความเสี่ยงและยกระดับทักษะด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีเพียง 37% เท่านั้นที่มองว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์อยู่ในระดับสูงหรือสูงมาก และเป็นที่น้อยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตาม มีองค์กรในประเทศที่มองว่ามีการโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างหนักมากกว่า 50% น้อยที่สุดในอาเซียน (22%) สำหรับกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ ที่สำคัญที่สุดในประเทศไทยประกอบด้วยการรักษาความปลอดภัยแก่ IoT/OT (43%) และการยกระดับทักษะในด้านนี้ การตรวจจับภัยคุกคามและระบบ/แพลตฟอร์มตรวจหาพฤติการณ์ที่สัมพันธ์ (40%) การจัดการตัวตนและการเข้าถึงระบบ (38%) และการประสานงาน การรับมือ และระบบอัตโนมัติด้านการรักษาความปลอดภัย (SOAR) 38% การผสานการทำงานกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเทคโนโลยีที่ธุรกิจในภูมิภาคกำลังให้ความสนใจมากที่สุด โดยธุรกิจด้านโทรคมนาคม/เทคโนโลยี/สื่อสาร เป็นภูมิภาคที่มีความสนใจมากที่สุดในภูมิภาค และมีโอกาสเติบโตในอัตราที่เร็วขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งยังต้องให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ Log เพื่อให้ AI ทำงานได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_55475
Retail
แต่งเรื่องสั้นเกี่ยวกับกระแส iPhone 15 ในประเทศไทย
null
iPhone 15: กระแสแรงเกินต้าน! ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร ผู้คนมากมายต่างรอคอยคิวเข้าซื้อ iPhone 15 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple บรรยากาศคึกคักไปด้วยสีสัน ผู้คนต่างตื่นเต้นกับการเปิดตัวครั้งนี้ หนึ่งในนั้นคือ ท็อป วัย 23 ปี แฟนตัวยงของผลิตภัณฑ์ Apple เขารอคอย iPhone 15 มานานแรมปี ตื่นเช้ามาต่อคิวตั้งแต่ห้างเปิด รู้สึกตื่นเต้นกับดีไซน์ใหม่ กล้องเทพ และฟีเจอร์ล้ำสมัย ในที่สุดก็ได้แล้ว ท็อปอุทานด้วยความดีใจ เมื่อพนักงานในร้านนำตัวเครื่องมาให้เขา iPhone 15 เครื่องใหม่เอี่ยม เขาแกะกล่องอย่างรวดเร็ว สัมผัสตัวเครื่องที่บางเฉียบ ดีไซน์ล้ำสมัย รู้สึกประทับใจตั้งแต่แรกสัมผัส "กล้องนี่สุดยอด!" ท็อปลองถ่ายรูป ภาพที่ได้คมชัด สีสันสดใส เก็บรายละเอียดได้ดีเยี่ยม เขาแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะลองฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ iPhone 15 ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดียก็ดังขึ้น ท็อปรีบเปิดดู เพื่อน ๆ ของเขาต่างโพสต์รูปภาพและวิดีโอเกี่ยวกับ iPhone 15 เต็มไปหมด ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า iPhone 15 นั้นสุดยอด คุ้มค่ากับการรอคอย ท็อปรู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระแส iPhone 15 เขา รู้สึกเหมือนได้เข้าร่วมสังคมของผู้ใช้ Apple ที่ต่างหลงใหลในนวัตกรรมและเทคโนโลยี ในวันต่อมา ท็อปรีบพก iPhone 15 ไปอวดเพื่อน ๆ ที่ร้านกาแฟ เพื่อน ๆ ของเขาต่างทึ่งกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ iPhone 15 ท็อปสอนเพื่อน ๆ ใช้กล้อง ถ่ายวิดีโอ เล่นเกม ทุกคนสนุกสนานกันมาก กระแส iPhone 15 ในประเทศไทยนั้นแรงเกินต้าน ผู้คนต่างพูดถึง iPhone 15 กันทั่วไป สื่อต่าง ๆ ต่างนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับ iPhone 15 ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย Apple เต็มไปด้วยผู้คน ท็อปรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ iPhone 15 สมาร์ทโฟนที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของเทรนด์ แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ iPhone 15 เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล ทำให้เขารู้สึกทันสมัย เชื่อมต่อกับโลก และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แต่วันหนึ่ง ท็อปก็สังเกตว่า เพื่อน ๆ ของเขาเริ่มเบื่อหน่ายกับ iPhone 15 ทุกคนต่างพูดเหมือนกันว่า ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ iPhone 15 นั้นไม่ได้น่าตื่นเต้นเหมือนตอนแรก กล้องก็ไม่ได้ดีขึ้นมากมาย และราคาที่แพงเกินไป ท็อปเริ่มคิดทบทวน ว่าเขาซื้อ iPhone 15 มาทำไม จริง ๆ แล้ว เขาต้องการฟีเจอร์ใหม่ ๆ เหล่านั้นจริงหรือ? หรือแค่ต้องการตามกระแส? ในที่สุด ท็อปก็ตัดสินใจขาย iPhone 15 เขาซื้อมือถือรุ่นอื่นที่ราคาถูกกว่า ฟีเจอร์ครบครัน และเหมาะกับการใช้งานของเขา ท็อปเรียนรู้บทเรียนสำคัญ ว่า การตามกระแสเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเสมอไป สิ่งสำคัญคือ เขาต้องเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีสติ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55482
Retail
กลยุทธ์ของ CP All ในการขยายธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel มีอะไรบ้าง?
null
CP All เผยกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel ดังนี้: 1. พัฒนาแอปพลิเคชัน "7-Eleven Delivery": เพิ่มจำนวนสาขาที่ให้บริการบนแอปพลิเคชัน ขยายเมนูสินค้าให้มีความหลากหลาย พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 2. พัฒนาธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven: ปรับรูปแบบร้านให้ทันสมัย เพิ่มสินค้าและบริการใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พัฒนาระบบการชำระเงินให้สะดวกและรวดเร็ว 3. ร่วมมือกับพันธมิตร: ร่วมมือกับผู้ให้บริการ Platform Online ต่าง ๆ ร่วมมือกับ Influencer เพื่อโปรโมทสินค้า ร่วมมือกับธนาคารเพื่อนำเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย 4. พัฒนาเทคโนโลยี: นำ Big Data มาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า นำ AI มาใช้เพื่อ personalize ประสบการณ์การช้อปปิ้ง พัฒนาระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน 5. มุ่งเน้นการให้บริการ: พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าที่มีความรวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัย เสนอตัวเลือกการจัดส่งสินค้าที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า นำเสนอบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ เช่น การคืนสินค้า การเปลี่ยนสินค้า 6. พัฒนาธุรกิจใหม่: ลงทุนในธุรกิจ Food Delivery พัฒนาธุรกิจ Health & Wellness ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ตัวอย่างการขยายธุรกิจแบบ Omnichannel ของ CP All: 7-Eleven เปิดตัวแอปพลิเคชัน "7-Eleven Delivery" ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และจัดส่งสินค้าถึงบ้าน 7-Eleven ร่วมมือกับ GrabFood, Foodpanda และ Lineman เพื่อขยายช่องทางการจัดส่งสินค้า 7-Eleven พัฒนาระบบ "Scan & Pay" ให้ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน 7-Eleven บทสรุป: CP All มุ่งเน้นการขยายธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel ผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_55517
Retail
ช่วยสรุปบทความ LG ส่ง LG Gram บุกตลาดโน้ตบุ๊กในไทยครั้งแรก อัดงบ 50 ล้าน ขอส่วนแบ่งตลาดพรีเมียม 2%
LG เดินหน้าทำตลาดโน้ตบุ๊กพรีเมียม จีรภา คงสว่างวงศา รองประธานบริหารฝ่ายธุรกิจกลุ่มลูกค้าองค์กร และไอที ภาคพื้นอินโดไชน่า บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าให้ฟังว่า LG ได้เริ่มทดลองทำตลาดโน้ตบุ๊กในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2022 ในช่องทางต่าง ๆ และมีผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี จึงตัดสินใจเริ่มทำตลาดสินค้านี้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2023 “ถือเป็นการทำตลาดโน้ตบุ๊กในประเทศไทยเป็นครั้งแรกของบริษัท จากก่อนหน้านี้เน้นจำหน่ายในเกาหลี, ญี่ปุ่น และไต้หวัน โดยการเข้ามาในประเทศไทย LG เลือกนำตระกูล LG Gram ทำตลาด พร้อมวางตัวเป็นโน้ตบุ๊กระดับพรีเมียม เน้นประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา กับราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเปกที่ให้” LG Gram จะทำตลาดด้วยโน้ตบุ๊กรุ่นหน้าจอ 16 และ 17 นิ้ว มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel เจเนอเรชัน 13 และมีน้ำหนัก 1.19 และ 1.35 กก. ตามลำดับ เน้นเรื่องการทำงานทั่วไป แตกต่างกับโน้ตบุ๊กหน้าจอใหญ่ในตลาดที่เน้นการเล่นเกม และมีน้ำหนักเยอะ โดยจะจำหน่ายในราคา 49,500 – 67,700 บาท ตั้งเป้ากินแชร์ 2% ของตลาดพรีเมียม สำหรับภาพรวมตลาดโน้ตบุ๊กพรีเมียมในปี 2023 คาดว่ากินสัดส่วนในตลาดโน้ตบุ๊กทั้งหมดราว 17% หรือคิดเป็นมูลค่า 200 ล้านบาท โดยตลาดนี้มีการเติบโตสวนทางกับตลาดโน้ตบุ๊กโดยรวมที่มีการหดตัวเล็กน้อย โดย LG ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าวที่ 2% ในปี 2023 “เราต้องการสร้างความแตกต่างในตลาด และจากที่ทดลองมาพบว่ากลุ่มหน้าจอขนาดใหญ่ที่มีดีไซน์เรียบหรูเน้นการทำงานยังเป็นบลูโอเชียน ยิ่งตลาดพรีเมียมยังมีแนวโน้มเติบโต และแข่งขันที่ฟีเจอร์ กับฟังก์ชัน ไม่ใช่ราคา LG จึงมั่นใจว่า LG Gram สามารถแข่งขันกับผู้เล่นในตลาดได้” การเข้ามาของโน้ตบุ๊กตระกูล LG Gram จะทำให้ LG ประเทศไทย มียอดขายกลุ่มสินค้าไอทีเติบโตราว 10% และยอดขายจากกลุ่มสินค้าดังกล่าวจะมาจากธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลถึง 70% โดยปัจจุบันกลุ่มสินค้าไอทีของ LG ประเทศไทย มีสินค้าจอมอนิเตอร์ประสิทธิภาพสูงเป็นสินค้าหลัก อัดงบการตลาด 30-50 ล้านบาท ดันยอด เพื่อไปถึงเป้าหมายดังกล่าว LG ประเทศไทย เตรียมใช้งบประมาณราว 30-50 ล้านบาท เพื่อสื่อสารการตลาดแบบ 360 องศา ประกอบด้วยการใช้สื่อนอกบ้าน, สื่อออนไลน์ และโปรโมชันต่าง ๆ ในช่องทางจำหน่ายทั้งร้านค้าปลีกไอที และช่องทางออนไลน์ “ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของ LG ประเทศไทย เพราะโน้ตบุ๊กเป็นสินค้าใหม่ของบริษัทที่เพิ่งเข้ามาทำตลาด และเรามั่นใจว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างการรับรู้ และได้ผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพื่อเดินหน้าไปสู่ผู้นำในตลาดโน้ตบุ๊กพรีเมียมของไทย” การ์ทเนอร์ บริษัทสำรวจ และวิจัยชั้นนำ คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าไอทีในประเทศไทยปี 2023 ที่ 9.34 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2022 โดยในกลุ่มอุปกรณ์ไอที เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จะลดลงจากปีก่อน 4.7% ส่วนที่มีการเติบโตมากที่สุดคือซอฟต์แวร์ที่ 14.9% รองลงมาเป็นไอทีเซอร์วิส 10.4%
LG เดินหน้าทำตลาดโน้ตบุ๊กพรีเมียม LG ที่เริ่มทดลองทำตลาดโน้ตบุ๊กในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2022 และได้รับผลตอบรับดีจึงตัดสินใจเริ่มทำตลาดสินค้านี้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2023 โดยเน้นตัวสินค้า LG Gram ในส่วนของโน้ตบุ๊กรุ่นหน้าจอ 16 และ 17 นิ้ว มีคุณสมบัติเน้นทำงานทั่วไป ด้วยชิปประมวลผล Intel เจเนอเรชัน 13 และน้ำหนักเบา 1.19 และ 1.35 กก. ราคาจะอยู่ในช่วง 49,500 - 67,700 บาท โดยเน้นคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเปกที่ให้ในแต่ละรุ่น ตั้งเป้ากินแชร์ 2% ของตลาดพรีเมียม ในปี 2023, ตลาดโน้ตบุ๊กพรีเมียมคาดว่าจะครองส่วนแบ่งที่ 17% ของตลาดโน้ตบุ๊กทั้งหมดมูลค่า 200 ล้านบาท โดยมีการเติบโตในขณะที่ตลาดโน้ตบุ๊กทั่วไปกำลังหดลงเล็กน้อย บริษัท LG วางเป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่ง 2% ในตลาดนี้ โดยมุ่งเน้นทำให้ LG Gram ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่และดีไซน์เรียบหรูเป็นทางเลือกที่ทันสมัยสำหรับการทำงาน กล่าวว่า LG Gram สามารถแข่งขันได้ในตลาดนี้ กลุ่มสินค้าไอทีของ LG ประเทศไทยเพิ่มขึ้น 10% โดยส่วนมากจะมาจากธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลถึง 70% ซึ่งในปัจจุบันมีสินค้าจอมอนิเตอร์ประสิทธิภาพสูงเป็นสินค้าหลักของ LG ประเทศไทย อัดงบการตลาด 30-50 ล้านบาท ดันยอด LG ประเทศไทย เตรียมลงทุน 30-50 ล้านบาท ในการตลาดโน้ตบุ๊กพรีเมียม ผ่านกิจกรรมโฆษณา 360 องศา ทั้งสื่อนอกบ้าน, ออนไลน์ และโปรโมชัน ที่ร้านค้าและออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และเป็นผู้นำในตลาดนี้ คาดการณ์การใช้จ่ายสินค้าไอทีในประเทศไทยปี 2023 เพิ่มขึ้น 4.2% เป็นจำนวน 9.34 แสนล้านบาท โดยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลลดลง 4.7% ในขณะที่ซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้น 14.9% และไอทีเซอร์วิสเพิ่มขึ้น 10.4%
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_55541
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ราสามารถเรียนรู้ได้ว่า ความสำเร็จนั้นไม่มีทางลัด จำเป็นต้องอาศัยความทุ่มเท ใส่ใจรายละเอียด และความมุ่งมั่น ตั้งใจ กฤษณาเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำที่ทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ เธอใส่ใจรายละเอียดทุกขั้นตอน และมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานที่ดีที่สุด
null
แสงสว่างแห่งรอยัล พารากอน ฮอลล์ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร แสงไฟสว่างไสวจากตึกสูงระฟ้าสะท้อนกับสายน้ำเจ้าพระยา บนชั้น 5 ของศูนย์การค้าสยามพารากอน รอยัล พารากอน ฮอลล์ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับงานเปิดตัวสินค้าใหม่จากแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก บรรยากาศคึกคักไปด้วยพนักงานที่กำลังจัดเตรียมสถานที่ แสงไฟ เสียงเพลง และอาหารชั้นเลิศ ท่ามกลางความวุ่นวาย กฤษณา จรรยาสกุลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามอัลไลแอนซ์ แมเนจเม้นท์ กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของงานอย่างละเอียด สายตาของเธอจับจ้องไปที่ทุกมุมห้อง มองหาจุดบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น แม้จะผ่านงานใหญ่มาแล้วมากมาย แต่เธอยังคงใส่ใจรายละเอียดทุกขั้นตอน เพราะเธอรู้ดีว่างานนี้เป็นงานสำคัญที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับรอยัล พารากอน ฮอลล์ และประเทศไทย ในที่สุด แขกผู้มีเกียรติเริ่มทยอยเข้ามาในงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงเพลงบรรเลง ดังก้องไปทั่วห้องโถง กฤษณายืนต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม เธอรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานสำคัญนี้ ทันใดนั้น ไฟในห้องโถงก็ดับลง เหลือเพียงแสงไฟสปอตไลท์ที่ส่องไปที่เวที เสียงดนตรีบรรเลงช้าลง บรรยากาศตึงเครียดขึ้น ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เวที รอคอยการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุด นางแบบก็ปรากฏตัวบนเวที สวมใส่สินค้าใหม่จากแบรนด์ดัง แสงไฟส่องประกายระยิบระยับไปทั่วชุด แขกต่างส่งเสียงฮือฮาด้วยความประทับใจ กฤษณายิ้มอย่างพอใจ เธอรู้ดีว่างานนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม หลังจากงานจบลง กฤษณายืนมองดูพนักงานกำลังเก็บกวาดสถานที่ เธอรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ก็รู้สึกภูมิใจกับผลงานที่ออกมา เธอรู้ดีว่างานนี้เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำของรอยัล พารากอน ฮอลล์ ในฐานะศูนย์กลางความบันเทิงและงานอีเว้นท์ระดับโลก
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55548
Retail
หลังมีการผ่อนคลายนโยบายป้องกันโควิด-19 หุ้นในกลุ่มธุรกิจ เป็นอย่างไร ?
เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคมก่อนช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทไทยแข็งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 32.65 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงที่สุดในรอบ 9 เดือนนับจากที่เริ่มแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 หลังภาคท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศ เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคมก่อนช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทไทยแข็งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 32.65 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงที่สุดในรอบ 9 เดือนนับจากที่เริ่มแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 หลังภาคท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศ ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าลงต่ำสุดในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อยู่ที่ 38.50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ นับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 16 ปี ก่อนที่จะเริ่มแข็งค่าขึ้น 5.8% ในช่วงต้นปี 2023 นี้แซงหน้าเงินวอนของเกาหลีใต้ เงินรูปีของอินโดนีเซีย และเงินริงกิตของมาเลเซียที่แข็งค่าขึ้นต่ำกว่า 3% ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าลงต่ำสุดในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อยู่ที่ 38.50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ นับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 16 ปี ก่อนที่จะเริ่มแข็งค่าขึ้น 5.8% ในช่วงต้นปี 2023 นี้แซงหน้าเงินวอนของเกาหลีใต้ เงินรูปีของอินโดนีเซีย และเงินริงกิตของมาเลเซียที่แข็งค่าขึ้นต่ำกว่า 3% สาเหตุที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาจากที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังจากจีนเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนเริ่มทยอยกันซื้อเงินบาท โดยไทยเป็นประเทศที่ได้รับการค้นหาจากนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดผ่านทางเว็บไซต์จองตั๋วเดินทางและที่พักอย่าง Agoda และ Trip.com โดยรัฐบาลคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาอย่างน้อย 5 ล้านคนในปีนี้ เทียบกับ 11 ล้านคนในปี 2019 สาเหตุที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาจากที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังจากจีนเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนเริ่มทยอยกันซื้อเงินบาท โดยไทยเป็นประเทศที่ได้รับการค้นหาจากนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดผ่านทางเว็บไซต์จองตั๋วเดินทางและที่พักอย่าง Agoda และ Trip.com โดยรัฐบาลคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาอย่างน้อย 5 ล้านคนในปีนี้ เทียบกับ 11 ล้านคนในปี 2019 คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ขณะที่นักลงทุนมองว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงอีกและธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะผ่อนปรนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้ คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ขณะที่นักลงทุนมองว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงอีกและธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะผ่อนปรนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้ ส่วนทางด้านหุ้น นายสรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Officer (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์เผยว่า ในอีกไม่กี่วัน เงินหมุนเวียนในตลาดตราสารหนี้จะมีมูลค่า 60,000 ล้านบาท ตลาดหุ้นจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทและจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก ส่วนทางด้านหุ้น นายสรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Officer (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์เผยว่า ในอีกไม่กี่วัน เงินหมุนเวียนในตลาดตราสารหนี้จะมีมูลค่า 60,000 ล้านบาท ตลาดหุ้นจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทและจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 8.47% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาหลังมีการผ่อนคลายนโยบายป้องกันโควิด-19 คาดว่าหุ้นธุรกิจบริการด้านสุขภาพ การขนส่ง การค้าปลีก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตได้ดีกว่าหุ้นประเภทอื่นๆเพราะค่าใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคได้รับการอุดหนุนผ่านการลดหย่อนภาษีจากภาครัฐจนถึงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 8.47% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาหลังมีการผ่อนคลายนโยบายป้องกันโควิด-19 คาดว่าหุ้นธุรกิจบริการด้านสุขภาพ การขนส่ง การค้าปลีก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตได้ดีกว่าหุ้นประเภทอื่นๆเพราะค่าใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคได้รับการอุดหนุนผ่านการลดหย่อนภาษีจากภาครัฐจนถึงเดือนกุมภาพันธ์นี้ JP Morgan บริษัทการเงินและการลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะขึ้นถึง 1,800 จุด ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์คาดการณ์ต่างกันเล็กน้อยว่าจะอยู่ที่ 1,750 จุด ส่วนดัชนีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3.2% อยู่ที่ 1682 ในวันนี้ (23 มกราคม 2023) JP Morgan บริษัทการเงินและการลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะขึ้นถึง 1,800 จุด ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์คาดการณ์ต่างกันเล็กน้อยว่าจะอยู่ที่ 1,750 จุด ส่วนดัชนีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3.2% อยู่ที่ 1682 ในวันนี้ (23 มกราคม 2023) ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกังวลว่าการแข็งตัวของค่าเงินบาทจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แต่นักวิเคราะห์ของธนาคารไทยพาณิชย์มองว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการส่งออกชะลอตัว ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกังวลว่าการแข็งตัวของค่าเงินบาทจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แต่นักวิเคราะห์ของธนาคารไทยพาณิชย์มองว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการส่งออกชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ด้านการเมืองอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ และอาจจะใช้เวลานานในการจัดตั้งรัฐบาลเพราะมีแนวโน้มว่าจะไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่ได้รับเสียงข้างมากแบบชนะขาด อย่างไรก็ตาม ด้านการเมืองอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ และอาจจะใช้เวลานานในการจัดตั้งรัฐบาลเพราะมีแนวโน้มว่าจะไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่ได้รับเสียงข้างมากแบบชนะขาด นอกจากนี้ สภาพคล่องของตลาดหุ้นอาจจะลดลงจากการกลับมาเก็บภาษี 0.055% จากราคาขายหลักทรัพย์ที่ได้รับการยกเว้นมานาน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมและจะเพิ่มเป็น 2 เท่า เป็น 0.11% ในปี 2024 นอกจากนี้ สภาพคล่องของตลาดหุ้นอาจจะลดลงจากการกลับมาเก็บภาษี 0.055% จากราคาขายหลักทรัพย์ที่ได้รับการยกเว้นมานาน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมและจะเพิ่มเป็น 2 เท่า เป็น 0.11% ในปี 2024 ที่มา – Nikkei Asia ที่มา – Nikkei Asia อ่านเพิ่มเติม World Bank เตือน ทั่วโลกเตรียมเผชิญเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ พร้อมลดคาดการณ์ GDP ลงเกือบครึ่ง World Bank เตือน ทั่วโลกเตรียมเผชิญเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ พร้อมลดคาดการณ์ GDP ลงเกือบครึ่ง ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ส่งออกพอยิ้มได้! ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าแล้ว ล่าสุดอยู่ที่ 30.88 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ In "News" จับตาเงินบาทอ่อนค่า นักวิเคราะห์ชี้อ่อนค่าแรงสุดในเอเชีย-ต่างชาติยังขายสุทธิ In "Article" ถ้าไม่นับรวมเมียนมา ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่า ย่ำแย่ที่สุดในอาเซียน In "Article"
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 8.47% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาหลังมีการผ่อนคลายนโยบายป้องกันโควิด-19 คาดว่าหุ้นธุรกิจบริการด้านสุขภาพ การขนส่ง การค้าปลีก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตได้ดีกว่าหุ้นประเภทอื่นๆเพราะค่าใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคได้รับการอุดหนุนผ่านการลดหย่อนภาษีจากภาครัฐจนถึงเดือนกุมภาพันธ์นี้ JP Morgan บริษัทการเงินและการลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะขึ้นถึง 1,800 จุด ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์คาดการณ์ต่างกันเล็กน้อยว่าจะอยู่ที่ 1,750 จุด ส่วนดัชนีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3.2% อยู่ที่ 1682 ในวันนี้ (23 มกราคม 2023) ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกังวลว่าการแข็งตัวของค่าเงินบาทจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แต่นักวิเคราะห์ของธนาคารไทยพาณิชย์มองว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการส่งออกชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ด้านการเมืองอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ และอาจจะใช้เวลานานในการจัดตั้งรัฐบาลเพราะมีแนวโน้มว่าจะไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่ได้รับเสียงข้างมากแบบชนะขาด นอกจากนี้ สภาพคล่องของตลาดหุ้นอาจจะลดลงจากการกลับมาเก็บภาษี 0.055% จากราคาขายหลักทรัพย์ที่ได้รับการยกเว้นมานาน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมและจะเพิ่มเป็น 2 เท่า เป็น 0.11% ในปี 2024
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55551
Retail
จากกรณีเกาหลีใต้ขึ้นแท่นประเทศที่คนซื้อสินค้าหรูมากที่สุดในโลก อะไรคือกลยุทธ์ที่แบรนด์หรูควรใช้เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในเกาหลีใต้
null
กลยุทธ์ที่แบรนด์หรูควรใช้เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในเกาหลีใต้: การเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค: แบรนด์หรูควรศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคเกาหลีใต้ เข้าใจความต้องการของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญ และสิ่งที่พวกเขามองหาในสินค้าหรู การสร้างประสบการณ์ที่พิเศษ: แบรนด์หรูควรสร้างประสบการณ์ที่พิเศษให้กับลูกค้าเกาหลีใต้ ประสบการณ์ที่มากกว่าแค่การซื้อสินค้า อาจจะเป็นบริการพิเศษ กิจกรรมพิเศษ หรือการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน การใช้ Influencer Marketing: แบรนด์หรูควรใช้ Influencer Marketing ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเกาหลีใต้ Influencer ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในเกาหลีใต้สามารถช่วยสร้างกระแสความสนใจในสินค้าหรู การใช้ช่องทางออนไลน์: แบรนด์หรูควรใช้ช่องทางออนไลน์ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเกาหลีใต้ ลูกค้าเกาหลีใต้ใช้เวลากับออนไลน์มาก แบรนด์หรูควรมีเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียที่ใช้งานง่าย น่าสนใจ และนำเสนอเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ: แบรนด์หรูควรนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเกาหลีใต้ สินค้าที่มีดีไซน์ที่ทันสมัย สวยงาม และใช้งานได้จริง การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: แบรนด์หรูควรสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเกาหลีใต้ สร้างความรู้สึกภักดีต่อแบรนด์ อาจจะเป็นโปรแกรมสมาชิก กิจกรรมพิเศษ หรือการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ตัวอย่างแบรนด์หรูที่ประสบความสำเร็จในเกาหลีใต้: Chanel: Chanel ประสบความสำเร็จในเกาหลีใต้ด้วยกลยุทธ์ Influencer Marketing แบรนด์ใช้ Influencer ที่มีชื่อเสียงในเกาหลีใต้ เช่น Jennie Kim วง BlackPink ในการโปรโมทสินค้า Louis Vuitton: Louis Vuitton ประสบความสำเร็จในเกาหลีใต้ด้วยกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ที่พิเศษ แบรนด์มีคาเฟ่และร้านอาหารในเกาหลีใต้ที่ลูกค้าสามารถมาสัมผัสประสบการณ์แบรนด์ได้ Gucci: Gucci ประสบความสำเร็จในเกาหลีใต้ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ แบรนด์มีสินค้าที่หลากหลาย เหมาะกับสไตล์ของลูกค้าเกาหลีใต้ บทสรุป: แบรนด์หรูที่ต้องการประสบความสำเร็จในเกาหลีใต้ควรศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค เข้าใจความต้องการของพวกเขา และสร้างกลยุทธ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า กลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างประสบการณ์ที่พิเศษ การใช้ Influencer Marketing การใช้ช่องทางออนไลน์ การนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_55555
Retail
ช่วยสรุปบทความ กูรูแนะ SME ใช้กลยุทธ์ “สไนเปอร์ มาร์เก็ตติง” การตลาดแม่นยำเฉพาะจุด หาโอกาสจากท่องเที่ยวฟื้นตัว
วรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้ง Officemate อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) และ อดีตนายกผู้ค้าปลีกไทย กล่าวในหัวข้อ Next Trends 2023 ทางสว่าง SME ที่ต้องขยับตัว ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง ‘โซอี้ Digital Shortcut’ ต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กระทบยังประเทศไทย ในปี 2566 โดยในภาพรวม จะยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิดที่เกิดขึ้นช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงสถานการณ์สงครามรัสเซีย–ยูเครน ที่ยังไม่มีท่าทีผ่อนคลาย จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นถือเป็นวิกฤตที่กระทบยังภาคธุรกิจเอสเอ็มอีไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยในปี2566 ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่หากมองปัจจัยบวกของไทยยังได้รับการสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวของประเทศที่ทยอยกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่กลางปี 2565 ที่ผ่านมา ถึงขณะนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังไทยมากกว่า 11 ล้านคน “ในปี2565 ไม่ว่าจะทำธุรกิจใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คาดจะมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตาม ด้วยภาคการท่องเที่ยวของไทยจะมีความร้อนแรงมากขึ้น ด้วยไทยยังคงเป็นเดสติเนชันการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอาการที่เรียกว่า Bangkok Blue ที่เกิดขึ้นกับชาวต่างชาติ แถบยุโรป แคนาดา ที่มีอาการไข้คิดถึงกรุงเทพ หลังจากมาเที่ยวและกลับไปบ้าน” วรวุฒิ กล่าว ทั้งนี้ จากทิศทางดังกล่าว มองว่าประเทศไทย สามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ผ่านการบริโภคภายในประเทศทั้งกำลังซื้อจากคนไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางกลับมายังไทยเป็นจำนวนมาก สร้างการจับจ่ายให้เกิดขึ้น เป็นไปตามกลไกของจีดีพี ซึ่งประเทศไทยมีความแข็งแกร่งจากโครงสร้างระบบการให้บริการด้านต่างๆเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในช่วงก่อนสถานการณ์โควิดได้ถึงเกือบ 100 ล้านคน จู่โจมความต้องการเชิงลึกกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว วรวุฒิ กล่าวว่า ในปี2566 เศรษฐกิจไทยจะได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว กระตุ้นทุกภาคส่วนรวมถึง อุตสาหกรรมไมซ์ ที่จะเข้ามาเชื่อมต่อ หรือที่เรียกว่า MICE Connect ในทุกภาคส่วนธุรกิจ บริการที่เกี่วยข้องเป็นลูกโซ่ พร้อมยกตัวอย่าง แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ที่นอกจากจะมีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวแล้ว ขณะเดียวกันยังสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับเมืองได้อีกมหาศาล จากการต่อยอดให้เป็นศูนย์กลางด้านเงินเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวหลัก ที่ส่วนใหญ่เป็นมหาเศรษฐี นายธนาคาร มีไลฟ์สไตล์การใช้ชิวิตหรูหราและเดินทางมาบ่อยครั้ง ทำให้เมืองต้องพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกมารองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
วรวุฒิ อุ่นใจ, ผู้ก่อตั้ง Officemate และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน), เล่าถึง Next Trends 2023 ของ SME ที่ต้องปรับตัวผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง 'โซอี้ Digital Shortcut' เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ต่อเนื่องจากผลกระทบของโควิดและสงครามรัสเซีย–ยูเครน ปัจจัยลบที่ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ไทยได้รับการสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 11 ล้านคนในปี 2565 โดยการท่องเที่ยวเป็นแนวโน้มที่เติบโตดีขึ้น และไทยยังคงเป็นเดสติเนชันการท่องเที่ยว โดยมีกระแส Bangkok Blue ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมีอาการไข้คิดถึงกรุงเทพหลังเที่ยวและกลับบ้าน จากทิศทางดังกล่าว เชื่อว่าการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยสามารถทำได้ผ่านการบริโภคภายในประเทศ โดยมีกำลังซื้อจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมาที่ไทย เป็นไปตามกลไกของ GDP จู่โจมความต้องการเชิงลึกกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะได้รับการสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว รวมถึงอุตสาหกรรมไมซ์ที่เรียกว่า MICE Connect เพื่อเชื่อมโยงทุกภาคธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกัน วรวุฒิยกตัวอย่างเมืองไมอามีในรัฐฟลอริดาที่นอกจากท่องเที่ยวยังสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวอื่น ๆ และเชื่อมโยงกับกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่มีรายได้สูง นายธนาคารเป็นตัวอย่างที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตหรูหราและท่องเที่ยวบ่อย ทำให้เมืองต้องพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวนี้
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_55578
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยีช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น แม้แต่มื้อค่ำสุดพิเศษก็สามารถสั่งผ่านแอปพลิเคชั่นได้
null
มื้อค่ำมื้อสำคัญ สายลมเย็นพัดโชยมาเบาๆ ยามเย็น แสงแดดยามอัสดงสาดส่องลงมาทาบทาผืนผ้าใบสีคราม ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อน อากาศเย็นสบาย ช่างเหมาะแก่การทานมื้อค่ำ ณ ร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่น ย่านใจกลางเมือง เสียงเพลงบรรเลงขับกล่อมสร้างบรรยากาศโรแมนติก โต๊ะไม้เรียงราย ประดับประดาด้วยแจกันดอกไม้หลากสีสัน กลิ่นหอมจากอาหารลอยฟุ้ง ดึงดูดให้น้ำลายสอ "คุณโอเคไหมครับ?" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม "โอเคมากค่ะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับร้านอาหารบรรยากาศดีๆ แบบนี้" หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม "ยินดีครับ ผมอยากพามาทานอาหารอร่อยๆ ฉลองที่คุณได้รับโปรโมท" ชายหนุ่มเอ่ย "ขอบคุณอีกครั้งนะคะ จริงๆ ไม่จำเป็นต้องขนาดนี้เลย" "สำหรับผมมันสำคัญนะ คุณทำงานหนักมาตลอด สมควรได้รับรางวัล" ทั้งคู่จ้องตากัน รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า บรรยากาศโรแมนติกเริ่มก่อตัว "สั่งอาหารมาทานกันเถอะครับ" ชายหนุ่มเอ่ย "ได้ค่ะ" ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดแอปพลิเคชั่น LINE MAN Wongnai เลือกเมนูอาหารจากร้านต่างๆ "คุณอยากทานอะไรครับ?" เขาถาม "สั่งอะไรก็ได้ค่ะ คุณเลือกเลย" "งั้นผมขอสั่งผัดไทยกุ้งสด แกงเขียวหวานไก่ ข้าวสวย 2 จาน และส้มตำไทย ไว้ทานเล่น" "โอเคค่ะ ฟังดูอร่อยมาก" ชายหนุ่มกดสั่งอาหาร รอเพียงไม่นาน อาหารร้อนๆ ก็ถูกส่งตรงถึงโต๊ะ "ทานกันเถอะครับ" "ค่ะ" ทั้งคู่เริ่มทานอาหาร บทสนทนาระหว่างมื้อเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความอบอุ่น "อาหารอร่อยมากค่ะ" หญิงสาวเอ่ย "ผมก็ดีใจที่คุณชอบ" "ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับมื้อค่ำมื้อพิเศษนี้" "ไม่ใช่แค่มื้อค่ำ แต่มันคือการเริ่มต้นของเรา" ชายหนุ่มเอ่ย "หมายความว่ายังไงคะ?" "ผมชอบคุณนะ อยากจะคบหากับคุณ" หญิงสาวนิ่งอึ้ง หัวใจเต้นรัว ใบหน้าแดงระเรื่อ "ฉัน...ฉันก็ชอบคุณค่ะ" รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่ม เขายื่นมือข้ามโต๊ะมาจับมือเธอ "งั้นเราคบกันนะ" "ค่ะ" มื้อค่ำมื้อนี้ ไม่ได้เป็นเพียงมื้ออาหาร แต่มันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ ความรัก และความสุข
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55596
Retail
ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยซบเซา กำลังซื้ออ่อนแอ ผู้คนกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจค้าปลีกควรมีกลยุทธ์อย่างไรเพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปได้?
null
กลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกควรนำมาปรับใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ มีดังนี้: 1. มุ่งเน้นการขายออนไลน์: พัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซของตัวเอง หรือใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีอยู่ เช่น Facebook, Shopee, Lazada นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้า มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย 2. ปรับรูปแบบร้านค้าให้เข้ากับยุค New Normal: เน้นพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ใส่ใจสุขอนามัยและความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน 3. มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: นำเสนอบริการที่เหนือความคาดหมาย สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า มอบประสบการณ์ที่ personalized 4. บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: ทบทวนค่าใช้จ่ายต่างๆ หาวิธีลดต้นทุนการดำเนินงาน มองหาโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ 5. ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ: ติดตามข่าวสารและข้อมูลต่างๆ อยู่เสมอ วิเคราะห์สถานการณ์และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จ Central Retail: มุ่งเน้นการขยายธุรกิจออนไลน์ พัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนล นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้า CP All: ปรับรูปแบบร้านเซเว่นอีเลฟเว่นให้เข้ากับยุค New Normal นำเสนอบริการใหม่ๆ เช่น Grab&Go, Food Delivery Siam Piwat: เน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า พัฒนาโครงการต่างๆ เช่น ICONSIAM, Siam Paragon เฟสใหม่ บทสรุป ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การมุ่งเน้นการขายออนไลน์ ปรับรูปแบบร้านค้า มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ล้วนเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกอยู่รอดและเติบโตได้ในยุค New Normal
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_55625
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....โอกาสอยู่รอบตัว เพียงเรากล้าที่จะคว้า
null
กลิ่นทุเรียนหอมฉุย ลุ้นรวยใน 100 วัน ณ หน้าห้างสรรพสินค้าโลตัส ย่านบางนา เสียงพ่อค้าแม่ค้าดังก้องเชิญชวนลูกค้าให้ลองชิมทุเรียนหมอนทองเนื้อนวล หวานมัน กลิ่นหอมเย้ายวนใจลอยฟุ้งไปทั่ว บรรยากาศคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเลือกซื้อทุเรียน หนึ่งในนั้นคือ "คุณนิด" อดีตพนักงานออฟฟิศที่ผันตัวมาเป็นแม่ค้าทุเรียนในโครงการ Let's DO RIAN ของเครือซีพี ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 20,000 บาท เธอหวังสร้างรายได้เสริมและต่อยอดเป็นอาชีพหลัก คุณนิดผ่านการอบรมจากโครงการ เรียนรู้วิธีคัดเลือกทุเรียน ดูเนื้อ ปอก เก็บ สั่งซื้อ และเทคนิคการขาย เธอตั้งใจเรียนรู้และลงมือทำอย่างขยันขันแข็ง "ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีความเสี่ยงสูง ลูกค้าบางคนซื้อไปแล้วไม่ชอบ เกิดปัญหาเนื้อไม่ดี หรือสุกไม่ทัน ก็ต้องรับผิดชอบเปลี่ยนให้ใหม่" คุณนิดเล่าถึงความท้าทาย แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ พยายามเรียนรู้เพิ่มเติมจากประสบการณ์ สังเกตพฤติกรรมลูกค้า ปรับกลยุทธ์การขาย พัฒนาทักษะการพูดโน้มน้าวใจ "บางวันขายดี บางวันขายไม่ดี ก็ต้องหาวิธีดึงดูดลูกค้า เช่น จัดโปรโมชั่น ลดราคา แจกชิม ทำป้ายโฆษณาที่ดึงดูดสายตา" ด้วยความพยายามและความมุ่งมั่น คุณนิดสามารถขายทุเรียนได้วันละกว่า 100 ลูก รายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Let's DO RIAN "โครงการนี้ช่วยให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้ ช่วยเกษตรกรขายทุเรียนได้ราคาดี และช่วยให้ผู้บริโภคได้กินทุเรียนคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม"
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55661
Retail
Makro จับมือ True ที่ให้บริการด้านสุขภาพ มีบริการอย่างไรบ้าง ?
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ทรู ดิจิทัล เปิดมุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ใกล้บริเวณร้านขายยา มอบประสบการณ์เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายๆ ผ่านแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ “ทรู เฮลท์” บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ทรู ดิจิทัล มอบประสบการณ์เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายๆ ผ่านแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ “ทรู เฮลท์” เบื้องต้น มีทั้งบริการเช็คสุขภาพเบื้องต้น ปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางออนไลน์ พร้อมซื้อยาตามแพทย์สั่งได้ทันที ไม่ต้องเดินทางไปคลินิกหรือโรงพยาบาล ณ มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ที่ แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์ และ แม็คโคร สาขาสาทร เบื้องต้น มีทั้งบริการเช็คสุขภาพเบื้องต้น ปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางออนไลน์ พร้อมซื้อยาตามแพทย์สั่งได้ทันที ไม่ต้องเดินทางไปคลินิกหรือโรงพยาบาล ณ มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ที่ แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์ และ แม็คโคร สาขาสาทร นางสาวสนมชนม์ จินานนท์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารสินค้าธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “มุมสุขภาพ ทรู เฮลท์ เปิดให้บริการภายในสาขาของแม็คโคร ซึ่งผสานเทคโนโลยีทันสมัย แพลตฟอร์มอัจฉริยะด้านสุขภาพ ที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ ด้วยการนัดหมายแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทรู เฮลท์’ แล้วปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญพร้อมซื้อยากับร้านขายยาของแม็คโครได้ทันที หรือซื้อยาบนแอปพลิเคชั่นโดยตรง จึงประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย” กล่าวว่า “มุมสุขภาพ ทรู เฮลท์ เปิดให้บริการภายในสาขาของแม็คโคร ซึ่งผสานเทคโนโลยีทันสมัย แพลตฟอร์มอัจฉริยะด้านสุขภาพ ที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ ด้วยการนัดหมายแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทรู เฮลท์’ แล้วปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญพร้อมซื้อยากับร้านขายยาของแม็คโครได้ทันที หรือซื้อยาบนแอปพลิเคชั่นโดยตรง จึงประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย” ดร.อดิภัทร ชัยชนะสกุล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัล เฮลท์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้มีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลผสานบริการทางการแพทย์ อำนวยความสะดวกให้คนไทยเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว ผ่านแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ ‘ทรู เฮลท์’ กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้มีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลผสานบริการทางการแพทย์ อำนวยความสะดวกให้คนไทยเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว ผ่านแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ ‘ทรู เฮลท์’ ที่เชื่อมโยงบริการด้านสุขภาพทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เลือกปรึกษาแพทย์ได้ทั้ง แอปพลิเคชัน ‘True HEALTH’ บนสมาร์ทโฟน ใช้บริการได้จากทุกที่ ทุกเวลา หรือ มุมสุขภาพ ‘ทรู เฮลท์’ ที่เปิดให้บริการแล้วกว่า 15 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ที่เชื่อมโยงบริการด้านสุขภาพทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เลือกปรึกษาแพทย์ได้ทั้ง แอปพลิเคชัน ‘True HEALTH’ บนสมาร์ทโฟน ใช้บริการได้จากทุกที่ ทุกเวลา หรือ มุมสุขภาพ ‘ทรู เฮลท์’ ที่เปิดให้บริการแล้วกว่า 15 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ล่าสุด ทรู เฮลท์ ร่วมกับ แม็คโคร เปิดมุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” นำร่อง 2 สาขา คือ แม็คโครสาขาศรีนครินทร์ และ แม็คโครสาขาสาทร เพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการและลูกค้าแม็คโครสามารถตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น นัดและปรึกษาปัญหาสุขภาพกับทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากชีวีบริรักษ์คลีนิกเวชกรรม ครอบคลุมกว่า 20 สาขา ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ผ่านแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ พร้อมซื้อยาตามแพทย์สั่งได้ทันที ล่าสุด ทรู เฮลท์ ร่วมกับ แม็คโคร เปิดมุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” นำร่อง 2 สาขา คือ แม็คโครสาขาศรีนครินทร์ และ แม็คโครสาขาสาทร เพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการและลูกค้าแม็คโครสามารถตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น นัดและปรึกษาปัญหาสุขภาพกับทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากชีวีบริรักษ์คลีนิกเวชกรรม ครอบคลุมกว่า 20 สาขา ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ผ่านแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ พร้อมซื้อยาตามแพทย์สั่งได้ทันที มั่นใจว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะตอบโจทย์ตรงใจให้ลูกค้าแม็คโครเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายๆ ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายจากการเดินทางและรอคิวที่คลินิกหรือโรงพยาบาล ทั้งยังปลอดภัยและลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 อีกด้วย มั่นใจว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะตอบโจทย์ตรงใจให้ลูกค้าแม็คโครเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายๆ ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายจากการเดินทางและรอคิวที่คลินิกหรือโรงพยาบาล ทั้งยังปลอดภัยและลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 อีกด้วย มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ที่แม็คโคร ให้บริการดูแลสุขภาพเบื้องต้นครบวงจร ประกอบด้วย มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ที่แม็คโคร ให้บริการดูแลสุขภาพเบื้องต้นครบวงจร ประกอบด้วย บริการตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น ด้วย เครื่อง Body Analyzer ตรวจเช็คและวัดค่าต่างๆ ของร่างกาย อาทิ อายุร่างกาย ค่า BMI เปอร์เซ็นต์ไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ปริมาณโปรตีนในร่างกาย และปริมาณแร่ธาตุในกระดูก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์วัดอุณหภูมิร่างกาย ชีพจร และความดันโลหิต โดยสามารถนำผลการเช็คสุขภาพ ประกอบการปรึกษาแพทย์ และสามารถสแกนผลตรวจ เพื่อบันทึกไว้ในแอปพลิเคชัน True HEALTH บริการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เลือกปรึกษาปัญหาสุขภาพกับทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากชีวีบริรักษ์คลีนิกเวชกรรม ครอบคลุมหลากหลายปัญหาสุขภาพกว่า 20 สาขา ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น สุขภาพผู้หญิง เด็ก โรคทั่วไป อายุรกรรม ศัลยกรรม กระดูกและข้อ ทันตกรรม ตา หู คอ จมูก ผิวหนัง/ชะลอวัย ออฟฟิศซินโดรม แพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย เภสัชกรรม และโภชนาการ ซื้อยาตามที่แพทย์สั่งได้ทันที พร้อมมีเภสัชกรให้คำแนะนำเพิ่มเติมที่ร้านขายยาแม็คโคร บริการตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น ด้วย เครื่อง Body Analyzer ตรวจเช็คและวัดค่าต่างๆ ของร่างกาย อาทิ อายุร่างกาย ค่า BMI เปอร์เซ็นต์ไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ปริมาณโปรตีนในร่างกาย และปริมาณแร่ธาตุในกระดูก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์วัดอุณหภูมิร่างกาย ชีพจร และความดันโลหิต โดยสามารถนำผลการเช็คสุขภาพ ประกอบการปรึกษาแพทย์ และสามารถสแกนผลตรวจ เพื่อบันทึกไว้ในแอปพลิเคชัน True HEALTH ด้วย เครื่อง Body Analyzer ตรวจเช็คและวัดค่าต่างๆ ของร่างกาย อาทิ อายุร่างกาย ค่า BMI เปอร์เซ็นต์ไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ปริมาณโปรตีนในร่างกาย และปริมาณแร่ธาตุในกระดูก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์วัดอุณหภูมิร่างกาย ชีพจร และความดันโลหิต โดยสามารถนำผลการเช็คสุขภาพ ประกอบการปรึกษาแพทย์ และสามารถสแกนผลตรวจ เพื่อบันทึกไว้ในแอปพลิเคชัน True HEALTH บริการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เลือกปรึกษาปัญหาสุขภาพกับทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากชีวีบริรักษ์คลีนิกเวชกรรม ครอบคลุมหลากหลายปัญหาสุขภาพกว่า 20 สาขา ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น สุขภาพผู้หญิง เด็ก โรคทั่วไป อายุรกรรม ศัลยกรรม กระดูกและข้อ ทันตกรรม ตา หู คอ จมูก ผิวหนัง/ชะลอวัย ออฟฟิศซินโดรม แพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย เภสัชกรรม และโภชนาการ เลือกปรึกษาปัญหาสุขภาพกับทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากชีวีบริรักษ์คลีนิกเวชกรรม ครอบคลุมหลากหลายปัญหาสุขภาพกว่า 20 สาขา ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น สุขภาพผู้หญิง เด็ก โรคทั่วไป อายุรกรรม ศัลยกรรม กระดูกและข้อ ทันตกรรม ตา หู คอ จมูก ผิวหนัง/ชะลอวัย ออฟฟิศซินโดรม แพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย เภสัชกรรม และโภชนาการ ซื้อยาตามที่แพทย์สั่งได้ทันที พร้อมมีเภสัชกรให้คำแนะนำเพิ่มเติมที่ร้านขายยาแม็คโคร พร้อมมีเภสัชกรให้คำแนะนำเพิ่มเติมที่ร้านขายยาแม็คโคร ลูกค้าแม็คโคร สามารถใช้บริการ มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ได้ง่ายๆ เพียงมาที่ มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ภายในสาขาของ แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์ และสาขาสาทร พร้อมดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน True HEALTH เพื่อลงทะเบียนเข้าใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน ลูกค้าแม็คโคร สามารถใช้บริการ มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ได้ง่ายๆ เพียงมาที่ มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ภายในสาขาของ แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์ และสาขาสาทร พร้อมดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน True HEALTH เพื่อลงทะเบียนเข้าใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน จากนั้นสามารถใช้บริการตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น แล้วเลือกแผนกที่ต้องการปรึกษา เลือกแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ นัดแพทย์ ชำระเงิน และสามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ตามเวลานัดหมาย จากนั้นสามารถใช้บริการตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น แล้วเลือกแผนกที่ต้องการปรึกษา เลือกแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ นัดแพทย์ ชำระเงิน และสามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ตามเวลานัดหมาย สำหรับ สมาชิกแม็คโคร สามารถใช้แม็คโคร พ้อยท์ แลกรับโค้ดสำหรับปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญได้ โดย 1 พ้อยท์แลกรับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางได้ 1 ครั้ง และ 2 พ้อยท์ แลกรับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางได้ 3 ครั้ง หรือจิตแพทย์ 1 ครั้ง สำหรับ สมาชิกแม็คโคร สามารถใช้แม็คโคร พ้อยท์ แลกรับโค้ดสำหรับปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญได้ โดย 1 พ้อยท์แลกรับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางได้ 1 ครั้ง และ 2 พ้อยท์ แลกรับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางได้ 3 ครั้ง หรือจิตแพทย์ 1 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. – 31 ธ.ค.64 หรือ รับฟรีคูปองแม็คโคร 100 บาท เมื่อปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญผ่านแอปพลิเคชัน True HEALTH (ไม่รวมการใช้โปรโมชั่นอื่น และการซื้อยาหรือเวชภัณฑ์) ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 64 – 28 ก.พ. 65 ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. – 31 ธ.ค.64 หรือ รับฟรีคูปองแม็คโคร 100 บาท เมื่อปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญผ่านแอปพลิเคชัน True HEALTH (ไม่รวมการใช้โปรโมชั่นอื่น และการซื้อยาหรือเวชภัณฑ์) ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 64 – 28 ก.พ. 65 ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related แอปหมอดี ชี้ AI อุปกรณ์สวมใส่และ IoT ช่วยติดตาม ดูแล รักษาคนไข้ได้รวดเร็วและแม่นยำ ลดเหลื่อมล้ำเรื่องสุขภาพ In "Business" True นำเทคโนโลยีดิจิทัลดูแลสุขภาพคนไทย ในช่วงวันหยุด พบหมอออนไลน์ได้ที่แอป MorDee In "Featured" แม็คโคร บุกจีน เปิดฟูดเซอร์วิสในกว่างโจว In "PR News"
มีบริการเช็คสุขภาพเบื้องต้น ปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางออนไลน์ พร้อมซื้อยาตามแพทย์สั่งได้ทันที ไม่ต้องเดินทางไปคลินิกหรือโรงพยาบาล ณ มุมสุขภาพ “ทรู เฮลท์” ที่ แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์ และ แม็คโคร สาขาสาทร นางสาวสนมชนม์ จินานนท์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารสินค้าธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “มุมสุขภาพ ทรู เฮลท์ เปิดให้บริการภายในสาขาของแม็คโคร ซึ่งผสานเทคโนโลยีทันสมัย แพลตฟอร์มอัจฉริยะด้านสุขภาพ ที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ ด้วยการนัดหมายแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทรู เฮลท์’ แล้วปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญพร้อมซื้อยากับร้านขายยาของแม็คโครได้ทันที หรือซื้อยาบนแอปพลิเคชั่นโดยตรง จึงประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย” ดร.อดิภัทร ชัยชนะสกุล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัล เฮลท์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้มีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลผสานบริการทางการแพทย์ อำนวยความสะดวกให้คนไทยเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว ผ่านแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ ‘ทรู เฮลท์’ ที่เชื่อมโยงบริการด้านสุขภาพทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เลือกปรึกษาแพทย์ได้ทั้ง แอปพลิเคชัน ‘True HEALTH’ บนสมาร์ทโฟน ใช้บริการได้จากทุกที่ ทุกเวลา หรือ มุมสุขภาพ ‘ทรู เฮลท์’ ที่เปิดให้บริการแล้วกว่า 15 แห่งทั่วกรุงเทพฯ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55666
Retail
กลยุทธ์การทำตลาดกล่องสุ่มของ Lamy มีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไร?
null
จุดแข็ง: สร้างกระแสความสนใจ: กล่องสุ่มเป็นกลยุทธ์ที่ดึงดูดลูกค้าใหม่และสร้างกระแสความสนใจในแบรนด์ Lamy กระตุ้นยอดขาย: กล่องสุ่มเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้นเพื่อรับของแถม สร้างความตื่นเต้น: ลูกค้าไม่รู้ว่าจะได้สินค้าอะไรในกล่องสุ่ม สร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นให้พวกเขาซื้อ สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: กล่องสุ่มเป็นวิธีสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและสร้างประสบการณ์พิเศษให้พวกเขา เพิ่มการรับรู้แบรนด์: กล่องสุ่มเป็นวิธีการโปรโมทแบรนด์ Lamy ไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ จุดอ่อน: ควบคุมความคาดหวังของลูกค้า: ลูกค้าอาจคาดหวังสินค้ามูลค่าสูงในกล่องสุ่ม ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดหวัง สูญเสียกำไร: แบรนด์อาจสูญเสียกำไรหากมูลค่าสินค้าในกล่องสุ่มสูงกว่าราคาขาย สินค้าคงคลัง: แบรนด์ต้องจัดการสินค้าคงคลังของสินค้าในกล่องสุ่ม ภาพลักษณ์แบรนด์: กล่องสุ่มอาจทำให้แบรนด์ดูด้อยค่า ความยั่งยืน: กล่องสุ่มอาจสร้างขยะ คำแนะนำ: กำหนดราคาอย่างเหมาะสม: ราคาของกล่องสุ่มควรสะท้อนมูลค่าของสินค้าภายใน สื่อสารอย่างโปร่งใส: แบรนด์ควรแจ้งรายละเอียดสินค้าในกล่องสุ่มให้ชัดเจน สร้างความหลากหลาย: แบรนด์ควรนำเสนอตัวเลือกกล่องสุ่มหลายแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า สร้างประสบการณ์พิเศษ: แบรนด์สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับกล่องสุ่มโดยเพิ่มของพิเศษหรือประสบการณ์พิเศษ วัดผลลัพธ์: แบรนด์ควรติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญกล่องสุ่มเพื่อประเมินประสิทธิภาพ สรุป: กล่องสุ่มเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แบรนด์ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใช้กลยุทธ์นี้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_55672
Retail
คุณเรืองโรจน์ พูนผล ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในอีก 10 ปีข้างหน้า ว่าอย่างไรบ้าง
null
คุณเรืองโรจน์ พูนผล ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในอีก 10 ปีข้างหน้า ไว้ดังนี้ ธุรกิจอาหาร: โปรตีนจากพืช จะกลายเป็นกระแสหลัก เพราะพัฒนารสชาติจนใกล้เคียงของจริง อาหารทางเลือกอื่น เช่น โปรตีนจากแมลง เครื่องดื่มสังเคราะห์จากเครื่องสแกนโมเลกุล (Molecular Spirit) จะได้รับความสนใจ จะได้เห็นฟาร์มและร้านอาหารที่ใช้ระบบอัตโนมัติและ AI มากขึ้น ธุรกิจยานยนต์: รถไฟฟ้ามาเร็วกว่าที่คิด รถยนต์ไร้คนขับจะที่เป็นที่พูดถึงมากขึ้น ธุรกิจการขับเคลื่อนจะกลายเป็นมากกว่าสินค้า แต่จะกลายเป็นบริการ เพราะ Sharing Economy, 5G, และเมืองอัจฉริยะ จะทำให้บริการแชร์ริ่งและบริการขนส่งสาธารณะไร้คนขับเป็นไปได้ยิ่งขึ้น ผู้เล่นที่เป็นบริษัทเทคโนโลยี แต่ไม่ใช่ผู้ผลิตยานยนต์อย่าง Grab, Monet และ Waymo จะมีพื้นที่ในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น ธุรกิจค้าปลีก: หน้าร้านต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ จากพื้นที่ขายสินค้ากลายเป็นโชว์รูมขนาดเล็ก เป็นคอมมูนิตี้ลูกค้า ที่สามารถสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์มากยิ่งขึ้น ลดโอกาสที่แพลตฟอร์มคนกลางจะมาแย่งชิงส่วนแบ่งด้านมูลค่าไป การศึกษา: Ed-tech ได้โอกาสจากการที่งาน 15%-30% ถูกแทนที่โดยระบบอัตโนมัติภายในปี 2030 ผู้คนต้อง Reskill เพื่อปรับตัว Nano-degree หรือการเรียนรู้ย่อมๆ ไม่ต้องรอ 4 ปีจบปริญญา จะยิ่งสำคัญ เพราะช่วยคนสร้างทักษะปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้เร็วกว่า การแพทย์: การพบแพทย์และการผ่าตัดทางไกลกลายเป็นเรื่องพื้นฐานขึ้น การผลิตชีวโมเลกุล เช่น DNA โปรตีน ไวรัส เพื่อรักษาโรคจะมีความเป็นไปได้ สังคมสูงวัยจะเปิดโอกาสให้กับสินค้าบริการแบบ Silver-friendly เพราะผู้สูงอายุยินดีจ่ายเงินแพงขึ้น 30% เพื่อสินค้าเหล่านี้ การเงินการธนาคาร: ธนาคารที่มีความเป็นบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพที่สเกลตัวเองขึ้น จะเป็นผู้เล่นหลักในระบบการเงินที่มีความเป็นดิจิทัล แพลตฟอร์มในระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง (DeFi) ซึ่งสามารถสร้างบริการทางการเงินแบบเดียวกับที่เห็นในปัจจุบัน เช่น การฝากเงิน การกู้ การทำประกัน และการแลกเปลี่ยนสกุลเงินในเวอร์ชันที่เหนือกว่าได้ จะกลายเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่ต้องจับตา
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55690
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การช็อปปิ้งอย่างชาญฉลาด จะช่วยให้ผู้บริโภคได้สินค้าที่ต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน และสร้างความสุขที่ยั่งยืน
null
ช็อปฟิน ไร้กังวล กับ Atome ณ ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ฝูงชนมากมายต่างมุ่งหน้าไปยังร้านแบรนด์เนมชั้นนำ เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงเพลงบรรเลง ดังก้องไปทั่ว บรรยากาศคึกคัก เต็มไปด้วยสีสัน หนึ่งในนั้นคือ "มินอา" สาววัย 20 ปลายๆ กำลังเดินเลือกเสื้อผ้าอย่างตั้งใจ สายตาของเธอจับจ้องไปที่ชุดเดรสสีแดงสดสะดุดตา ดีไซน์สวยหรู เหมาะกับงานปาร์ตี้ที่เธอจะไปในสุดสัปดาห์นี้ แต่ราคาที่ปรากฏบนป้ายแท็กนั้น ช่างสูงเกินเอื้อมสำหรับเงินเดือนพนักงานออฟฟิศอย่างเธอ มินอาถอนหายใจ ยอมแพ้กับชุดเดรสในฝัน กำลังจะเดินจากไป แต่แล้ว สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นป้ายสีฟ้าสดใส เขียนว่า "Atome ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" ด้วยความสงสัย มินอาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Atome และสมัครใช้งานเพียงไม่กี่นาที พนักงานร้านอธิบายว่า Atome ช่วยให้เธอสามารถซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนในทันที แต่สามารถแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย มินอาดีใจ รีบคว้าชุดเดรสสีแดงไปลองทันที ด้วยความมั่นใจ รอยยิ้มของเธอกลับมาอีกครั้ง หลังจากนั้น มินอาเริ่มใช้ Atome ซื้อของมากขึ้น ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่ยังรวมถึงเครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆ อีกมากมาย เธอชอบความสะดวกสบายที่ Atome มอบให้ ช่วยให้เธอสามารถซื้อของที่ต้องการได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน วันหนึ่ง มินอาได้รับข้อความแจ้งเตือนจาก Atome ว่าถึงกำหนดชำระค่าสินค้างวดที่ 2 เธอรีบโอนเงินตามจำนวนที่แจ้ง รู้สึกสบายใจที่ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม มินอาคิดทบทวน ถึงการใช้จ่ายของตัวเอง เธอเริ่มวางแผนการเงินมากขึ้น ซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็น และแบ่งจ่ายอย่างมีสติ Atome ช่วยให้มินอาเข้าถึงสินค้าที่เธอต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ช่วยให้เธอมีอิสระทางการเงินมากขึ้น และที่สำคัญ Atome ช่วยให้เธอเรียนรู้ที่จะวางแผนการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55706
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การกระจายอำนาจและให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เป็นสิ่งที่สำคัญ
null
กลยุทธ์ล้ำสมัย : บททดสอบของยักษ์ใหญ่ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนชั้นสูงสุดของตึกสูงระฟ้า วายุ หนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน กำลังจ้องมองทิวทัศน์ของเมืองเบื้องล่าง ในฐานะ CEO ของบริษัท Haier ประเทศไทย เขากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ ปี 2563 โลกต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยก็ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายของ Haier เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน วายุ รู้ดีว่า เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อพลิกสถานการณ์ เขาจึงริเริ่มกลยุทธ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "RenDanHeyi" โมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น กลยุทธ์นี้เปรียบเสมือนดาบสองคม เต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่ก็อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ วายุ เดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบรายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 ขึ้นมาอ่าน ยอดขายของ Haier เติบโตขึ้น 27% สวนกระแสตลาดที่ซบเซา กลยุทธ์ "RenDanHeyi" ประสบความสำเร็จ เขายิ้มออกมาอย่างภูมิใจ แต่เขารู้ดีว่า ยังมีงานอีกมากมายที่รออยู่ เขาลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง มองดูเมืองเบื้องล่าง เขาสัญญากับตัวเองว่า จะนำพา Haier ก้าวไปข้างหน้า สู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55729
Retail
Zomato แอปฟู้ดเดลิเวอรี่จากอินเดีย ประเมินมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.93 แสนล้านบาท) สูงเกินไปหรือไม่? อธิบายเหตุผลประกอบ
แอปฟู้ดเดลิเวอรี่ Zomato ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Ant Group ของ Jack Ma เป็นสตาร์ทอัพเทคโนโลยีแนวหน้าจากอินเดียรายแรกที่ทำการ IPO และระดมทุนไปได้กว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาท) แอปฟู้ดเดลิเวอรี่ Zomato ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Ant Group ของ Jack Ma เป็นสตาร์ทอัพเทคโนโลยีแนวหน้าจากอินเดียรายแรกที่ทำการ IPO และระดมทุนไปได้กว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาท) การประเมินมูลค่าอาจสูงเกินไป การประเมินมูลค่าอาจสูงเกินไป IPO ครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเกรงว่า Zomato อาจจะถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไปที่ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.93 แสนล้านบาท) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Zomato ยังขาดทุนอยู่ และเศรษฐกิจของอินเดียก็ยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 IPO ครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเกรงว่า Zomato อาจจะถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไปที่ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.93 แสนล้านบาท) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Zomato ยังขาดทุนอยู่ และเศรษฐกิจของอินเดียก็ยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 นอกจากนั้น สตาร์ทอัพยูนิคอร์นและบริษัทอื่นๆ ในอินเดีย เช่น บริการชำระเงินออนไลน์ Paytm และบริษัทค้าปลีก Nykaa ก็กำลังเตรียมตัวจะ IPO เช่นเดียวกัน โดย Paytm ก็ถูกสนับสนุนโดย Alibaba เช่นเดียวกันกับ Zomato นอกจากนั้น สตาร์ทอัพยูนิคอร์นและบริษัทอื่นๆ ในอินเดีย เช่น บริการชำระเงินออนไลน์ Paytm และบริษัทค้าปลีก Nykaa ก็กำลังเตรียมตัวจะ IPO เช่นเดียวกัน โดย Paytm ก็ถูกสนับสนุนโดย Alibaba เช่นเดียวกันกับ Zomato หันซ้าย Jack Ma หันขวา SoftBank! Paytm ในอินเดียเตรียมเข้าซื้อบริษัทลูกของ Alibaba เสริมแกร่ง สงครามตัวแทนในอินเดีย Paytm ออกแอพฯ Inbox ทับลาย Whatapps คุย แชท ชำระเงินได้เหมือนกัน หันซ้าย Jack Ma หันขวา SoftBank! Paytm ในอินเดียเตรียมเข้าซื้อบริษัทลูกของ Alibaba เสริมแกร่ง หันซ้าย Jack Ma หันขวา SoftBank! Paytm ในอินเดียเตรียมเข้าซื้อบริษัทลูกของ Alibaba เสริมแกร่ง สงครามตัวแทนในอินเดีย Paytm ออกแอพฯ Inbox ทับลาย Whatapps คุย แชท ชำระเงินได้เหมือนกัน สงครามตัวแทนในอินเดีย Paytm ออกแอพฯ Inbox ทับลาย Whatapps คุย แชท ชำระเงินได้เหมือนกัน เกี่ยวกับ Zomato เกี่ยวกับ Zomato แอป Zomato มีความนิยมสูงมากในอินเดีย หลังจากก่อตั้งในปี 2008 ทางแอปก็พัฒนาด้านบริการฟู้ดเดลิเวอรี่และรีวิวร้านอาหารมาตลอด ซึ่งในขณะนี้ Zomato สามารถใช้งานได้ใน 525 เมือง และมีผู้ใช้งานรวมแล้วกว่า 6.8 ล้านคนต่อเดือน แอป Zomato มีความนิยมสูงมากในอินเดีย หลังจากก่อตั้งในปี 2008 ทางแอปก็พัฒนาด้านบริการฟู้ดเดลิเวอรี่และรีวิวร้านอาหารมาตลอด ซึ่งในขณะนี้ Zomato สามารถใช้งานได้ใน 525 เมือง และมีผู้ใช้งานรวมแล้วกว่า 6.8 ล้านคนต่อเดือน ด้วยการล็อคดาวน์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและสถานการณ์โควิดทั่วประเทศอินเดีย ทำให้ Zomato ก็มีรายได้ลดลง 23.4% จากปี 2020 ซึ่งสวนทางก็แอปฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าอื่นๆ ทั่วโลกที่รายได้สูงขึ้นช่วงโควิด อาจจะเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจทำให้ผู้ใช้เลี่ยงการสั่งอาหารที่มีราคาสูงก็เป็นได้ ด้วยการล็อคดาวน์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและสถานการณ์โควิดทั่วประเทศอินเดีย ทำให้ Zomato ก็มีรายได้ลดลง 23.4% จากปี 2020 ซึ่งสวนทางก็แอปฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าอื่นๆ ทั่วโลกที่รายได้สูงขึ้นช่วงโควิด อาจจะเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจทำให้ผู้ใช้เลี่ยงการสั่งอาหารที่มีราคาสูงก็เป็นได้ สรุป สรุป น่าจับตามองว่าทาง Zomato จะนำเงินระดมทุนครั้งนี้ไปลงทุนด้านไหนบ้าง จะมีการบุกตลาดต่างประเทศหรือจะเจาะตลาดภายในประเทศเพิ่มหรือไม่ น่าจับตามองว่าทาง Zomato จะนำเงินระดมทุนครั้งนี้ไปลงทุนด้านไหนบ้าง จะมีการบุกตลาดต่างประเทศหรือจะเจาะตลาดภายในประเทศเพิ่มหรือไม่ ที่มา – BBC ที่มา – BBC ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related Didi แอปเรียกแท็กซี่จีนเตรียม IPO ตลาดสหรัฐ คาดระดมทุนครั้งใหญ่ มูลค่ากิจการอาจแตะ 3 ล้านล้าน In "Article" ไม่ว่าจะแอพเรียกรถรายไหน ท้ายที่สุด ต้องส่งอาหารเดลิเวอรี่ได้ Ola ซื้อ FoodPanda ในอินเดียแล้ว In "Analysis" สรุป 10 การลงทุนก้อนโตของสองยักษ์ใหญ่จีน Tencent VS Alibaba ในรอบปี 2017 In "Article" ​
Zomato ประเมินมูลค่าสูงเกินไป มีเหตุผลดังต่อไปนี้: 1. ขาดทุน: Zomato ยังคงขาดทุนอยู่ ในปี 2021 Zomato ขาดทุน 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.4 พันล้านบาท) แม้ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 20% ก็ตาม 2. เศรษฐกิจอินเดีย: เศรษฐกิจของอินเดียยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ผู้บริโภคอาจมีกำลังซื้อลดลง ส่งผลต่อยอดขายของ Zomato 3. การแข่งขัน: ตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในอินเดียมีการแข่งขันสูง Zomato ต้องเผชิญกับคู่แข่งอย่าง Swiggy ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Naspers และ Uber Eats ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Uber 4. มูลค่ากิจการ: มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ของ Zomato สูงกว่าคู่แข่งอย่าง Swiggy ที่มีมูลค่า 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.7 พันล้านบาท) 5. ความเสี่ยง: ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่มีความเสี่ยงสูง ต้นทุนการดำเนินงานสูง Zomato ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม Zomato มีจุดแข็งบางประการดังนี้: 1. ฐานลูกค้า: Zomato มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ในอินเดีย มีผู้ใช้งานรวมแล้วกว่า 6.8 ล้านคนต่อเดือน 2. แบรนด์ที่แข็งแกร่ง: Zomato เป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีในอินเดีย 3. ความสัมพันธ์กับร้านอาหาร: Zomato มีความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านอาหารในอินเดีย 4. เทคโนโลยี: Zomato มีแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยสรุป Zomato ประเมินมูลค่าสูงเกินไป มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีจุดแข็งบางประการ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ก่อนตัดสินใจลงทุน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55730
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....คุณภาพ: การรักษามาตรฐานและคุณภาพของสินค้า/บริการ ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
null
กลิ่นหอมกรุ่นที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อ ณ ใจกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า บนชั้นล่างของตึกออฟฟิศสุดหรู ร้านกาแฟ "Morning Brew" ตกแต่งอย่างมีรสนิยม กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟคั่วบดลอยฟุ้งกระจาย ดึงดูดผู้คนให้แวะเวียนเข้ามา เบื้องหลังเคาน์เตอร์ไม้โอ๊คขัดมัน ยืนอยู่สองพี่น้อง "มิน" สาวร่าเริง ผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟ และ "ปั้น" ชายหนุ่มสุขุม ผู้ดูแลด้านการเงิน เช้านี้ บรรยากาศภายในร้านดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ลูกค้าทยอยเข้ามาสั่งกาแฟ มินง่วนอยู่กับการชงกาแฟแต่ละแก้วอย่างประณีต รอยยิ้มของเธอบ่งบอกถึงความรักในอาชีพ ท่ามกลางความวุ่นวาย ปั้นก้มหน้าก้มตาจดบันทึกรายรับรายจ่าย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นทุนเมล็ดกาแฟพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากภัยแล้งในบราซิล ประกอบกับปัญหาด้านการขนส่ง ส่งผลต่อราคากาแฟดิบในตลาดโลก ปั้นกังวลว่าหากราคากาแฟยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อไป ร้าน Morning Brew คงจะแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว เขาคิดหาวิธีแก้ไขหลายทาง พยายามมองหาแหล่งซื้อเมล็ดกาแฟใหม่ เจรจาต่อรองกับตัวแทนจำหน่าย หาวิธีลดต้นทุนการผลิตอื่นๆ มินสังเกตเห็นความกังวลของปั้น เธอเข้ามาหาและพูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "มีอะไรเหรอ ปั้น ดูเครียดจัง" ปั้นถอนหายใจยาว "ต้นทุนกาแฟมันขึ้นสูงมากเลย มิน เราอาจจะต้องปรับราคาขายกาแฟขึ้น" มินก้มหน้าครุ่นคิด "ใช่ เรื่องนี้คงเลี่ยงไม่ได้ แต่เราจะปรับราคาอย่างไรดี ลูกค้าจะรับได้ไหม" ทั้งสองพี่น้องนั่งคุยกันอย่างจริงจัง หาวิธีปรับราคาขายกาแฟอย่างสมเหตุสมผล พวกเขาไม่อยากขึ้นราคาจนลูกค้ารู้สึกไม่พอใจ แต่ในเวลาเดียวกัน ร้าน Morning Brew เองก็ต้องอยู่รอด หลังจากคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ทั้งสองตัดสินใจปรับราคาขายกาแฟขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ gleichzeitig มอบโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าประจำ และเพิ่มเมนูใหม่ "กาแฟดริปเย็น" ผลปรากฏว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจสถานการณ์และยอมรับการปรับราคา บางคนยังให้กำลังใจและบอกต่อถึงคุณภาพกาแฟของ Morning Brew ร้าน Morning Brew ยังคงดำเนินต่อไป กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟยังคงอบอวล บทเรียนครั้งนี้สอนให้มินและปั้นรู้จักปรับตัวและรับมือกับปัญหา
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55738
Retail
กลยุทธ์ที่ Amazon ควรใช้เพื่อเอาชนะ Alibaba ในตลาด E-Commerce ของเวียดนาม
null
1. เน้นจุดแข็งของ Amazon: ระบบโลจิสติกส์: Amazon มีระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ซื้อได้รับสินค้าได้เร็วกว่า Alibaba บริการลูกค้า: Amazon มีชื่อเสียงในเรื่องบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่า ความหลากหลายของสินค้า: Amazon มีสินค้าให้เลือกมากมายมากกว่า Alibaba ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย 2. ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาดเวียดนาม: เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค: Amazon จำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเวียดนามเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด: Amazon จำเป็นต้องนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดเวียดนาม ใช้ภาษาเวียดนาม: Amazon ควรใช้ภาษาเวียดนามบนแพลตฟอร์มเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่าย 3. จับมือพันธมิตรท้องถิ่น: ร่วมมือกับผู้ค้าปลีกท้องถิ่น: Amazon สามารถร่วมมือกับผู้ค้าปลีกท้องถิ่นเพื่อขยายฐานลูกค้า ร่วมมือกับบริษัทขนส่ง: Amazon สามารถร่วมมือกับบริษัทขนส่งท้องถิ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้า 4. ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: สร้างคลังสินค้า: Amazon จำเป็นต้องสร้างคลังสินค้าในเวียดนามเพื่อลดระยะเวลาการจัดส่งสินค้า พัฒนาระบบการชำระเงิน: Amazon จำเป็นต้องพัฒนาระบบการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ 5. เสนอโปรโมชั่นและส่วนลด: เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ: Amazon สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ด้วยการเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ นำเสนอโปรแกรมสมาชิก: Amazon สามารถนำเสนอโปรแกรมสมาชิกเพื่อดึงดูดลูกค้าประจำ 6. ทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ: ใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์: Amazon สามารถใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย และ influencer marketing ใช้ช่องทางการตลาดออฟไลน์: Amazon สามารถใช้ช่องทางการตลาดออฟไลน์ เช่น การโฆษณาทางโทรทัศน์ และวิทยุ 7. เน้นความสำคัญด้านความยั่งยืน: สนับสนุนผู้ขายท้องถิ่น: Amazon สามารถสนับสนุนผู้ขายท้องถิ่นที่ผลิตสินค้าอย่างยั่งยืน นำเสนอสินค้าที่ยั่งยืน: Amazon สามารถนำเสนอสินค้าที่ยั่งยืนบนแพลตฟอร์ม 8. ตอบสนองต่อความท้าทาย: การแข่งขัน: Amazon จำเป็นต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก Alibaba และ Lazada โครงสร้างพื้นฐาน: โครงสร้างพื้นฐานในเวียดนามยังไม่พัฒนาเท่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย การชำระเงิน: ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเวียดนามยังมีจำนวนน้อย สรุป: Amazon มีโอกาสที่จะเอาชนะ Alibaba ในตลาด E-Commerce ของเวียดนาม แต่ Amazon จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาดเวียดนาม
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_55788
Retail
ไลฟ์สไตล์คนไทยยุคโควิดในการทำธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงกิ้งเป็นอย่างไร ?
KBank เผยสถิติยุคโควิด คนไทยใช้โมบายแบงกิ้งอันดับหนึ่งของโลก ดัน K PLUS ครองแชมป์ประเทศไทย ยอดใช้งานปี 63 โต 71% จำนวนธุรกรรมทะลุ 14,500 ล้านรายการ K PLUS 63 71% 14,500 KBank เผยไลฟ์สไตล์คนไทยยุคโควิดครองแชมป์ทำธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงกิ้งเป็นอันดับ 1 ของโลก สูงถึง 68.1% ต่อเดือน ดันยอดผู้ใช้งาน K PLUS มากถึง 5 ล้านรายต่อวัน มีจำนวนธุรกรรม 14,500 ล้านรายการ เติบโตขึ้น 71% และมีผู้ใช้งานเป็นอันดับ 1 จำนวน 14.4 ล้านราย โดยมี 6 ฟีเจอร์ที่มีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องรับกับไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายเลี่ยงเงินสด ลดการเดินทางนอกบ้าน ช้อปออนไลน์ ได้แก่ ช้อปผ่าน K+ market, จัดพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติด้วย Wealth PLUS, โอนเงินไปต่างประเทศ, สะสมคะแนน K Point, เติมเงินผ่าน K PLUS และสแกนจ่ายผ่าน K PLUS QR Code ตั้งเป้าลูกค้าเพิ่มเป็น 17.5 ล้านรายภายในสิ้นปี 2564 1 68.1% K PLUS 5 14,500 71% 1 14.4 6 K+ market, Wealth PLUS, , K Point, K PLUS K PLUS QR Code 17.5 2564 พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า กลยุทธ์ของธนาคารคือ ทำให้ K PLUS เป็น Digital Lifestyle Ecosystem ไม่ได้จำกัดการใช้แค่ในแอป K PLUS เท่านั้น แต่ไปอยู่ในทุกที่ ทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการบริการทางการเงิน ทุกวันนี้ บริการของ K PLUS ได้เข้าไปอยู่ในทุกแอปที่ลูกค้าใช้เป็นประจำทุกวัน ทำให้ลูกค้าไม่ต้องสลับแอปเมื่อต้องการจ่ายเงินรวมถึงการขอสินเชื่อ โดยได้ร่วมมือกับแบรนด์ดังกว่า 50 แบรนด์ เช่น กลุ่มซูเปอร์แอป เช่น Grab และ LINE, กลุ่มอี–คอมเมิร์ซ เช่น Lazada และ Shopee, กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ เช่น Central JD FINTECH และ JD Central, กลุ่มธุรกิจพลังงาน เช่น PTTOR, Blue CONNECT, สถาบันการศึกษา เช่น โครงการ CU Nex จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย K PLUS Digital Lifestyle Ecosystem K PLUS K PLUS 50 Grab LINE, – Lazada Shopee, Central JD FINTECH JD Central, PTTOR, Blue CONNECT, CU Nex ข้อมูลจาก We Are Social และ Hootsuite ระบุว่า ในปี 2563 คนไทยทำธุรกรรมผ่านโมบายแบงกิ้งเป็นอันดับ 1 ของโลก คิดเป็น 68.1% ต่อเดือน ซื้อสินค้าอี–คอมเมิร์ซผ่านสมาร์ทโฟนเป็นอันดับ 2 ของโลก คิดเป็น 74% และมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก เฉลี่ย 5 ชั่วโมง 7 นาทีต่อวัน We Are Social Hootsuite 2563 1 68.1% – 2 74% 3 5 7 K PLUS ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญที่ลูกค้าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตอบรับกับไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันที่ลดการเดินทางออกนอกบ้าน เลี่ยงจับเงินสด และใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยในปี 2563 มีลูกค้าใช้งาน K PLUS มากถึง 5 ล้านรายต่อวัน มีจำนวนธุรกรรมรวมทุกประเภท 14,500 ล้านรายการ เติบโต 71% และมีผู้ใช้งานรวม 14.4 ล้านราย นอกจากนี้ยังพบว่า มีฟีเจอร์ไลฟ์สไตล์ของ K PLUS ที่มีปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ K PLUS 2563 K PLUS 5 14,500 71% 14.4 K PLUS K+ market มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 150% จากปีก่อน เป็นมาร์เก็ตเพลส แหล่งรวมดีล กิน เที่ยว ดื่ม ช้อป โดยลูกค้าเลือกชำระเงินได้ 2 วิธี ได้แก่ ด้วยเงินสดจากบัญชีที่ผูกกับ K PLUS หรือใช้คะแนนสะสม K Point แทนเงินสดได้ Wealth PLUS มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 220% จากที่เปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2563 จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในรอบปีที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้าหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินมากยิ่งขึ้น โดย Wealth PLUS เป็นฟีเจอร์จัดพอร์ตกองทุนรวมให้อัตโนมัติ ตอบโจทย์ลูกค้าที่เริ่มต้นลงทุนหรือไม่มีเวลาดูพอร์ตเอง โอนเงินไปต่างประเทศ ในเดือนธันวาคม 2563 มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วงที่ยังไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ ลูกค้าใช้ฟีเจอร์นี้สำหรับ โอนเงินสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ โอนเงินให้กับสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ต่างประเทศ เช่น ค่าเทอม หรือชาวต่างชาติที่ทำงานในไทยและต้องการโอนเงินกลับประเทศ ปัจจุบันสามารถโอนเงินได้ 12 สกุลเงินหลักใน 30 ประเทศปลายทาง K Point เป็นคะแนนสะสมรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถสะสมได้ 2 วิธี ได้แก่ 1. จากการทำภารกิจ (Mission) ต่างๆ ผ่าน K PLUS เช่น โอน ถอน เติม จ่าย ในช่วงเวลาและเงื่อนไขที่กำหนด 2. ผ่านการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทย โดยสามารถนำคะแนนสะสม K Point ไปใช้ได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่ แลกซื้อสินค้าผ่าน K+ market, ชำระบิล เติมเงิน หรือจ่ายสินเชื่อ ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์, แลกเป็นส่วนลดตามร้านค้าชั้นนำ, แลกเป็นเครดิตเงินคืน, โอนคะแนนไปยังบัตรสมาชิกต่างๆ บน K PLUS ของธนาคาร การเติมเงินเข้า e-Wallet ต่างๆ เช่น Blue CONNECT, TrueMoney Wallet, GrabPay Wallet และเป๋าตัง ทั้งการเติมเงินจากบน K PLUS และการเติมเงินจากแอปของพันธมิตรที่สามารถเชื่อมต่อกับ K PLUS ได้อัตโนมัติ โดยลูกค้าไม่ต้องสลับแอป และไม่ต้องกรอกเลขเอง ซึ่งในปี 2563 มีการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 200% จากปีก่อน การใช้ K PLUS QR Code สแกนจ่ายเงินที่ร้านค้า K PLUS shop ในปี 2563 มีจำนวนรายการเพิ่มขึ้น 125% จากปีก่อน โดยจำนวนรายการเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลังจากเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 K+ market มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 150% จากปีก่อน เป็นมาร์เก็ตเพลส แหล่งรวมดีล กิน เที่ยว ดื่ม ช้อป โดยลูกค้าเลือกชำระเงินได้ 2 วิธี ได้แก่ ด้วยเงินสดจากบัญชีที่ผูกกับ K PLUS หรือใช้คะแนนสะสม K Point แทนเงินสดได้ K+ market 150% 2 K PLUS K Point Wealth PLUS มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 220% จากที่เปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2563 จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในรอบปีที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้าหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินมากยิ่งขึ้น โดย Wealth PLUS เป็นฟีเจอร์จัดพอร์ตกองทุนรวมให้อัตโนมัติ ตอบโจทย์ลูกค้าที่เริ่มต้นลงทุนหรือไม่มีเวลาดูพอร์ตเอง Wealth PLUS 220% 2563 Wealth PLUS โอนเงินไปต่างประเทศ ในเดือนธันวาคม 2563 มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วงที่ยังไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ ลูกค้าใช้ฟีเจอร์นี้สำหรับ โอนเงินสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ โอนเงินให้กับสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ต่างประเทศ เช่น ค่าเทอม หรือชาวต่างชาติที่ทำงานในไทยและต้องการโอนเงินกลับประเทศ ปัจจุบันสามารถโอนเงินได้ 12 สกุลเงินหลักใน 30 ประเทศปลายทาง 2563 24% 12 30 K Point เป็นคะแนนสะสมรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถสะสมได้ 2 วิธี ได้แก่ 1. จากการทำภารกิจ (Mission) ต่างๆ ผ่าน K PLUS เช่น โอน ถอน เติม จ่าย ในช่วงเวลาและเงื่อนไขที่กำหนด 2. ผ่านการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทย โดยสามารถนำคะแนนสะสม K Point ไปใช้ได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่ แลกซื้อสินค้าผ่าน K+ market, ชำระบิล เติมเงิน หรือจ่ายสินเชื่อ ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์, แลกเป็นส่วนลดตามร้านค้าชั้นนำ, แลกเป็นเครดิตเงินคืน, โอนคะแนนไปยังบัตรสมาชิกต่างๆ บน K PLUS ของธนาคาร 2 1. (Mission) K PLUS 2. K Point K+ market, K PLUS การเติมเงินเข้า e-Wallet ต่างๆ เช่น Blue CONNECT, TrueMoney Wallet, GrabPay Wallet และเป๋าตัง ทั้งการเติมเงินจากบน K PLUS และการเติมเงินจากแอปของพันธมิตรที่สามารถเชื่อมต่อกับ K PLUS ได้อัตโนมัติ โดยลูกค้าไม่ต้องสลับแอป และไม่ต้องกรอกเลขเอง ซึ่งในปี 2563 มีการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 200% จากปีก่อน e-Wallet Blue CONNECT, TrueMoney Wallet, GrabPay Wallet K PLUS K PLUS 2563 200% การใช้ K PLUS QR Code สแกนจ่ายเงินที่ร้านค้า K PLUS shop ในปี 2563 มีจำนวนรายการเพิ่มขึ้น 125% จากปีก่อน โดยจำนวนรายการเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลังจากเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 K PLUS QR Code K PLUS shop 2563 125% -19 ธนาคารและบริษัท กสิกร บิซิเนส–เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG ยังได้ดำเนินการวางโครงสร้างด้านเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการจัดเก็บข้อมูลธุรกรรมทางการเงินปริมาณมหาศาลให้มีความปลอดภัย เพื่อรองรับการเติบโตของ K PLUS ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายมีผู้ใช้งาน K PLUS รวม 17.5 ล้านราย และมีจำนวนธุรกรรมทั้งหมดผ่าน K PLUS มากกว่า 24,600 ล้านรายการ ภายในปี 2564 – KBTG K PLUS K PLUS 17.5 K PLUS 24,600 2564 ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related SME มาใช้งานได้ KBank เปิดตัว K BIZ ดิจิทัล แบงกิ้ง แพลตฟอร์มช่วยจัดการเรื่องเงินในยุคดิจิทัล In "News" K PLUS โมบายแบงกิ้งอันดับหนึ่งที่มียอดผู้ใช้งานสูงสุดของไทย ปล่อยมินิซีรีส์ระทึกขวัญ ‘The 8scape’ In "News" KBTG ชูวิสัยทัศน์ Beyond The Future Day 2020 ตั้งเป้าปี 68 เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในไทย In "News"
KBank เผยไลฟ์สไตล์คนไทยยุคโควิดครองแชมป์ทำธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงกิ้งเป็นอันดับ 1 ของโลก สูงถึง 68.1% ต่อเดือน ดันยอดผู้ใช้งาน K PLUS มากถึง 5 ล้านรายต่อวัน มีจำนวนธุรกรรม 14,500 ล้านรายการ เติบโตขึ้น 71% และมีผู้ใช้งานเป็นอันดับ 1 จำนวน 14.4 ล้านราย โดยมี 6 ฟีเจอร์ที่มีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องรับกับไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายเลี่ยงเงินสด ลดการเดินทางนอกบ้าน ช้อปออนไลน์ ได้แก่ ช้อปผ่าน K+ market, จัดพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติด้วย Wealth PLUS, โอนเงินไปต่างประเทศ, สะสมคะแนน K Point, เติมเงินผ่าน K PLUS และสแกนจ่ายผ่าน K PLUS QR Code ตั้งเป้าลูกค้าเพิ่มเป็น 17.5 ล้านรายภายในสิ้นปี 2564 พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า กลยุทธ์ของธนาคารคือ ทำให้ K PLUS เป็น Digital Lifestyle Ecosystem ไม่ได้จำกัดการใช้แค่ในแอป K PLUS เท่านั้น แต่ไปอยู่ในทุกที่ ทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการบริการทางการเงิน ทุกวันนี้ บริการของ K PLUS ได้เข้าไปอยู่ในทุกแอปที่ลูกค้าใช้เป็นประจำทุกวัน ทำให้ลูกค้าไม่ต้องสลับแอปเมื่อต้องการจ่ายเงินรวมถึงการขอสินเชื่อ โดยได้ร่วมมือกับแบรนด์ดังกว่า 50 แบรนด์ เช่น กลุ่มซูเปอร์แอป เช่น Grab และ LINE, กลุ่มอี–คอมเมิร์ซ เช่น Lazada และ Shopee, กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ เช่น Central JD FINTECH และ JD Central, กลุ่มธุรกิจพลังงาน เช่น PTTOR, Blue CONNECT, สถาบันการศึกษา เช่น โครงการ CU Nex จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_55794
Retail
อะไรคือกลยุทธ์ที่ True จะใช้ขับเคลื่อนธุรกิจรีเทลในยุคดิจิทัล?
null
เราสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ที่ True จะใช้ขับเคลื่อนธุรกิจรีเทลในยุคดิจิทัลได้ดังนี้: 1. เน้นการใช้ AI และ Data Analytics: ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ผู้บริหารที่เชี่ยวชาญด้าน AI และ Data Analytics ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลธุรกิจในกลุ่มทรูที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการบริหารจัดการข้อมูลเชิงวิเคราะห์ True น่าจะนำ AI และ Data Analytics มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า True น่าจะนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดส่งสินค้า 2. มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง: มนัสส์ มานะวุฒิเวช ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารงานด้านการพาณิชย์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจมีเดีย ระบบงานปฎิบัติการและเครือข่าย True น่าจะมุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า True น่าจะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า 3. ขยายธุรกิจไปยังช่องทางออนไลน์: ณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจดิจิทัล ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลธุรกิจดิจิทัลทั้งหมดของกลุ่มทรู True น่าจะขยายธุรกิจรีเทลไปยังช่องทางออนไลน์มากขึ้น True น่าจะพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อรองรับธุรกิจรีเทล 4. จับมือพันธมิตร: True น่าจะจับมือพันธมิตรในธุรกิจรีเทล เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน 5. พัฒนาสินค้าและบริการใหม่: True น่าจะพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ True สามารถใช้ขับเคลื่อนธุรกิจรีเทลในยุคดิจิทัล: พัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจรีเทล นำเสนอบริการ Personalization พัฒนาบริการ Omnichannel นำเสนอบริการ O2O พัฒนาบริการ Chatbot นำเสนอบริการ Livestreaming สรุป: True มีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนธุรกิจรีเทลในยุคดิจิทัล
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_55878
Retail
ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีผลประกอบการตามกลุ่มร้านอาหาร ในไตรมาส 2 ปี 2563 กี่เปอร์เซนต์
A. 24.7% B. 21.8% C. 36.8% D. 94% E. 95%
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ C. เพราะว่า เพราะไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีผลประกอบการตามกลุ่มร้านอาหาร ในไตรมาส 2 ปี 2563 ยอดขายรวมทุกสาขา รวมทั้งแฟรนไชส์ ลดลง 36.8% สาเหตุหลักมาจากการปิดให้บริการร้านอาหารและการปิดให้บริการนั่งทานในร้านอาหารชั่วคราวทั้งในไทยและออสเตรเลียท่ามกลางโควิด-19 ระบาด ยอดขายผ่านช่องทางบริการจัดส่งอาหารและซื้อกลับบ้านเพิ่มขึ้น ช่วยลดผลกระทบจากยอดขายที่ลดลงจากการนั่งทานภายในร้านได้บางส่วน ส่งผลให้ยอดขายต่อร้านเดิมลดลงราว 23.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2562 ติดลบในอัตราที่น้อยกว่ายอดขายโดยรวมทุกสาขาเพียงเล็กน้อย อาทิ ซิซซ์เลอร์ -3% แดรี่ ควีน -11% เดอะ คอฟฟี่ คลับ -4% ไทย เอ็กซ์เพรส -5% เบนิฮานา -2% อื่นๆ (ร้านในสนามบิน) -1% และปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเดือนมิถุนายน 2563 เนื่องจากร้านอาหารส่วนใหญ่กลับมาเปิดให้บริการ แม้ว่ากลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจะมียอดขายโดยรวมทุกสาขาลดลง 21.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในไตรมาส 2 ปี 2563 แต่ยอดขายโดยรวมมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องในแต่ละเดือนตลอดทั้งไตรมาส นอกจากนี้ กลยุทธ์ขยายเวลาแคมเปญซื้อ 1 แถม 1 ของเดอะพิซซ่า คอมปะนี ทำให้มียอดขายเติบโต 24.7% สำหรับครึ่งปีหลัง 2563 คาดว่าทุกกลุ่มธุรกิจจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในไทยและจีน ซึ่งมียอดขายในระดับที่ใกล้เคียงยอดขายก่อนวิกฤต
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_55886
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี: เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
null
บทเพลงแห่งการฟื้นคืนชีพ: บทเรียนจาก L Brands ณ ใจกลางเมืองหลวงที่คึกคัก ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่แห่งหนึ่งกำลังเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้าย ร้านค้าหลายแห่งปิดตัวลง เหลือเพียงความเงียบเหงาและฝุ่นเกาะตามชั้นวางสินค้า บรรยากาศหม่นหมองนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตการณ์ที่ถาโถมเข้าใส่ธุรกิจค้าปลีกทั่วโลก จากการระบาดของ COVID-19 ท่ามกลางความมืดมิด ยังมีแสงสว่างส่องอยู่ที่ชั้นสองของห้างสรรพสินค้า ร้าน Bath & Body Works ยังคงคึกคักไปด้วยผู้คน กลิ่นหอมของสบู่และโลชั่นลอยฟุ้ง เต็มไปด้วยสีสันสดใสและบรรยากาศร่าเริง ตรงกันข้ามกับร้าน Victoria’s Secret ข้างๆ ที่ปิดตัวลงอย่างเงียบเชียบ เหลือเพียงป้ายชื่อที่เลือนราง มินอา พนักงานขายสาวประจำร้าน Bath & Body Works มองดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยหัวใจหดหู่ เธอเคยทำงานที่ Victoria’s Secret มาก่อน แต่ถูกปลดออกจากงานเมื่อบริษัทตัดสินใจปิดสาขา เธอโชคดีที่ได้งานใหม่ที่ Bath & Body Works แม้จะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคต วันหนึ่ง มินอาได้พบกับ คุณนลิน อดีตผู้จัดการของเธอที่ Victoria’s Secret คุณนลินลาออกจากบริษัทและกำลังมองหาโอกาสใหม่ มินอาเล่าให้คุณนลินฟังถึงกลยุทธ์ของ Bath & Body Works ที่เน้นการขายออนไลน์ พัฒนาระบบการสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการนำเสนอโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ดึงดูดลูกค้า คุณนลินรู้สึกประทับใจกับแนวทางของ Bath & Body Works เธอตัดสินใจเปิดร้านขายสินค้าออนไลน์ของตัวเอง นำสินค้าแบรนด์ไทยที่มีคุณภาพมาจำหน่าย เน้นการนำเสนอเรื่องราวและเอกลักษณ์ของสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ มินอาช่วยคุณนลินจัดการร้านออนไลน์ แบ่งปันประสบการณ์และเทคนิคการขายที่เธอเรียนรู้จาก Bath & Body Works ร้านของพวกเธอประสบความสำเร็จ บทเรียนจาก L Brands: การปรับตัว: ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยย่อมต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้าย L Brands ตระหนักถึงความสำคัญของการทำตลาดออนไลน์ ปรับกลยุทธ์และพัฒนาระบบการขายออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี: การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: ธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ย่อมได้รับความไว้วางใจและกลับมาอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_55908
Retail
ช่วยสรุปบทความ AIS ผนึก สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ตั้งบริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวร์ค พัฒนา Smart Industry
AIS และ สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ร่วมทุนตั้งบริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค ปูพรมลงทุนโครงข่าย 5G ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ พัฒนาสู่ Smart Industrial (EEC) Smart Industrial สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส บอกว่า ความร่วมมือลักษณะ JV นี้ นอกจากกับ สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้งแล้ว ก็ยังมีกับอมตะนคร และอนาคตจะมีกับนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ หรือกับภาคธุรกิจอื่นๆ ด้วย ( ) การใช้ประโยชน์จากโครงข่าย 5G ที่ผ่านมาในโรงพยาบาล เช่น การติดต่อสื่อสารที่ต้องการคุณภาพและประสิทธิภาพระดับสูง, การใช้งานหุ่นยนต์ เช่น Robot for Care สามารถใช้เทคโนโลยีทำได้อีกหลายอย่างตามความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งการร่วมมือระหว่าง AIS และ SPI จะทำให้บริษัท JV ที่ตั้งขึ้นได้ประโยชน์ในด้านองค์ความรู้ใหม่ ยังมีอีกหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการขนส่ง, อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมค้าปลีก, ด้านระบบรักษาความปลอดภัย, สมาร์ทซิตี้ , , , , วิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI บอกว่า การลงทุนโครงข่ายทั้ง 5G, Fibre Optic และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล จะยกระดับให้นิคมอุตสาหกรรมเป็น Smart Industry ภายในสวนอุตสาหกรรมของ SPI ทั้ง 4 แห่ง คือ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี, อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี, อ.เมือง จ.ลำพูน และ อ.แม่สอด จ.ตาก รวมพื้นที่ประมาณ 7,255 ไร่ ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่กว่า 112 แห่ง ( ) หรือ SPI บอกว่า การลงทุนโครงข่ายทั้ง 5G, Fibre Optic และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล จะยกระดับให้นิคมอุตสาหกรรมเป็น Smart Industry ภายในสวนอุตสาหกรรมของ SPI ทั้ง 4 แห่ง คือ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี, อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี, อ.เมือง จ.ลำพูน และ อ.แม่สอด จ.ตาก รวมพื้นที่ประมาณ 7,255 ไร่ ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่กว่า 112 แห่ง โครงสร้างพื้นฐาน จะมีเทคโนโลยี 5G ทั้ง 5G Stand Alone (5G SA) เครือข่าย 5 โดยเฉพาะ ที่มีความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ และ 5G Network Slicing ตอบโจทย์ลักษณะของอุตสาหกรรมแต่ละรูปแบบ แต่ละพื้นที่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพไปให้บริการในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มผลผลิตให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ทั้งยังเป็นต้นแบบของการนำเอาเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในนิคมอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม 5G 5G Stand Alone (5G SA) 5 5G Network Slicing EEC 5G สำหรับ บริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค หรือ SAN จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 300,000 หุ้น เป็นเงิน 30,000,000 โดย บริษัท แอดวานซ์ บรอดแบรนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (ABN) ถือหุ้น 70% คิดเป็นเงินลงทุน 21 ล้านบาท และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (SPI) ถือหุ้น 30% คิดเป็นเงินลงทุน 9 ล้านบาท SAN 300,000 30,000,000 (ABN) 70% 21 (SPI) 30% 9 ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ดองกิ เตรียมบุกศรีราชา ชลบุรี: แห่งแรกของภาคตะวันออก ครั้งแรกที่จะมีซูชิบาร์ In "Article" 500 TukTuks ดึงกลุ่มธุรกิจใหญ่ร่วมกองทุนที่สอง (Fund II) ตั้งเป้า 150 บริษัท ไม่จำกัดเฉพาะบริษัทไทย In "Article" ผู้ใช้สบายใจ AIS – TOT ลงนามสัญญาใช้คลื่น 2100MHz ถึงปี 2568 In "News"
AIS และ สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ร่วมทุนตั้งบริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ ลงทุนโครงข่าย 5G ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ พัฒนาสู่ Smart Industrial AIS และ SPI ได้ทำความร่วมมือในโครงการร่วมลงทุนและพัฒนาโครงข่าย 5G ในโรงพยาบาล และยังมีแผนที่จะขยายความร่วมมือนี้ไปยังอมตะนครและนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ การนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในโรงพยาบาลมีประโยชน์หลายด้าน เช่น การสื่อสารที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ, การใช้งานหุ่นยนต์เช่น Robot for Care และยังเปิดโอกาสให้บริษัท JV ได้ประโยชน์จากองค์ความรู้ใหม่ในหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ยังมีแผนที่ร่วมมือในหลายภาคธุรกิจอื่น ๆ เช่น การขนส่ง, การท่องเที่ยว, ค้าปลีก,และระบบรักษาความปลอดภัย วิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ SPI กล่าวว่าการลงทุนในโครงข่าย 5G Fibre Optic และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจะทำให้นิคมอุตสาหกรรมของ SPI ใน 4 พื้นที่ (อ.ศรีราชา, อ.กบินทร์บุรี, อ.เมือง จ.ลำพูน, และ อ.แม่สอด จ.ตาก) เป็น Smart Industry มีพื้นที่รวมกว่า 7,255 ไร่ และมีโรงงานมากกว่า 112 แห่ง โครงสร้างพื้นฐานมีเทคโนโลยี 5G SA และ 5G Network Slicing ที่มีความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เพื่อให้บริการในนิคมอุตสาหกรรม EEC อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ เป็นต้นแบบในการนำเอาเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม บริษัท SAN จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 300,000 หุ้นมูลค่า 30 ล้านบาท โดยบริษัท ABN ถือหุ้น 70% (21 ล้านบาท) และ SPI ถือหุ้น 30% (9 ล้านบาท)
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_55947
Retail
จงสรุปบทความเรื่อง "โควิด-19 กระทบพฤติกรรมผู้บริโภคไทย ไม่กล้าใช้เงิน ไม่แน่ใจเศรษฐกิจ" ให้หน่อยสิคะ
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคนเท่านั้น แต่รวมถึงการดำเนินธุรกิจทุกประเภท ทั้งธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงอุตสาหกรรมบริการ มัวรีน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นสถานการณ์ที่คนทั้งโลกไม่เคยเจอมาก่อน มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งวันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย และ แดทเทล ได้ร่วมกันเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทย ในการซื้อสินค้าและบริการประเภทต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มัวรีน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นสถานการณ์ที่คนทั้งโลกไม่เคยเจอมาก่อน มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งวันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย และ แดทเทล ได้ร่วมกันเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทย ในการซื้อสินค้าและบริการประเภทต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คนไทยกังวลโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจสูงที่สุดในเอเชีย จากข้อมูลการสำรวจพบว่าคนส่วนใหญ่คิดเป็น 3 ใน 4 เชื่อว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยเฉพาะคนไทยกว่า 46% มีความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นเวลานานหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่วนอีก 40% เชื่อว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราความกังวลที่สูงที่สุดในเอเชีย ส่วนความกังวลที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นเวลานานหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศอื่นๆ ได้แก่ ประเทศจีน 10% ฮ่องกง 25% และสิงคโปร์ 16% โควิด-19 กระทบพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทย ในด้านของพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคชาวไทย ภูวดล ธาราศิลป์ Director of Digital + CRM วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย ได้เปิดพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ประเภทตามประเภทของธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจสินค้าที่มีการจำหน่ายเร็วและมีต้นทุนต่ำ (FMCG) ธุรกิจสินค้าราคาแพงที่ต้องอาศัยการตัดสินใจซื้อมาก และธุรกิจร้านค้าปลีกและบริการ ธุรกิจสินค้าที่มีการจำหน่ายเร็วและมีต้นทุนต่ำ (FMCG) สินค้าในกลุ่มนี้ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม และของใช้ภายในบ้าน พบว่าก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คนส่วนใหญ่นิยมซื้อสินค้าจากหน้าร้านมากกว่าการซื้อบนช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อที่คนนิยมมากที่สุดถึง 76% แต่หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท นิยมซื้อสินค้าที่หน้าร้านน้อยลง แต่ยังคงนิยมซื้อสินค้าที่ร้านสะดวกซื้อเท่าเดิม หรือมากขึ้นกว่า 52% ส่วนกลุ่มคนที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทขึ้นไป จะซื้อสินค้าต่างๆ เหมือนเดิมหรือซื้อมากขึ้นทั้งจากหน้าร้าน และจากช่องทางออนไลน์ โดยสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าในปริมาณเท่าเดิมหรือมากขึ้น และซื้อด้วยแพคใหญ่ขึ้น ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีปริมาณการซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 52% ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณการซื้อลดลงอย่างชัดเจนคิดเป็น 23% สินค้าประเภทสุขภาพและความงาม ซึ่งยารักษาโรคมีปริมาณการซื้อที่เพิ่มขึ้น 32% และซื้อในปริมาณเท่าเดิมก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 อีก 50% เนื่องจากยารักษาโรคบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งซื้อยาจากแพทย์ จึงสามารถซื้อเก็บไว้ด้วยตัวเองได้ แต่สินค้าเครื่องสำอางมีปริมาณการซื้อที่ลดลงอย่างชัดเจน คือ 16% และหยุดซื้อไปเลยอีก 12% สินค้าประเภทของของใช้ภายในบ้าน เป็นสินค้ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะผงซักฟอกมีปริมาณการซื้อเพิ่มขึ้น 29% กระดาษทิชชูมีปริมาณการซื้อเพิ่มขึ้น 24% และน้ำยาทำความสะอาดภายในบ้านมีปริมาณการซื้อเพิ่มขึ้น 22% ส่วนหลังจากผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะลดปริมาณการซื้อสินค้าประเภทต่างๆ ทั้งจากหน้าร้านและจากช่องทางออนไลน์ เนื่องจากความไม่มั่นใจในสถานการณ์ ธุรกิจสินค้าราคาแพงที่ต้องอาศัยการตัดสินใจซื้อมาก สินค้าในกลุ่มนี้ได้แก่ รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การลงทุนการประกัน และการท่องเที่ยว ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แนวโน้มการซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ลดลงอย่างชัดเจนในกลุ่มคนที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 40,000 บาท ส่วนคนที่มีเงินเดือนมากกว่า 40,000 บาทขึ้นไป ยังมีความต้องการซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับการลงทุน และการประกันอีกกว่า 50% และโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีก 44% ซึ่งอาจมองได้ว่ากลุ่มคนที่มีเงินเดือนมากกว่า 40,000 บาทได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 น้อยกว่า ปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 ซื้อสินค้าในกลุ่มนี้คือ ความจำเป็นมากที่สุดเป็นอันดับแรกกว่า 57% เนื่องจากจำนวนเงินมีอยู่จำกัดจึงต้องตัดสินใจที่จะซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าตามความจำเป็นในชีวิต และ 42% ของคนกลุ่มนี้มียี่ห้อสินค้าอยู่ในใจ และ 52% จะเลือกซื้อสินค้ายี่ห้อเดิมที่เคยซื้อมาก่อน ส่วนผู้บริโภคที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทขึ้นไปไม่ได้เลือกซื้อสินค้าตามความจำเป็นเหมือนกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาท แต่จะเลือกซื้อสินค้าตามความคุ้มค่าในการลงทุนที่จะได้รับ คิดเป็นกว่า 80% และกว่า 69% ของคนกลุ่มนี้มียี่ห้อสินค้าที่อยู่ในใจ และ 56% จะซื้อสินค้ายี่ห้อเดิมที่เคยซื้อมาก่อน ธุรกิจร้านค้าปลีกและบริการ ธุรกิจที่รวมอยู่ในกลุ่มร้านค้าปลีก และบริการ ได้แก่ ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง ร้านอาหาร ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย ร้านความงามและสุขภาพ และสถานีบริการน้ำมัน เมื่อสังเกตความถี่ในการใช้บริการของผู้บริโภคพบว่า ร้านเพื่อความบันเทิงและผ่อนคลายมีผู้บริโภคเข้าไปใช้บริการลดลงถึง 60.8% ร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพ (ฟิตเนส) ลดลง 58.1% ร้านอาหารลดลง 56.5% ร้านความงามและสุขภาพลดลง 40.4% และห้างสรรพสินค้าลดลง 36.9% ในขณะที่ร้านค้าปลีก และปั๊มน้ำมันได้รับผลกระทบน้อย คือลดลงเพียง 8.3% และ 13.2% ตามลำดับ นอกจากนี้ปริมาณการใช้จ่ายในปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่ไม่ได้ลดลง มีสัดส่วนเท่าเดิมกว่า 43% และมากขึ้น 5% ส่วนร้านค้าปลีกสัดส่วนการใช้จ่ายมากขึ้น 20% และเท่าเดิมอีก 30% ทั้งนี้ภูวดลให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่าผู้ประกอบการธุรกิจ หรือบริษัทต่างๆ ควรตื่นตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่อย่าตื่นตระหนกมากเกินไป โดยใช้กลยุทธ์ดังนี้ การสร้างความภักดีต่อสินค้า เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยคงปริมาณความต้องการซื้อของผู้บริโภคไม่ให้ลดลง รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่าย และอัตราการเข้ามาที่หน้าร้านค้า สินค้ากลุ่ม FMCG ต้องสื่อสารและประชาสัมพันธ์ถึงผู้บริโภคว่ายังคงมีสินค้าสำรองอยู่ในคลังอย่างเพียงพอ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่อยากกักตุนสินค้ามากขึ้น รวมถึงช่องทางการซื้อออนไลน์ต้องมีการจัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นการสั่งซื้อในจำนวนมากๆ เช่น การจัดส่งฟรี การซื้อ 1 แถม 1 ต้องเข้าถึงผู้บริโภคในช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพราะในช่วงนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่แต่ในบ้าน มีเวลาใช้งานอินเตอร์เน็ตมากขึ้น การประชาสัมพันธ์ให้สินค้าผ่านตาผู้โภคในช่องทางออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจที่ขายสินค้าราคาแพง ควรเข้าใจเหตุผลในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคด้วยการสร้างความจำเป็น สำหรับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย และสร้างความคุ้มค่าในการลงทุนสำหรับกลุ่มคนที่มีรายได้มากกว่า สรุป ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า COVID-19 ส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วโลก แต่ตัวเลขผลสำรวจยืนยันชัดเจนว่า สินค้าที่จำเป็นในการใช้ชีวิตยังคงมีการซื้อในปริมาณปกติ แต่เพิ่มช่องทางออนไลน์มากขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจสินค้าที่ต้องใช้การตัดสินใจซื้อมาก ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เช่นเดียวกับธุรกิจบริการ หลายธุรกิจต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด แต่หลายธุรกิจก็อาจต้องปิดตัวลงเพื่อรอโอกาสในอนาคต ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related Kantar เผยเทรนด์ขนม-เครื่องดื่ม ยอดขายลดลงช่วงโควิด สวนทางไอศกรีม-น้ำอัดลมที่ยังขายดี In "Article" EIC SCB: โควิดทำเศรษฐกิจแย่ นักท่องเที่ยวลด ค้าปลีกเจ็บหนัก 5 แสนล้าน In "Analysis" โควิดระบาดรอบใหม่ทำคนไทย 75% ไม่มีความสุขในชีวิต ต้องประหยัดไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนอกบ้าน In "Article" ​
บทความนี้รายงานถึงผลกระทบทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย โดยวันเดอร์แมน ธอมสัน และแดทเทลได้ทำการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยในการซื้อสินค้าและบริการหลายประเภท และสรุปผลการสำรวจดังนี้: 1. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: มีความกังวลจากผู้บริโภคในเรื่องเศรษฐกิจ โดยมีมากกว่า 46% เชื่อว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในระยะยาวหลังจากการแพร่ระบาดของโรค โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท 2. พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค: ก่อนการแพร่ระบาด, คนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ต่ำชอบซื้อสินค้าจากร้านหน้าร้านมากกว่าการซื้อออนไลน์ หลังการแพร่ระบาด, ผู้บริโภคที่มีรายได้ต่ำลดการซื้อที่หน้าร้านแต่ยังคงซื้อที่ร้านสะดวกซื้อ ส่วนผู้ที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทก็ซื้อสินค้าที่ร้านหน้าร้านมากขึ้น 3. ประเภทสินค้า: สินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันยังคงมีการซื้อเพิ่มขึ้น โดยผลกระทบน้อยที่สุดคือสินค้าในกลุ่มของใช้ภายในบ้าน เช่น ผงซักฟอก กระดาษทิชชู และน้ำยาทำความสะอาด 4. ส่วนการบริการ: ร้านเพื่อความบันเทิงและผ่อนคลาย ร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพลดลงในการให้บริการ ร้านความงามและสุขภาพลดลง ในขณะที่ร้านค้าปลีกและปั๊มน้ำมันได้รับผลกระทบน้อยมาก 5. การปรับตัวของธุรกิจ: แนะนำให้ธุรกิจปรับตัวโดยการสร้างความภักดีต่อสินค้าและการโปรโมตสินค้าออนไลน์ เพื่อกระตุ้นการซื้อในช่วงที่ผู้บริโภคต้องอยู่ในบ้าน และการเลือกทำโปรโมชันเพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อ 6. กลยุทธ์การตลาด: การสื่อสารถึงผู้บริโภคเพื่อแสดงให้เห็นถึงสินค้าสำรองที่มีในคลัง และในช่วงนี้ควรเพิ่มกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เช่น การจัดโปรโมชั่นการจัดส่งฟรี และโปรโมชั่นการซื้อ 1 แถม 1 เพื่อสร้างผลกระทบในการบริหารธุรกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน สรุปได้ว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทางธุรกิจอย่างมาก แต่มีกลยุทธ์ที่ธุรกิจสามารถนำเสนอเพื่อปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบันได้
null
Summarization
cc-by-nc-4.0