title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 28
181k
| raw
stringlengths 39
181k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน สั่งทุกท่าอากาศยาน พร้อมรับตามมาตรการ ศบค. และกระทรวงคมนาคม | วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564
กรมท่าอากาศยาน สั่งทุกท่าอากาศยาน พร้อมรับตามมาตรการ ศบค. และกระทรวงคมนาคม
กําหนดเวลาหยุดให้บริการรถสาธารณะ ตั้งแต่เวลา 21.00 - 04.00 น. เริ่มวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้เห็นชอบและมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานด้านคมนาคมที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมติของ ศบค. กําหนดเวลาหยุดให้บริการรถสาธารณะ ตั้งแต่เวลา 21.00 - 04.00 น. เริ่มวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร พร้อมคุมเข้มมาตรการด้านสาธารณะสุขอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ในส่วนของการเดินทางข้ามจังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้ม 10 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทาง ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะเพิ่มความเข้มงวดผู้ประกอบการ รวมทั้งตรวจคัดกรองการเดินทาง การจัดระบบและระเบียบให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคและแนวปฏิบัติที่ ศบค. กําหนด
ในส่วนของการให้บริการของท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยาน ยังเปิดให้บริการผู้โดยสารและเที่ยวบินตามปกติ โดยได้สั่งการให้ทุกท่าอากาศยานดําเนินการตามแนวปฏิบัติของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่สอดคล้องกับมติ ศบค. ในการให้สายการบินจํากัดการบินในช่วงเวลา ตั้งแต่เวลา 21.00 - 04.00 น. เริ่มวันที่ 12 กรกฎาคม 2564
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมท่าอากาศยานได้มีการดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวัง การแพร่ระบาด ของ COVID - 19 เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและผู้ปฏิบัติงานมาโดยตลอดอย่างเคร่งครัด ดังนี้
1.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ตรวจคัดกรอง เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานภายในท่าอากาศยาน ผู้ที่เข้ามาติดต่องาน และ ผู้โดยสาร ก่อนเข้าใช้บริการอาคารผู้โดยสาร โดยทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในท่าอากาศยาน
2.จัดจุดลงทะเบียนเช็คอิน-เช็คเอาท์ "ไทยชนะ" ห้องผู้โดยสารขาเข้าและขาออก
3.จัดจุดบริการเจลล้างมือสําหรับผู้โดยสารและผู้ใช้บริการไว้บริเวณจุดต่างๆภายในท่าอากาศยาน
4. ฉีดพ่นยากระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารขาเข้าก่อนลําเลียงสายพานแจกจ่ายให้ผู้โดยสารขาเข้า
5. กําหนดจุดการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ในพื้นที่ท่าอากาศยานได้แก่ เคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยสาร เคาน์เตอร์เช็คอิน เก้าอี้พักคอยในอาคารผู้โดยสาร จุดตรวจตั๋วโดยสารก่อนเข้าห้องขาออก จุดตรวจค้น จุดตรวจบัตรโดยสาร จุดวัดอุณหภูมิคัดกรอง จุดแสกน QR Code บริเวณสายพานรับกระเป๋า รวมถึงกําชับให้ผู้ประกอบการภายในท่าอากาศยานปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
6. เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดพื้นที่ภายในและอุปกรณ์ต่างๆ โดยใช้น้ํายาฆ่าเชื้อทําความสะอาด และฉีดยาพ่นภายในอาคาร หลังเที่ยวบินสุดท้ายทุกวัน
7. เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ผู้โดยสารทราบ
8. ปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กล่าวเพิ่มเติมสําหรับผู้โดยสาร ที่มีความจําเป็นต้องเดินทางในช่วงนี้ ควรศึกษาเงื่อนไข หรือระเบียบการเดินทางเข้า-ออกของจังหวัดปลายทาง พร้อมเตรียมเอกสารที่จําเป็นในการเดินทาง รวมถึงตรวจเช็คเที่ยวบิน เนื่องจากมีสายการบินบางส่วนยกเลิกเส้นทางบินในระหว่างนี้
โดยกรมท่าอากาศยานขอแจ้งให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางทราบว่า ผู้โดยสารทุกท่านจะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองตามขั้นตอนของท่าอากาศยานซึ่งเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ทั้งในส่วนของการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และหากวัดอุณหภูมิผู้โดยสารได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส หรือมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ สายการบินและท่าอากาศยานจะดําเนินการแจ้งสาธารณสุขในพื้นที่ทันที สําหรับผู้ป่วยยืนยันหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต้องงดการเดินทาง หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน สั่งทุกท่าอากาศยาน พร้อมรับตามมาตรการ ศบค. และกระทรวงคมนาคม
วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564
กรมท่าอากาศยาน สั่งทุกท่าอากาศยาน พร้อมรับตามมาตรการ ศบค. และกระทรวงคมนาคม
กําหนดเวลาหยุดให้บริการรถสาธารณะ ตั้งแต่เวลา 21.00 - 04.00 น. เริ่มวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้เห็นชอบและมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานด้านคมนาคมที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมติของ ศบค. กําหนดเวลาหยุดให้บริการรถสาธารณะ ตั้งแต่เวลา 21.00 - 04.00 น. เริ่มวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร พร้อมคุมเข้มมาตรการด้านสาธารณะสุขอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ในส่วนของการเดินทางข้ามจังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้ม 10 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทาง ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะเพิ่มความเข้มงวดผู้ประกอบการ รวมทั้งตรวจคัดกรองการเดินทาง การจัดระบบและระเบียบให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคและแนวปฏิบัติที่ ศบค. กําหนด
ในส่วนของการให้บริการของท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยาน ยังเปิดให้บริการผู้โดยสารและเที่ยวบินตามปกติ โดยได้สั่งการให้ทุกท่าอากาศยานดําเนินการตามแนวปฏิบัติของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่สอดคล้องกับมติ ศบค. ในการให้สายการบินจํากัดการบินในช่วงเวลา ตั้งแต่เวลา 21.00 - 04.00 น. เริ่มวันที่ 12 กรกฎาคม 2564
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมท่าอากาศยานได้มีการดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวัง การแพร่ระบาด ของ COVID - 19 เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและผู้ปฏิบัติงานมาโดยตลอดอย่างเคร่งครัด ดังนี้
1.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ตรวจคัดกรอง เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานภายในท่าอากาศยาน ผู้ที่เข้ามาติดต่องาน และ ผู้โดยสาร ก่อนเข้าใช้บริการอาคารผู้โดยสาร โดยทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในท่าอากาศยาน
2.จัดจุดลงทะเบียนเช็คอิน-เช็คเอาท์ "ไทยชนะ" ห้องผู้โดยสารขาเข้าและขาออก
3.จัดจุดบริการเจลล้างมือสําหรับผู้โดยสารและผู้ใช้บริการไว้บริเวณจุดต่างๆภายในท่าอากาศยาน
4. ฉีดพ่นยากระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารขาเข้าก่อนลําเลียงสายพานแจกจ่ายให้ผู้โดยสารขาเข้า
5. กําหนดจุดการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ในพื้นที่ท่าอากาศยานได้แก่ เคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยสาร เคาน์เตอร์เช็คอิน เก้าอี้พักคอยในอาคารผู้โดยสาร จุดตรวจตั๋วโดยสารก่อนเข้าห้องขาออก จุดตรวจค้น จุดตรวจบัตรโดยสาร จุดวัดอุณหภูมิคัดกรอง จุดแสกน QR Code บริเวณสายพานรับกระเป๋า รวมถึงกําชับให้ผู้ประกอบการภายในท่าอากาศยานปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
6. เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดพื้นที่ภายในและอุปกรณ์ต่างๆ โดยใช้น้ํายาฆ่าเชื้อทําความสะอาด และฉีดยาพ่นภายในอาคาร หลังเที่ยวบินสุดท้ายทุกวัน
7. เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ผู้โดยสารทราบ
8. ปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กล่าวเพิ่มเติมสําหรับผู้โดยสาร ที่มีความจําเป็นต้องเดินทางในช่วงนี้ ควรศึกษาเงื่อนไข หรือระเบียบการเดินทางเข้า-ออกของจังหวัดปลายทาง พร้อมเตรียมเอกสารที่จําเป็นในการเดินทาง รวมถึงตรวจเช็คเที่ยวบิน เนื่องจากมีสายการบินบางส่วนยกเลิกเส้นทางบินในระหว่างนี้
โดยกรมท่าอากาศยานขอแจ้งให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางทราบว่า ผู้โดยสารทุกท่านจะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองตามขั้นตอนของท่าอากาศยานซึ่งเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ทั้งในส่วนของการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และหากวัดอุณหภูมิผู้โดยสารได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส หรือมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ สายการบินและท่าอากาศยานจะดําเนินการแจ้งสาธารณสุขในพื้นที่ทันที สําหรับผู้ป่วยยืนยันหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต้องงดการเดินทาง หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43671 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ยันนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้าน ผลประโยชน์ต้องถึงมือเกษตรกรตัวจริง | วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564
“รมช.มนัญญา” ยันนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้าน ผลประโยชน์ต้องถึงมือเกษตรกรตัวจริง
“รมช.มนัญญา” ยันนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้าน ผลประโยชน์ต้องถึงมือเกษตรกรตัวจริง
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือแก้ไขปัญหานมโรงเรียน พร้อมด้วย นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิรัช เนียมจุ้ย คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายสมพร ศรีเมือง ผู้อํานวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) โดยมี นายสุรักษ์ นามตะ ประธานชุมนุมสหกรณ์นมไทย-เดนมาร์ค จํากัด นายสมาน เหล็งหวาน ประธานสหกรณ์นมไทย-เดนมาร์ค ปากช่อง จํากัด นายสังวาลย์ โพธิ์มี ประธานชุมนุมสหกรณ์โคนมภาคใต้และภาคตะวันตก นายนนทะชัย โนนพุดซา ผู้จัดการชุมนุมสหกรณ์โคนมภาคใต้และภาคตะวันตก และตัวแทนเกษตรกร เข้าร่วม ณ ห้อง 135 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดําเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยได้ดื่มนมมากขึ้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง อีกทั้งช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมให้สามารถจําหน่ายน้ํานมดิบเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามจากที่มีกระแสข่าวว่าโครงการนมโรงเรียน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการบางรายเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากโครงการนี้ ในเรื่องนี้ได้พยายามตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามข้อมูลที่มีกระแสข่าวหรือไม ซึ่งหากพบว่ามีการกอบโกยผลประโยชน์จากผู้ประกอบการรายใหญ่จริงและไม่ได้มีการซื้อนมจากภาคเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตัวจริงก็พร้อมที่จะเสนอให้มีการทบทวนเงื่อนไขโครงการนมโรงเรียน เพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตัวจริง ซึ่งกรณีนี้ขอให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทํารายละเอียด ปัญหาความเดือดร้อนเสนอต่อกระทรวงเกษตรฯ ตามลําดับขั้นตอน ผ่านกรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นอนุกรรมการจัดสรรโควตานมโรงเรียน เพื่อเสนอต่อกระทรวงเกษตรฯ และคณะกรรมการบริหารนมโรงเรียนเพื่อพิจารณา ซึ่งตนพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์โคนม
“ในเงื่อนไขการจัดสรรโควตานมโรงเรียน ได้มีการกําหนดเงื่อนไขรับซื้อนมโรงเรียนจากผู้ประกอบการโรงนมขนาดเล็ก (5 ตัน) และมีประเด็นร้องเรียนเพื่อให้ตรวจสอบว่าโรงนมที่ซื้อจากเกษตรกรจริงหรือไม่ หรือบางรายมาจากการสนับสนุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ และไม่ได้มีการซื้อนมจริง ซึ่งทั้งหมดอยากให้ช่วยกันตรวจสอบเพราะในเรื่องนมโรงเรียนที่เกิดขึ้นนั้น รัฐบาลมุ่งหวังให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมที่มีคุณภาพ ไม่อยากให้มีใครมาเอาเปรียบเด็ก ตนพูดในฐานะคนเป็นแม่ที่เชื่อมั่นว่านมโรงเรียนต้องดีที่สุด แต่ขณะนี้เหมือนมีใครมาเอาเปรียบเด็ก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เรื่องที่สังคมต้องช่วยกัน และนายกรัฐมนตรีเองต้องการให้โครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพเด็กนักเรียน ขณะเดียวกันเพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตัวจริงได้รับผลประโยชน์จากงบประมาณนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้านบาทด้วย” รมช.มนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ ในที่ประชุม รมช.เกษตรฯ ได้ให้ความเชื่อมั่นต่อสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมว่า รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือและไม่ทอดทิ้ง แต่ขอให้มีการนําเสนอข้อมูลมาตามขั้นตอนและควรมีการดําเนินการให้ทันก่อนที่จะถึงปีการศึกษา 1/2565 และเห็นว่าควรต้องมีการทบทวนบทบาทของอ.ส.ค.ที่ควรต้องเข้ามามีบทบาทในโครงการนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะหากอ.ส.ค.ไม่ช่วยรับซื้อนมก็จะมีปัญหาการเทนมทิ้งเหมือนในอดีต ในช่วงโควิดที่ผ่านมาภาคเอกชนบางรายไม่รับซื้อนมจากเกษตรกร แต่อ.ส.ค.ก็ยังทําหน้าที่รับซื้อนมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของสหกรณ์และเกษตรกร
นายสุรักษ์ นามตะ ประธานชุมนุมสหกรณ์นมไทย-เดนมาร์ค จํากัด กล่าวว่า จะไปรวบรวมความเห็นของสมาชิกผู้เลี้ยงโคนมนําเสนอต่อกรมปศุสัตว์เพื่อพิจารณาความเดือดร้อนครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันอ.ส.ค. ดูแลสมาชิกโคนม 4,500 ราย ปริมาณนม 600 – 700 ตันต่อวัน หากว่าบทบาทของอ.ส.ค.ในเรื่องนมโรงเรียนน้อยลง จะส่งผลกระทบต่อการรับซื้อน้ํานมดิบจากเกษตรกรเช่นกัน ยอมรับว่ากรณีโรงนมย่อยขนาดเล็กที่ปัจจุบันมีการขยายตัวตั้งเพิ่มขึ้น ภายใต้การสนับสนุนของรายใหญ่ ทําให้กระทบต่อสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมมาก การที่ รมช.มนัญญา ออกมาพูดเรื่องการรื้อระบบนมโรงเรียน จึงเป็นความหวังของสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมทั้งหมด ทั้งนี้ ตนจะกลับไปทําความเห็นภายในต้นมกราคม 2565 เพื่อให้ทันกับช่วงเวลายื่นสิทธิ์นมโรงเรียน 1/2565 ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. - มี.ค. 65 เพราะไม่อยากให้เกิดภาพการนํานมโรงเรียนมาเททิ้งกลางถนนเหมือนในอดีตที่ผ่านมา | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ยันนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้าน ผลประโยชน์ต้องถึงมือเกษตรกรตัวจริง
วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564
“รมช.มนัญญา” ยันนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้าน ผลประโยชน์ต้องถึงมือเกษตรกรตัวจริง
“รมช.มนัญญา” ยันนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้าน ผลประโยชน์ต้องถึงมือเกษตรกรตัวจริง
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือแก้ไขปัญหานมโรงเรียน พร้อมด้วย นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิรัช เนียมจุ้ย คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายสมพร ศรีเมือง ผู้อํานวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) โดยมี นายสุรักษ์ นามตะ ประธานชุมนุมสหกรณ์นมไทย-เดนมาร์ค จํากัด นายสมาน เหล็งหวาน ประธานสหกรณ์นมไทย-เดนมาร์ค ปากช่อง จํากัด นายสังวาลย์ โพธิ์มี ประธานชุมนุมสหกรณ์โคนมภาคใต้และภาคตะวันตก นายนนทะชัย โนนพุดซา ผู้จัดการชุมนุมสหกรณ์โคนมภาคใต้และภาคตะวันตก และตัวแทนเกษตรกร เข้าร่วม ณ ห้อง 135 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดําเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยได้ดื่มนมมากขึ้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง อีกทั้งช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมให้สามารถจําหน่ายน้ํานมดิบเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามจากที่มีกระแสข่าวว่าโครงการนมโรงเรียน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการบางรายเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากโครงการนี้ ในเรื่องนี้ได้พยายามตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามข้อมูลที่มีกระแสข่าวหรือไม ซึ่งหากพบว่ามีการกอบโกยผลประโยชน์จากผู้ประกอบการรายใหญ่จริงและไม่ได้มีการซื้อนมจากภาคเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตัวจริงก็พร้อมที่จะเสนอให้มีการทบทวนเงื่อนไขโครงการนมโรงเรียน เพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตัวจริง ซึ่งกรณีนี้ขอให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทํารายละเอียด ปัญหาความเดือดร้อนเสนอต่อกระทรวงเกษตรฯ ตามลําดับขั้นตอน ผ่านกรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นอนุกรรมการจัดสรรโควตานมโรงเรียน เพื่อเสนอต่อกระทรวงเกษตรฯ และคณะกรรมการบริหารนมโรงเรียนเพื่อพิจารณา ซึ่งตนพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์โคนม
“ในเงื่อนไขการจัดสรรโควตานมโรงเรียน ได้มีการกําหนดเงื่อนไขรับซื้อนมโรงเรียนจากผู้ประกอบการโรงนมขนาดเล็ก (5 ตัน) และมีประเด็นร้องเรียนเพื่อให้ตรวจสอบว่าโรงนมที่ซื้อจากเกษตรกรจริงหรือไม่ หรือบางรายมาจากการสนับสนุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ และไม่ได้มีการซื้อนมจริง ซึ่งทั้งหมดอยากให้ช่วยกันตรวจสอบเพราะในเรื่องนมโรงเรียนที่เกิดขึ้นนั้น รัฐบาลมุ่งหวังให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมที่มีคุณภาพ ไม่อยากให้มีใครมาเอาเปรียบเด็ก ตนพูดในฐานะคนเป็นแม่ที่เชื่อมั่นว่านมโรงเรียนต้องดีที่สุด แต่ขณะนี้เหมือนมีใครมาเอาเปรียบเด็ก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เรื่องที่สังคมต้องช่วยกัน และนายกรัฐมนตรีเองต้องการให้โครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพเด็กนักเรียน ขณะเดียวกันเพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตัวจริงได้รับผลประโยชน์จากงบประมาณนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้านบาทด้วย” รมช.มนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ ในที่ประชุม รมช.เกษตรฯ ได้ให้ความเชื่อมั่นต่อสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมว่า รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือและไม่ทอดทิ้ง แต่ขอให้มีการนําเสนอข้อมูลมาตามขั้นตอนและควรมีการดําเนินการให้ทันก่อนที่จะถึงปีการศึกษา 1/2565 และเห็นว่าควรต้องมีการทบทวนบทบาทของอ.ส.ค.ที่ควรต้องเข้ามามีบทบาทในโครงการนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะหากอ.ส.ค.ไม่ช่วยรับซื้อนมก็จะมีปัญหาการเทนมทิ้งเหมือนในอดีต ในช่วงโควิดที่ผ่านมาภาคเอกชนบางรายไม่รับซื้อนมจากเกษตรกร แต่อ.ส.ค.ก็ยังทําหน้าที่รับซื้อนมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของสหกรณ์และเกษตรกร
นายสุรักษ์ นามตะ ประธานชุมนุมสหกรณ์นมไทย-เดนมาร์ค จํากัด กล่าวว่า จะไปรวบรวมความเห็นของสมาชิกผู้เลี้ยงโคนมนําเสนอต่อกรมปศุสัตว์เพื่อพิจารณาความเดือดร้อนครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันอ.ส.ค. ดูแลสมาชิกโคนม 4,500 ราย ปริมาณนม 600 – 700 ตันต่อวัน หากว่าบทบาทของอ.ส.ค.ในเรื่องนมโรงเรียนน้อยลง จะส่งผลกระทบต่อการรับซื้อน้ํานมดิบจากเกษตรกรเช่นกัน ยอมรับว่ากรณีโรงนมย่อยขนาดเล็กที่ปัจจุบันมีการขยายตัวตั้งเพิ่มขึ้น ภายใต้การสนับสนุนของรายใหญ่ ทําให้กระทบต่อสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมมาก การที่ รมช.มนัญญา ออกมาพูดเรื่องการรื้อระบบนมโรงเรียน จึงเป็นความหวังของสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมทั้งหมด ทั้งนี้ ตนจะกลับไปทําความเห็นภายในต้นมกราคม 2565 เพื่อให้ทันกับช่วงเวลายื่นสิทธิ์นมโรงเรียน 1/2565 ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. - มี.ค. 65 เพราะไม่อยากให้เกิดภาพการนํานมโรงเรียนมาเททิ้งกลางถนนเหมือนในอดีตที่ผ่านมา | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48608 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนสื่อ เปิดตัวละครสั้นสร้างสรรค์สังคม “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจำ: Love and Memory” ออนแอร์ Thai PBS เมษายน นี้ | วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565
กองทุนสื่อ เปิดตัวละครสั้นสร้างสรรค์สังคม “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ออนแอร์ Thai PBS เมษายน นี้
กองทุนสื่อ เปิดตัวละครสั้นสร้างสรรค์สังคม “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ออนแอร์ Thai PBS เมษายน นี้
กองทุนสื่อ เปิดตัวละครสั้นสร้างสรรค์สังคม “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ออนแอร์ Thai PBS เมษายน นี้
(30 มี.ค. 65) ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและประธานอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นประธานเปิดงานแถลงข่าว ผลงานละครที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ณ ศูนย์ประชุมชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม
ประธานอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กองทุนได้ดําเนินการจัดสรรทุนเพื่อรณรงค์ส่งเสริมการพัฒนาให้มีสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์มาตั้งแต่ ปี 2560 และได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจําทุกปี ซึ่งในปี 2565 นี้นับเป็นปีที่ 6 แล้ว สําหรับการให้ทุนกับผู้ผลิตสื่อทุกภาคส่วน โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนการผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อสร้างผลกระทบทางบวกให้เกิดขึ้นกับสังคม ตามยุทธศาสตร์และวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมุ่งหวังว่าละครทั้ง 2 เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์แก่สังคม สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งสนับสนุนผู้ผลิตสื่อเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมและสร้างสรรค์สังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป
ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีภารกิจหลักในการส่งเสริมสนับสนุนภาคีเครือข่ายและประชาชนทุกภาคส่วนให้สามารถผลิตและเผยแพร่สื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมทั้งพัฒนาและผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชน รู้เท่าทันสื่อ สามารถเลือกใช้สื่อได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมทั้งสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการพัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตประจําวันและเพื่อการสร้างนิเวศสื่อที่ดียิ่งขึ้นให้กับสังคมไทย
ทั้งนี้ โครงการละครนักสืบสายรุ้ง เป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทโครงการหรือกิจกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ประจําปี 2564 ประเด็นความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน งบประมาณ 3,000,000 บาท โดยได้จัดทําละครสั้น เรื่อง “นักสืบสายรุ้ง” จํานวน 10 ตอน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กในช่วงก่อนวัยรุ่น เกิดความรู้ความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน รวมทั้งการรักษาสิทธิของตนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการล่วงละเมิดในทุกมิติละคร “นักสืบสายรุ้ง” จะออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 07.40 - 08.00 น. ทาง Thai PBS
sสําหรับละคร “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ภายใต้โครงการรณรงค์และสร้างสรรค์สื่อเพื่อสร้างความสุขในสังคมผู้สูงอายุ เป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทโครงการหรือกิจกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ประจําปี 2562 ประเด็นการสร้างนวัตกรรมสื่อที่เหมาะสมสําหรับเด็กปฐมวัย เด็กและเยาวชน คนพิการ และผู้สูงอายุ งบประมาณ 5,000,000 บาท
โดยได้จัดทําละครสั้นสร้างสรรค์สังคมเพื่อความสุขในสังคมผู้สูงวัย ให้ความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วย “อัลไซเมอร์” เรื่อง “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” จํานวน 4 ตอน ออกอากาศทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เวลา 20.15 น. เริ่มออกอากาศวันที่ 2 เมษายน 2565 ทาง Thai PBS และทางแอปพลิเคชัน VIPA หรือ www.VIPA.me และสามารถรับชมย้อนหลังได้ทาง Facebook และ YouTube กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
งานสื่อสารองค์กร กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
064-5859856 email: [email protected] | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนสื่อ เปิดตัวละครสั้นสร้างสรรค์สังคม “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจำ: Love and Memory” ออนแอร์ Thai PBS เมษายน นี้
วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565
กองทุนสื่อ เปิดตัวละครสั้นสร้างสรรค์สังคม “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ออนแอร์ Thai PBS เมษายน นี้
กองทุนสื่อ เปิดตัวละครสั้นสร้างสรรค์สังคม “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ออนแอร์ Thai PBS เมษายน นี้
กองทุนสื่อ เปิดตัวละครสั้นสร้างสรรค์สังคม “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ออนแอร์ Thai PBS เมษายน นี้
(30 มี.ค. 65) ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและประธานอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นประธานเปิดงานแถลงข่าว ผลงานละครที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ “นักสืบสายรุ้ง” และ “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ณ ศูนย์ประชุมชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม
ประธานอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กองทุนได้ดําเนินการจัดสรรทุนเพื่อรณรงค์ส่งเสริมการพัฒนาให้มีสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์มาตั้งแต่ ปี 2560 และได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจําทุกปี ซึ่งในปี 2565 นี้นับเป็นปีที่ 6 แล้ว สําหรับการให้ทุนกับผู้ผลิตสื่อทุกภาคส่วน โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนการผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อสร้างผลกระทบทางบวกให้เกิดขึ้นกับสังคม ตามยุทธศาสตร์และวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมุ่งหวังว่าละครทั้ง 2 เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์แก่สังคม สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งสนับสนุนผู้ผลิตสื่อเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมและสร้างสรรค์สังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป
ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีภารกิจหลักในการส่งเสริมสนับสนุนภาคีเครือข่ายและประชาชนทุกภาคส่วนให้สามารถผลิตและเผยแพร่สื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมทั้งพัฒนาและผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชน รู้เท่าทันสื่อ สามารถเลือกใช้สื่อได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมทั้งสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการพัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตประจําวันและเพื่อการสร้างนิเวศสื่อที่ดียิ่งขึ้นให้กับสังคมไทย
ทั้งนี้ โครงการละครนักสืบสายรุ้ง เป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทโครงการหรือกิจกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ประจําปี 2564 ประเด็นความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน งบประมาณ 3,000,000 บาท โดยได้จัดทําละครสั้น เรื่อง “นักสืบสายรุ้ง” จํานวน 10 ตอน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กในช่วงก่อนวัยรุ่น เกิดความรู้ความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน รวมทั้งการรักษาสิทธิของตนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการล่วงละเมิดในทุกมิติละคร “นักสืบสายรุ้ง” จะออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 07.40 - 08.00 น. ทาง Thai PBS
sสําหรับละคร “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” ภายใต้โครงการรณรงค์และสร้างสรรค์สื่อเพื่อสร้างความสุขในสังคมผู้สูงอายุ เป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทโครงการหรือกิจกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ประจําปี 2562 ประเด็นการสร้างนวัตกรรมสื่อที่เหมาะสมสําหรับเด็กปฐมวัย เด็กและเยาวชน คนพิการ และผู้สูงอายุ งบประมาณ 5,000,000 บาท
โดยได้จัดทําละครสั้นสร้างสรรค์สังคมเพื่อความสุขในสังคมผู้สูงวัย ให้ความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วย “อัลไซเมอร์” เรื่อง “ความรัก ความทรงจํา: Love and Memory” จํานวน 4 ตอน ออกอากาศทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เวลา 20.15 น. เริ่มออกอากาศวันที่ 2 เมษายน 2565 ทาง Thai PBS และทางแอปพลิเคชัน VIPA หรือ www.VIPA.me และสามารถรับชมย้อนหลังได้ทาง Facebook และ YouTube กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
งานสื่อสารองค์กร กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
064-5859856 email: [email protected] | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53113 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เปิดประชุมวิชาการกลุ่ม รพศ./รพท. สนับสนุนบุคลากรพัฒนาศักยภาพให้ก้าวทัน การเปลี่ยนแปลงของโรค | วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565
ปลัด สธ. เปิดประชุมวิชาการกลุ่ม รพศ./รพท. สนับสนุนบุคลากรพัฒนาศักยภาพให้ก้าวทัน การเปลี่ยนแปลงของโรค
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการประจําปี 2565 พัฒนาระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการดูแลรักษาผู้ป่วย ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงโรค
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการประจําปี 2565 พัฒนาระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการดูแลรักษาผู้ป่วย ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงโรค
วันนี้ (10 สิงหาคม 2565) ที่ จังหวัดพิษณุโลก นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ประจําปีงบประมาณ 2565 พร้อมมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่บุคลากรดีเด่นที่ทําคุณประโยชน์ด้านสาธารณสุข 7 สาขาได้แก่ สาขาบริหารทางการแพทย์ สาขาแพทย์ สาขาทันตแพทย์ สาขาเภสัชกร สาขาบริหารทางการพยาบาล สาขาพยาบาล และสาขาทั่วไป โดยมีผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประทศ เข้าร่วมประชุมกว่า 1,500 คน
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาความเป็นเลิศ 4 ด้าน ได้แก่ ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเป็นเลิศ บริการเป็นเลิศ บุคลากรเป็นเลิศ และบริหารจัดการเป็นเลิศด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดระบบสุขภาพที่ยั่งยืน ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้น ทั้งโรคโควิด 19 และโรคฝีดาษวานร การสร้างองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพของบุคลากรสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพ เพื่อให้ดูแลรักษาผู้ป่วยได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโรคอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องที่สําคัญ ซึ่งการประชุมวิชาการเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริม พัฒนา และกระตุ้นให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ นวัตกรรม งานวิจัย องค์ความรู้การพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพในการเพิ่มคุณภาพระบบบริการและการดูแลผู้ป่วย และสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐานต่อไป
“การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ชาวสาธารณสุขต้องรับมือกับวิกฤตการณ์ทั้งการควบคุมป้องกันโรค ส่งเสริม ดูแลรักษาประชาชน ซึ่งขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันทํางานอย่างเต็มที่ ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถของเราให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขของไทยให้แข็งแกร่งมากขึ้น เป็นบทเรียนของประเทศไทยในการรับมือการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างดี” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
*********************************** 10 สิงหาคม 2565
************************ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เปิดประชุมวิชาการกลุ่ม รพศ./รพท. สนับสนุนบุคลากรพัฒนาศักยภาพให้ก้าวทัน การเปลี่ยนแปลงของโรค
วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565
ปลัด สธ. เปิดประชุมวิชาการกลุ่ม รพศ./รพท. สนับสนุนบุคลากรพัฒนาศักยภาพให้ก้าวทัน การเปลี่ยนแปลงของโรค
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการประจําปี 2565 พัฒนาระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการดูแลรักษาผู้ป่วย ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงโรค
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการประจําปี 2565 พัฒนาระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการดูแลรักษาผู้ป่วย ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงโรค
วันนี้ (10 สิงหาคม 2565) ที่ จังหวัดพิษณุโลก นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ประจําปีงบประมาณ 2565 พร้อมมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่บุคลากรดีเด่นที่ทําคุณประโยชน์ด้านสาธารณสุข 7 สาขาได้แก่ สาขาบริหารทางการแพทย์ สาขาแพทย์ สาขาทันตแพทย์ สาขาเภสัชกร สาขาบริหารทางการพยาบาล สาขาพยาบาล และสาขาทั่วไป โดยมีผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประทศ เข้าร่วมประชุมกว่า 1,500 คน
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาความเป็นเลิศ 4 ด้าน ได้แก่ ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเป็นเลิศ บริการเป็นเลิศ บุคลากรเป็นเลิศ และบริหารจัดการเป็นเลิศด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดระบบสุขภาพที่ยั่งยืน ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้น ทั้งโรคโควิด 19 และโรคฝีดาษวานร การสร้างองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพของบุคลากรสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพ เพื่อให้ดูแลรักษาผู้ป่วยได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโรคอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องที่สําคัญ ซึ่งการประชุมวิชาการเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริม พัฒนา และกระตุ้นให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ นวัตกรรม งานวิจัย องค์ความรู้การพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพในการเพิ่มคุณภาพระบบบริการและการดูแลผู้ป่วย และสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐานต่อไป
“การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ชาวสาธารณสุขต้องรับมือกับวิกฤตการณ์ทั้งการควบคุมป้องกันโรค ส่งเสริม ดูแลรักษาประชาชน ซึ่งขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันทํางานอย่างเต็มที่ ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถของเราให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขของไทยให้แข็งแกร่งมากขึ้น เป็นบทเรียนของประเทศไทยในการรับมือการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างดี” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
*********************************** 10 สิงหาคม 2565
************************ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57866 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week | วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2564
PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week
PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week
November 11, 2021, at 1900hrs (Thailand), at Bhakdi Bodin Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha attended the ABAC –Leaders’ Dialogue via a teleconference. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows:
At the ABAC –Leaders’ Dialogue, the Leaders were divided into 5 groups. The Prime Minister of Thailand was put under Group 1, together with the APEC leaders from Australia, Malaysia, and Chinese Taipei. ABAC Chile asked the Prime Minister the following question: “COVID-19 has had an acute, negative impact on the most vulnerable in our communities, including women, small businesses and Indigenous people. ABAC believes that to safeguard the future, we must regain the ground that has been lost and unlock the full potential of these disadvantaged groups. At the same time, we face increasingly dangerous climate change and the need to embrace the transition to a low-carbon economy. What tools should we be using to address these inclusion and sustainability challenges?”
According to the Prime Minister, Thailand recognizes that at present the world has been facing challenges in wide-ranging aspects. Finding the right tools to address these challenges will be extremely important for APEC going forward. Thailand, as 1 of the 12 founding members of APEC, believes that the pandemic would be an opportunity to ponder the vulnerability of the so-called economic growth.
In 2020, the 21 APEC economies had a combined gross domestic product (GDP) of US$53 Trillion, while the global GDP in the same year was $84.5 trillion. Therefore, restructuring the concept of APEC’s economic growth and the way forward may be a trigger point for the world to solve the problem as stated in the question. Thailand believes that the GDP numbers are not the final answer. A new paradigm shift would help achieve strong, sustainable, resilient and inclusive growth that is based on harmony and thriving for balance. Collaborative partnership and balance are the heart of the Bio-, Circular-, and Green- or BCG Economy Model.
The private sector is the important mechanism for economic growth and rejuvenation. Public-Private-Partnership (PPP) is key to achieving a sustainable, inclusive and responsive future. We can build on our rich biodiversity through innovations and technology. Businesses can also work towards environmental sustainability, conduct business responsibly, and good governance practices.
Collaboration between producers and consumers is crucial for APEC’s proper transition to low carbon economy, which can be done through maximizing energy use, and reduction of waste and emissions, among others. As an incubator of ideas and a forum that prioritizes collaboration with the business community, APEC can help further advance collective efforts to address inclusion and sustainable challenges with business needs in mind. such as investing in renewable energy, implementation of sustainable development goals, waste management, innovation development, as well as human rights.
Mr. Hiroshi Nakaso, ABAC Japan, then, asked the Prime Minister about what role APEC should play in facilitating the transition to a low-carbon economy and how the business sector can support this role. The Prime Minister stated that there have been ongoing efforts within the APEC workstream so far to advance transition to a low-carbon economy, but there is certainly more work to be done in this area. The collective voice from the COP26 Summit last week has revalidated the fact that we need to reaffirm our commitment to sustainable growth and lower our carbon emissions. For Thailand, the Thai Government is committed to addressing climate challenges and lowering carbon emission with an aim to reach carbon neutrality by 2050, and Net Zero Greenhouse Gas Emissions by or before 2065.
Thailand believes that APEC can also have a unified voice and a collective goal to affirm commitment in this regard. During the country’s host year, Thailand will endeavor to propose a list of APEC common environmental goals based on BCG Economy Model. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week
วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2564
PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week
PM attends ABAC – Leaders’ Dialogue during APEC Economic Leaders’ Week
November 11, 2021, at 1900hrs (Thailand), at Bhakdi Bodin Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha attended the ABAC –Leaders’ Dialogue via a teleconference. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows:
At the ABAC –Leaders’ Dialogue, the Leaders were divided into 5 groups. The Prime Minister of Thailand was put under Group 1, together with the APEC leaders from Australia, Malaysia, and Chinese Taipei. ABAC Chile asked the Prime Minister the following question: “COVID-19 has had an acute, negative impact on the most vulnerable in our communities, including women, small businesses and Indigenous people. ABAC believes that to safeguard the future, we must regain the ground that has been lost and unlock the full potential of these disadvantaged groups. At the same time, we face increasingly dangerous climate change and the need to embrace the transition to a low-carbon economy. What tools should we be using to address these inclusion and sustainability challenges?”
According to the Prime Minister, Thailand recognizes that at present the world has been facing challenges in wide-ranging aspects. Finding the right tools to address these challenges will be extremely important for APEC going forward. Thailand, as 1 of the 12 founding members of APEC, believes that the pandemic would be an opportunity to ponder the vulnerability of the so-called economic growth.
In 2020, the 21 APEC economies had a combined gross domestic product (GDP) of US$53 Trillion, while the global GDP in the same year was $84.5 trillion. Therefore, restructuring the concept of APEC’s economic growth and the way forward may be a trigger point for the world to solve the problem as stated in the question. Thailand believes that the GDP numbers are not the final answer. A new paradigm shift would help achieve strong, sustainable, resilient and inclusive growth that is based on harmony and thriving for balance. Collaborative partnership and balance are the heart of the Bio-, Circular-, and Green- or BCG Economy Model.
The private sector is the important mechanism for economic growth and rejuvenation. Public-Private-Partnership (PPP) is key to achieving a sustainable, inclusive and responsive future. We can build on our rich biodiversity through innovations and technology. Businesses can also work towards environmental sustainability, conduct business responsibly, and good governance practices.
Collaboration between producers and consumers is crucial for APEC’s proper transition to low carbon economy, which can be done through maximizing energy use, and reduction of waste and emissions, among others. As an incubator of ideas and a forum that prioritizes collaboration with the business community, APEC can help further advance collective efforts to address inclusion and sustainable challenges with business needs in mind. such as investing in renewable energy, implementation of sustainable development goals, waste management, innovation development, as well as human rights.
Mr. Hiroshi Nakaso, ABAC Japan, then, asked the Prime Minister about what role APEC should play in facilitating the transition to a low-carbon economy and how the business sector can support this role. The Prime Minister stated that there have been ongoing efforts within the APEC workstream so far to advance transition to a low-carbon economy, but there is certainly more work to be done in this area. The collective voice from the COP26 Summit last week has revalidated the fact that we need to reaffirm our commitment to sustainable growth and lower our carbon emissions. For Thailand, the Thai Government is committed to addressing climate challenges and lowering carbon emission with an aim to reach carbon neutrality by 2050, and Net Zero Greenhouse Gas Emissions by or before 2065.
Thailand believes that APEC can also have a unified voice and a collective goal to affirm commitment in this regard. During the country’s host year, Thailand will endeavor to propose a list of APEC common environmental goals based on BCG Economy Model. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ เชิญผู้กู้ยืมร่วมไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง วันศุกร์ที่ 25 มีนาคมนี้ ไม่ถูกดำเนินคดีแน่นอน | วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565
กยศ. ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ เชิญผู้กู้ยืมร่วมไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง วันศุกร์ที่ 25 มีนาคมนี้ ไม่ถูกดําเนินคดีแน่นอน
กยศ.ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เชิญชวนผู้กู้ยืมเข้าร่วมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้อง เพื่อช่วยแก้ปัญหาลูกหนี้ที่ผิดนัดชําระ ในวันศุกร์ที่ 25 มี.ค.2565 ณ ศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น 1 อาคารที่ทําการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ขอเชิญชวนผู้กู้ยืมกลุ่มที่ค้างชําระหนี้ที่ถูกบอกเลิกสัญญาและกําลังจะถูกฟ้อง เข้าร่วมกิจกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างสถาบันการเงินกับลูกหนี้ ภายในงานสถาปนาครบรอบ 131 ปี กระทรวงยุติธรรม ในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 ณ ศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น 1 อาคารที่ทําการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจทําให้ขาดรายได้และผิดนัดชําระหนี้ จนนําไปสู่การฟ้องร้องดําเนินคดีหรือถูกบังคับคดีตามกฎหมาย อีกทั้งเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาลูกหนี้ที่ผิดนัดชําระภายใต้พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562
ผู้กู้ยืมที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยจะไม่ถูกดําเนินคดี ผู้กู้ยืมจะได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ รวมทั้งได้รับโอกาสในการขยายระยะเวลาผ่อนชําระได้ถึงอายุ 65 ปี เพื่อให้ผู้กู้ยืมสามารถกลับเข้ามาสู่ระบบการชําระหนี้ให้เป็นปกติ และเมื่อร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการขอแก้ไขมีผลบังคับใช้ กองทุนจะมีอํานาจในการปลดภาระผู้ค้ําประกัน โดยกองทุนมีหลักการว่าจะยกเลิกการค้ําประกันของผู้ค้ําประกัน เมื่อผู้กู้ยืมได้ผ่อนชําระเงินต้นมาแล้วร้อยละ 25 ของเงินต้นที่ค้างชําระอีกด้วย” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ เชิญผู้กู้ยืมร่วมไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง วันศุกร์ที่ 25 มีนาคมนี้ ไม่ถูกดำเนินคดีแน่นอน
วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565
กยศ. ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ เชิญผู้กู้ยืมร่วมไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง วันศุกร์ที่ 25 มีนาคมนี้ ไม่ถูกดําเนินคดีแน่นอน
กยศ.ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เชิญชวนผู้กู้ยืมเข้าร่วมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้อง เพื่อช่วยแก้ปัญหาลูกหนี้ที่ผิดนัดชําระ ในวันศุกร์ที่ 25 มี.ค.2565 ณ ศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น 1 อาคารที่ทําการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ขอเชิญชวนผู้กู้ยืมกลุ่มที่ค้างชําระหนี้ที่ถูกบอกเลิกสัญญาและกําลังจะถูกฟ้อง เข้าร่วมกิจกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างสถาบันการเงินกับลูกหนี้ ภายในงานสถาปนาครบรอบ 131 ปี กระทรวงยุติธรรม ในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 ณ ศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น 1 อาคารที่ทําการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจทําให้ขาดรายได้และผิดนัดชําระหนี้ จนนําไปสู่การฟ้องร้องดําเนินคดีหรือถูกบังคับคดีตามกฎหมาย อีกทั้งเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาลูกหนี้ที่ผิดนัดชําระภายใต้พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562
ผู้กู้ยืมที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยจะไม่ถูกดําเนินคดี ผู้กู้ยืมจะได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ รวมทั้งได้รับโอกาสในการขยายระยะเวลาผ่อนชําระได้ถึงอายุ 65 ปี เพื่อให้ผู้กู้ยืมสามารถกลับเข้ามาสู่ระบบการชําระหนี้ให้เป็นปกติ และเมื่อร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการขอแก้ไขมีผลบังคับใช้ กองทุนจะมีอํานาจในการปลดภาระผู้ค้ําประกัน โดยกองทุนมีหลักการว่าจะยกเลิกการค้ําประกันของผู้ค้ําประกัน เมื่อผู้กู้ยืมได้ผ่อนชําระเงินต้นมาแล้วร้อยละ 25 ของเงินต้นที่ค้างชําระอีกด้วย” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52897 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ เดชา เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรมการจัดทำตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ประจำปีงบประมาณ 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564
ผู้ตรวจฯ เดชา เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรมการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ 2564
การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม โดยได้มีการนําเสนอความรู้ด้านวิชาการ รายละเอียดของโครงการการฯ
ผู้ตรวจฯ เดชา เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรมการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ 2564
วันนี้ ( 23 กันยายน 2564 ) นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรมการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ 2564 เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม โดยได้มีการนําเสนอความรู้ด้านวิชาการ รายละเอียดของโครงการการจัดทําข้อมูลตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) โดย รศ.ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การกําหนดแนวทางในการประยุกต์ข้อมูลสําหรับการจัดทํามาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและการเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับ BCG Model โดย ผศ.ดร.จิระ บุรีคํา มหาวิทยาลัยพายัพ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวด้วย Green GDP นอกจากนี้ยังได้มีการระดมความคิดเห็น เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานโครงการฯ
โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกเข้าร่วมการประชุม เช่น สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สํานักงานคลังจังหวัด สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 1 สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ สปอ. กรอ. กพร. กสอ. สมอ. สอน. สศอ. กนอ. สถาบันไทย-เยอรมัน สถานบันอาหาร สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ประกอบการภาคเอกชน ฯลฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (โปรแกรม Zoom Meeting) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ เดชา เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรมการจัดทำตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ประจำปีงบประมาณ 2564
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564
ผู้ตรวจฯ เดชา เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรมการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ 2564
การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม โดยได้มีการนําเสนอความรู้ด้านวิชาการ รายละเอียดของโครงการการฯ
ผู้ตรวจฯ เดชา เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรมการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ 2564
วันนี้ ( 23 กันยายน 2564 ) นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรมการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ 2564 เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม โดยได้มีการนําเสนอความรู้ด้านวิชาการ รายละเอียดของโครงการการจัดทําข้อมูลตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) โดย รศ.ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การกําหนดแนวทางในการประยุกต์ข้อมูลสําหรับการจัดทํามาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและการเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับ BCG Model โดย ผศ.ดร.จิระ บุรีคํา มหาวิทยาลัยพายัพ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวด้วย Green GDP นอกจากนี้ยังได้มีการระดมความคิดเห็น เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานโครงการฯ
โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกเข้าร่วมการประชุม เช่น สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สํานักงานคลังจังหวัด สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 1 สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ สปอ. กรอ. กพร. กสอ. สมอ. สอน. สศอ. กนอ. สถาบันไทย-เยอรมัน สถานบันอาหาร สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ประกอบการภาคเอกชน ฯลฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (โปรแกรม Zoom Meeting) | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46156 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมผลการดำเนินงานพัฒนาทักษะการเขียนชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) ให้แก่เยาวชนตามนโยบายรัฐบาล ที่โรงเรียนวัดเวฬุวัน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ | วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565
นายกฯ เยี่ยมชมผลการดําเนินงานพัฒนาทักษะการเขียนชุดคําสั่ง หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) ให้แก่เยาวชนตามนโยบายรัฐบาล ที่โรงเรียนวัดเวฬุวัน อ.สารภี จ.เชียงใหม่
นายกฯ เยี่ยมชมผลการดําเนินงานพัฒนาทักษะการเขียนชุดคําสั่ง หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) ให้แก่เยาวชนตามนโยบายรัฐบาล ที่โรงเรียนวัดเวฬุวัน จ.เชียงใหม่ ย้ําให้ขับเคลื่อนต่อเนื่องไปยังโรงเรียนทั่วประเทศผ่านโรงเรียนเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (29 มิ.ย.65) เวลา 14.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมผลการดําเนินงานพัฒนาทักษะการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) ให้แก่เยาวชน ณ โรงเรียนวัดเวฬุวัน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนากําลังคนด้านดิจิทัลให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศรองรับการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลงานการยกระดับทักษะของครูผู้ผ่านการเรียนการสอนจริง ผลงานด้านโค้ดดิ้งของนักเรียนโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือ และกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียน (Digital Bus) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชน เพื่อนํา Digital Bus ไปสอนและพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้แก่เยาวชนและผู้สนใจในพื้นที่ต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงการเรียนการสอนการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ขั้นพื้นฐาน (Coding) และการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของนักเรียนด้วยความสนใจ และทดลองการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ขั้นพื้นฐาน (Coding) ร่วมกับเยาวชนและเด็กนักเรียนด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมเยาวชนและเด็กนักเรียนทุกคนที่ผ่านการพัฒนาทักษะการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) จนสามารถนํามาปฏิบัติได้จริง เก่งมาก สุดยอด ซึ่งการทําเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีในการพัฒนาทักษะรองรับสําหรับอนาคตในการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล และให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถที่จะสร้างอาชีพ รายได้ให้กับตนเองและครอบครัวได้อีกด้วย
รวมทั้งนายกรัฐมนตรียังชื่นชมการนํา Coding เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการเกษตร สมาร์ทฟาร์ม ระบบรดน้ําอัตโนมัติ อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน อาทิ การเปิด-ปิดไฟฟ้าอัตโนมัติ เพื่ออํานวยความสะดวกด้านสุขภาพ โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับ เป็นต้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าการทําสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม สามารถพัฒนาต่อยอดขยายและนําไปปรับใช้ในด้านต่าง ๆ ได้อีกมาก พร้อมย้ําว่าเด็กเยาวชนทุกคนเหล่านี้คือกําลังสําคัญอนาคตของประเทศไทย และขอให้เด็กเยาวชนทุกคนมีความรักกตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้แก่เด็กทุกคน และขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันดําเนินโครงการดังกล่าวจนเกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างพบปะนักเรียนและดิจิทัลสาร์ทอัพ ย้ําว่าสิ่งที่เสนอในเรื่องการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล และ Coding สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ดําเนินการอยู่แล้วตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และจะให้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศผ่านโรงเรียนเครือข่ายที่มีการเรียนการสอน Coding อยู่แล้วเพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ โดยมอบหมายกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการเพื่อขับเคลื่อนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะด้านการประกอบธุรกิจใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการขับเคลื่อนเรื่องบล็อกเชนและเมตาเวิร์ส มาปรับใช้ด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างฐานอาชีพใหม่ให้กับประเทศ ให้สอดรับกับการพัฒนาและทันกับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีของโลก อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีย้ําว่าการดําเนินการต่าง ๆ ต้องมีความระมัดระวัง รอบคอบ และเป็นไปตามกฎหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง รวมทั้งเน้นย้ําให้เด็กเยาวชนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรู้เท่าทันและใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง
สําหรับโรงเรียนวัดเวฬุวัน เป็น 1 ใน 24 โรงเรียนเป้าหมายในพื้นที่ภาคเหนือของการดําเนินโครงการ Coding Thailand ซึ่งเป็นโครงการแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับประเทศ ที่สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ดําเนินการเพื่อเพิ่มทักษะและบ่มเพาะเยาวชนสู่การเป็นผู้มีทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในอนาคตตามนโยบายรัฐบาล โดยในปี พ.ศ. 2563 ได้สนับสนุนโครงการยกระดับโรงเรียนสู่การเรียนรู้และทักษะการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน (Coding) รวมทั้ง STEM IOT และ AI ให้แก่นักเรียนในโรงเรียนนําร่องจํานวน 9 โรงเรียน และในปี 2564 ได้ต่อยอดการดําเนินการไปยังโรงเรียน 90 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วยโรงเรียนทั่วไป โรงเรียนกองทุน และโรงเรียนเฉพาะความพิการ
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2561 – 2564 ที่ดีป้าเริ่มส่งเสริมการเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้งนั้น สามารถสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจในทักษะโค้ดดิ้ง ที่จะเป็นทักษะพื้นฐานสําคัญในอนาคต ได้แก่ การเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์ม มากกว่า 1.5 ล้านคน การพัฒนาบุคลากรครู มากกว่า 4,700 คน การพัฒนาทักษะเยาวชน มากกว่า 387,000 คน การส่งเสริมให้โรงเรียนเข้าถึงและสามารถพัฒนาการเรียนการสอนเกี่ยวกับ Coding 2,500 แห่ง
------------ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมผลการดำเนินงานพัฒนาทักษะการเขียนชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) ให้แก่เยาวชนตามนโยบายรัฐบาล ที่โรงเรียนวัดเวฬุวัน อ.สารภี จ.เชียงใหม่
วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565
นายกฯ เยี่ยมชมผลการดําเนินงานพัฒนาทักษะการเขียนชุดคําสั่ง หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) ให้แก่เยาวชนตามนโยบายรัฐบาล ที่โรงเรียนวัดเวฬุวัน อ.สารภี จ.เชียงใหม่
นายกฯ เยี่ยมชมผลการดําเนินงานพัฒนาทักษะการเขียนชุดคําสั่ง หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) ให้แก่เยาวชนตามนโยบายรัฐบาล ที่โรงเรียนวัดเวฬุวัน จ.เชียงใหม่ ย้ําให้ขับเคลื่อนต่อเนื่องไปยังโรงเรียนทั่วประเทศผ่านโรงเรียนเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (29 มิ.ย.65) เวลา 14.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมผลการดําเนินงานพัฒนาทักษะการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) ให้แก่เยาวชน ณ โรงเรียนวัดเวฬุวัน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนากําลังคนด้านดิจิทัลให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศรองรับการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลงานการยกระดับทักษะของครูผู้ผ่านการเรียนการสอนจริง ผลงานด้านโค้ดดิ้งของนักเรียนโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือ และกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียน (Digital Bus) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชน เพื่อนํา Digital Bus ไปสอนและพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้แก่เยาวชนและผู้สนใจในพื้นที่ต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงการเรียนการสอนการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ขั้นพื้นฐาน (Coding) และการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของนักเรียนด้วยความสนใจ และทดลองการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ขั้นพื้นฐาน (Coding) ร่วมกับเยาวชนและเด็กนักเรียนด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมเยาวชนและเด็กนักเรียนทุกคนที่ผ่านการพัฒนาทักษะการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน (Coding) จนสามารถนํามาปฏิบัติได้จริง เก่งมาก สุดยอด ซึ่งการทําเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีในการพัฒนาทักษะรองรับสําหรับอนาคตในการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล และให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถที่จะสร้างอาชีพ รายได้ให้กับตนเองและครอบครัวได้อีกด้วย
รวมทั้งนายกรัฐมนตรียังชื่นชมการนํา Coding เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการเกษตร สมาร์ทฟาร์ม ระบบรดน้ําอัตโนมัติ อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน อาทิ การเปิด-ปิดไฟฟ้าอัตโนมัติ เพื่ออํานวยความสะดวกด้านสุขภาพ โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับ เป็นต้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าการทําสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม สามารถพัฒนาต่อยอดขยายและนําไปปรับใช้ในด้านต่าง ๆ ได้อีกมาก พร้อมย้ําว่าเด็กเยาวชนทุกคนเหล่านี้คือกําลังสําคัญอนาคตของประเทศไทย และขอให้เด็กเยาวชนทุกคนมีความรักกตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้แก่เด็กทุกคน และขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันดําเนินโครงการดังกล่าวจนเกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างพบปะนักเรียนและดิจิทัลสาร์ทอัพ ย้ําว่าสิ่งที่เสนอในเรื่องการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล และ Coding สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ดําเนินการอยู่แล้วตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และจะให้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศผ่านโรงเรียนเครือข่ายที่มีการเรียนการสอน Coding อยู่แล้วเพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ โดยมอบหมายกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการเพื่อขับเคลื่อนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะด้านการประกอบธุรกิจใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการขับเคลื่อนเรื่องบล็อกเชนและเมตาเวิร์ส มาปรับใช้ด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างฐานอาชีพใหม่ให้กับประเทศ ให้สอดรับกับการพัฒนาและทันกับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีของโลก อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีย้ําว่าการดําเนินการต่าง ๆ ต้องมีความระมัดระวัง รอบคอบ และเป็นไปตามกฎหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง รวมทั้งเน้นย้ําให้เด็กเยาวชนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรู้เท่าทันและใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง
สําหรับโรงเรียนวัดเวฬุวัน เป็น 1 ใน 24 โรงเรียนเป้าหมายในพื้นที่ภาคเหนือของการดําเนินโครงการ Coding Thailand ซึ่งเป็นโครงการแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับประเทศ ที่สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ดําเนินการเพื่อเพิ่มทักษะและบ่มเพาะเยาวชนสู่การเป็นผู้มีทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในอนาคตตามนโยบายรัฐบาล โดยในปี พ.ศ. 2563 ได้สนับสนุนโครงการยกระดับโรงเรียนสู่การเรียนรู้และทักษะการเขียนชุดคําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน (Coding) รวมทั้ง STEM IOT และ AI ให้แก่นักเรียนในโรงเรียนนําร่องจํานวน 9 โรงเรียน และในปี 2564 ได้ต่อยอดการดําเนินการไปยังโรงเรียน 90 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วยโรงเรียนทั่วไป โรงเรียนกองทุน และโรงเรียนเฉพาะความพิการ
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2561 – 2564 ที่ดีป้าเริ่มส่งเสริมการเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้งนั้น สามารถสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจในทักษะโค้ดดิ้ง ที่จะเป็นทักษะพื้นฐานสําคัญในอนาคต ได้แก่ การเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์ม มากกว่า 1.5 ล้านคน การพัฒนาบุคลากรครู มากกว่า 4,700 คน การพัฒนาทักษะเยาวชน มากกว่า 387,000 คน การส่งเสริมให้โรงเรียนเข้าถึงและสามารถพัฒนาการเรียนการสอนเกี่ยวกับ Coding 2,500 แห่ง
------------ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56322 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงภาพของแบบอาคารสถานีรถไฟอุบลราชธานีที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ | วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565
การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงภาพของแบบอาคารสถานีรถไฟอุบลราชธานีที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์
เป็นภาพเก่า ปัจจุบันได้มีการออกแบบใหม่แล้ว โดยยึดหลักมีอัตลักษณ์สวยงาม ทันสมัย และอํานวยความสะดวกให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ
กรณีสื่อสังคมออนไลน์ได้นําเสนอรูปภาพสถานีรถไฟอุบลราชธานี ในโครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี โดยระบุว่าเป็นการออกแบบที่ไม่ทันสมัยนั้น ศูนย์ประชาสัมพันธ์การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ขอเรียนชี้แจงว่า ภาพสถานีอุบลราชธานี ในโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี ที่สื่อออนไลน์ได้นําไปเผยแพร่นั้น เป็นภาพเก่า ซึ่ง รฟท. ได้จัดทําขึ้นในช่วงของการจัดทําร่างแบบเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2559 โดยขณะนั้นยังเป็นภาพมุมมองสามมิติ (Perspective) ไม่ได้มีการลงรายละเอียด ด้านสถาปัตยกรรมของอาคารสถานีแต่อย่างใด
โดยต่อมา รฟท. ได้ดําเนินการออกแบบสถาปัตยกรรมอาคารสถานีขึ้นใหม่โดยเปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น ซึ่งเมื่อมีการปรับแบบแล้ว ทําให้แบบการก่อสร้าง และปรับปรุงอาคารสถานีอุบลราชธานี มีความทันสมัยและคงอัตลักษณ์ประจําจังหวัดที่สวยงาม ตลอดจนคํานึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า โดยได้จัดทําแบบเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในรายละเอียดของการจัดทําแบบสถานีอุบลราชธานี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี รฟท. ได้ให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นสถานีขนาดใหญ่ ที่ถูกกําหนดให้อยู่ที่ระดับดินเนื่องจากเป็นสถานีปลายทางและเป็นย่านสําหรับการจัดขบวนรถและซ่อมบํารุง ในขั้นตอนการออกแบบจึงดําเนินการด้วยความพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด โดยมีการดําเนินการเป็น 2 ส่วน คือการปรับปรุงอาคารสถานีเดิม และการก่อสร้างอาคารสถานีใหม่
- อาคารสถานีเดิม ที่มีพื้นที่ใช้สอยจํากัด ไม่เพียงพอรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นจากการก่อสร้างเป็นทางคู่ในอนาคต แต่ด้วยสภาพอาคารสถานีที่ยังมีความสมบูรณ์แข็งแรง และมีรูปแบบที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ รฟท. จึงกําหนดแนวคิดของการออกแบบ ให้มีการปรับปรุง และจัดพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารสถานีใหม่ ให้มีความเหมาะสม เพื่อใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่ส่วนงานของ รฟท.
- อาคารแห่งใหม่ ได้ออกแบบก่อสร้างให้อยู่ด้านข้างอาคารสถานีเดิม โดยสร้างเป็นอาคารสูง 3 ชั้น มีลิฟต์และบันไดเลื่อน เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีความทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการและอํานวยความสะดวกสําหรับผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วย
ชั้น 1 เป็นพื้นที่ขายตั๋ว ห้องน้ํา ร้านค้า ห้องประชุม ห้องปฐมพยาบาล พื้นที่พักคอย
ชั้น 2 เป็นพื้นที่พักคอย ห้องน้ํา ห้องพักคอยสําหรับ VIP
ชั้น 3 เป็นทางเดินเชื่อมออกไปยังสะพานลอย เชื่อมชานชาลา
สําหรับการออกแบบอาคารส่วนเพิ่มเติมนี้ ยังกําหนดให้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับอาคารสถานีเดิมเพื่อให้ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในภาพรวม โดยการนําดอกบัวซึ่งเป็นดอกไม้ประจําจังหวัดมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบทางเข้าอาคารด้วย
“รฟท. ขอย้ําว่า พร้อมรับฟังความเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อนํามาพิจารณาปรับปรุงโครงการลงทุนและการให้บริการในมิติต่างๆ อย่างรอบด้าน และครอบคลุมครบถ้วน โดยคํานึงถึงความทันสมัย คงอัตลักษณ์ประจําจังหวัดที่สวยงาม ตลอดจนคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของการให้บริการต่อประชาชนเป็นสําคัญ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงภาพของแบบอาคารสถานีรถไฟอุบลราชธานีที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์
วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565
การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงภาพของแบบอาคารสถานีรถไฟอุบลราชธานีที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์
เป็นภาพเก่า ปัจจุบันได้มีการออกแบบใหม่แล้ว โดยยึดหลักมีอัตลักษณ์สวยงาม ทันสมัย และอํานวยความสะดวกให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ
กรณีสื่อสังคมออนไลน์ได้นําเสนอรูปภาพสถานีรถไฟอุบลราชธานี ในโครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี โดยระบุว่าเป็นการออกแบบที่ไม่ทันสมัยนั้น ศูนย์ประชาสัมพันธ์การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ขอเรียนชี้แจงว่า ภาพสถานีอุบลราชธานี ในโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี ที่สื่อออนไลน์ได้นําไปเผยแพร่นั้น เป็นภาพเก่า ซึ่ง รฟท. ได้จัดทําขึ้นในช่วงของการจัดทําร่างแบบเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2559 โดยขณะนั้นยังเป็นภาพมุมมองสามมิติ (Perspective) ไม่ได้มีการลงรายละเอียด ด้านสถาปัตยกรรมของอาคารสถานีแต่อย่างใด
โดยต่อมา รฟท. ได้ดําเนินการออกแบบสถาปัตยกรรมอาคารสถานีขึ้นใหม่โดยเปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น ซึ่งเมื่อมีการปรับแบบแล้ว ทําให้แบบการก่อสร้าง และปรับปรุงอาคารสถานีอุบลราชธานี มีความทันสมัยและคงอัตลักษณ์ประจําจังหวัดที่สวยงาม ตลอดจนคํานึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า โดยได้จัดทําแบบเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในรายละเอียดของการจัดทําแบบสถานีอุบลราชธานี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี รฟท. ได้ให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นสถานีขนาดใหญ่ ที่ถูกกําหนดให้อยู่ที่ระดับดินเนื่องจากเป็นสถานีปลายทางและเป็นย่านสําหรับการจัดขบวนรถและซ่อมบํารุง ในขั้นตอนการออกแบบจึงดําเนินการด้วยความพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด โดยมีการดําเนินการเป็น 2 ส่วน คือการปรับปรุงอาคารสถานีเดิม และการก่อสร้างอาคารสถานีใหม่
- อาคารสถานีเดิม ที่มีพื้นที่ใช้สอยจํากัด ไม่เพียงพอรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นจากการก่อสร้างเป็นทางคู่ในอนาคต แต่ด้วยสภาพอาคารสถานีที่ยังมีความสมบูรณ์แข็งแรง และมีรูปแบบที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ รฟท. จึงกําหนดแนวคิดของการออกแบบ ให้มีการปรับปรุง และจัดพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารสถานีใหม่ ให้มีความเหมาะสม เพื่อใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่ส่วนงานของ รฟท.
- อาคารแห่งใหม่ ได้ออกแบบก่อสร้างให้อยู่ด้านข้างอาคารสถานีเดิม โดยสร้างเป็นอาคารสูง 3 ชั้น มีลิฟต์และบันไดเลื่อน เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีความทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการและอํานวยความสะดวกสําหรับผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วย
ชั้น 1 เป็นพื้นที่ขายตั๋ว ห้องน้ํา ร้านค้า ห้องประชุม ห้องปฐมพยาบาล พื้นที่พักคอย
ชั้น 2 เป็นพื้นที่พักคอย ห้องน้ํา ห้องพักคอยสําหรับ VIP
ชั้น 3 เป็นทางเดินเชื่อมออกไปยังสะพานลอย เชื่อมชานชาลา
สําหรับการออกแบบอาคารส่วนเพิ่มเติมนี้ ยังกําหนดให้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับอาคารสถานีเดิมเพื่อให้ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในภาพรวม โดยการนําดอกบัวซึ่งเป็นดอกไม้ประจําจังหวัดมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบทางเข้าอาคารด้วย
“รฟท. ขอย้ําว่า พร้อมรับฟังความเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อนํามาพิจารณาปรับปรุงโครงการลงทุนและการให้บริการในมิติต่างๆ อย่างรอบด้าน และครอบคลุมครบถ้วน โดยคํานึงถึงความทันสมัย คงอัตลักษณ์ประจําจังหวัดที่สวยงาม ตลอดจนคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของการให้บริการต่อประชาชนเป็นสําคัญ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55991 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม "บก - ราง - น้ำ" และด้านดิจิทัล 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ | วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565
รัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม "บก - ราง - น้ํา" และด้านดิจิทัล 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ
.....
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมโยงแต่ละภาคของประเทศและเชื่อมต่อกับภูมิภาคอาเซียน ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศ ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในทุกภูมิภาคของประเทศ พร้อมเดินหน้าสู่โลกดิจิทัล ฟื้นเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถของประเทศต่อไป
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเข้ม...
แจ้งเตือน...
อย่าแชร์...
กรุงเทพฯ...
ปลื้ม... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม "บก - ราง - น้ำ" และด้านดิจิทัล 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565
รัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม "บก - ราง - น้ํา" และด้านดิจิทัล 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ
.....
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมโยงแต่ละภาคของประเทศและเชื่อมต่อกับภูมิภาคอาเซียน ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศ ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในทุกภูมิภาคของประเทศ พร้อมเดินหน้าสู่โลกดิจิทัล ฟื้นเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถของประเทศต่อไป
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเข้ม...
แจ้งเตือน...
อย่าแชร์...
กรุงเทพฯ...
ปลื้ม... | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล วันอังคารที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล วันอังคารที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๙
ผ่านระบบการประชุมทางไกล
วันอังคารที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๙
ผ่านระบบการประชุมทางไกล
วันอังคารที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
* * * * *
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ท่านประธานาธิบดีโจ ไบเดน
และ ฯพณฯ ทั้งหลาย
ผมยินดีต้อนรับท่านประธานาธิบดีไบเดนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯ ให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจและผลประโยชน์ร่วมกัน
เพื่อสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองที่มั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาค
เป็นเวลา ๔๔ ปีแล้วที่อาเซียนกับสหรัฐฯ เริ่มความร่วมมือกันในฐานะคู่เจรจา โดยความสัมพันธ์ ของอาเซียนและสหรัฐฯ ผ่านความท้าทายมาหลายประการ และอาเซียนยินดียิ่งที่รัฐบาลของท่านประธานาธิบดีมีนโยบายที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการมีบทบาทในทางสร้างสรรค์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกท่ามกลางความแปรเปลี่ยนหลายประการทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้
ความสําคัญที่อาเซียนและสหรัฐฯ มีต่อกันและกันนั้น ครอบคลุมทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ และในยุคโควิดก็จะต้องรวมเรื่องสาธารณสุขและการฟื้นฟูประเทศและภูมิภาคหลังโรคระบาดด้วยในโอกาสนี้ ผมจึงขอเสนอแนวทางความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯ ใน ๓ ประเด็น ดังนี้
ประการแรกอนาคตของโลกยุคหลังโควิด-๑๙ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของเราในการกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและรวดเร็วผมขอขอบคุณท่านประธานาธิบดีไบเดนที่สนับสนุนวัคซีนจํานวนมากให้แก่ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน รวมถึงไทย ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ มิได้เพิกเฉยต่อความจําเป็นอันเร่งด่วนในการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และการเสียชีวิตของประชาชนของเรา นอกจากนี้ เมื่อเดือนกันยายน
ที่ผ่านมา ผมยังได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมสุดยอดว่าด้วยการยุติการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และการฟื้นตัวซึ่งท่านประธานาธิบดีจัดขึ้น และผมยินดีที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายจะขยายฐานการผลิตวัคซีนไปยังภูมิภาคต่าง ๆซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา และการกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค
ประการที่สองเพื่อให้เราก้าวไปสู่“Next Normal”ได้อย่างยั่งยืน เราต้องหันมาให้ความสําคัญกับการเติบโตสีเขียวผมขอชื่นชมที่ท่านประธานาธิบดีประกาศกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสตั้งแต่วันแรกที่ท่านเข้ารับตําแหน่ง และหวังว่าสหรัฐฯ และอาเซียนจะขยายความร่วมมือกันในด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศให้กลับมาเป็นปกติและสมบูรณ์ขึ้นได้อีกคราหนึ่ง แม้ว่านักดาราศาสตร์สหรัฐฯ ชื่อ คาร์ล เซแกน จะบรรยายภาพโลกของเราจากมุมมองในอวกาศว่าเป็นเพียงจุดสีฟ้าซีด ๆ เท่านั้น แต่นี่ก็เป็นโลกใบเดียว
ที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่ร่วมกันมาช้านาน เราทุกคนจึงมีหน้าที่ร่วมกันในการธํารงรักษาไว้ซึ่งความอยู่รอดของโลกใบนี้ โดยส่งเสริมการลงทุนและการสร้างงานในอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งแผนการเงินระหว่างประเทศด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯ จะมีส่วนช่วยให้อาเซียนบรรลุเป้าหมายสําคัญ อาทิ การลดความเข้มข้นในการใช้พลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ ๓๒ และการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นร้อยละ๒๓ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ ได้
ในส่วนของไทย เรามีความมุ่งมั่นที่จะ“พลิกโฉมประเทศ” โดยใช้แนวทางของโมเดลเศรษฐกิจBCGที่เน้นความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-๑๙ อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนซึ่งผมเชื่อว่าจะสามารถสนับสนุนข้อริเริ่มBuild Back Better Worldของท่านได้โดยไทยจะผลักดันประเด็นเศรษฐกิจBCGในการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคปี ค.ศ. ๒๐๒๒และพร้อมที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการขับเคลื่อนและต่อยอดวาระสําคัญนี้ในปี ค.ศ. ๒๐๒๓ ต่อไป ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับท่านประธานาธิบดีไบเดนที่ประเทศไทยในปีหน้านี้ครับ
ประการสุดท้ายการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลกจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ได้ตอกย้ําความสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและในวันนี้ ผมยินดีที่เราจะร่วมรับรองแถลงการณ์ผู้นําอาเซียน-สหรัฐฯ ว่าด้วยการพัฒนาด้านดิจิทัลซึ่งจะเป็นพื้นฐานต่อยอดไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญที่จะช่วยให้GDPอาเซียนขยายตัวได้ถึงกว่า ๑ ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ ตลอดจนส่งเสริมความก้าวหน้าด้านดิจิทัลและนวัตกรรมในประเทศและในภูมิภาคต่อไป โดยประเทศไทยมุ่งผลักดันโครงการ“ดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์”ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางความร่วมมือของเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์และการสร้างดิจิทัลสตาร์ทอัพในภูมิภาค
สุดท้ายนี้ ผมขอเน้นย้ําประเด็นสําคัญไว้อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังจากบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาค คือการทํางานร่วมกันของมหาอํานาจเพื่อสร้างภูมิรัฐศาสตร์ที่มีสันติสุข และเอื้ออํานวยต่อการฟื้นตัวหลังโควิด-๑๙โดยผมหวังว่า พัฒนาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงการจัดทํายุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ และหุ้นส่วนไตรภาคีด้านความมั่นคง หรือ“ออคัส”จะเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ สนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียน และหลักการภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก ตลอดจนส่งเสริมความสงบสุข สันติภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในภูมิภาค ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันของทุกประเทศ ทั้งนี้ ผมเห็นว่า อนาคตของความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ จะขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเราทุกคนที่จะรักษาแรงขับเคลื่อนในสามด้านไว้ได้ ได้แก่ การบูรณาการทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยง ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและทุกฝ่ายมีส่วนร่วม และการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของเรา
* * * * * * * | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล วันอังคารที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล วันอังคารที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๙
ผ่านระบบการประชุมทางไกล
วันอังคารที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๙
ผ่านระบบการประชุมทางไกล
วันอังคารที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
* * * * *
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ท่านประธานาธิบดีโจ ไบเดน
และ ฯพณฯ ทั้งหลาย
ผมยินดีต้อนรับท่านประธานาธิบดีไบเดนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯ ให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจและผลประโยชน์ร่วมกัน
เพื่อสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองที่มั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาค
เป็นเวลา ๔๔ ปีแล้วที่อาเซียนกับสหรัฐฯ เริ่มความร่วมมือกันในฐานะคู่เจรจา โดยความสัมพันธ์ ของอาเซียนและสหรัฐฯ ผ่านความท้าทายมาหลายประการ และอาเซียนยินดียิ่งที่รัฐบาลของท่านประธานาธิบดีมีนโยบายที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการมีบทบาทในทางสร้างสรรค์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกท่ามกลางความแปรเปลี่ยนหลายประการทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้
ความสําคัญที่อาเซียนและสหรัฐฯ มีต่อกันและกันนั้น ครอบคลุมทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ และในยุคโควิดก็จะต้องรวมเรื่องสาธารณสุขและการฟื้นฟูประเทศและภูมิภาคหลังโรคระบาดด้วยในโอกาสนี้ ผมจึงขอเสนอแนวทางความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯ ใน ๓ ประเด็น ดังนี้
ประการแรกอนาคตของโลกยุคหลังโควิด-๑๙ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของเราในการกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและรวดเร็วผมขอขอบคุณท่านประธานาธิบดีไบเดนที่สนับสนุนวัคซีนจํานวนมากให้แก่ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน รวมถึงไทย ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ มิได้เพิกเฉยต่อความจําเป็นอันเร่งด่วนในการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และการเสียชีวิตของประชาชนของเรา นอกจากนี้ เมื่อเดือนกันยายน
ที่ผ่านมา ผมยังได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมสุดยอดว่าด้วยการยุติการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และการฟื้นตัวซึ่งท่านประธานาธิบดีจัดขึ้น และผมยินดีที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายจะขยายฐานการผลิตวัคซีนไปยังภูมิภาคต่าง ๆซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา และการกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค
ประการที่สองเพื่อให้เราก้าวไปสู่“Next Normal”ได้อย่างยั่งยืน เราต้องหันมาให้ความสําคัญกับการเติบโตสีเขียวผมขอชื่นชมที่ท่านประธานาธิบดีประกาศกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสตั้งแต่วันแรกที่ท่านเข้ารับตําแหน่ง และหวังว่าสหรัฐฯ และอาเซียนจะขยายความร่วมมือกันในด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศให้กลับมาเป็นปกติและสมบูรณ์ขึ้นได้อีกคราหนึ่ง แม้ว่านักดาราศาสตร์สหรัฐฯ ชื่อ คาร์ล เซแกน จะบรรยายภาพโลกของเราจากมุมมองในอวกาศว่าเป็นเพียงจุดสีฟ้าซีด ๆ เท่านั้น แต่นี่ก็เป็นโลกใบเดียว
ที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่ร่วมกันมาช้านาน เราทุกคนจึงมีหน้าที่ร่วมกันในการธํารงรักษาไว้ซึ่งความอยู่รอดของโลกใบนี้ โดยส่งเสริมการลงทุนและการสร้างงานในอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งแผนการเงินระหว่างประเทศด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯ จะมีส่วนช่วยให้อาเซียนบรรลุเป้าหมายสําคัญ อาทิ การลดความเข้มข้นในการใช้พลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ ๓๒ และการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นร้อยละ๒๓ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ ได้
ในส่วนของไทย เรามีความมุ่งมั่นที่จะ“พลิกโฉมประเทศ” โดยใช้แนวทางของโมเดลเศรษฐกิจBCGที่เน้นความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-๑๙ อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนซึ่งผมเชื่อว่าจะสามารถสนับสนุนข้อริเริ่มBuild Back Better Worldของท่านได้โดยไทยจะผลักดันประเด็นเศรษฐกิจBCGในการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคปี ค.ศ. ๒๐๒๒และพร้อมที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการขับเคลื่อนและต่อยอดวาระสําคัญนี้ในปี ค.ศ. ๒๐๒๓ ต่อไป ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับท่านประธานาธิบดีไบเดนที่ประเทศไทยในปีหน้านี้ครับ
ประการสุดท้ายการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลกจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ได้ตอกย้ําความสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและในวันนี้ ผมยินดีที่เราจะร่วมรับรองแถลงการณ์ผู้นําอาเซียน-สหรัฐฯ ว่าด้วยการพัฒนาด้านดิจิทัลซึ่งจะเป็นพื้นฐานต่อยอดไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญที่จะช่วยให้GDPอาเซียนขยายตัวได้ถึงกว่า ๑ ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ ตลอดจนส่งเสริมความก้าวหน้าด้านดิจิทัลและนวัตกรรมในประเทศและในภูมิภาคต่อไป โดยประเทศไทยมุ่งผลักดันโครงการ“ดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์”ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางความร่วมมือของเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์และการสร้างดิจิทัลสตาร์ทอัพในภูมิภาค
สุดท้ายนี้ ผมขอเน้นย้ําประเด็นสําคัญไว้อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังจากบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาค คือการทํางานร่วมกันของมหาอํานาจเพื่อสร้างภูมิรัฐศาสตร์ที่มีสันติสุข และเอื้ออํานวยต่อการฟื้นตัวหลังโควิด-๑๙โดยผมหวังว่า พัฒนาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงการจัดทํายุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ และหุ้นส่วนไตรภาคีด้านความมั่นคง หรือ“ออคัส”จะเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ สนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียน และหลักการภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก ตลอดจนส่งเสริมความสงบสุข สันติภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในภูมิภาค ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันของทุกประเทศ ทั้งนี้ ผมเห็นว่า อนาคตของความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ จะขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเราทุกคนที่จะรักษาแรงขับเคลื่อนในสามด้านไว้ได้ ได้แก่ การบูรณาการทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยง ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและทุกฝ่ายมีส่วนร่วม และการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของเรา
* * * * * * * | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47432 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งออกสิ่งทอพุ่ง 1.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เดินหน้ายกระดับ OTOP ไทยสู่สากล | วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565
ส่งออกสิ่งทอพุ่ง 1.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เดินหน้ายกระดับ OTOP ไทยสู่สากล
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลยกระดับสินค้าชุมชนสู่ตลาดสากลอย่างต่อเนื่อง
โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ส่งออกสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย มูลค่าสูงถึง 1,784
ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.7 และเกินดุลการค้ามากกว่า 410 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นับเป็นโอกาสสําคัญที่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
จึงพัฒนาเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ผลิตจากไทย และเว็บไซต์
www.thailandtextilestag.com เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อในการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ OTOP PREMIUM ที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ชุมชนระดับ 4-5 ดาวกว่า 300
อย่างจากทั่วประเทศ เข้ากระบวนการพัฒนาเพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดและต่อยอดสู่ระดับสากลต่อไปด้วย
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งออกสิ่งทอพุ่ง 1.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เดินหน้ายกระดับ OTOP ไทยสู่สากล
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565
ส่งออกสิ่งทอพุ่ง 1.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เดินหน้ายกระดับ OTOP ไทยสู่สากล
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลยกระดับสินค้าชุมชนสู่ตลาดสากลอย่างต่อเนื่อง
โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ส่งออกสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย มูลค่าสูงถึง 1,784
ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.7 และเกินดุลการค้ามากกว่า 410 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นับเป็นโอกาสสําคัญที่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
จึงพัฒนาเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ผลิตจากไทย และเว็บไซต์
www.thailandtextilestag.com เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อในการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ OTOP PREMIUM ที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ชุมชนระดับ 4-5 ดาวกว่า 300
อย่างจากทั่วประเทศ เข้ากระบวนการพัฒนาเพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดและต่อยอดสู่ระดับสากลต่อไปด้วย
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57259 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2565 | วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2565
คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจําปี พ.ศ. 2565
วันที่ 5 มีนาคม 2565
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของงาน “วันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจําปี พ.ศ. 2565” ซึ่งถือเป็นวันที่ทั่วโลกให้ความสําคัญในการตระหนักถึงการเปิดเผยข้อมูลระหว่างกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ตระหนักถึงความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี รวมไปถึงข้อมูลข่าวสารที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงได้วางรากฐานในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และได้บูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงข้อมูล และสามารถนําข้อมูลดังกล่าวไปใช้ต่อยอด ก่อให้เกิดนวัตกรรมที่ช่วยในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการบริหารงานของภาครัฐที่มุ่งเน้นความโปร่งใสเป็นสําคัญ
ในวันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเปิดตัวโครงการ Open Data Hackathon 2022 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาขีดความสามารถทางด้านการบริหารจัดการข้อมูล และสนับสนุนให้ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน รวมทั้งเยาวชน ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้ในการใช้ข้อมูลเปิดภาครัฐ พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมการให้บริการระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้จะสามารถนําไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการสร้างระบบฐานข้อมูลเปิดที่มีความทันสมัย เชื่อมโยง โปร่งใสเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งพัฒนาไปสู่การบริหารงานภาครัฐด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติให้เดินหน้าอย่างมั่นคง และประชาชนมีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนต่อไป
สวัสดีครับ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2565
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2565
คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจําปี พ.ศ. 2565
วันที่ 5 มีนาคม 2565
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของงาน “วันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจําปี พ.ศ. 2565” ซึ่งถือเป็นวันที่ทั่วโลกให้ความสําคัญในการตระหนักถึงการเปิดเผยข้อมูลระหว่างกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ตระหนักถึงความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี รวมไปถึงข้อมูลข่าวสารที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงได้วางรากฐานในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และได้บูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงข้อมูล และสามารถนําข้อมูลดังกล่าวไปใช้ต่อยอด ก่อให้เกิดนวัตกรรมที่ช่วยในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการบริหารงานของภาครัฐที่มุ่งเน้นความโปร่งใสเป็นสําคัญ
ในวันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเปิดตัวโครงการ Open Data Hackathon 2022 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาขีดความสามารถทางด้านการบริหารจัดการข้อมูล และสนับสนุนให้ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน รวมทั้งเยาวชน ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้ในการใช้ข้อมูลเปิดภาครัฐ พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมการให้บริการระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้จะสามารถนําไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการสร้างระบบฐานข้อมูลเปิดที่มีความทันสมัย เชื่อมโยง โปร่งใสเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งพัฒนาไปสู่การบริหารงานภาครัฐด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติให้เดินหน้าอย่างมั่นคง และประชาชนมีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนต่อไป
สวัสดีครับ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52220 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินประสบความสำเร็จ เป็นแบงก์รัฐแห่งแรกที่ออกขาย Social Bond มูลค่าสูงสุดของไทย ถึง 10,000 ล้านบาท ระดมทุนทำโครงการเพื่อสังคม แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ | วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565
ออมสินประสบความสําเร็จ เป็นแบงก์รัฐแห่งแรกที่ออกขาย Social Bond มูลค่าสูงสุดของไทย ถึง 10,000 ล้านบาท ระดมทุนทําโครงการเพื่อสังคม แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ํา
ธ.ออมสินได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) ของธนาคาร วงเงิน 10,000 ลบ. มีมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยออกในประเทศไทย เพื่อนําเงินที่ได้จากการระดมทุนไปดําเนินการโครงการเพื่อสังคมต่าง ๆ เพื่อลดความเหลี่อมล้ําทางการเงิน และแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ
นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินมีการดําเนินงานตามกรอบแนวคิด ESG ที่คํานึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (E - Environment) สังคม (S - Social) และธรรมาภิบาล (G - Governance) โดยเฉพาะในกระบวนการที่สําคัญของธนาคาร เพื่อนําพาองค์กรและสังคมมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามกระแสโลกในปัจจุบัน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารออมสินได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) ของธนาคาร วงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยออกในประเทศไทย เพื่อนําเงินที่ได้จากการระดมทุนไปดําเนินการโครงการเพื่อสังคมต่าง ๆ เพื่อลดความเหลี่อมล้ําทางการเงิน และแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบสถาบันการเงิน ให้เข้าถึงสินเชื่อได้อย่างเป็นธรรม ทั้งผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประสบภัย เพื่อพัฒนาชนบท และผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นต้น
ทั้งนี้ การออกขายหุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) ดังกล่าว ประสบความสําเร็จได้รับความสนใจ อย่างมากจากนักลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ ที่มีนโยบายในความรับผิดชอบต่อสังคม และได้เข้าลงทุนจนเต็มวงเงินภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยธนาคารออมสิน ถือเป็นสถาบันการเงินของรัฐแห่งแรกที่มีความพร้อมและดําเนินการระดมทุนในรูปแบบดังกล่าว ที่เชื่อมโยงกับภารกิจธนาคารเพื่อสังคม ตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร
อนึ่ง หุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) ของธนาคารออมสิน วงเงิน 10,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.35% ต่อปี เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จํากัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้ธนาคารออมสิน ที่ระดับ “AAA” แนวโน้ม “คงที่” ขณะที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) หรือ เอดีบี ได้ให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคผ่านความร่วมมือระหว่างความริเริ่มด้านตลาดตราสารหนี้ของภูมิภาคอาเซียน (Asian Bond Markets Initiative – ABMI) และกองทุนการเงินสีเขียวของอาเซียน (ASEAN Catalytic Green Finance Facility – ACGF) ซึ่ง ABMI เป็นความคิดริเริ่มของรัฐบาลต่าง ๆ ในประเทศอาเซียน รวมถึง จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เพื่อช่วยพัฒนาตลาดตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่นที่ยั่งยืน ส่วน ACGF นั้น เป็นความคิดริเริ่มของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund) เพื่อเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr16-65/ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินประสบความสำเร็จ เป็นแบงก์รัฐแห่งแรกที่ออกขาย Social Bond มูลค่าสูงสุดของไทย ถึง 10,000 ล้านบาท ระดมทุนทำโครงการเพื่อสังคม แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565
ออมสินประสบความสําเร็จ เป็นแบงก์รัฐแห่งแรกที่ออกขาย Social Bond มูลค่าสูงสุดของไทย ถึง 10,000 ล้านบาท ระดมทุนทําโครงการเพื่อสังคม แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ํา
ธ.ออมสินได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) ของธนาคาร วงเงิน 10,000 ลบ. มีมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยออกในประเทศไทย เพื่อนําเงินที่ได้จากการระดมทุนไปดําเนินการโครงการเพื่อสังคมต่าง ๆ เพื่อลดความเหลี่อมล้ําทางการเงิน และแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ
นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินมีการดําเนินงานตามกรอบแนวคิด ESG ที่คํานึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (E - Environment) สังคม (S - Social) และธรรมาภิบาล (G - Governance) โดยเฉพาะในกระบวนการที่สําคัญของธนาคาร เพื่อนําพาองค์กรและสังคมมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามกระแสโลกในปัจจุบัน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารออมสินได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) ของธนาคาร วงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยออกในประเทศไทย เพื่อนําเงินที่ได้จากการระดมทุนไปดําเนินการโครงการเพื่อสังคมต่าง ๆ เพื่อลดความเหลี่อมล้ําทางการเงิน และแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบสถาบันการเงิน ให้เข้าถึงสินเชื่อได้อย่างเป็นธรรม ทั้งผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประสบภัย เพื่อพัฒนาชนบท และผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นต้น
ทั้งนี้ การออกขายหุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) ดังกล่าว ประสบความสําเร็จได้รับความสนใจ อย่างมากจากนักลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ ที่มีนโยบายในความรับผิดชอบต่อสังคม และได้เข้าลงทุนจนเต็มวงเงินภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยธนาคารออมสิน ถือเป็นสถาบันการเงินของรัฐแห่งแรกที่มีความพร้อมและดําเนินการระดมทุนในรูปแบบดังกล่าว ที่เชื่อมโยงกับภารกิจธนาคารเพื่อสังคม ตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร
อนึ่ง หุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) ของธนาคารออมสิน วงเงิน 10,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.35% ต่อปี เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จํากัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้ธนาคารออมสิน ที่ระดับ “AAA” แนวโน้ม “คงที่” ขณะที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) หรือ เอดีบี ได้ให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคผ่านความร่วมมือระหว่างความริเริ่มด้านตลาดตราสารหนี้ของภูมิภาคอาเซียน (Asian Bond Markets Initiative – ABMI) และกองทุนการเงินสีเขียวของอาเซียน (ASEAN Catalytic Green Finance Facility – ACGF) ซึ่ง ABMI เป็นความคิดริเริ่มของรัฐบาลต่าง ๆ ในประเทศอาเซียน รวมถึง จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เพื่อช่วยพัฒนาตลาดตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่นที่ยั่งยืน ส่วน ACGF นั้น เป็นความคิดริเริ่มของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund) เพื่อเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr16-65/ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56290 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมอบประกันภัยอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ เบี้ย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท สร้างความอุ่นใจตลอดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีใหม่ | วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2564
รัฐบาลมอบประกันภัยอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ เบี้ย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท สร้างความอุ่นใจตลอดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีใหม่
รัฐบาลมอบประกันภัยอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ เบี้ย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท สร้างความอุ่นใจตลอดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีใหม่
วันที่ 25 ธ.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) สําหรับเทศกาลปีใหม่ 2565 ให้แก่พี่น้องประชาชน โดยเป็นหนึ่งในข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานเตรียมของขวัญปีใหม่เพื่อเป็นกําลังใจแก่พี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ อีกทั้งเพื่อแบ่งเบาภาระในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ที่ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
สําหรับกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ มีเงื่อนไขการทําสัญญาประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2564 – 25 กุมภาพันธ์ 2565 ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน เบี้ยประกันภัย 10 บาท ซึ่งมีข้อตกลงคุ้มครอง ดังนี้ 1) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทําร้ายร่างกายและ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จํานวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท 2) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทําร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จํานวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท 3) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จํานวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท และ 4) ผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (สูงสุดไม่เกิน 30 วัน) 200 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ช่องทางการรับสิทธิ์และช่องทางการจําหน่ายนั้น ประชาชนสามารถรับสิทธิ์ตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการกําหนดหรือสามารถหาซื้อได้ที่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส เซเว่นอีเลฟเว่น หรือธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ
นอกจากนี้ สํานักงาน คปภ. ยังมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จํานวน 10,000 ฉบับ ให้กับพี่น้องประชาชนผู้เป็นเจ้าของรถ โดยสามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่ www.พรบรุกทั่วไทย.com ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ตามเงื่อนไขที่กําหนด หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติม สายด่วน คปภ. 1186
“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนในการเดินทางสัญจรช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่จะถึงนี้ ด้วยความระมัดระวัง ตรวจสอบสมรรถภาพความพร้อมทั้งยานพาหนะและผู้ขับขี่นอกจากนี้ยังเน้นย้ําเรื่องการรักษาสุขภาพตนเองในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ลดการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง พร้อมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด – 19 อย่างเคร่งครัด เพื่อลดอัตราการติดเชื้อโควิด – 19 ย้ําอยากให้ประชาชนทุกคนมีความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมทั้งการมีสุขภาพที่ดี” รองโฆษกรัฐบาล กล่าว
-------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมอบประกันภัยอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ เบี้ย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท สร้างความอุ่นใจตลอดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีใหม่
วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2564
รัฐบาลมอบประกันภัยอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ เบี้ย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท สร้างความอุ่นใจตลอดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีใหม่
รัฐบาลมอบประกันภัยอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ เบี้ย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท สร้างความอุ่นใจตลอดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีใหม่
วันที่ 25 ธ.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) สําหรับเทศกาลปีใหม่ 2565 ให้แก่พี่น้องประชาชน โดยเป็นหนึ่งในข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานเตรียมของขวัญปีใหม่เพื่อเป็นกําลังใจแก่พี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ อีกทั้งเพื่อแบ่งเบาภาระในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ที่ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
สําหรับกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ มีเงื่อนไขการทําสัญญาประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2564 – 25 กุมภาพันธ์ 2565 ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน เบี้ยประกันภัย 10 บาท ซึ่งมีข้อตกลงคุ้มครอง ดังนี้ 1) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทําร้ายร่างกายและ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จํานวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท 2) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทําร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จํานวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท 3) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จํานวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท และ 4) ผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (สูงสุดไม่เกิน 30 วัน) 200 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ช่องทางการรับสิทธิ์และช่องทางการจําหน่ายนั้น ประชาชนสามารถรับสิทธิ์ตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการกําหนดหรือสามารถหาซื้อได้ที่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส เซเว่นอีเลฟเว่น หรือธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ
นอกจากนี้ สํานักงาน คปภ. ยังมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จํานวน 10,000 ฉบับ ให้กับพี่น้องประชาชนผู้เป็นเจ้าของรถ โดยสามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่ www.พรบรุกทั่วไทย.com ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ตามเงื่อนไขที่กําหนด หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติม สายด่วน คปภ. 1186
“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนในการเดินทางสัญจรช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่จะถึงนี้ ด้วยความระมัดระวัง ตรวจสอบสมรรถภาพความพร้อมทั้งยานพาหนะและผู้ขับขี่นอกจากนี้ยังเน้นย้ําเรื่องการรักษาสุขภาพตนเองในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ลดการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง พร้อมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด – 19 อย่างเคร่งครัด เพื่อลดอัตราการติดเชื้อโควิด – 19 ย้ําอยากให้ประชาชนทุกคนมีความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมทั้งการมีสุขภาพที่ดี” รองโฆษกรัฐบาล กล่าว
-------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49889 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.พร้อมผู้บริหาร ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ สืบทอดประเพณีสำคัญทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมชุมชนย่านเก่า | วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2564
รมว.วธ.พร้อมผู้บริหาร ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ สืบทอดประเพณีสําคัญทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมชุมชนย่านเก่า
รมว.วธ.พร้อมผู้บริหาร ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ สืบทอดประเพณีสําคัญทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมชุมชนย่านเก่า
รมว.วธ.พร้อมผู้บริหาร ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ สืบทอดประเพณีสําคัญทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมชุมชนย่านเก่า เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ที่วัดราชสิทธิรามราชวรวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ประจําปี 2564 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมพิธี นายอิทธิพล กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานผ้าพระกฐินให้วธ.ตามที่ขอพระราชทาน เพื่อน้อมนําไปถวายพระสงฆ์จําพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ เพื่อทํานุบํารุงและสืบทอดพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ การทอดกฐินเป็นประเพณีสําคัญที่พุทธศาสนิกชนถือปฏิบัติสืบทอดมายาวนานกระทั่งปัจจุบัน ช่วงเวลาในการทอดกฐินมีเพียง 1 เดือน กําหนดหลังวันออกพรรษา 1 วันคือ ระหว่างวันแรม 1 ค่ํา เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 12 ของทุกปี เป็นการทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองและสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดอานิสงส์ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส รวมถึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าวัด นําหลักธรรมคําสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาไปใช้ในการดําเนินชีวิต ทําให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วัดราชสิทธิรามราชวรวิหารเป็นวัดโบราณเก่าแก่ ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน “พระพุทธจุฬารักษ์” ที่มีพุทธลักษณะงดงาม และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังวิจิตรตระการตา เป็นวัดสําคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่างๆเสด็จมาประทับเจริญวิปัสสนา และอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ดังเช่น รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างวัด สถาปนาถาวรวัตถุ และทรงบูรณปฏิสังขรณ์ รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างพระวิหารหลวง รวมถึงพระตําหนักจันทน์เป็นที่ประทับสําหรับรัชกาลที่ 3 ในขณะที่ทรงผนวชและประทับจําพรรษา และตําหนักเก๋งจีน สําหรับรับรองผู้มาเข้าเฝ้า รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้าง“พระสิรจุมภฏเจดีย์” รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้าง “พระสิรจุมภฏเจดีย์” รัชกาลที่ ๙ โปรดให้บูรณะวัดให้สง่างาม เสด็จไปทรงเททองหล่อพระประธานในพระวิหาร พระราชทานนามพระพุทธรูป “พระพุทธสิทธมงคล”พระราชทานพระราชทรัพย์บํารุงพระอารามและพระภิกษุ สามเณร เป็นต้น รวมทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์กรรมฐาน สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) จัดแสดงหุ่นขึ้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราช(สุก)และอดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม และมีการสอนวิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ ต่อมาวัดได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นจนได้รับยกย่องเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างและวัดพัฒนาดีเด่น
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ศาสนสถาน สถานที่สําคัญและชุมชนย่านเก่าบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงล้วนมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ตั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ทําให้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้แก่ ชุมชนกุฎีจีน วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร วัดซางตาครู้ส มัสยิดคลองบางหลวง วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร มัสยิดต้นสน กุฎีเจริญพาสน์ ชุมชนคลองบางหลวงและบ้านศิลปินคลองบางหลวง รวมทั้งมีร้านขนมโบราณและร้านอาหารอร่อยมากมาย เช่น ขนมฝรั่งกุฎีจีนของชุมชนกุฎีจีน ร้านข้าวมันไก่ลิ่มซัง สาขาแรกต้นตํารับ ร้านเนื้อตุ๋นน้ําแดง 5 ดาว (สูตรน้ําจิ้มพริกไทยดํา) ร้านวรรณผัดไท ร้านตี๋น้อยบ๊ะจ่างฮ่องเต้ ร้านขนมเบื้องวัดอรุณ เป็นต้น ซึ่งวธ.ได้ส่งเสริมให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในกรุงเทพฯ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Economy) รวมทั้งดําเนินนโยบายวธ.ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F โดยเฉพาะการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและอาหารไทย เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนและชุมชนอย่างยั่งยืน เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.พร้อมผู้บริหาร ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ สืบทอดประเพณีสำคัญทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมชุมชนย่านเก่า
วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2564
รมว.วธ.พร้อมผู้บริหาร ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ สืบทอดประเพณีสําคัญทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมชุมชนย่านเก่า
รมว.วธ.พร้อมผู้บริหาร ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ สืบทอดประเพณีสําคัญทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมชุมชนย่านเก่า
รมว.วธ.พร้อมผู้บริหาร ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ สืบทอดประเพณีสําคัญทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมชุมชนย่านเก่า เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ที่วัดราชสิทธิรามราชวรวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ประจําปี 2564 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมพิธี นายอิทธิพล กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานผ้าพระกฐินให้วธ.ตามที่ขอพระราชทาน เพื่อน้อมนําไปถวายพระสงฆ์จําพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ เพื่อทํานุบํารุงและสืบทอดพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ การทอดกฐินเป็นประเพณีสําคัญที่พุทธศาสนิกชนถือปฏิบัติสืบทอดมายาวนานกระทั่งปัจจุบัน ช่วงเวลาในการทอดกฐินมีเพียง 1 เดือน กําหนดหลังวันออกพรรษา 1 วันคือ ระหว่างวันแรม 1 ค่ํา เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 12 ของทุกปี เป็นการทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองและสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดอานิสงส์ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส รวมถึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าวัด นําหลักธรรมคําสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาไปใช้ในการดําเนินชีวิต ทําให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วัดราชสิทธิรามราชวรวิหารเป็นวัดโบราณเก่าแก่ ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน “พระพุทธจุฬารักษ์” ที่มีพุทธลักษณะงดงาม และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังวิจิตรตระการตา เป็นวัดสําคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่างๆเสด็จมาประทับเจริญวิปัสสนา และอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ดังเช่น รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างวัด สถาปนาถาวรวัตถุ และทรงบูรณปฏิสังขรณ์ รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างพระวิหารหลวง รวมถึงพระตําหนักจันทน์เป็นที่ประทับสําหรับรัชกาลที่ 3 ในขณะที่ทรงผนวชและประทับจําพรรษา และตําหนักเก๋งจีน สําหรับรับรองผู้มาเข้าเฝ้า รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้าง“พระสิรจุมภฏเจดีย์” รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้าง “พระสิรจุมภฏเจดีย์” รัชกาลที่ ๙ โปรดให้บูรณะวัดให้สง่างาม เสด็จไปทรงเททองหล่อพระประธานในพระวิหาร พระราชทานนามพระพุทธรูป “พระพุทธสิทธมงคล”พระราชทานพระราชทรัพย์บํารุงพระอารามและพระภิกษุ สามเณร เป็นต้น รวมทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์กรรมฐาน สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) จัดแสดงหุ่นขึ้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราช(สุก)และอดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม และมีการสอนวิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ ต่อมาวัดได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นจนได้รับยกย่องเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างและวัดพัฒนาดีเด่น
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ศาสนสถาน สถานที่สําคัญและชุมชนย่านเก่าบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงล้วนมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ตั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ทําให้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้แก่ ชุมชนกุฎีจีน วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร วัดซางตาครู้ส มัสยิดคลองบางหลวง วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร มัสยิดต้นสน กุฎีเจริญพาสน์ ชุมชนคลองบางหลวงและบ้านศิลปินคลองบางหลวง รวมทั้งมีร้านขนมโบราณและร้านอาหารอร่อยมากมาย เช่น ขนมฝรั่งกุฎีจีนของชุมชนกุฎีจีน ร้านข้าวมันไก่ลิ่มซัง สาขาแรกต้นตํารับ ร้านเนื้อตุ๋นน้ําแดง 5 ดาว (สูตรน้ําจิ้มพริกไทยดํา) ร้านวรรณผัดไท ร้านตี๋น้อยบ๊ะจ่างฮ่องเต้ ร้านขนมเบื้องวัดอรุณ เป็นต้น ซึ่งวธ.ได้ส่งเสริมให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในกรุงเทพฯ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Economy) รวมทั้งดําเนินนโยบายวธ.ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F โดยเฉพาะการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและอาหารไทย เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนและชุมชนอย่างยั่งยืน เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47904 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2565 | วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจําปี 2565
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจําปี 2565
คํากล่าว
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจําปี 2565
พี่น้องเกษตรกรชาวนาที่รักทุกคน
“ข้าว” ถือเป็นอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างชุมชนชาวนาไทยมาอย่างยาวนาน และได้มีการถ่ายทอดมรดกทางภูมิปัญญาในการปลูกข้าวจากรุ่นสู่รุ่น โดยยังคงวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ข้าวไทย ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก ไปจนถึงการแปรรูป จวบจนปัจจุบันได้มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวไทยจนมีชื่อเสียงในระดับโลก
ด้วยความสําคัญที่ผูกพันลึกซึ้งระหว่าง ข้าวและชาวนา ที่มีมาอย่างยาวนาน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนได้ตระหนักถึงคุณค่าของข้าว ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยมาอย่างยาวนาน รวมทั้งความสําคัญของชาวนาทั้ง 4.7 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ ในฐานะที่เป็นผู้สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้แก่ประเทศชาติ และเป็นผู้ธํารงรักษาไว้ซึ่งประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลเข้าใจถึงปัญหาของพี่น้องชาวนาที่ต้องเผชิญ ทั้งเรื่องปัญหาผลผลิตราคาตกต่ํา ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และสถานการณ์ที่เกิดจากภัยธรรมชาติ รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งรัฐบาลได้ขับเคลื่อนทุกวิถีทางในการแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งกระจายไปสู่ฐานราก รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้น ผ่านนโยบายการประกันรายได้ เพื่อให้พี่น้องชาวนาทุกท่านได้มีหลักประกันรายได้ที่มั่นคง พร้อมทั้งมุ่งเน้นการพัฒนาสายพันธุ์และการรับรองพันธุ์ข้าวที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และสามารถแข่งขันในตลาดได้
นอกจากนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนการรวมกลุ่มของชาวนาในการทํานาแบบแปลงใหญ่ เพื่อเพิ่มพูนอํานาจในการต่อรองราคาผลผลิต และลดต้นทุนปัจจัยการผลิต พร้อมทั้ง ส่งเสริมให้มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาศักยภาพในการบริหารจัดการ และเชื่อมโยงไปสู่ตลาดผู้บริโภคโดยตรง เพื่อให้พี่น้องชาวนามีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
ในโอกาสวันข้าวและชาวนา ประจําปี 2565 ผมขอส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องชาวนาทั่วประเทศและครอบครัว และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ โปรดประทานพรให้ทุกท่านประสบแต่สิ่งอันเป็นมงคล มีความสุข ความเจริญ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อร่วมรักษาอัตลักษณ์ข้าวไทยและสืบสานอาชีพทํานาให้คงอยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป
สวัสดีครับ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2565
วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจําปี 2565
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจําปี 2565
คํากล่าว
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจําปี 2565
พี่น้องเกษตรกรชาวนาที่รักทุกคน
“ข้าว” ถือเป็นอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างชุมชนชาวนาไทยมาอย่างยาวนาน และได้มีการถ่ายทอดมรดกทางภูมิปัญญาในการปลูกข้าวจากรุ่นสู่รุ่น โดยยังคงวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ข้าวไทย ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก ไปจนถึงการแปรรูป จวบจนปัจจุบันได้มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวไทยจนมีชื่อเสียงในระดับโลก
ด้วยความสําคัญที่ผูกพันลึกซึ้งระหว่าง ข้าวและชาวนา ที่มีมาอย่างยาวนาน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนได้ตระหนักถึงคุณค่าของข้าว ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยมาอย่างยาวนาน รวมทั้งความสําคัญของชาวนาทั้ง 4.7 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ ในฐานะที่เป็นผู้สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้แก่ประเทศชาติ และเป็นผู้ธํารงรักษาไว้ซึ่งประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลเข้าใจถึงปัญหาของพี่น้องชาวนาที่ต้องเผชิญ ทั้งเรื่องปัญหาผลผลิตราคาตกต่ํา ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และสถานการณ์ที่เกิดจากภัยธรรมชาติ รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งรัฐบาลได้ขับเคลื่อนทุกวิถีทางในการแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งกระจายไปสู่ฐานราก รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้น ผ่านนโยบายการประกันรายได้ เพื่อให้พี่น้องชาวนาทุกท่านได้มีหลักประกันรายได้ที่มั่นคง พร้อมทั้งมุ่งเน้นการพัฒนาสายพันธุ์และการรับรองพันธุ์ข้าวที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และสามารถแข่งขันในตลาดได้
นอกจากนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนการรวมกลุ่มของชาวนาในการทํานาแบบแปลงใหญ่ เพื่อเพิ่มพูนอํานาจในการต่อรองราคาผลผลิต และลดต้นทุนปัจจัยการผลิต พร้อมทั้ง ส่งเสริมให้มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาศักยภาพในการบริหารจัดการ และเชื่อมโยงไปสู่ตลาดผู้บริโภคโดยตรง เพื่อให้พี่น้องชาวนามีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
ในโอกาสวันข้าวและชาวนา ประจําปี 2565 ผมขอส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องชาวนาทั่วประเทศและครอบครัว และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ โปรดประทานพรให้ทุกท่านประสบแต่สิ่งอันเป็นมงคล มีความสุข ความเจริญ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อร่วมรักษาอัตลักษณ์ข้าวไทยและสืบสานอาชีพทํานาให้คงอยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป
สวัสดีครับ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55380 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.3% พร้อมเตรียม EXIT เรือนจำ 11 แห่ง ในเดือนนี้ | วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.3% พร้อมเตรียม EXIT เรือนจํา 11 แห่ง ในเดือนนี้
กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.3% พร้อมเตรียม EXIT เรือนจํา 11 แห่ง ในเดือนนี้ ขณะที่ผู้ต้องขังกลุ่มเป้าหมายรับวัคซีนเข็มแรกครบแล้ว 2 แสนราย
ในวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 09.00 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 75/2564 โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถานวันนี้ พบการระบาดซ้ําในเรือนจําจังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้มีเรือนจําสีแดงเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 18 แห่ง และเรือนจําสีขาว 124 แห่ง ขณะที่มีเรือนจําอยู่ในแผนพ้นการระบาดของโรค หรือ EXIT จํานวน 11 แห่ง โดยจะพ้นจากการระบาดในสัปดาห์นี้ 4 แห่ง ส่วนที่เหลือคาดว่าจะพ้นจากการระบาดได้ภายในเดือนตุลาคมนี้
ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 80 ราย (พบในเรือนจําสีแดง 10 ราย และในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 70 ราย) รักษาหายเพิ่ม 463 ราย ไม่มีรายงานการเสียชีวิตในวันนี้ ทําให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 1,991 ราย (กลุ่มสีเขียว 76% สีเหลือง 23.3% และสีแดง 0.7%) โดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 67,164 ราย หรือกว่า 94.3% ของผู้ติดเชื้อสะสม 71,198 ราย เสียชีวิตสะสม 158 ราย คิดเป็นอัตรา 0.2% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุม ศบค.ยธ.เช้าวันนี้ โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ได้เน้นย้ําการทําความเข้าใจและการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการแยกกักโรคผู้ต้องขังจากภายนอก ทั้งในผู้ต้องขังรับใหม่ รับย้าย ไปศาล หรือที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จะต้องได้รับการแยกกักตัวเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 21 วัน พร้อมการตรวจหาเชื้อตามมาตรการโดยไม่มีข้อยกเว้น รวมถึงการบริหารจัดการวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง โดยได้เร่งรัดให้เรือนจําและทัณฑสถานได้ดําเนินการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่ผู้ต้องขังโดยเร็ว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์ได้ฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังไปแล้วทั้งสิ้น 263,301 โดส เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 17,832 โดส แบ่งเป็นการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังเข็มที่ 1 จํานวน 201,299 ราย เข็มที่ 2 จํานวน 62,002 ราย ดังนั้น ถือว่าผู้ต้องขังกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องได้รับวัคซีนเข็มแรกได้รับวัคซีนครบทุกรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากผู้ต้องขังในส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มที่อยู่ในเรือนจําแพร่ระบาด รวมถึงผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว ซึ่งยังไม่สามารถรับวัคซีนเข็มแรกได้ในขณะนี้ ต้องรอการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคอีกครั้งตามระยะเวลา โดยคาดว่าจะสามารถดําเนินการได้พร้อมกับการเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในกลุ่มที่ได้รับเข็มแรกไปแล้ว ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัว จํานวน 5 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 1 ราย และเยาวชน 4 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 50 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 6 แห่ง แยกเป็นติดเชื้อ 1 แห่ง และหมดสถานะสีขาว 2 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นเป็นจํานวน 584 ราย หรือคิดเป็น 14.8% จากทั้งหมด 3,945 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนจํานวน 3,795 ราย หรือคิดเป็น 88.6% จากทั้งหมด 4,284 ราย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.3% พร้อมเตรียม EXIT เรือนจำ 11 แห่ง ในเดือนนี้
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.3% พร้อมเตรียม EXIT เรือนจํา 11 แห่ง ในเดือนนี้
กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.3% พร้อมเตรียม EXIT เรือนจํา 11 แห่ง ในเดือนนี้ ขณะที่ผู้ต้องขังกลุ่มเป้าหมายรับวัคซีนเข็มแรกครบแล้ว 2 แสนราย
ในวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 09.00 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 75/2564 โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถานวันนี้ พบการระบาดซ้ําในเรือนจําจังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้มีเรือนจําสีแดงเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 18 แห่ง และเรือนจําสีขาว 124 แห่ง ขณะที่มีเรือนจําอยู่ในแผนพ้นการระบาดของโรค หรือ EXIT จํานวน 11 แห่ง โดยจะพ้นจากการระบาดในสัปดาห์นี้ 4 แห่ง ส่วนที่เหลือคาดว่าจะพ้นจากการระบาดได้ภายในเดือนตุลาคมนี้
ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 80 ราย (พบในเรือนจําสีแดง 10 ราย และในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 70 ราย) รักษาหายเพิ่ม 463 ราย ไม่มีรายงานการเสียชีวิตในวันนี้ ทําให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 1,991 ราย (กลุ่มสีเขียว 76% สีเหลือง 23.3% และสีแดง 0.7%) โดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 67,164 ราย หรือกว่า 94.3% ของผู้ติดเชื้อสะสม 71,198 ราย เสียชีวิตสะสม 158 ราย คิดเป็นอัตรา 0.2% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุม ศบค.ยธ.เช้าวันนี้ โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ได้เน้นย้ําการทําความเข้าใจและการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการแยกกักโรคผู้ต้องขังจากภายนอก ทั้งในผู้ต้องขังรับใหม่ รับย้าย ไปศาล หรือที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จะต้องได้รับการแยกกักตัวเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 21 วัน พร้อมการตรวจหาเชื้อตามมาตรการโดยไม่มีข้อยกเว้น รวมถึงการบริหารจัดการวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง โดยได้เร่งรัดให้เรือนจําและทัณฑสถานได้ดําเนินการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่ผู้ต้องขังโดยเร็ว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์ได้ฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังไปแล้วทั้งสิ้น 263,301 โดส เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 17,832 โดส แบ่งเป็นการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังเข็มที่ 1 จํานวน 201,299 ราย เข็มที่ 2 จํานวน 62,002 ราย ดังนั้น ถือว่าผู้ต้องขังกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องได้รับวัคซีนเข็มแรกได้รับวัคซีนครบทุกรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากผู้ต้องขังในส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มที่อยู่ในเรือนจําแพร่ระบาด รวมถึงผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว ซึ่งยังไม่สามารถรับวัคซีนเข็มแรกได้ในขณะนี้ ต้องรอการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคอีกครั้งตามระยะเวลา โดยคาดว่าจะสามารถดําเนินการได้พร้อมกับการเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในกลุ่มที่ได้รับเข็มแรกไปแล้ว ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัว จํานวน 5 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 1 ราย และเยาวชน 4 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 50 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 6 แห่ง แยกเป็นติดเชื้อ 1 แห่ง และหมดสถานะสีขาว 2 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นเป็นจํานวน 584 ราย หรือคิดเป็น 14.8% จากทั้งหมด 3,945 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนจํานวน 3,795 ราย หรือคิดเป็น 88.6% จากทั้งหมด 4,284 ราย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46838 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Malaysian health minister visits Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry | วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2565
Malaysian health minister visits Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry
Malaysian public health minister makes a site visit at Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry for studying its outstanding performance on taking care of patients under a variety of services,
Malaysian public health minister makes a site visit at Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry for studying its outstanding performance on taking care of patients under a variety of services, including neurological and memory system for dementia clinic, child and adolescent mental health clinic and mental health rehabilitation programmes, according to Dr. Amporn Benjapolphithak, chief of the Department of Mental Health who stressed that the two countries are ready for information exchange to mental health development.
August 25: The Mental Health Department’s chief Dr. Amporn has taken Malaysian public health minister Khairy Jamaluddin ABU BAKAR and his team for visiting the Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry for learning more about the department’s mental health management, including patient’s service in psychiatry centre and other activities.
Dr. Amporn said that Thailand and Malaysia have developed good relations and cooperation on mental health development through a variety of activities such as meeting and training courses, particularly a programme of mental health cooperation with Permai Hospital, Johor Bahru, Malaysia. It has provided psychiatry management, health service to local communities and mental health rehabilitation programme.
Regarding Thailand, she said that it has driven a strategic plan for mental health development under the essence of mental health promotion and prevention against a mental disorder, together with improving mental health service and quality. There are 14 mental health hospitals countrywide under the department’s responsibility, and six Institute of Child and Adolescent Mental Health, which some of them is under development for the academic excellence mental health centre in the future. It is expected to be the centre for responding changes and mitigating impacts caused by the outbreak.
She further added that she has instructed her Malaysian counterparts in mental health situation in the country, which the most common cases are related with drug use, depression, schizophrenia, ADHA (Attention Deficit Hyperactivity Disorder), together with medical treatment to patients with a risk to commit suicide and out-patient service. Unfortunately, the service this year has declined due to a result of COVID-19 outbreak.
Moreover, it has presented a performance of neurological and memory system for dementia clinic, treating the patients with dementia symptoms and mental health problem in child and adolescent.
It has also provided a programme of brain system and mental health rehabilitation, especially a showcase of “Red Roof Cafe” and “Pheun Shop”. They are the country’s first pilot project of social enterprise business, encouraging patients living with mental problem for returning to their normal life based on human dignity in better living condition.
The site visit is one part of activities to strengthen mutual cooperation on psychiatry development and enhance human resources development for mental health works in the future.
***************************** August, 25 2022 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Malaysian health minister visits Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2565
Malaysian health minister visits Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry
Malaysian public health minister makes a site visit at Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry for studying its outstanding performance on taking care of patients under a variety of services,
Malaysian public health minister makes a site visit at Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry for studying its outstanding performance on taking care of patients under a variety of services, including neurological and memory system for dementia clinic, child and adolescent mental health clinic and mental health rehabilitation programmes, according to Dr. Amporn Benjapolphithak, chief of the Department of Mental Health who stressed that the two countries are ready for information exchange to mental health development.
August 25: The Mental Health Department’s chief Dr. Amporn has taken Malaysian public health minister Khairy Jamaluddin ABU BAKAR and his team for visiting the Somdet Chaopraya Institute of Psychiatry for learning more about the department’s mental health management, including patient’s service in psychiatry centre and other activities.
Dr. Amporn said that Thailand and Malaysia have developed good relations and cooperation on mental health development through a variety of activities such as meeting and training courses, particularly a programme of mental health cooperation with Permai Hospital, Johor Bahru, Malaysia. It has provided psychiatry management, health service to local communities and mental health rehabilitation programme.
Regarding Thailand, she said that it has driven a strategic plan for mental health development under the essence of mental health promotion and prevention against a mental disorder, together with improving mental health service and quality. There are 14 mental health hospitals countrywide under the department’s responsibility, and six Institute of Child and Adolescent Mental Health, which some of them is under development for the academic excellence mental health centre in the future. It is expected to be the centre for responding changes and mitigating impacts caused by the outbreak.
She further added that she has instructed her Malaysian counterparts in mental health situation in the country, which the most common cases are related with drug use, depression, schizophrenia, ADHA (Attention Deficit Hyperactivity Disorder), together with medical treatment to patients with a risk to commit suicide and out-patient service. Unfortunately, the service this year has declined due to a result of COVID-19 outbreak.
Moreover, it has presented a performance of neurological and memory system for dementia clinic, treating the patients with dementia symptoms and mental health problem in child and adolescent.
It has also provided a programme of brain system and mental health rehabilitation, especially a showcase of “Red Roof Cafe” and “Pheun Shop”. They are the country’s first pilot project of social enterprise business, encouraging patients living with mental problem for returning to their normal life based on human dignity in better living condition.
The site visit is one part of activities to strengthen mutual cooperation on psychiatry development and enhance human resources development for mental health works in the future.
***************************** August, 25 2022 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ชี้แจง “กรณีขบวนรถด่วนที่ 84 ตรัง - กรุงเทพ ขบวนรถล่าช้า” พร้อมเตรียมนำรถจักร อุลตร้าแมน วิ่งให้บริการสายใต้ ช่วงเดือนกันยายน นี้ | วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
รฟท. ชี้แจง “กรณีขบวนรถด่วนที่ 84 ตรัง - กรุงเทพ ขบวนรถล่าช้า” พร้อมเตรียมนํารถจักร อุลตร้าแมน วิ่งให้บริการสายใต้ ช่วงเดือนกันยายน นี้
ตามที่ปรากฏข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 เกี่ยวกับขบวนรถด่วนที่ 84 ตรัง - กรุงเทพ ออกจากสถานีบางสะพานใหญ่ล่าช้ากว่ากําหนดเวลาหลายชั่วโมงนั้น
ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ขอเรียนชี้แจงว่า ในวันดังกล่าวได้เกิดเหตุหัวรถจักรชํารุดที่สถานีชุมทางทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และต่อมาหัวรถจักรดังกล่าว ได้ชํารุดอีกครั้งระหว่างสถานีห้วยสัก–บางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าไปดําเนินแก้ไขเปลี่ยนหัวรถจักรที่ชํารุด ประกอบกับเส้นทางรถไฟดังกล่าว อยู่ระหว่างการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ทําให้ขบวนจะต้องเบาทาง ลดความเร็วจาก 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหลือ 30 - 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้ขบวนรถมีความล่าช้าออกไป เพื่อความปลอดภัยในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร จึงขออภัยในความสะดวกมา ณ โอกาสนี้
อย่างไรก็ตาม รฟท. ได้มีการหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในการเร่งปรับปรุงการให้บริการเดินรถเส้นทางสายใต้ให้มีความสะดวกรวดเร็วขึ้น โดยทางฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ ฝ่ายการช่างโยธา และฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง จะเข้าไปปรับปรุงป้ายเบาทางให้สอดคล้องกับเส้นทางแต่ละช่วง เพื่อให้การเดินขบวนรถทําความเร็วได้มากกว่าเดิม ซึ่งจะเพิ่มความเร็วได้จาก 30 - 50 กม.ต่อชั่วโมง เป็น 70 กม.ต่อชั่วโมงภายในสิ้นเดือนนี้
นอกจากนี้รฟท. มีแผนที่จะนําหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า (Diesel Electric Locomotive) “อุลตร้าแมน” ที่ทําความเร็วสูงสุดได้ 120 กม.ต่อชั่วโมง เข้ามาใช้ทดแทนรถจักรเดิมที่มีอายุการใช้งานมายาวนาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบตามขั้นตอนการตรวจรับ คาดว่าจะนําออกมาใช้งาน เพื่อทดแทนรถจักรรุ่นเก่าได้ประมาณเดือนกันยายน 2565 ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินขบวนรถให้ตรงตามเวลามากยิ่งขึ้น รองรับปริมาณผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทั่วประเทศ รวมถึงการขยายโครงข่ายรถไฟทางคู่ที่จะเปิดใช้ในอนาคต | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ชี้แจง “กรณีขบวนรถด่วนที่ 84 ตรัง - กรุงเทพ ขบวนรถล่าช้า” พร้อมเตรียมนำรถจักร อุลตร้าแมน วิ่งให้บริการสายใต้ ช่วงเดือนกันยายน นี้
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
รฟท. ชี้แจง “กรณีขบวนรถด่วนที่ 84 ตรัง - กรุงเทพ ขบวนรถล่าช้า” พร้อมเตรียมนํารถจักร อุลตร้าแมน วิ่งให้บริการสายใต้ ช่วงเดือนกันยายน นี้
ตามที่ปรากฏข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 เกี่ยวกับขบวนรถด่วนที่ 84 ตรัง - กรุงเทพ ออกจากสถานีบางสะพานใหญ่ล่าช้ากว่ากําหนดเวลาหลายชั่วโมงนั้น
ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ขอเรียนชี้แจงว่า ในวันดังกล่าวได้เกิดเหตุหัวรถจักรชํารุดที่สถานีชุมทางทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และต่อมาหัวรถจักรดังกล่าว ได้ชํารุดอีกครั้งระหว่างสถานีห้วยสัก–บางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าไปดําเนินแก้ไขเปลี่ยนหัวรถจักรที่ชํารุด ประกอบกับเส้นทางรถไฟดังกล่าว อยู่ระหว่างการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ทําให้ขบวนจะต้องเบาทาง ลดความเร็วจาก 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหลือ 30 - 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้ขบวนรถมีความล่าช้าออกไป เพื่อความปลอดภัยในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร จึงขออภัยในความสะดวกมา ณ โอกาสนี้
อย่างไรก็ตาม รฟท. ได้มีการหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในการเร่งปรับปรุงการให้บริการเดินรถเส้นทางสายใต้ให้มีความสะดวกรวดเร็วขึ้น โดยทางฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ ฝ่ายการช่างโยธา และฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง จะเข้าไปปรับปรุงป้ายเบาทางให้สอดคล้องกับเส้นทางแต่ละช่วง เพื่อให้การเดินขบวนรถทําความเร็วได้มากกว่าเดิม ซึ่งจะเพิ่มความเร็วได้จาก 30 - 50 กม.ต่อชั่วโมง เป็น 70 กม.ต่อชั่วโมงภายในสิ้นเดือนนี้
นอกจากนี้รฟท. มีแผนที่จะนําหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า (Diesel Electric Locomotive) “อุลตร้าแมน” ที่ทําความเร็วสูงสุดได้ 120 กม.ต่อชั่วโมง เข้ามาใช้ทดแทนรถจักรเดิมที่มีอายุการใช้งานมายาวนาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบตามขั้นตอนการตรวจรับ คาดว่าจะนําออกมาใช้งาน เพื่อทดแทนรถจักรรุ่นเก่าได้ประมาณเดือนกันยายน 2565 ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินขบวนรถให้ตรงตามเวลามากยิ่งขึ้น รองรับปริมาณผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทั่วประเทศ รวมถึงการขยายโครงข่ายรถไฟทางคู่ที่จะเปิดใช้ในอนาคต | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54637 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขอแจ้งโอน (จำหน่าย) เครื่องบินของการบินไทย | วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
การขอแจ้งโอน (จําหน่าย) เครื่องบินของการบินไทย
การขอแจ้งโอน (จําหน่าย) เครื่องบินของบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) ต้องยื่นคําขอต่อสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เพื่อพิจารณาในเบื้องต้นก่อนนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
สืบเนื่องจากกรณีปรากฏข่าวเกี่ยวกับบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) ว่าได้ประกาศขายเครื่องบินแบบแอร์บัส A330-300 เพิ่มเติมอีกจํานวน 3 ลําเป็นรอบที่ 2 ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท จากที่เคยประกาศขายรอบแรกไปแล้วทั้งสิ้นรวม 34 ลํา
การดําเนินการในเรื่องนี้ บริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) ต้องยื่นคําขอต่อสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เพื่อพิจารณาในเบื้องต้นก่อนนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาอนุญาตให้บริษัทฯ โอนเครื่องบิน ทั้งนี้ เป็นไปตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการบินพลเรือนของบริษัทฯ ที่กําหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องไม่โอน จํานํา ให้เช่า หรือให้ยืมอากาศยาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรี โดยในการอนุญาตรัฐมนตรีจะพิจารณาว่าการโอน (ขาย) อากาศยานนั้นสอดคล้องกับแผนธุรกิจที่สายการบินเสนอไว้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสายการบินจะมีเครื่องบินเพียงพอต่อการให้บริการต่อสาธารณะหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ CAAT ยังไม่ได้รับคําขออนุญาตโอนอากาศยานจากบริษัทฯ ซึ่งเมื่อได้ยื่นคําขอแล้ว บริษัทฯ จะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมก่อนจึงสามารถโอน (ขาย) อากาศยานได้ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขอแจ้งโอน (จำหน่าย) เครื่องบินของการบินไทย
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
การขอแจ้งโอน (จําหน่าย) เครื่องบินของการบินไทย
การขอแจ้งโอน (จําหน่าย) เครื่องบินของบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) ต้องยื่นคําขอต่อสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เพื่อพิจารณาในเบื้องต้นก่อนนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
สืบเนื่องจากกรณีปรากฏข่าวเกี่ยวกับบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) ว่าได้ประกาศขายเครื่องบินแบบแอร์บัส A330-300 เพิ่มเติมอีกจํานวน 3 ลําเป็นรอบที่ 2 ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท จากที่เคยประกาศขายรอบแรกไปแล้วทั้งสิ้นรวม 34 ลํา
การดําเนินการในเรื่องนี้ บริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) ต้องยื่นคําขอต่อสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เพื่อพิจารณาในเบื้องต้นก่อนนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาอนุญาตให้บริษัทฯ โอนเครื่องบิน ทั้งนี้ เป็นไปตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการบินพลเรือนของบริษัทฯ ที่กําหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องไม่โอน จํานํา ให้เช่า หรือให้ยืมอากาศยาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรี โดยในการอนุญาตรัฐมนตรีจะพิจารณาว่าการโอน (ขาย) อากาศยานนั้นสอดคล้องกับแผนธุรกิจที่สายการบินเสนอไว้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสายการบินจะมีเครื่องบินเพียงพอต่อการให้บริการต่อสาธารณะหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ CAAT ยังไม่ได้รับคําขออนุญาตโอนอากาศยานจากบริษัทฯ ซึ่งเมื่อได้ยื่นคําขอแล้ว บริษัทฯ จะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมก่อนจึงสามารถโอน (ขาย) อากาศยานได้ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46070 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสู่ระดับโลก ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คว้ารางวัลอันดับ 1 GRAA 2020 จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก (IRF) สหรัฐอเมริกา | วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564
กรมทางหลวงชนบท ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสู่ระดับโลก ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คว้ารางวัลอันดับ 1 GRAA 2020 จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก (IRF) สหรัฐอเมริกา
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติ อันดับที่ 1 Global Road Achievement Awards (GRAA) สาขาความปลอดภัย ประจําปี 2020 เรื่อง การพัฒนาระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนแบบบูรณาการ จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก IRF ประเทศสหรัฐอเมริกา
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติ อันดับที่ 1 Global Road Achievement Awards (GRAA) สาขาความปลอดภัย ประจําปี 2020 เรื่อง การพัฒนาระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนแบบบูรณาการ จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก International Road Federation (IRF) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรายแรกของประเทศไทย
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า จากนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้ให้ความสําคัญในการนํานวัตกรรมเทคโนโลยีมาจัดการกับปัญหาด้านความปลอดภัยทางถนนภายใต้แนวทางและงบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัด เพื่อไปสู่เป้าหมายที่จะลดอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ทช. จึงได้ยกระดับระบบการจัดการความปลอดภัยบนโครงข่ายทางหลวงชนบทให้เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานในระดับสากล พร้อมทั้งได้ทําการส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในสาขาด้านความปลอดภัยและได้รับรางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติ อันดับที่ 1 Global Road Achievement Awards (GRAA) สาขาความปลอดภัย ประจําปี 2020 เรื่อง การพัฒนาระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนแบบบูรณาการ จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก International Road Federation (IRF) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ทช. เป็นรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้ โดยผลงานที่ ทช. ได้ส่งเข้าร่วมประกวดนั้น เป็นการนําแนวทางทั้งเชิงรุกและเชิงรับในการปรับปรุงความปลอดภัยทางถนน อาศัยระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนน ซึ่งระบบดังกล่าวประกอบด้วยการนํานวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาสํารวจหาพิกัดบริเวณพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ผ่านระบบสารสนเทศสําหรับตรวจสอบความปลอดภัยงานทาง (Road Safety Audit System, RSAS) และประเมินระดับความเสี่ยงของถนนตามแนวทาง International Road Assessment Programme (iRAP) รวมถึงสามารถนําเสนอข้อมูลสินทรัพย์ ภาพ 360 องศา ของถนนให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนดําเนินการวิเคราะห์ความปลอดภัยผ่านระบบ ระบุปัญหาความปลอดภัยก่อนลงพื้นที่ภาคสนาม นอกจากนี้ระบบยังสามารถแนะนํามาตรการทั้งระยะสั้น ระยะยาว ช่วยให้ผู้ตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนเลือกชุดของมาตรการด้านความปลอดภัยที่เหมาะสมได้
อย่างไรก็ตาม รางวัลดังกล่าวถือเป็นก้าวสําคัญในการพัฒนาต่อยอดความปลอดภัยทางถนนของ ทช. ตลอดจนเป็นขวัญกําลังใจให้แก่บุคลากรของ ทช. เพื่อช่วยขับเคลื่อนการปฏิบัติหน้าที่บํารุงรักษา ปรับปรุงความปลอดภัยโครงข่ายทางหลวงชนบท และแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสู่ระดับโลก ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คว้ารางวัลอันดับ 1 GRAA 2020 จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก (IRF) สหรัฐอเมริกา
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564
กรมทางหลวงชนบท ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสู่ระดับโลก ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คว้ารางวัลอันดับ 1 GRAA 2020 จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก (IRF) สหรัฐอเมริกา
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติ อันดับที่ 1 Global Road Achievement Awards (GRAA) สาขาความปลอดภัย ประจําปี 2020 เรื่อง การพัฒนาระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนแบบบูรณาการ จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก IRF ประเทศสหรัฐอเมริกา
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติ อันดับที่ 1 Global Road Achievement Awards (GRAA) สาขาความปลอดภัย ประจําปี 2020 เรื่อง การพัฒนาระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนแบบบูรณาการ จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก International Road Federation (IRF) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรายแรกของประเทศไทย
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า จากนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้ให้ความสําคัญในการนํานวัตกรรมเทคโนโลยีมาจัดการกับปัญหาด้านความปลอดภัยทางถนนภายใต้แนวทางและงบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัด เพื่อไปสู่เป้าหมายที่จะลดอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ทช. จึงได้ยกระดับระบบการจัดการความปลอดภัยบนโครงข่ายทางหลวงชนบทให้เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานในระดับสากล พร้อมทั้งได้ทําการส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในสาขาด้านความปลอดภัยและได้รับรางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติ อันดับที่ 1 Global Road Achievement Awards (GRAA) สาขาความปลอดภัย ประจําปี 2020 เรื่อง การพัฒนาระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนแบบบูรณาการ จากสมาพันธ์ทางหลวงโลก International Road Federation (IRF) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ทช. เป็นรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้ โดยผลงานที่ ทช. ได้ส่งเข้าร่วมประกวดนั้น เป็นการนําแนวทางทั้งเชิงรุกและเชิงรับในการปรับปรุงความปลอดภัยทางถนน อาศัยระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนน ซึ่งระบบดังกล่าวประกอบด้วยการนํานวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาสํารวจหาพิกัดบริเวณพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ผ่านระบบสารสนเทศสําหรับตรวจสอบความปลอดภัยงานทาง (Road Safety Audit System, RSAS) และประเมินระดับความเสี่ยงของถนนตามแนวทาง International Road Assessment Programme (iRAP) รวมถึงสามารถนําเสนอข้อมูลสินทรัพย์ ภาพ 360 องศา ของถนนให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนดําเนินการวิเคราะห์ความปลอดภัยผ่านระบบ ระบุปัญหาความปลอดภัยก่อนลงพื้นที่ภาคสนาม นอกจากนี้ระบบยังสามารถแนะนํามาตรการทั้งระยะสั้น ระยะยาว ช่วยให้ผู้ตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนเลือกชุดของมาตรการด้านความปลอดภัยที่เหมาะสมได้
อย่างไรก็ตาม รางวัลดังกล่าวถือเป็นก้าวสําคัญในการพัฒนาต่อยอดความปลอดภัยทางถนนของ ทช. ตลอดจนเป็นขวัญกําลังใจให้แก่บุคลากรของ ทช. เพื่อช่วยขับเคลื่อนการปฏิบัติหน้าที่บํารุงรักษา ปรับปรุงความปลอดภัยโครงข่ายทางหลวงชนบท และแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48731 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเพิ่มวงเงินสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ COVID-19 | วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564
การเพิ่มวงเงินสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ COVID-19
ครม.มีมติเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564 รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้ พ.ร.ก.ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คณะกรรมการฯ) ภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 11/2564 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2564 โดยคณะกรรมการฯ เห็นควรให้ความเห็นชอบและอนุมัติการเพิ่มวงเงินสนับสนุนในโครงการ ดังนี้ (1) โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 (โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรฯ ระยะที่ 3) (2) โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ) (3) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และ (4) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ตามที่กระทรวงการคลังโดยสํานักงานเศรษฐกิจการคลังเสนอ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของ COVID-19 ให้แก่กลุ่มที่มีความเปราะบางทางด้านรายได้ ทรัพย์สิน และหนี้สิน และผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ตลอดจนเพื่อพยุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ผ่านการเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยทําให้ผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรฯ ระยะที่ 3 เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มเติม จํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือนเป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564 (รวม 600 บาทต่อคน) ให้แก่ผู้มีบัตรฯ จํานวนไม่เกิน 13,537,294 คน รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 500 บาทต่อคนต่อเดือนในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564
2. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าฯ และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มเติม จํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564 (รวม 600 บาทต่อคน) ให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ จํานวนไม่เกิน 2,306,469 คน รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 500 บาทต่อคนต่อเดือนในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มเติมวงเงินสนับสนุนรัฐร่วมจ่าย รอบที่ 3 จํานวน 1,500 บาทต่อคน ในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564 (โดยนําไปรวมกับวงเงินคงเหลือจากรอบที่ 1 และ 2 ของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 โดยอัตโนมัติ) ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จํานวนไม่เกิน 28,000,000 คน
4. โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เพิ่มวงเงินสนับสนุนบัตรกํานัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) ของรัฐ จํานวน 3,000 บาทต่อคน ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ จํานวนไม่เกิน 1,000,000 คน โดยมีผลกับวงเงินใช้จ่ายที่จะนํามาคํานวณสิทธิ e-Voucher ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ดังนี้
4.1 สําหรับผู้ได้รับสิทธิที่มียอดใช้จ่ายที่จะนํามาคํานวณสิทธิ e-Voucher ไม่เกิน 60,000 บาท ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2564 จะนํายอดใช้จ่ายมาคํานวณสิทธิ e-Voucher ได้ ดังนี้ (1) ยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1 – 40,000 บาทแรก ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 10 ของยอดใช้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน (2) ยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,000 – 80,000 บาท ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน
4.2 สําหรับผู้ได้รับสิทธิที่มียอดใช้จ่ายที่จะนํามาคํานวณสิทธิ e-Voucher เต็มจํานวน 60,000 บาท ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2564 ซึ่งมีสิทธิได้รับ e-Voucher จํานวน 7,000 บาทเรียบร้อยแล้ว จะมีสิทธิได้รับ e-Voucher เพิ่มเติม หากมีการใช้จ่ายเพิ่มเติม จํานวนไม่เกิน 20,000 บาท ในระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 จะได้รับสิทธิ e-Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายเพิ่มเติมดังกล่าว แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน
ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้จะได้รับสิทธิ e-Voucher รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 10,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ และสามารถใช้จ่าย e-Voucher ได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
จากข้อมูล ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2564 มีผู้ใช้สิทธิสะสมทั้ง 4 โครงการรวมกว่า 40.04 ล้านราย ยอดใช้จ่ายสะสมทั้งหมด 114,819.9 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรฯ ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจํานวน 13.54 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 10,515.1 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ มีผู้ใช้สิทธิสะสมจํานวนกว่า 1.21 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 770.5 ล้านบาท
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจํานวน 25.21 ล้านราย จากผู้ได้รับสิทธิ 27.7 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 100,734.3 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 51,195.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 49,539.0 ล้านบาท
4. โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสมจํานวน 82,872 ราย จากผู้ได้รับสิทธิกว่า 4.78 แสนราย โดยเป็นยอดการใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 2,663 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายส่วน e-Voucher สะสม 137 ล้านบาท
ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สําหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ยังสามารถลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวัน ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 28 ล้านสิทธิ ซึ่งยังมีสิทธิเหลือกว่า 2 แสนสิทธิ สําหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ ซึ่งยังมีสิทธิคงเหลือกว่า 5.2 แสนสิทธิ
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง [email protected] , [email protected]
ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเพิ่มวงเงินสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ COVID-19
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564
การเพิ่มวงเงินสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ COVID-19
ครม.มีมติเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564 รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้ พ.ร.ก.ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คณะกรรมการฯ) ภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 11/2564 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2564 โดยคณะกรรมการฯ เห็นควรให้ความเห็นชอบและอนุมัติการเพิ่มวงเงินสนับสนุนในโครงการ ดังนี้ (1) โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 (โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรฯ ระยะที่ 3) (2) โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ) (3) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และ (4) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ตามที่กระทรวงการคลังโดยสํานักงานเศรษฐกิจการคลังเสนอ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของ COVID-19 ให้แก่กลุ่มที่มีความเปราะบางทางด้านรายได้ ทรัพย์สิน และหนี้สิน และผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ตลอดจนเพื่อพยุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ผ่านการเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยทําให้ผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรฯ ระยะที่ 3 เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มเติม จํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือนเป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564 (รวม 600 บาทต่อคน) ให้แก่ผู้มีบัตรฯ จํานวนไม่เกิน 13,537,294 คน รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 500 บาทต่อคนต่อเดือนในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564
2. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าฯ และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มเติม จํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564 (รวม 600 บาทต่อคน) ให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ จํานวนไม่เกิน 2,306,469 คน รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 500 บาทต่อคนต่อเดือนในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มเติมวงเงินสนับสนุนรัฐร่วมจ่าย รอบที่ 3 จํานวน 1,500 บาทต่อคน ในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564 (โดยนําไปรวมกับวงเงินคงเหลือจากรอบที่ 1 และ 2 ของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 โดยอัตโนมัติ) ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จํานวนไม่เกิน 28,000,000 คน
4. โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เพิ่มวงเงินสนับสนุนบัตรกํานัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) ของรัฐ จํานวน 3,000 บาทต่อคน ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ จํานวนไม่เกิน 1,000,000 คน โดยมีผลกับวงเงินใช้จ่ายที่จะนํามาคํานวณสิทธิ e-Voucher ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ดังนี้
4.1 สําหรับผู้ได้รับสิทธิที่มียอดใช้จ่ายที่จะนํามาคํานวณสิทธิ e-Voucher ไม่เกิน 60,000 บาท ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2564 จะนํายอดใช้จ่ายมาคํานวณสิทธิ e-Voucher ได้ ดังนี้ (1) ยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1 – 40,000 บาทแรก ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 10 ของยอดใช้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน (2) ยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,000 – 80,000 บาท ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน
4.2 สําหรับผู้ได้รับสิทธิที่มียอดใช้จ่ายที่จะนํามาคํานวณสิทธิ e-Voucher เต็มจํานวน 60,000 บาท ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2564 ซึ่งมีสิทธิได้รับ e-Voucher จํานวน 7,000 บาทเรียบร้อยแล้ว จะมีสิทธิได้รับ e-Voucher เพิ่มเติม หากมีการใช้จ่ายเพิ่มเติม จํานวนไม่เกิน 20,000 บาท ในระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 จะได้รับสิทธิ e-Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายเพิ่มเติมดังกล่าว แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน
ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้จะได้รับสิทธิ e-Voucher รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 10,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ และสามารถใช้จ่าย e-Voucher ได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
จากข้อมูล ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2564 มีผู้ใช้สิทธิสะสมทั้ง 4 โครงการรวมกว่า 40.04 ล้านราย ยอดใช้จ่ายสะสมทั้งหมด 114,819.9 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรฯ ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจํานวน 13.54 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 10,515.1 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ มีผู้ใช้สิทธิสะสมจํานวนกว่า 1.21 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 770.5 ล้านบาท
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจํานวน 25.21 ล้านราย จากผู้ได้รับสิทธิ 27.7 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 100,734.3 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 51,195.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 49,539.0 ล้านบาท
4. โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสมจํานวน 82,872 ราย จากผู้ได้รับสิทธิกว่า 4.78 แสนราย โดยเป็นยอดการใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 2,663 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายส่วน e-Voucher สะสม 137 ล้านบาท
ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สําหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ยังสามารถลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวัน ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 28 ล้านสิทธิ ซึ่งยังมีสิทธิเหลือกว่า 2 แสนสิทธิ สําหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ ซึ่งยังมีสิทธิคงเหลือกว่า 5.2 แสนสิทธิ
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง [email protected] , [email protected]
ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง) | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47177 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เผยอนุมัติเงินช่วยเหลือลูกจ้าง JSL 1.3 ล้าน สั่งนายจ้างจ่ายค่าชดเชยฯ กว่า 28 ล้าน ภายใน 30 วัน หากไม่ปฏิบัติดำเนินคดีแพ่งและอาญา | วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565
รมว.แรงงาน เผยอนุมัติเงินช่วยเหลือลูกจ้าง JSL 1.3 ล้าน สั่งนายจ้างจ่ายค่าชดเชยฯ กว่า 28 ล้าน ภายใน 30 วัน หากไม่ปฏิบัติดําเนินคดีแพ่งและอาญา
กระทรวงแรงงานเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนลูกจ้าง JSL 74 ราย รับเงินสงเคราะห์จากเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแล้ว 1,310,760 บาท พร้อมออกคําสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยและเงินอื่นกว่า 28 ล้านบาท ภายใน 30 วัน หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่งเตรียมดําเนินคดีแ
กระทรวงแรงงานเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนลูกจ้าง JSL 74 ราย รับเงินสงเคราะห์จากเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแล้ว 1,310,760 บาท พร้อมออกคําสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยและเงินอื่นกว่า 28 ล้านบาท ภายใน 30 วัน หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่งเตรียมดําเนินคดีแพ่งและอาญา
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้แสดงความห่วงใยผ่านมายังผม กรณี ลูกจ้าง บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จํากัด ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้าง โดยท่านได้กําชับให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือเยียวยาและดําเนินการตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเร่งด่วน ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้อนุมัติเงินช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างกรณีค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ในอัตราสามสิบเท่าถึงเจ็ดสิบเท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวันของลูกจ้างที่พึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จํานวน 74 รายๆ ละ ตั้งแต่ 9,930 – 23,170 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,310,760 บาท (หนึ่งล้านสามแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดร้อยหกสิบบาทถ้วน) เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ให้แก่ลูกจ้าง JSL ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่นายจ้างเลิกจ้าง โดยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารในชื่อบัญชีลูกจ้างแล้ว หลังจากนี้ พนักงานตรวจแรงงาน สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 4 จะได้ดําเนินการตามระเบียบกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานว่าด้วยการรับคําร้องและการพิจารณาคําร้องของพนักงานตรวจแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 พ.ศ. 2554 ต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ ลูกจ้าง JSL ได้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จํานวน 25 คน เพื่อเข้าอบรมหลักสูตรบาริสต้ามืออาชีพ ระหว่างวันที่ 1 - 5 สิงหาคมนี้ ที่วิทยาลัยการแรงงาน กระทรวงแรงงาน เพื่อนําความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพเป็นธุรกิจของตนเองได้ ในส่วนของกรมการจัดหางาน และสํานักงานประกันสังคม มีลูกจ้างขึ้นทะเบียนผู้ว่างงาน จํานวน 87 รายผู้ไม่ได้ขึ้นทะเบียนว่างงาน จํานวน 4 ราย โดยสํานักงานประกันสังคมอนุมัติเงินสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานแล้ว ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 จํานวน 84 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,773,259 บาท ปฏิเสธ จํานวน 2 ราย เนื่องจากส่งเงินสมทบไม่ครบ และรออนุมัติ จํานวน 1 ราย เนื่องจากอยู่ระหว่างรอเงินสมทบที่บริษัทฯ ต้องชําระ
ด้านนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ดําเนินการตามกระบวนการช่วยเหลือลูกจ้าง JSL ให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานครบถ้วน ตั้งแต่กระบวนการรับคําร้อง (คร.11) การรวบรวมพยานหลักฐาน การวินิจฉัย โดยมีคําสั่งพนักงานตรวจแรงงานให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสําหรับวันหยุดพักผ่อนประจําปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 28,097,807.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ให้แก่ลูกจ้างนับแต่วันออกคําสั่งภายใน 30 วัน กรณีนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่งภายในระยะเวลาที่กําหนดและไม่นําคดีไปสู่ศาล คําสั่งถือเป็นที่สุด จะดําเนินคดีอาญาและคดีแพ่ง หรือกรณีนายจ้างฟ้องเพิกถอนคําสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคําสั่งต่อศาลแรงงาน และลูกจ้างสามารถยื่นใช้สิทธิกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้อีกครั้ง กรณีเงินอื่นนอกจากค่าชดเชยในอัตราไม่เกินหกสิบของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวันของลูกจ้างที่พึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เผยอนุมัติเงินช่วยเหลือลูกจ้าง JSL 1.3 ล้าน สั่งนายจ้างจ่ายค่าชดเชยฯ กว่า 28 ล้าน ภายใน 30 วัน หากไม่ปฏิบัติดำเนินคดีแพ่งและอาญา
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565
รมว.แรงงาน เผยอนุมัติเงินช่วยเหลือลูกจ้าง JSL 1.3 ล้าน สั่งนายจ้างจ่ายค่าชดเชยฯ กว่า 28 ล้าน ภายใน 30 วัน หากไม่ปฏิบัติดําเนินคดีแพ่งและอาญา
กระทรวงแรงงานเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนลูกจ้าง JSL 74 ราย รับเงินสงเคราะห์จากเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแล้ว 1,310,760 บาท พร้อมออกคําสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยและเงินอื่นกว่า 28 ล้านบาท ภายใน 30 วัน หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่งเตรียมดําเนินคดีแ
กระทรวงแรงงานเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนลูกจ้าง JSL 74 ราย รับเงินสงเคราะห์จากเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแล้ว 1,310,760 บาท พร้อมออกคําสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยและเงินอื่นกว่า 28 ล้านบาท ภายใน 30 วัน หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่งเตรียมดําเนินคดีแพ่งและอาญา
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้แสดงความห่วงใยผ่านมายังผม กรณี ลูกจ้าง บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จํากัด ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้าง โดยท่านได้กําชับให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือเยียวยาและดําเนินการตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเร่งด่วน ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้อนุมัติเงินช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างกรณีค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ในอัตราสามสิบเท่าถึงเจ็ดสิบเท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวันของลูกจ้างที่พึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จํานวน 74 รายๆ ละ ตั้งแต่ 9,930 – 23,170 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,310,760 บาท (หนึ่งล้านสามแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดร้อยหกสิบบาทถ้วน) เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ให้แก่ลูกจ้าง JSL ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่นายจ้างเลิกจ้าง โดยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารในชื่อบัญชีลูกจ้างแล้ว หลังจากนี้ พนักงานตรวจแรงงาน สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 4 จะได้ดําเนินการตามระเบียบกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานว่าด้วยการรับคําร้องและการพิจารณาคําร้องของพนักงานตรวจแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 พ.ศ. 2554 ต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ ลูกจ้าง JSL ได้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จํานวน 25 คน เพื่อเข้าอบรมหลักสูตรบาริสต้ามืออาชีพ ระหว่างวันที่ 1 - 5 สิงหาคมนี้ ที่วิทยาลัยการแรงงาน กระทรวงแรงงาน เพื่อนําความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพเป็นธุรกิจของตนเองได้ ในส่วนของกรมการจัดหางาน และสํานักงานประกันสังคม มีลูกจ้างขึ้นทะเบียนผู้ว่างงาน จํานวน 87 รายผู้ไม่ได้ขึ้นทะเบียนว่างงาน จํานวน 4 ราย โดยสํานักงานประกันสังคมอนุมัติเงินสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานแล้ว ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 จํานวน 84 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,773,259 บาท ปฏิเสธ จํานวน 2 ราย เนื่องจากส่งเงินสมทบไม่ครบ และรออนุมัติ จํานวน 1 ราย เนื่องจากอยู่ระหว่างรอเงินสมทบที่บริษัทฯ ต้องชําระ
ด้านนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ดําเนินการตามกระบวนการช่วยเหลือลูกจ้าง JSL ให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานครบถ้วน ตั้งแต่กระบวนการรับคําร้อง (คร.11) การรวบรวมพยานหลักฐาน การวินิจฉัย โดยมีคําสั่งพนักงานตรวจแรงงานให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสําหรับวันหยุดพักผ่อนประจําปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 28,097,807.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ให้แก่ลูกจ้างนับแต่วันออกคําสั่งภายใน 30 วัน กรณีนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่งภายในระยะเวลาที่กําหนดและไม่นําคดีไปสู่ศาล คําสั่งถือเป็นที่สุด จะดําเนินคดีอาญาและคดีแพ่ง หรือกรณีนายจ้างฟ้องเพิกถอนคําสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคําสั่งต่อศาลแรงงาน และลูกจ้างสามารถยื่นใช้สิทธิกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้อีกครั้ง กรณีเงินอื่นนอกจากค่าชดเชยในอัตราไม่เกินหกสิบของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวันของลูกจ้างที่พึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57303 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย” | วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565
“ภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย”
การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กํากับดูแลโดยตรง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 112,413 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กํากับดูแลโดยตรง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 112,413 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ประกอบด้วย การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – เดือนพฤษภาคม 2565) 34 แห่ง จํานวน 61,734 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของแผนเบิกจ่ายสะสม และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน (ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 - เดือนพฤษภาคม 2565) 9 แห่ง จํานวน 50,679 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 104 ของแผนเบิกจ่ายสะสม
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจําปี 2565 ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 (หน่วย : ล้านบาท)
รัฐวิสาหกิจ กรอบลงทุนทั้งปี แผนเบิกจ่ายสะสม ผลเบิกจ่ายสะสม % เบิกจ่ายสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 64 – พ.ค. 65)
จํานวน 34 แห่ง 130,235 63,940 61,734 97%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 65 – พ.ค. 65)
จํานวน 9 แห่ง 216,931 48,797 50,679 104%
รวม 43 แห่ง 347,166 112,737 112,413 100%
นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีการปรับกรอบงบลงทุนให้สอดคล้องกับความสามารถในการเบิกจ่ายและวงเงินที่ได้เร่งเบิกจ่ายไปบางส่วนแล้วในปี 2564 โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 โครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการสามารถเบิกจ่ายเป็นไปตามแผน อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงบางซื่อ - รังสิต (โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง)) โครงการก่อสร้างรถไฟ สายบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - ชุมพร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 ภาพรวมของรัฐวิสาหกิจยังคงสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามแผน นอกจากนี้ สคร. ได้ติดตามการดําเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจําปี 2565 ซึ่งรัฐวิสาหกิจสามารถดําเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมต่างๆ ได้ ทําให้ปัจจุบันโครงการสําคัญส่วนใหญ่สามารถลงนามในสัญญาได้แล้ว ทั้งนี้ คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐในการประชุมครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ได้กําชับให้กระทรวงเจ้าสังกัดกํากับติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในระยะเวลาที่เหลือของปี 2565 ให้เป็นไปตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุนด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย”
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565
“ภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย”
การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กํากับดูแลโดยตรง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 112,413 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กํากับดูแลโดยตรง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 112,413 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ประกอบด้วย การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – เดือนพฤษภาคม 2565) 34 แห่ง จํานวน 61,734 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของแผนเบิกจ่ายสะสม และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน (ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 - เดือนพฤษภาคม 2565) 9 แห่ง จํานวน 50,679 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 104 ของแผนเบิกจ่ายสะสม
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจําปี 2565 ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 (หน่วย : ล้านบาท)
รัฐวิสาหกิจ กรอบลงทุนทั้งปี แผนเบิกจ่ายสะสม ผลเบิกจ่ายสะสม % เบิกจ่ายสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 64 – พ.ค. 65)
จํานวน 34 แห่ง 130,235 63,940 61,734 97%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 65 – พ.ค. 65)
จํานวน 9 แห่ง 216,931 48,797 50,679 104%
รวม 43 แห่ง 347,166 112,737 112,413 100%
นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีการปรับกรอบงบลงทุนให้สอดคล้องกับความสามารถในการเบิกจ่ายและวงเงินที่ได้เร่งเบิกจ่ายไปบางส่วนแล้วในปี 2564 โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 โครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการสามารถเบิกจ่ายเป็นไปตามแผน อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงบางซื่อ - รังสิต (โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง)) โครงการก่อสร้างรถไฟ สายบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - ชุมพร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 ภาพรวมของรัฐวิสาหกิจยังคงสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามแผน นอกจากนี้ สคร. ได้ติดตามการดําเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจําปี 2565 ซึ่งรัฐวิสาหกิจสามารถดําเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมต่างๆ ได้ ทําให้ปัจจุบันโครงการสําคัญส่วนใหญ่สามารถลงนามในสัญญาได้แล้ว ทั้งนี้ คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐในการประชุมครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ได้กําชับให้กระทรวงเจ้าสังกัดกํากับติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในระยะเวลาที่เหลือของปี 2565 ให้เป็นไปตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุนด้วย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56237 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) บูรณาการสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ดี เพื่อสังคมไทยมีความสุขอย่างยั่งยืน | วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564
มท.1 ประชุมขับเคลื่อนศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) บูรณาการสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ดี เพื่อสังคมไทยมีความสุขอย่างยั่งยืน
มท.1 ประชุมขับเคลื่อนศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) บูรณาการสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ดี เพื่อสังคมไทยมีความสุขอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.64 เวลา 13.30 น. ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 2/2564 โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง และนายบุญธรรมเลิศ สุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คณะกรรมการ ศปถ. มูลนิธิ อาสาสมัคร จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เปิดเผยว่า ในวันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน เพื่อพิจารณา (ร่าง)แผนปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน ปี พ.ศ. 2565 แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลและช่วงวันหยุดยาว การกําหนดค่าเป้าหมายอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด เพื่อใช้เป็นกรอบการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ตามเป้าหมายทั้งในระดับประเทศ และระดับจังหวัด รวมถึงเพื่อรับทราบผลการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ตามกรอบเป้าหมายของปฏิญญาสตอกโฮล์ม (Stockholm Declaration) และการดําเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งผลจากการประชุมในวันนี้ จะทําให้ ศปถ. ได้รับข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการฯ และผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อปรับมาตรการและการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลดอุบัติเหตุทางถนน ทั้งการป้องกันและลดอุบัติเหตุตลอดทั้งปี และในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดต่อเนื่องที่สําคัญ อาทิ มาตรการด้านถนน ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านสาธารณสุข ด้านพื้นที่ ด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ อันจะทําให้เกิดผลประโยชน์กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
จากนั้น ที่ประชุมฯ ได้นําเสนอผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ และพิจารณากรอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2565 โดยได้กําหนดเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือ 22.86 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนภายใน ปี พ.ศ. 2565 ภายใต้การดําเนินงานตามยุทธศาสตร์สําคัญ 2 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับระบบบริหารจัดการและติดตามประเมินผลด้านความปลอดภัยทางถนน และยุทธศาสตร์ที่ 2 การยกระดับมาตรการจัดการความเสี่ยงและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนที่ปลอดภัย ซึ่งสอดรับกับการกําหนดค่าเป้าหมายลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด ภายใต้เงื่อนไขจังหวัดที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ําจะต้องลดลงในอัตราที่น้อยกว่า ขณะที่จังหวัดที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง จะต้องลดลงในอัตราที่มากกว่า
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ปัจจัยที่สําคัญอันดับต้น ๆ คือ การสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนของประชาชน รวมถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรและขาดการดูแลด้านความพร้อมของยานพาหนะของผู้ใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ ต้องบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างจริงจังต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนปฏิบัติตามกรอบกฎหมายและร่วมรับผิดชอบต่อสังคม จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณานําข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ และบูรณาการร่วมมือกันขับเคลื่อนการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน นําไปสู่ความสําเร็จร่วมกัน เพื่อให้ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมทางถนนที่ดี ลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุ เมื่อประชาชนทุกคนมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ดี สังคมไทยก็จะมีความสุขอย่างยั่งยืน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) บูรณาการสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ดี เพื่อสังคมไทยมีความสุขอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564
มท.1 ประชุมขับเคลื่อนศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) บูรณาการสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ดี เพื่อสังคมไทยมีความสุขอย่างยั่งยืน
มท.1 ประชุมขับเคลื่อนศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) บูรณาการสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ดี เพื่อสังคมไทยมีความสุขอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.64 เวลา 13.30 น. ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 2/2564 โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง และนายบุญธรรมเลิศ สุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คณะกรรมการ ศปถ. มูลนิธิ อาสาสมัคร จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เปิดเผยว่า ในวันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน เพื่อพิจารณา (ร่าง)แผนปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน ปี พ.ศ. 2565 แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลและช่วงวันหยุดยาว การกําหนดค่าเป้าหมายอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด เพื่อใช้เป็นกรอบการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ตามเป้าหมายทั้งในระดับประเทศ และระดับจังหวัด รวมถึงเพื่อรับทราบผลการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ตามกรอบเป้าหมายของปฏิญญาสตอกโฮล์ม (Stockholm Declaration) และการดําเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งผลจากการประชุมในวันนี้ จะทําให้ ศปถ. ได้รับข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการฯ และผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อปรับมาตรการและการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลดอุบัติเหตุทางถนน ทั้งการป้องกันและลดอุบัติเหตุตลอดทั้งปี และในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดต่อเนื่องที่สําคัญ อาทิ มาตรการด้านถนน ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านสาธารณสุข ด้านพื้นที่ ด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ อันจะทําให้เกิดผลประโยชน์กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
จากนั้น ที่ประชุมฯ ได้นําเสนอผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ และพิจารณากรอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2565 โดยได้กําหนดเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือ 22.86 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนภายใน ปี พ.ศ. 2565 ภายใต้การดําเนินงานตามยุทธศาสตร์สําคัญ 2 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับระบบบริหารจัดการและติดตามประเมินผลด้านความปลอดภัยทางถนน และยุทธศาสตร์ที่ 2 การยกระดับมาตรการจัดการความเสี่ยงและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนที่ปลอดภัย ซึ่งสอดรับกับการกําหนดค่าเป้าหมายลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด ภายใต้เงื่อนไขจังหวัดที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ําจะต้องลดลงในอัตราที่น้อยกว่า ขณะที่จังหวัดที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง จะต้องลดลงในอัตราที่มากกว่า
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ปัจจัยที่สําคัญอันดับต้น ๆ คือ การสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนของประชาชน รวมถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรและขาดการดูแลด้านความพร้อมของยานพาหนะของผู้ใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ ต้องบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างจริงจังต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนปฏิบัติตามกรอบกฎหมายและร่วมรับผิดชอบต่อสังคม จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณานําข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ และบูรณาการร่วมมือกันขับเคลื่อนการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน นําไปสู่ความสําเร็จร่วมกัน เพื่อให้ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมทางถนนที่ดี ลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุ เมื่อประชาชนทุกคนมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ดี สังคมไทยก็จะมีความสุขอย่างยั่งยืน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46181 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ปลื้มอุตสาหกรรมแอนิเมชันปี 63 สร้างรายได้ 6,656 ล้านบาท หนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่สร้างคาแรคเตอร์แอนิเมชันสัญชาติไทยแข่งขันระดับนานาชาติ ผนึกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันฯ | วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564
วธ.ปลื้มอุตสาหกรรมแอนิเมชันปี 63 สร้างรายได้ 6,656 ล้านบาท หนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่สร้างคาแรคเตอร์แอนิเมชันสัญชาติไทยแข่งขันระดับนานาชาติ ผนึกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันฯ
วธ.ปลื้มอุตสาหกรรมแอนิเมชันปี 63 สร้างรายได้ 6,656 ล้านบาท หนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่สร้างคาแรคเตอร์แอนิเมชันสัญชาติไทยแข่งขันระดับนานาชาติ ผนึกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันฯ จัดเวิร์คช็อปติวเข้ม-จัดนิทรรศการโชว์ 29-31 ต.ค.นี้ที่ขอนแก่น
วธ.ปลื้มอุตสาหกรรมแอนิเมชันปี 63 สร้างรายได้ 6,656 ล้านบาท หนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่สร้างคาแรคเตอร์แอนิเมชันสัญชาติไทยแข่งขันระดับนานาชาติ ผนึกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันฯ จัดเวิร์คช็อปติวเข้ม-จัดนิทรรศการโชว์ 29-31 ต.ค.นี้ที่ขอนแก่น
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นําด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของภูมิภาคอาเซียน เพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ สร้างสรรค์สังคมและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดังนั้น วธ.ร่วมกับกระทรวงต่างๆ หน่วยงานรัฐและเอกชน โดยบูรณาการความร่วมมือภายใต้แนวคิด “CONTENT THAILAND” ทีมประเทศไทยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560 - 2564) โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรสาขาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ รวมถึงการพัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในประเทศ เพื่อให้สามารถขยายฐานการผลิตสินค้าเศรษฐกิจสร้างสรรค์และผลักดันให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ รวมทั้งเผยแพร่งานนิทรรศการด้านสื่อวีดิทัศน์ของไทย สร้างแรงบันดาลใจ ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความสามารถของคนไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ล่าสุด วธ.ได้ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย(TACGA) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ“Character Licensing Workshop ครั้งที่ 7”เพื่อสนับสนุนให้เกิดเยาวชนคนรุ่นใหม่มาสร้างคาแรคเตอร์ใหม่ๆสัญชาติไทยและต่อยอดเพื่อให้สามารถแข่งขันบนเวทีนานาชาติโดยจัดกิจกรรมอบรมในวันที่ 29 - 31 ตุลาคม 2564 นําเสนอผลงานรอบสุดท้ายพร้อมกับประกาศผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 3 ทีมที่ได้รับรางวัลในวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ณ ห้องออดิทอเรียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งผลงานของทั้ง 3 ทีมจะได้รับการสนับสนุนต่อยอดและเผยแพร่ผลงานสู่ตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้จัดนิทรรศการความคิดสร้างสรรค์แห่งประเทศไทย 2564 (Thailand Creative Showcase 2021:TCS 2021) ระหว่างวันที่ 29 - 31 ตุลาคม 2564 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
ทั้งนี้ ภายในนิทรรศการจัดแสดงผลงานสื่อวีดิทัศน์ไทยทั้งแอนิเมชัน (Animation) และคาแรคเตอร์ (Character) เพื่อสินค้าลิขสิทธิ์ที่เป็นฝีมือของคนไทยทั่วไปและคนไทยที่มีชื่อเสียงในตลาดโลก มีบูธจําหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ของไทยและกิจกรรมเวิร์คช็อปต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ผู้ร่วมงาน เช่น ร่วมพูดคุยกับนายวันเฉลิม ชูตระกูล ผู้ก่อตั้ง Art Combo Studio ในฐานะ Animator ระดับแนวหน้าของไทยเจ้าของผลงานผู้ออกแบบตัวละครก้านกล้วย, ก้านกล้วย 2, เอคโค่จิ๋วก้องโลก ,พระมหาชนก นายพิรักษ์ โมราถบ Co-Founder/Comic และ Artist@Toonbuns Studio และนายพศวีร์ ไพรวัลย์ Character designer and Animator Tomogram Studio เป็นต้น ซึ่งนิทรรศการข้างต้นเริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 จนถึงปีนี้เป็นปีที่ 7 มุ่งส่งเสริมให้บุคลากรและเยาวชนรุ่นใหม่ด้านสื่อวีดิทัศน์ไทยเกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนากระบวนการคิดเพื่อการผลิตและสร้างสรรค์ผลงานได้มาตรฐานสากลและแสดงศักยภาพให้เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า การจัดอบรมและนิทรรศการครั้งนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อนตามนโยบาย ของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและนโยบายรัฐบาลเพื่อผลักดันใช้ “Soft Power” ความเป็นไทยและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Economy) ของไทย ซึ่งในปี 2563 อุตสาหกรรมภาพยนตร์สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยมูลค่ากว่า 7,801 ล้านบาท แอนิเมชันกว่า 6,656 ล้านบาท และเกมกว่า 66,692 ล้านบาท ทั้งนี้ วธ.จะร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชนดําเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ปลื้มอุตสาหกรรมแอนิเมชันปี 63 สร้างรายได้ 6,656 ล้านบาท หนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่สร้างคาแรคเตอร์แอนิเมชันสัญชาติไทยแข่งขันระดับนานาชาติ ผนึกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันฯ
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564
วธ.ปลื้มอุตสาหกรรมแอนิเมชันปี 63 สร้างรายได้ 6,656 ล้านบาท หนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่สร้างคาแรคเตอร์แอนิเมชันสัญชาติไทยแข่งขันระดับนานาชาติ ผนึกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันฯ
วธ.ปลื้มอุตสาหกรรมแอนิเมชันปี 63 สร้างรายได้ 6,656 ล้านบาท หนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่สร้างคาแรคเตอร์แอนิเมชันสัญชาติไทยแข่งขันระดับนานาชาติ ผนึกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันฯ จัดเวิร์คช็อปติวเข้ม-จัดนิทรรศการโชว์ 29-31 ต.ค.นี้ที่ขอนแก่น
วธ.ปลื้มอุตสาหกรรมแอนิเมชันปี 63 สร้างรายได้ 6,656 ล้านบาท หนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่สร้างคาแรคเตอร์แอนิเมชันสัญชาติไทยแข่งขันระดับนานาชาติ ผนึกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันฯ จัดเวิร์คช็อปติวเข้ม-จัดนิทรรศการโชว์ 29-31 ต.ค.นี้ที่ขอนแก่น
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นําด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของภูมิภาคอาเซียน เพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ สร้างสรรค์สังคมและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดังนั้น วธ.ร่วมกับกระทรวงต่างๆ หน่วยงานรัฐและเอกชน โดยบูรณาการความร่วมมือภายใต้แนวคิด “CONTENT THAILAND” ทีมประเทศไทยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560 - 2564) โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรสาขาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ รวมถึงการพัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในประเทศ เพื่อให้สามารถขยายฐานการผลิตสินค้าเศรษฐกิจสร้างสรรค์และผลักดันให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ รวมทั้งเผยแพร่งานนิทรรศการด้านสื่อวีดิทัศน์ของไทย สร้างแรงบันดาลใจ ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความสามารถของคนไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ล่าสุด วธ.ได้ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย(TACGA) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ“Character Licensing Workshop ครั้งที่ 7”เพื่อสนับสนุนให้เกิดเยาวชนคนรุ่นใหม่มาสร้างคาแรคเตอร์ใหม่ๆสัญชาติไทยและต่อยอดเพื่อให้สามารถแข่งขันบนเวทีนานาชาติโดยจัดกิจกรรมอบรมในวันที่ 29 - 31 ตุลาคม 2564 นําเสนอผลงานรอบสุดท้ายพร้อมกับประกาศผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 3 ทีมที่ได้รับรางวัลในวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ณ ห้องออดิทอเรียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งผลงานของทั้ง 3 ทีมจะได้รับการสนับสนุนต่อยอดและเผยแพร่ผลงานสู่ตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้จัดนิทรรศการความคิดสร้างสรรค์แห่งประเทศไทย 2564 (Thailand Creative Showcase 2021:TCS 2021) ระหว่างวันที่ 29 - 31 ตุลาคม 2564 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
ทั้งนี้ ภายในนิทรรศการจัดแสดงผลงานสื่อวีดิทัศน์ไทยทั้งแอนิเมชัน (Animation) และคาแรคเตอร์ (Character) เพื่อสินค้าลิขสิทธิ์ที่เป็นฝีมือของคนไทยทั่วไปและคนไทยที่มีชื่อเสียงในตลาดโลก มีบูธจําหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ของไทยและกิจกรรมเวิร์คช็อปต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ผู้ร่วมงาน เช่น ร่วมพูดคุยกับนายวันเฉลิม ชูตระกูล ผู้ก่อตั้ง Art Combo Studio ในฐานะ Animator ระดับแนวหน้าของไทยเจ้าของผลงานผู้ออกแบบตัวละครก้านกล้วย, ก้านกล้วย 2, เอคโค่จิ๋วก้องโลก ,พระมหาชนก นายพิรักษ์ โมราถบ Co-Founder/Comic และ Artist@Toonbuns Studio และนายพศวีร์ ไพรวัลย์ Character designer and Animator Tomogram Studio เป็นต้น ซึ่งนิทรรศการข้างต้นเริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 จนถึงปีนี้เป็นปีที่ 7 มุ่งส่งเสริมให้บุคลากรและเยาวชนรุ่นใหม่ด้านสื่อวีดิทัศน์ไทยเกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนากระบวนการคิดเพื่อการผลิตและสร้างสรรค์ผลงานได้มาตรฐานสากลและแสดงศักยภาพให้เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า การจัดอบรมและนิทรรศการครั้งนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อนตามนโยบาย ของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและนโยบายรัฐบาลเพื่อผลักดันใช้ “Soft Power” ความเป็นไทยและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Economy) ของไทย ซึ่งในปี 2563 อุตสาหกรรมภาพยนตร์สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยมูลค่ากว่า 7,801 ล้านบาท แอนิเมชันกว่า 6,656 ล้านบาท และเกมกว่า 66,692 ล้านบาท ทั้งนี้ วธ.จะร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชนดําเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 159.69 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบและผู้บ่มอิสระ ในฤดูการผลิต 62/63 ในโครงการฯ จำนวน 14,292 ราย | วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565
ครม. อนุมัติ 159.69 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบและผู้บ่มอิสระ ในฤดูการผลิต 62/63 ในโครงการฯ จํานวน 14,292 ราย
ครม. อนุมัติ 159.69 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบและผู้บ่มอิสระ ในฤดูการผลิต 62/63 ในโครงการฯ จํานวน 14,292 ราย
วันที่ 19 เมษายน 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบกลาง จํานวน 159.69 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะปลูกต้นยาสูบและผู้บ่มอิสระที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ฤดูกาลผลิต 2562 / 2563 ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ ยสท. และกรมสรรพสามิต รวมจํานวน 14,292 ราย แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใบยา ดังนี้
1. ใบยาเวอร์ยิเนีย ประกอบด้วย ชาวไร่ 2,378 ราย ผู้บ่มอิสระ 54 ราย ชาวไร่ใบยาสด 1,807 ราย
2. ใบยาเบอร์เลย์ ชาวไร่ 6,562 ราย
3. ใบยาเตอร์กิช ชาวไร่ 3491 ราย
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความช่วยเหลือโดยจ่ายเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกต้นยาสูบและผู้บ่มอิสระในอัตราร้อยละ 70 ของรายได้ที่หายไป โดยคํานวณเงินช่วยเหลือจากปริมาณโคต้าการผลิตใบยาที่ลดลงในฤดูกาลผลิต 2562 / 2563 เปรียบเทียบกับปริมาณโควตาที่ได้รับในฤดูกาลผลิต 2560 / 2561 คูณด้วยร้อยละ 70 ของรายได้ที่หายไป โดยเกษตรกรผู้ปลูกต้นยาสูบจะได้รับเงินช่วยเหลือตามปริมาณการรับซื้อใบยาสูบที่ลดลงจริงในแต่ละประเภทใบยา และปัจจุบันในพื้นที่ดังกล่าวต้องไม่มีการปลูกยาสูบทดแทนด้วย โดย จะมีคณะกรรมการ ฯ ตรวจสอบ รวบรวมข้อมูล ส่งให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก ธ.ก.ส. ของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับสิทธิ์ภายใต้โครงการดังกล่าว โดยมีระยะเวลาดําเนินการ ภายใน 150 วัน นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 159.69 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบและผู้บ่มอิสระ ในฤดูการผลิต 62/63 ในโครงการฯ จำนวน 14,292 ราย
วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565
ครม. อนุมัติ 159.69 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบและผู้บ่มอิสระ ในฤดูการผลิต 62/63 ในโครงการฯ จํานวน 14,292 ราย
ครม. อนุมัติ 159.69 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบและผู้บ่มอิสระ ในฤดูการผลิต 62/63 ในโครงการฯ จํานวน 14,292 ราย
วันที่ 19 เมษายน 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบกลาง จํานวน 159.69 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะปลูกต้นยาสูบและผู้บ่มอิสระที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ฤดูกาลผลิต 2562 / 2563 ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ ยสท. และกรมสรรพสามิต รวมจํานวน 14,292 ราย แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใบยา ดังนี้
1. ใบยาเวอร์ยิเนีย ประกอบด้วย ชาวไร่ 2,378 ราย ผู้บ่มอิสระ 54 ราย ชาวไร่ใบยาสด 1,807 ราย
2. ใบยาเบอร์เลย์ ชาวไร่ 6,562 ราย
3. ใบยาเตอร์กิช ชาวไร่ 3491 ราย
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความช่วยเหลือโดยจ่ายเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกต้นยาสูบและผู้บ่มอิสระในอัตราร้อยละ 70 ของรายได้ที่หายไป โดยคํานวณเงินช่วยเหลือจากปริมาณโคต้าการผลิตใบยาที่ลดลงในฤดูกาลผลิต 2562 / 2563 เปรียบเทียบกับปริมาณโควตาที่ได้รับในฤดูกาลผลิต 2560 / 2561 คูณด้วยร้อยละ 70 ของรายได้ที่หายไป โดยเกษตรกรผู้ปลูกต้นยาสูบจะได้รับเงินช่วยเหลือตามปริมาณการรับซื้อใบยาสูบที่ลดลงจริงในแต่ละประเภทใบยา และปัจจุบันในพื้นที่ดังกล่าวต้องไม่มีการปลูกยาสูบทดแทนด้วย โดย จะมีคณะกรรมการ ฯ ตรวจสอบ รวบรวมข้อมูล ส่งให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก ธ.ก.ส. ของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับสิทธิ์ภายใต้โครงการดังกล่าว โดยมีระยะเวลาดําเนินการ ภายใน 150 วัน นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53708 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" สั่งการผู้ว่าฯ ภูเก็ตลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว ย้ำผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เฝ้าสังเกตประชาชน ควบคุมพื้นที่ห้ามสาดน้ำ/ปืนฉีดน้ำ เข้มข้น | วันพุธที่ 13 เมษายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" สั่งการผู้ว่าฯ ภูเก็ตลงพื้นที่ชี้แจงทําความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว ย้ําผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เฝ้าสังเกตประชาชน ควบคุมพื้นที่ห้ามสาดน้ํา/ปืนฉีดน้ํา เข้มข้น
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" สั่งการผู้ว่าฯ ภูเก็ตลงพื้นที่ชี้แจงทําความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว ย้ําผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เฝ้าสังเกตประชาชน ควบคุมพื้นที่ห้ามสาดน้ํา/ปืนฉีดน้ํา เข้มข้น ป้องกันการเพิ่มจํานวนแพร่ระบาดโควิด-19 ช่วงสงกรานต์
วันที่ 13 เมษายน 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีนักท่องเที่ยวบริเวณซอยบางลา ตําบลป่าตอง อําเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ตร่วมกันสาดน้ําและใช้ปืนฉีดน้ําอย่างสนุกสนานในวันสงกรานต์ นั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแสดงความกังวลใจต่อการกระทําดังกล่าว สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตลงพื้นที่ชี้แจงทําความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว พร้อมเน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการทั่วประเทศ กําชับส่วนราชการเฝ้าสังเกตประชาชน ในพื้นที่ที่ห้ามเล่นน้ําวันสงกรานต์ นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือประชาชน ปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค.อย่างเคร่งครัด ใช้เวลาช่วงวันหยุดทํากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกับคนในครอบครัว สามารถสรงน้ําพระ และรดน้ําดําหัวผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือได้ แต่ขอให้ระมัดระวัง ตรวจสอบตัวเองให้ปลอดภัยก่อนจะใกล้ชิดผู้ใหญ่
"วันสงกรานต์ คือวันปีใหม่ไทย สะท้อนถึงค่านิยมที่สําคัญของไทย เช่น ความกตัญญู ความอบอุ่น ความสนุกสนาน และการเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน รวมทั้งความสามัคคี ระหว่างบุคคลในครอบครัว เพื่อนฝูง ชุมชน และสังคม โดยมี “น้ํา” เป็นสื่อสําคัญในการเชื่อมสัมพันธไมตรี นายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความรู้สึกของพี่น้องทุกคน แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขอให้ทุกคนอดทน ใช้การปะพรมรดน้ําผู้ใหญ่ขอพรแทนการสาดน้ํา ร่วมมือกันรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ไปให้ได้โดยเร็ว" นายธนกรฯ ย้ํา | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" สั่งการผู้ว่าฯ ภูเก็ตลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว ย้ำผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เฝ้าสังเกตประชาชน ควบคุมพื้นที่ห้ามสาดน้ำ/ปืนฉีดน้ำ เข้มข้น
วันพุธที่ 13 เมษายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" สั่งการผู้ว่าฯ ภูเก็ตลงพื้นที่ชี้แจงทําความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว ย้ําผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เฝ้าสังเกตประชาชน ควบคุมพื้นที่ห้ามสาดน้ํา/ปืนฉีดน้ํา เข้มข้น
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" สั่งการผู้ว่าฯ ภูเก็ตลงพื้นที่ชี้แจงทําความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว ย้ําผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เฝ้าสังเกตประชาชน ควบคุมพื้นที่ห้ามสาดน้ํา/ปืนฉีดน้ํา เข้มข้น ป้องกันการเพิ่มจํานวนแพร่ระบาดโควิด-19 ช่วงสงกรานต์
วันที่ 13 เมษายน 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีนักท่องเที่ยวบริเวณซอยบางลา ตําบลป่าตอง อําเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ตร่วมกันสาดน้ําและใช้ปืนฉีดน้ําอย่างสนุกสนานในวันสงกรานต์ นั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแสดงความกังวลใจต่อการกระทําดังกล่าว สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตลงพื้นที่ชี้แจงทําความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว พร้อมเน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการทั่วประเทศ กําชับส่วนราชการเฝ้าสังเกตประชาชน ในพื้นที่ที่ห้ามเล่นน้ําวันสงกรานต์ นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือประชาชน ปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค.อย่างเคร่งครัด ใช้เวลาช่วงวันหยุดทํากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกับคนในครอบครัว สามารถสรงน้ําพระ และรดน้ําดําหัวผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือได้ แต่ขอให้ระมัดระวัง ตรวจสอบตัวเองให้ปลอดภัยก่อนจะใกล้ชิดผู้ใหญ่
"วันสงกรานต์ คือวันปีใหม่ไทย สะท้อนถึงค่านิยมที่สําคัญของไทย เช่น ความกตัญญู ความอบอุ่น ความสนุกสนาน และการเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน รวมทั้งความสามัคคี ระหว่างบุคคลในครอบครัว เพื่อนฝูง ชุมชน และสังคม โดยมี “น้ํา” เป็นสื่อสําคัญในการเชื่อมสัมพันธไมตรี นายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความรู้สึกของพี่น้องทุกคน แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขอให้ทุกคนอดทน ใช้การปะพรมรดน้ําผู้ใหญ่ขอพรแทนการสาดน้ํา ร่วมมือกันรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ไปให้ได้โดยเร็ว" นายธนกรฯ ย้ํา | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53596 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้ม รายได้คงคลัง 9 เดือนแรกปีงบ 65 ทะลุ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ขณะที่ 3 กรมภาษี จัดเก็บได้กว่า 2 ล้านล้านบาท | วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้ม รายได้คงคลัง 9 เดือนแรกปีงบ 65 ทะลุ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ขณะที่ 3 กรมภาษี จัดเก็บได้กว่า 2 ล้านล้านบาท
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้ม รายได้คงคลัง 9 เดือนแรกปีงบ 65 ทะลุ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ขณะที่ 3 กรมภาษี จัดเก็บได้กว่า 2 ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 191,122 ล้านบาท หรือ 10.5% รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้ 116,130 ล้านบาท เพิ่ม 10%
วันที่ 30 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามคืบหน้า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมา โดยล่าสุดกระทรวงการคลังได้รายงานฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค. 64-มิ.ย. 2565) รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น 1,878,346 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 130,689 ล้านบาท หรือ 7.5% ขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 2,434,146 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 44,979 ล้านบาท หรือ 1.9% ซึ่งรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 621,075 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2565 มีจํานวนทั้งสิ้น 587,915 ล้านบาท
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค. 2564 - มิ.ย. 2565) รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,857,524 ล้านบาท หรือ 6.4% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 6.4% โดยการจัดเก็บรายได้รวมของ3 กรมภาษี (กรมสรรพากร, กรมสรรพาสามิต และกรมศุลกากร) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 2,004,834 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 191,122 ล้านบาท หรือ 10.5% สําหรับรัฐวิสาหกิจ นําส่งรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 116,130 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 10,561 ล้านบาท หรือ 10% ส่วนหน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 109,710 ล้านบาท ต่ํากว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 14,495 ล้านบาท หรือ 11.7%
“นายกรัฐมนตรีรับทราบและขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานี้ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนทิศทางการทํางานที่ถูกต้อง และส่งผลให้มีกําลังใจในการมุ่งมั่น เดินหน้า ทํางาน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชนต่อไป เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ และประชาชนไทย เชื่อว่า ผลความสําเร็จอยู่ไม่ไกลหากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจทําหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด” นายธนกรฯ กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้ม รายได้คงคลัง 9 เดือนแรกปีงบ 65 ทะลุ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ขณะที่ 3 กรมภาษี จัดเก็บได้กว่า 2 ล้านล้านบาท
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้ม รายได้คงคลัง 9 เดือนแรกปีงบ 65 ทะลุ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ขณะที่ 3 กรมภาษี จัดเก็บได้กว่า 2 ล้านล้านบาท
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้ม รายได้คงคลัง 9 เดือนแรกปีงบ 65 ทะลุ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ขณะที่ 3 กรมภาษี จัดเก็บได้กว่า 2 ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 191,122 ล้านบาท หรือ 10.5% รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้ 116,130 ล้านบาท เพิ่ม 10%
วันที่ 30 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามคืบหน้า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมา โดยล่าสุดกระทรวงการคลังได้รายงานฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค. 64-มิ.ย. 2565) รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น 1,878,346 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 130,689 ล้านบาท หรือ 7.5% ขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 2,434,146 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 44,979 ล้านบาท หรือ 1.9% ซึ่งรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 621,075 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2565 มีจํานวนทั้งสิ้น 587,915 ล้านบาท
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค. 2564 - มิ.ย. 2565) รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,857,524 ล้านบาท หรือ 6.4% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 6.4% โดยการจัดเก็บรายได้รวมของ3 กรมภาษี (กรมสรรพากร, กรมสรรพาสามิต และกรมศุลกากร) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 2,004,834 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 191,122 ล้านบาท หรือ 10.5% สําหรับรัฐวิสาหกิจ นําส่งรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 116,130 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 10,561 ล้านบาท หรือ 10% ส่วนหน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 109,710 ล้านบาท ต่ํากว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 14,495 ล้านบาท หรือ 11.7%
“นายกรัฐมนตรีรับทราบและขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานี้ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนทิศทางการทํางานที่ถูกต้อง และส่งผลให้มีกําลังใจในการมุ่งมั่น เดินหน้า ทํางาน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชนต่อไป เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ และประชาชนไทย เชื่อว่า ผลความสําเร็จอยู่ไม่ไกลหากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจทําหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด” นายธนกรฯ กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57418 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้นำรัฐสภาสหรัฐและอาเซียนย้ำบทบาทที่สร้างสรรค์ เสริมสร้างสังคมที่เข้มแข็งบนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกัน เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย | วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565
ผู้นํารัฐสภาสหรัฐและอาเซียนย้ําบทบาทที่สร้างสรรค์ เสริมสร้างสังคมที่เข้มแข็งบนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกัน เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย
ผู้นํารัฐสภาสหรัฐและอาเซียนย้ําบทบาทที่สร้างสรรค์ เสริมสร้างสังคมที่เข้มแข็งบนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกัน เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย
วันนี้ (12 พฤษภาคม 2565) เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสหรัฐอเมริกา ณ รัฐสภาสหรัฐอเมริกา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้นําอาเซียน โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพ พร้อมกล่าวถ้อยแถลงในงานเลี้ยงฯ ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของคํากล่าวนายกรัฐมนตรี ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบผู้นําจากฝ่ายรัฐสภาสหรัฐฯ ผู้ทรงเกียรติและมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนอนาคตความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ ซึ่งครบ 45 ปีในปีนี้ โดยไทยเน้นย้ําถึงความสําคัญของความร่วมมือระหว่างกันในทุกด้าน ซึ่งเป็นพลังสําคัญในการพลิกฟื้นให้โลกกลับมาเข้มแข็ง มีสันติสุข และประชาชนมีความมั่นคงในการดํารงชีวิตในยุค Next Normal
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันถือเป็นจุดแข็งหลักของอาเซียน-สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ และความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนกว่า 1 พันล้านคนของอาเซียนและสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สําคัญของอาเซียน เป็นคู่ค้าอันดับ 2 และนักลงทุนอันดับ 1 ของภูมิภาค ความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน การผลักดันการค้าเสรี และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นวาระสําคัญที่ทุกประเทศต้องดําเนินการอย่างจริงจังมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจของโลกกําลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่าน อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยเฉพาะการปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกครั้งที่ 4 ดังนั้น ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปีนี้ จึงให้ความสําคัญในเรื่องเหล่านี้ เป็นลําดับต้น
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน อาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 5 ของโลก และคาดว่าจะเติบโตเป็นอันดับ 4 ภายในปี ค.ศ. 2030 อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับภาคธุรกิจ และสร้างงานให้กับชาวอเมริกันได้อีกมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสาขาใหม่ ๆ อาทิ พลังงานสะอาด อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมดิจิทัล และนวัตกรรมการแพทย์ ซึ่งสําหรับประเทศไทย ความสัมพันธ์ทวิภาคีกับสหรัฐเป็นความสัมพันธ์ทางการทูตซึ่งดํารงมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1833 โดยเริ่มจากความตกลงด้านมิตรภาพและพาณิชย์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนพันธมิตรและการมีผลประโยชน์ร่วมกันในทุกด้าน ปัจจุบันสหรัฐฯ มีการลงทุนในไทย 17 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ภาคเอกชนไทยมาลงทุนใน 26 รัฐของสหรัฐฯ คิดเป็นจํานวนกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า บรรยากาศแห่งความสงบ สันติสุข จะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการฟื้นฟูและพัฒนาไปสู่การมีอนาคตที่มั่นคง โดยหวังจะเห็นบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ผ่านความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและเอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่ายใน 4 สาขาภายใต้กรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก บนพื้นฐานของหลักความไว้วางใจซึ่งกันและกัน การเคารพซึ่งกันและกัน และการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการสนับสนุนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําว่า ความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ มีความสําคัญ
ต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของสองฝ่าย และของภูมิภาค และหวังว่า รัฐสภาสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุน และผลักดันความร่วมมือต่าง ๆ ในทางบวกให้ก้าวหน้าต่อไป เพื่อประโยชน์อันยั่งยืนและสมดุลของประชาชนของอาเซียนและสหรัฐฯ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้นำรัฐสภาสหรัฐและอาเซียนย้ำบทบาทที่สร้างสรรค์ เสริมสร้างสังคมที่เข้มแข็งบนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกัน เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย
วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565
ผู้นํารัฐสภาสหรัฐและอาเซียนย้ําบทบาทที่สร้างสรรค์ เสริมสร้างสังคมที่เข้มแข็งบนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกัน เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย
ผู้นํารัฐสภาสหรัฐและอาเซียนย้ําบทบาทที่สร้างสรรค์ เสริมสร้างสังคมที่เข้มแข็งบนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกัน เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่าย
วันนี้ (12 พฤษภาคม 2565) เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสหรัฐอเมริกา ณ รัฐสภาสหรัฐอเมริกา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้นําอาเซียน โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพ พร้อมกล่าวถ้อยแถลงในงานเลี้ยงฯ ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของคํากล่าวนายกรัฐมนตรี ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบผู้นําจากฝ่ายรัฐสภาสหรัฐฯ ผู้ทรงเกียรติและมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนอนาคตความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ ซึ่งครบ 45 ปีในปีนี้ โดยไทยเน้นย้ําถึงความสําคัญของความร่วมมือระหว่างกันในทุกด้าน ซึ่งเป็นพลังสําคัญในการพลิกฟื้นให้โลกกลับมาเข้มแข็ง มีสันติสุข และประชาชนมีความมั่นคงในการดํารงชีวิตในยุค Next Normal
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันถือเป็นจุดแข็งหลักของอาเซียน-สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ และความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนกว่า 1 พันล้านคนของอาเซียนและสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สําคัญของอาเซียน เป็นคู่ค้าอันดับ 2 และนักลงทุนอันดับ 1 ของภูมิภาค ความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน การผลักดันการค้าเสรี และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นวาระสําคัญที่ทุกประเทศต้องดําเนินการอย่างจริงจังมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจของโลกกําลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่าน อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยเฉพาะการปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกครั้งที่ 4 ดังนั้น ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปีนี้ จึงให้ความสําคัญในเรื่องเหล่านี้ เป็นลําดับต้น
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน อาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 5 ของโลก และคาดว่าจะเติบโตเป็นอันดับ 4 ภายในปี ค.ศ. 2030 อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับภาคธุรกิจ และสร้างงานให้กับชาวอเมริกันได้อีกมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสาขาใหม่ ๆ อาทิ พลังงานสะอาด อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมดิจิทัล และนวัตกรรมการแพทย์ ซึ่งสําหรับประเทศไทย ความสัมพันธ์ทวิภาคีกับสหรัฐเป็นความสัมพันธ์ทางการทูตซึ่งดํารงมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1833 โดยเริ่มจากความตกลงด้านมิตรภาพและพาณิชย์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนพันธมิตรและการมีผลประโยชน์ร่วมกันในทุกด้าน ปัจจุบันสหรัฐฯ มีการลงทุนในไทย 17 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ภาคเอกชนไทยมาลงทุนใน 26 รัฐของสหรัฐฯ คิดเป็นจํานวนกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า บรรยากาศแห่งความสงบ สันติสุข จะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการฟื้นฟูและพัฒนาไปสู่การมีอนาคตที่มั่นคง โดยหวังจะเห็นบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ผ่านความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและเอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่ายใน 4 สาขาภายใต้กรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก บนพื้นฐานของหลักความไว้วางใจซึ่งกันและกัน การเคารพซึ่งกันและกัน และการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการสนับสนุนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําว่า ความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ มีความสําคัญ
ต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของสองฝ่าย และของภูมิภาค และหวังว่า รัฐสภาสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุน และผลักดันความร่วมมือต่าง ๆ ในทางบวกให้ก้าวหน้าต่อไป เพื่อประโยชน์อันยั่งยืนและสมดุลของประชาชนของอาเซียนและสหรัฐฯ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54538 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธปท. จับมือสมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 อย่างยั่งยืน | วันอังคารที่ 24 สิงหาคม 2564
ธปท. จับมือสมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 อย่างยั่งยืน
จากสถานการณ์โควิด 19 ส่งผลให้การแพร่ระบาดมีความไม่แน่นอนสูง และมีแนวโน้มยืดเยื้อและผันผวนกว่าที่คาด กระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรงขึ้น แต่ละภาคเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวช้าออกไปและไม่เท่าเทียมกัน
จากสถานการณ์การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 (โควิด 19) ส่งผลให้การแพร่ระบาดมีความไม่แน่นอนสูง และมีแนวโน้มยืดเยื้อและผันผวนกว่าที่คาด กระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรงขึ้น แต่ละภาคเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวช้าออกไปและไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาหนี้ระยะสั้นแบบเดิม เช่น การพักชําระหนี้เป็นครั้งคราว หรือปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะสั้น จึงไม่ตอบโจทย์ที่จะทําให้ทุกฝ่ายผ่านวิกฤตนี้ไปได้
ในการนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย เห็นร่วมกันในการผลักดันมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้สอดคล้องกับคาดการณ์รายได้ของลูกหนี้ เช่น ในช่วงที่รายได้ของลูกหนี้ยังไม่กลับมาและอาจต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว ภาระการชําระหนี้ของลูกหนี้ก็ควรอยู่ในระยะต่ํา แล้วค่อย ๆ ทยอยปรับเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป แต่ไม่ใช่การเลื่อนหรือพักชําระหนี้เป็นการชั่วคราว ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือเป็นไปตามแถลงข่าว ธปท. เรื่อง มาตรการเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ได้อย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา
สําหรับกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องการสั่งปรับลดเงินต้นและดอกเบี้ย (แฮร์คัท) นั้น ธปท. และสมาคมธนาคารไทยขอเรียนว่า ที่ผ่านมา ทั้งสองหน่วยงานได้หารืออย่างใกล้ชิด และเห็นตรงกันว่าควรเร่งผลักดันให้มาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงสถานการณ์โควิดนี้สัมฤทธิ์ผล ให้สามารถประคับประคองลูกหนี้ที่ประสบปัญหาได้จริง ภายใต้หลักการสําคัญ คือ ลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาโควิด 19 สมควรได้รับความช่วยเหลือมากที่สุดและสอดคล้องกับปัญหา อีกทั้งจะต้องไม่สร้างแรงจูงใจให้กับลูกหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบให้หยุดชําระหนี้ (moral hazard) ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันการเงินยังเป็นกลไกสําคัญและมีกําลังไปช่วยลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนและเป็นเป้าหมายได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธปท. ชี้แจงว่า “เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์การส่งผ่านความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ลูกหนี้ในภาวะวิกฤต ธปท. ได้พิจารณาปรับกฎเกณฑ์การกํากับดูแลให้เอื้อต่อการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปรับลดข้อจํากัดในการเข้าถึงมาตรการ อาทิ การให้ความยืดหยุ่นในการบังคับใช้หลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสํารอง เพื่อลดภาระต้นทุนของสถาบันการเงินที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้มากไปกว่าการขยายเวลาชําระหนี้เพียงอย่างเดียว และการขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนําส่งเข้ากองทุน FIDF เหลือร้อยละ 0.23 ออกไปจนถึงสิ้นปี 2565 เพื่อให้สถาบันการเงินส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงไปในการบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง”
ขณะเดียวกัน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า “ธนาคารจะเร่งนํามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมนี้ เป็นแนวทางในการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยแต่ละธนาคารจะไปออกมาตรการเพื่อเป็นทางเลือกในการช่วยเหลือลูกหนี้ (Product program) โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ลูกหนี้ทุกกลุ่มสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ทั้งนี้ การออก Product program เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของแต่ละธนาคารนั้น จะมีความหลากหลายและสอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละราย แต่ละกลุ่ม และเป็นธรรมทั้งกับลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือไปสู่กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นเป้าหมายได้ผลอย่างแท้จริง”
ธปท. และสมาคมธนาคารไทย มุ่งหวังให้มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกหนี้ทุกกลุ่มสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธปท. จับมือสมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 อย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 24 สิงหาคม 2564
ธปท. จับมือสมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 อย่างยั่งยืน
จากสถานการณ์โควิด 19 ส่งผลให้การแพร่ระบาดมีความไม่แน่นอนสูง และมีแนวโน้มยืดเยื้อและผันผวนกว่าที่คาด กระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรงขึ้น แต่ละภาคเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวช้าออกไปและไม่เท่าเทียมกัน
จากสถานการณ์การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 (โควิด 19) ส่งผลให้การแพร่ระบาดมีความไม่แน่นอนสูง และมีแนวโน้มยืดเยื้อและผันผวนกว่าที่คาด กระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรงขึ้น แต่ละภาคเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวช้าออกไปและไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาหนี้ระยะสั้นแบบเดิม เช่น การพักชําระหนี้เป็นครั้งคราว หรือปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะสั้น จึงไม่ตอบโจทย์ที่จะทําให้ทุกฝ่ายผ่านวิกฤตนี้ไปได้
ในการนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย เห็นร่วมกันในการผลักดันมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้สอดคล้องกับคาดการณ์รายได้ของลูกหนี้ เช่น ในช่วงที่รายได้ของลูกหนี้ยังไม่กลับมาและอาจต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว ภาระการชําระหนี้ของลูกหนี้ก็ควรอยู่ในระยะต่ํา แล้วค่อย ๆ ทยอยปรับเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป แต่ไม่ใช่การเลื่อนหรือพักชําระหนี้เป็นการชั่วคราว ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือเป็นไปตามแถลงข่าว ธปท. เรื่อง มาตรการเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ได้อย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา
สําหรับกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องการสั่งปรับลดเงินต้นและดอกเบี้ย (แฮร์คัท) นั้น ธปท. และสมาคมธนาคารไทยขอเรียนว่า ที่ผ่านมา ทั้งสองหน่วยงานได้หารืออย่างใกล้ชิด และเห็นตรงกันว่าควรเร่งผลักดันให้มาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงสถานการณ์โควิดนี้สัมฤทธิ์ผล ให้สามารถประคับประคองลูกหนี้ที่ประสบปัญหาได้จริง ภายใต้หลักการสําคัญ คือ ลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาโควิด 19 สมควรได้รับความช่วยเหลือมากที่สุดและสอดคล้องกับปัญหา อีกทั้งจะต้องไม่สร้างแรงจูงใจให้กับลูกหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบให้หยุดชําระหนี้ (moral hazard) ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันการเงินยังเป็นกลไกสําคัญและมีกําลังไปช่วยลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนและเป็นเป้าหมายได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธปท. ชี้แจงว่า “เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์การส่งผ่านความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ลูกหนี้ในภาวะวิกฤต ธปท. ได้พิจารณาปรับกฎเกณฑ์การกํากับดูแลให้เอื้อต่อการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปรับลดข้อจํากัดในการเข้าถึงมาตรการ อาทิ การให้ความยืดหยุ่นในการบังคับใช้หลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสํารอง เพื่อลดภาระต้นทุนของสถาบันการเงินที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้มากไปกว่าการขยายเวลาชําระหนี้เพียงอย่างเดียว และการขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนําส่งเข้ากองทุน FIDF เหลือร้อยละ 0.23 ออกไปจนถึงสิ้นปี 2565 เพื่อให้สถาบันการเงินส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงไปในการบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง”
ขณะเดียวกัน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า “ธนาคารจะเร่งนํามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมนี้ เป็นแนวทางในการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยแต่ละธนาคารจะไปออกมาตรการเพื่อเป็นทางเลือกในการช่วยเหลือลูกหนี้ (Product program) โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ลูกหนี้ทุกกลุ่มสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ทั้งนี้ การออก Product program เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของแต่ละธนาคารนั้น จะมีความหลากหลายและสอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละราย แต่ละกลุ่ม และเป็นธรรมทั้งกับลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือไปสู่กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นเป้าหมายได้ผลอย่างแท้จริง”
ธปท. และสมาคมธนาคารไทย มุ่งหวังให้มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกหนี้ทุกกลุ่มสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45110 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ชวนย้อนวันวาน “เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน” ผ่านกิจกรรมงานวัดพัฒนาประชาคม ไหว้พระฯ ชมการแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” ละครชาตรี ละครนอก คอนเสิร์ตลูกกรุง-ลูกทุ่ง ดนตรีสากล | วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2565
วธ.ชวนย้อนวันวาน “เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน” ผ่านกิจกรรมงานวัดพัฒนาประชาคม ไหว้พระฯ ชมการแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” ละครชาตรี ละครนอก คอนเสิร์ตลูกกรุง-ลูกทุ่ง ดนตรีสากล
วธ.ชวนย้อนวันวาน “เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน” ผ่านกิจกรรมงานวัดพัฒนาประชาคม ไหว้พระฯ ชมการแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” ละครชาตรี ละครนอก คอนเสิร์ตลูกกรุง-ลูกทุ่ง ดนตรีสากล ลิเกรวมดาว 12 คณะ ไหว้พระเสริมสิริมงคล 21-24 เม.ย.นี้
วธ.ชวนย้อนวันวาน“เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน” ผ่านกิจกรรมงานวัดพัฒนาประชาคม ไหว้พระฯ ชมการแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” ละครชาตรี ละครนอก คอนเสิร์ตลูกกรุง-ลูกทุ่ง ดนตรีสากล ลิเกรวมดาว 12 คณะ ไหว้พระเสริมสิริมงคล 21-24 เม.ย.นี้ ณ วัดประยุรวงศาวาส
วันที่ 21 เมษายน 2565 เวลา 18.00 น. พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีเปิด“งานวัดพัฒนาประชาคมไหว้พระ รับพรย้อนวันวาน สารพันอาหารย่านกะดีจีน-คลองสาน” จัดขึ้นวันที่ 21-24 เมษายน 2565 ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เขตธนบุรี กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจากนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมในพิธี มีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ผู้แทนองค์กรศาสนา ผู้แทนหน่วยงานรัฐ เอกชน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เครือข่ายทางวัฒนธรรม ผู้นําชุมชน ประชาชนและสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรุงเทพฯ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงาน “ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ที่กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ จัดขึ้นวันที่ 20-24 เมษายน 2565 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และบริเวณพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ
นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบปีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 โดยงานนี้จัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงทํานุบํารุงบ้านเมืองให้มีความผาสุกและความเจริญในทุกๆด้าน สืบมาจนถึงปัจจุบันครบรอบ 240 ปีแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกัน รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนสินค้าของชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ปีนี้งาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” จัดขึ้นวันที่ 20-24 เมษายน 2565 ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และบริเวณพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ โดยมีกิจกรรมใน 9 พื้นที่หลักและ 20 แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย 1) ปฐมบทแห่งแผ่นดินรัตนโกสินทร์ ณ ศาลหลักเมือง เชิญชวนประชาชนเข้าสักการะศาลหลักเมือง วันที่ 20-24 เมษายน 2565 และพิธีบวงสรวงเทพยดา วันที่ 21 เมษายน 2565 2)เที่ยวยล ชมวัง ไหว้พระ ขอพร วันที่ 20-24 เมษายน 2565 มีกิจกรรมไหว้พระเสริมสิริมงคล เยี่ยมยลชมงานใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ณ พระบรมมหาราชวัง วัด พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมรอบเกาะรัตนโกสินทร์ 20 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครและโรงละครแห่งชาติ,พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ , สวนสันติชัยปราการ,พิพิธภัณฑ์ตํารวจ วังปารุสกวัน,วัดบวรนิเวศวิหาร,วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร,พระบรมมหาราชวัง,ศาลหลักเมือง,พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม,วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร,ศาลาเฉลิมกรุง,วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร,วัดราชนัดดารามวรวิหาร,นิทรรศน์รัตนโกสินทร์,หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน,วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร,วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม,วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม,วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร,พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (มิวเซียมสยาม)
3) เรืองโรจน์บารมีแห่งพระภูมินทร์ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร มีพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชและพิธีตักบาตรพระสงฆ์ วันที่ 21 เมษายน 2565 และไหว้พระเสริมสิริมงคล วันที่ 20-24 เมษายน 2565 4) ชวนย้อนวันวาน ชมมหรสพสมโภช ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง วันที่ 20-24 เมษายน 2565 เช่น การแสดงชุดระบําโบราณคดี การแสดงโขน ชุด หนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา 5) ย้อนวันวาน ยลงานวัง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครและโรงละครแห่งชาติ วันที่ 20-24 เมษายน 2565 มีการอัญเชิญพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 9 รัชกาล และพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ประดิษฐาน ณ ศาลาสําราญมุขมาตย์ เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทั้ง 10 รัชกาล หัวข้อ “ชุมชนใต้ร่มพระบารมี” ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ํา การแสดงศิลปวัฒนธรรม เช่น การแสดง แสง เสียงและสื่อผสมจินตนฤมิต ชุด“ใต้ร่มฉัตรนฤบดินทร์ รัตนโกสินทร์ 240 ปี” หุ่นละครเล็ก โจหลุยส์ โนรา ลิเก เรื่อง สิบทหารเสือคู่พระทัย การแสดงโดยศิลปินแห่งชาติและวงดนตรีสุนทราภรณ์ การแสดงชุด งิ้วฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 240 ปี และกิจกรรมถ่ายภาพย้อนวันวาน การสาธิตอาหารเปิดตํารับสํารับไทย และจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม
นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า 6) นั่งกินลม ชมมรดกวัฒนธรรม ณ สวนสันติชัยปราการ วันที่ 20-24 เมษายน 2565 มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมและการสาธิตมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เช่น การแสดงนาฏลีลาพื้นบ้านอีสาน ชุด อีสานสราญ ใต้ร่มพระบารมี การแสดงเพลงพื้นบ้านลําตัดโดยนางศรีนวล ขําอาจ ศิลปินแห่งชาติ การแสดงหนังตะลุงปักษ์ใต้ ตลาดวัฒนธรรมและการจําหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชน 7) เยาวชนสรรค์สร้างงานศิลป์ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน วันที่ 20-24 เมษายน 2565 มีกิจกรรม เช่น ตลาดนัดเยาวชน การแสดงศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยของเด็กและเยาวชน นิทรรศการภาพเก่าเล่าเรื่องกรุงรัตนโกสินทร์ และห้องออดิทอเรียม ชั้น 1 จัดฉายภาพยนตร์ อาทิ วิจิตรสมัย,สวรรค์มืด,ห้วงรักเหวลึก และเสวนาวิชาการ เช่น เสภารัตนโกสินทร์ เสวนา“เสด็จทําไม?ไกลถึงยุโรป” และศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ชั้น 3 นิทรรศการ“ชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร”
8) เรียนรู้ความรุ่งเรืองของแผ่นดิน ณ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ วันที่ 20-24 เมษายน 2565 เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และ9) เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร วันที่ 21-24 เมษายน 2565 ซึ่งพื้นที่นี้มีกิจกรรมการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ การแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” การแสดงคอนเสิร์ต “ลูกกรุงย้อนยุค” การแสดงคอนเสิร์ต“ลูกทุ่งงานวัด” การแสดงวงโปงลาง การแสดงละครนอก การแสดงวงดนตรี Bangkok Metropolitan Orchestra การแสดงวงดนตรีลูกทุ่ง“ลูกทุ่ง ลูกกรุงงานวัด” การแสดงเพลงทรงเครื่อง เรื่อง “พระอภัยมณี” วงดนตรีบางกอกคอนเทม ลิเกรวมดาวจาก 12 คณะ ประกวดละครชาตรี ประกวดอาหารสามศาสน์ (พุทธ คริสต์ อิสลาม) กิจกรรมปั่นจักรยาน“สองน่องท่องวัดยามเย็น เห็นวัดยามค่ําคืน” กิจกรรมไหว้พระเสริมสิริมงคล รวมทั้งการสาธิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น อาหารและขนม
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า การจัดงานใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ยึดตามแนวทางการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนประชาชนเที่ยวชมงานดังกล่าววันที่ 20-24 เมษายน 2565 ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และบริเวณรอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ โดยวธ.จัดรถรางและรถขสมก.รับ-ส่งตามจุดต่างๆ ทั้ง 20 แห่งให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสายด่วนวัฒนธรรม 1765 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ชวนย้อนวันวาน “เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน” ผ่านกิจกรรมงานวัดพัฒนาประชาคม ไหว้พระฯ ชมการแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” ละครชาตรี ละครนอก คอนเสิร์ตลูกกรุง-ลูกทุ่ง ดนตรีสากล
วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2565
วธ.ชวนย้อนวันวาน “เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน” ผ่านกิจกรรมงานวัดพัฒนาประชาคม ไหว้พระฯ ชมการแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” ละครชาตรี ละครนอก คอนเสิร์ตลูกกรุง-ลูกทุ่ง ดนตรีสากล
วธ.ชวนย้อนวันวาน “เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน” ผ่านกิจกรรมงานวัดพัฒนาประชาคม ไหว้พระฯ ชมการแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” ละครชาตรี ละครนอก คอนเสิร์ตลูกกรุง-ลูกทุ่ง ดนตรีสากล ลิเกรวมดาว 12 คณะ ไหว้พระเสริมสิริมงคล 21-24 เม.ย.นี้
วธ.ชวนย้อนวันวาน“เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน” ผ่านกิจกรรมงานวัดพัฒนาประชาคม ไหว้พระฯ ชมการแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” ละครชาตรี ละครนอก คอนเสิร์ตลูกกรุง-ลูกทุ่ง ดนตรีสากล ลิเกรวมดาว 12 คณะ ไหว้พระเสริมสิริมงคล 21-24 เม.ย.นี้ ณ วัดประยุรวงศาวาส
วันที่ 21 เมษายน 2565 เวลา 18.00 น. พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีเปิด“งานวัดพัฒนาประชาคมไหว้พระ รับพรย้อนวันวาน สารพันอาหารย่านกะดีจีน-คลองสาน” จัดขึ้นวันที่ 21-24 เมษายน 2565 ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เขตธนบุรี กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจากนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมในพิธี มีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ผู้แทนองค์กรศาสนา ผู้แทนหน่วยงานรัฐ เอกชน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เครือข่ายทางวัฒนธรรม ผู้นําชุมชน ประชาชนและสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรุงเทพฯ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงาน “ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ที่กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ จัดขึ้นวันที่ 20-24 เมษายน 2565 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และบริเวณพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ
นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบปีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 โดยงานนี้จัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงทํานุบํารุงบ้านเมืองให้มีความผาสุกและความเจริญในทุกๆด้าน สืบมาจนถึงปัจจุบันครบรอบ 240 ปีแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกัน รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนสินค้าของชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ปีนี้งาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” จัดขึ้นวันที่ 20-24 เมษายน 2565 ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และบริเวณพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ โดยมีกิจกรรมใน 9 พื้นที่หลักและ 20 แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย 1) ปฐมบทแห่งแผ่นดินรัตนโกสินทร์ ณ ศาลหลักเมือง เชิญชวนประชาชนเข้าสักการะศาลหลักเมือง วันที่ 20-24 เมษายน 2565 และพิธีบวงสรวงเทพยดา วันที่ 21 เมษายน 2565 2)เที่ยวยล ชมวัง ไหว้พระ ขอพร วันที่ 20-24 เมษายน 2565 มีกิจกรรมไหว้พระเสริมสิริมงคล เยี่ยมยลชมงานใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ณ พระบรมมหาราชวัง วัด พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมรอบเกาะรัตนโกสินทร์ 20 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครและโรงละครแห่งชาติ,พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ , สวนสันติชัยปราการ,พิพิธภัณฑ์ตํารวจ วังปารุสกวัน,วัดบวรนิเวศวิหาร,วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร,พระบรมมหาราชวัง,ศาลหลักเมือง,พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม,วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร,ศาลาเฉลิมกรุง,วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร,วัดราชนัดดารามวรวิหาร,นิทรรศน์รัตนโกสินทร์,หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน,วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร,วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม,วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม,วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร,พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (มิวเซียมสยาม)
3) เรืองโรจน์บารมีแห่งพระภูมินทร์ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร มีพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชและพิธีตักบาตรพระสงฆ์ วันที่ 21 เมษายน 2565 และไหว้พระเสริมสิริมงคล วันที่ 20-24 เมษายน 2565 4) ชวนย้อนวันวาน ชมมหรสพสมโภช ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง วันที่ 20-24 เมษายน 2565 เช่น การแสดงชุดระบําโบราณคดี การแสดงโขน ชุด หนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา 5) ย้อนวันวาน ยลงานวัง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครและโรงละครแห่งชาติ วันที่ 20-24 เมษายน 2565 มีการอัญเชิญพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 9 รัชกาล และพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ประดิษฐาน ณ ศาลาสําราญมุขมาตย์ เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทั้ง 10 รัชกาล หัวข้อ “ชุมชนใต้ร่มพระบารมี” ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ํา การแสดงศิลปวัฒนธรรม เช่น การแสดง แสง เสียงและสื่อผสมจินตนฤมิต ชุด“ใต้ร่มฉัตรนฤบดินทร์ รัตนโกสินทร์ 240 ปี” หุ่นละครเล็ก โจหลุยส์ โนรา ลิเก เรื่อง สิบทหารเสือคู่พระทัย การแสดงโดยศิลปินแห่งชาติและวงดนตรีสุนทราภรณ์ การแสดงชุด งิ้วฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 240 ปี และกิจกรรมถ่ายภาพย้อนวันวาน การสาธิตอาหารเปิดตํารับสํารับไทย และจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม
นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า 6) นั่งกินลม ชมมรดกวัฒนธรรม ณ สวนสันติชัยปราการ วันที่ 20-24 เมษายน 2565 มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมและการสาธิตมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เช่น การแสดงนาฏลีลาพื้นบ้านอีสาน ชุด อีสานสราญ ใต้ร่มพระบารมี การแสดงเพลงพื้นบ้านลําตัดโดยนางศรีนวล ขําอาจ ศิลปินแห่งชาติ การแสดงหนังตะลุงปักษ์ใต้ ตลาดวัฒนธรรมและการจําหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชน 7) เยาวชนสรรค์สร้างงานศิลป์ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน วันที่ 20-24 เมษายน 2565 มีกิจกรรม เช่น ตลาดนัดเยาวชน การแสดงศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยของเด็กและเยาวชน นิทรรศการภาพเก่าเล่าเรื่องกรุงรัตนโกสินทร์ และห้องออดิทอเรียม ชั้น 1 จัดฉายภาพยนตร์ อาทิ วิจิตรสมัย,สวรรค์มืด,ห้วงรักเหวลึก และเสวนาวิชาการ เช่น เสภารัตนโกสินทร์ เสวนา“เสด็จทําไม?ไกลถึงยุโรป” และศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ชั้น 3 นิทรรศการ“ชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร”
8) เรียนรู้ความรุ่งเรืองของแผ่นดิน ณ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ วันที่ 20-24 เมษายน 2565 เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และ9) เที่ยวงานวัด ท่องวิถีถิ่นชุมชน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร วันที่ 21-24 เมษายน 2565 ซึ่งพื้นที่นี้มีกิจกรรมการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ การแสดงชุด“พ่อของแผ่นดิน” การแสดงคอนเสิร์ต “ลูกกรุงย้อนยุค” การแสดงคอนเสิร์ต“ลูกทุ่งงานวัด” การแสดงวงโปงลาง การแสดงละครนอก การแสดงวงดนตรี Bangkok Metropolitan Orchestra การแสดงวงดนตรีลูกทุ่ง“ลูกทุ่ง ลูกกรุงงานวัด” การแสดงเพลงทรงเครื่อง เรื่อง “พระอภัยมณี” วงดนตรีบางกอกคอนเทม ลิเกรวมดาวจาก 12 คณะ ประกวดละครชาตรี ประกวดอาหารสามศาสน์ (พุทธ คริสต์ อิสลาม) กิจกรรมปั่นจักรยาน“สองน่องท่องวัดยามเย็น เห็นวัดยามค่ําคืน” กิจกรรมไหว้พระเสริมสิริมงคล รวมทั้งการสาธิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น อาหารและขนม
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า การจัดงานใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ยึดตามแนวทางการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนประชาชนเที่ยวชมงานดังกล่าววันที่ 20-24 เมษายน 2565 ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และบริเวณรอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ โดยวธ.จัดรถรางและรถขสมก.รับ-ส่งตามจุดต่างๆ ทั้ง 20 แห่งให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสายด่วนวัฒนธรรม 1765 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53816 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทปรับปรุงคันทางบนถนนเลียบคลองสาย ปท.3024 จังหวัดปทุมธานี เสร็จสมบูรณ์ | วันพุธที่ 12 มกราคม 2565
กรมทางหลวงชนบทปรับปรุงคันทางบนถนนเลียบคลองสาย ปท.3024 จังหวัดปทุมธานี เสร็จสมบูรณ์
ยกระดับประสิทธิภาพความปลอดภัยในการเดินทาง พัฒนาเส้นทางในโครงข่าย ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ปรับปรุงคันทางบนถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - เลียบคลอง 12 ฝั่งตะวันออก อําเภอธัญบุรีและหนองเสือ จังหวัปทุมธานี เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางอย่างสะดวกปลอดภัยให้ประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาประสิทธิภาพเส้นทางในโครงข่ายคมนาคมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้เส้นทางอย่างต่อเนื่อง
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ถนนในโครงข่ายงานทางของ ทช. บางเส้นทางที่ก่อสร้างอยู่ตามแนวคันคลองชลประทานหรือริมตลิ่งของลําน้ําตามธรรมชาติมักประสบปัญหาความเสียหายของผิวจราจรและคันทาง เนื่องจากระดับน้ําที่สูงขึ้นในช่วงฤดูฝนจะมีน้ําซึมลงสู่ชั้นดินทําให้ดินมีลักษณะอ่อนตัว อีกทั้งการลดระดับของน้ําอย่างรวดเร็วในฤดูแล้งยังทําให้คันทางตามแนวตลิ่งขาดแรงดันน้ําที่คอยพยุงชั้นดิน ส่งผลให้ความแข็งแรงของชั้นดินบริเวณดังกล่าวลดลงและเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดความเสียหาย ในบริเวณเส้นทางจราจรตามมา ส่งผลให้ไม่สามารถรองรับน้ําหนักของยานพาหนะที่สัญจรไปมาได้ ทั้งนี้ ถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 เป็นหนึ่งในเส้นทางที่ก่อสร้างเลียบตามแนวคลองซึ่งได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน ทช. จึงได้ดําเนินโครงการปรับปรุงคันทางบนถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - เลียบคลอง 12 ฝั่งตะวันออก อําเภอธัญบุรีและหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เพื่อรักษาสภาพคันทางและเส้นทางการจราจรไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมในบริเวณอื่น ๆ ป้องกันอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้เส้นทาง ทช. ได้ดําเนินการปรับปรุงคันทางและผิวทางจราจรในบริเวณช่วง กม. ที่ 14+550 - 15+000 และช่วง กม. ที่ 16+330 - 16+950 ด้วยวิธีการตอกเสาเข็มเพิ่มความแข็งแรงบริเวณไหล่ทางและปูแผ่นตาข่ายเสริมกําลังดินบริเวณผิวจราจร เพื่อกระจายน้ําหนักและลดแรงสั่นสะเทือนจากยานพาหนะที่ส่งผลต่อเสาเข็มด้านข้าง จากนั้นจึงลงวัสดุรองพื้นทางและบริเวณชั้นพื้นทางตามมาตรฐานของกรมฯ พร้อมก่อสร้างผิวจราจรแบบแอสฟัลท์ติก คอนกรีตและติดตั้งอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย ปัจจุบันโครงการดังกล่าวดําเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนสัญจรได้ตามปกติแล้ว โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 53.2 ล้านบาท | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทปรับปรุงคันทางบนถนนเลียบคลองสาย ปท.3024 จังหวัดปทุมธานี เสร็จสมบูรณ์
วันพุธที่ 12 มกราคม 2565
กรมทางหลวงชนบทปรับปรุงคันทางบนถนนเลียบคลองสาย ปท.3024 จังหวัดปทุมธานี เสร็จสมบูรณ์
ยกระดับประสิทธิภาพความปลอดภัยในการเดินทาง พัฒนาเส้นทางในโครงข่าย ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ปรับปรุงคันทางบนถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - เลียบคลอง 12 ฝั่งตะวันออก อําเภอธัญบุรีและหนองเสือ จังหวัปทุมธานี เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางอย่างสะดวกปลอดภัยให้ประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาประสิทธิภาพเส้นทางในโครงข่ายคมนาคมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้เส้นทางอย่างต่อเนื่อง
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ถนนในโครงข่ายงานทางของ ทช. บางเส้นทางที่ก่อสร้างอยู่ตามแนวคันคลองชลประทานหรือริมตลิ่งของลําน้ําตามธรรมชาติมักประสบปัญหาความเสียหายของผิวจราจรและคันทาง เนื่องจากระดับน้ําที่สูงขึ้นในช่วงฤดูฝนจะมีน้ําซึมลงสู่ชั้นดินทําให้ดินมีลักษณะอ่อนตัว อีกทั้งการลดระดับของน้ําอย่างรวดเร็วในฤดูแล้งยังทําให้คันทางตามแนวตลิ่งขาดแรงดันน้ําที่คอยพยุงชั้นดิน ส่งผลให้ความแข็งแรงของชั้นดินบริเวณดังกล่าวลดลงและเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดความเสียหาย ในบริเวณเส้นทางจราจรตามมา ส่งผลให้ไม่สามารถรองรับน้ําหนักของยานพาหนะที่สัญจรไปมาได้ ทั้งนี้ ถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 เป็นหนึ่งในเส้นทางที่ก่อสร้างเลียบตามแนวคลองซึ่งได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน ทช. จึงได้ดําเนินโครงการปรับปรุงคันทางบนถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3024 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - เลียบคลอง 12 ฝั่งตะวันออก อําเภอธัญบุรีและหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เพื่อรักษาสภาพคันทางและเส้นทางการจราจรไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมในบริเวณอื่น ๆ ป้องกันอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้เส้นทาง ทช. ได้ดําเนินการปรับปรุงคันทางและผิวทางจราจรในบริเวณช่วง กม. ที่ 14+550 - 15+000 และช่วง กม. ที่ 16+330 - 16+950 ด้วยวิธีการตอกเสาเข็มเพิ่มความแข็งแรงบริเวณไหล่ทางและปูแผ่นตาข่ายเสริมกําลังดินบริเวณผิวจราจร เพื่อกระจายน้ําหนักและลดแรงสั่นสะเทือนจากยานพาหนะที่ส่งผลต่อเสาเข็มด้านข้าง จากนั้นจึงลงวัสดุรองพื้นทางและบริเวณชั้นพื้นทางตามมาตรฐานของกรมฯ พร้อมก่อสร้างผิวจราจรแบบแอสฟัลท์ติก คอนกรีตและติดตั้งอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย ปัจจุบันโครงการดังกล่าวดําเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนสัญจรได้ตามปกติแล้ว โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 53.2 ล้านบาท | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50447 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อม สั่ง รมว.เฮ้ง เตรียมตำแหน่งงานกว่า 8 แสนอัตรารองรับคนว่างงานทั่วประเทศ | วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
บิ๊กป้อม สั่ง รมว.เฮ้ง เตรียมตําแหน่งงานกว่า 8 แสนอัตรารองรับคนว่างงานทั่วประเทศ
รมว.แรงงาน เตรียมตําแหน่งงานกว่า 8 แสนอัตรารองรับคนว่างงาน เผย 4 อุตสาหกรรมส่งออก ยานยนต์ แผงวงจรอิเล็กโทรนิกส์ เครื่องมือแพทย์ และอาหารแช่แข็งยังมีความต้องการแรงงานจํานวนมาก
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานในทุกมิติ ท่านให้ความสําคัญกับพี่น้องประชาชนทุกคนที่ต้องการมีงานทํา และห่วงใยผู้อยู่ในกําลังแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างยิ่ง โดยย้ํากระทรวงแรงงานเร่งหาตําแหน่งงานให้คนไทย เปิดโอกาสให้คนหางานเข้าถึงตําแหน่งงาน มีงาน มีรายได้ สามารถดูแลตนเองและครอบครัว
“ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายอธิบดีกรมการจัดหางาน สํารวจความต้องการแรงงานจากสถานประกอบการทั่วประเทศ และดําเนินการจัดหางานเชิงรุกโดยเตรียมตําแหน่งงานไว้แล้ว จํานวน 814,198 อัตรา แบ่งเป็นแรงงานด้านฝีมือ (แรงงานไทย) จํานวน 389,495 อัตรา และธุรกิจที่พึ่งพาแรงงานต่างด้าว จํานวน 424,703 อัตรา ซึ่งยินดีรับคนไทยทํางานเช่นกัน โดยจ่ายค่าจ้างไม่ต่ํากว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ํา ส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคการผลิตส่งออกในอุตสาหกรรมยานยนต์ แผงวงจรอิเล็กโทรนิกส์ เครื่องมือแพทย์ และอาหารแช่แข็ง ที่มีความต้องการแรงงานจํานวนมาก นอกจากนี้กรมการจัดหางานได้นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมให้บริการประชาชน โดยปรับเปลี่ยนการจัดหางานแบบเดิมสู่รูปแบบ“นัดพบแรงงานออนไลน์” เต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้ เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมลดค่าใช้จ่ายและเวลาการเดินทางให้กับประชาชน การจัดงานลักษณะนี้จะช่วยจับคู่ระหว่างนายจ้าง/สถานประกอบการที่มีความต้องการจ้างงานและผู้สมัครงาน ผ่านระบบออนไลน์ตั้งแต่การค้นหาตําแหน่งงานจนถึงการสัมภาษณ์งาน ซึ่งใช้แนวคิดจากแพลตฟอร์มไทยมีงานทําที่เคยรวบรวมตําแหน่งงานมากที่สุดถึง 1.3 ล้านอัตรา ในงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ในด้านการจัดหางานต่างประเทศ กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จํานวน 100,000 อัตรา โดยจัดส่งแล้ว 38,019 คน และอยู่ระหว่างจัดส่งตามแผนอีก 61,981 คน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่ากรมการจัดหางานขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ด้านการจัดหางานในประเทศมีการจัดหางานเชิงรุกเพื่อเตรียมตําแหน่งงานรองรับคนหางานผ่านระบบออนไลน์ โดยกระจายหน้าที่การรวบรวมตําแหน่งงานให้สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่1-10 และสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่สํารวจความต้องการนายจ้าง/สถานประกอบการในเขตรับผิดชอบ เตรียมไว้บริการคนหางานที่ประสงค์สมัครงานและทํางานในพื้นที่ที่ตรงความต้องการ โดยจัดงานนัดพบแรงงานออนไลน์ครั้งแรกใน “นัดพบแรงงานใหญ่ 9 จังหวัด” ประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ อุดรธานี นครราชสีมา และนครศรีธรรมราช มีตําแหน่งงานว่างรองรับ จํานวน 9,064 อัตรา มีผู้สมัครงานลงทะเบียนหางาน จํานวน 4,245 คน และได้รับการบรรจุงานทันที จํานวน 931 คน รวมทั้ง “นัดพบแรงงานออนไลน์พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC” ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มีตําแหน่งงานว่างรองรับ จํานวน 8,910 อัตรา ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งผู้ที่สนใจยังสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.doe.go.th โดยคลิ๊กที่แบนเนอร์ นัดพบแรงงาน Online DOE Job Fair 2021 จะมีรายละเอียดงาน QR code และช่องทางติดต่อสํานักงานจัดหางานจังหวัดพื้นที่ที่ต้องการทํางาน รวมทั้งคู่มือการลงทะเบียนสําหรับสถานประกอบการและผู้สมัครงานไว้ให้บริการ
ด้านการจัดหางานต่างประเทศ ได้ปรับมาตรการการเดินทางภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานต่างประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นต่อนานาประเทศ โดยปรับวิธีการอบรมแรงงานก่อนเดินทางด้วยระบบอออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom แทนการเดินทางมาอบรม ณ กรมการจัดหางาน การให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์และมาตรการควบคุมโรคที่ประเทศนั้น ๆ กําหนด การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนเดินทางไปทํางานต่างประเทศ และการฉีดวัคซีน Astra Zeneca ให้แรงงานไทยที่จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์ก่อนเดินทาง ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือน ก.ค.64 มีแรงงานไทยที่ยังทํางานอยู่ในต่างประเทศ จํานวน 118,572 คน ส่งรายได้กลับประเทศผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว 153,006 ล้านบาท | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อม สั่ง รมว.เฮ้ง เตรียมตำแหน่งงานกว่า 8 แสนอัตรารองรับคนว่างงานทั่วประเทศ
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
บิ๊กป้อม สั่ง รมว.เฮ้ง เตรียมตําแหน่งงานกว่า 8 แสนอัตรารองรับคนว่างงานทั่วประเทศ
รมว.แรงงาน เตรียมตําแหน่งงานกว่า 8 แสนอัตรารองรับคนว่างงาน เผย 4 อุตสาหกรรมส่งออก ยานยนต์ แผงวงจรอิเล็กโทรนิกส์ เครื่องมือแพทย์ และอาหารแช่แข็งยังมีความต้องการแรงงานจํานวนมาก
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานในทุกมิติ ท่านให้ความสําคัญกับพี่น้องประชาชนทุกคนที่ต้องการมีงานทํา และห่วงใยผู้อยู่ในกําลังแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างยิ่ง โดยย้ํากระทรวงแรงงานเร่งหาตําแหน่งงานให้คนไทย เปิดโอกาสให้คนหางานเข้าถึงตําแหน่งงาน มีงาน มีรายได้ สามารถดูแลตนเองและครอบครัว
“ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายอธิบดีกรมการจัดหางาน สํารวจความต้องการแรงงานจากสถานประกอบการทั่วประเทศ และดําเนินการจัดหางานเชิงรุกโดยเตรียมตําแหน่งงานไว้แล้ว จํานวน 814,198 อัตรา แบ่งเป็นแรงงานด้านฝีมือ (แรงงานไทย) จํานวน 389,495 อัตรา และธุรกิจที่พึ่งพาแรงงานต่างด้าว จํานวน 424,703 อัตรา ซึ่งยินดีรับคนไทยทํางานเช่นกัน โดยจ่ายค่าจ้างไม่ต่ํากว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ํา ส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคการผลิตส่งออกในอุตสาหกรรมยานยนต์ แผงวงจรอิเล็กโทรนิกส์ เครื่องมือแพทย์ และอาหารแช่แข็ง ที่มีความต้องการแรงงานจํานวนมาก นอกจากนี้กรมการจัดหางานได้นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมให้บริการประชาชน โดยปรับเปลี่ยนการจัดหางานแบบเดิมสู่รูปแบบ“นัดพบแรงงานออนไลน์” เต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้ เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมลดค่าใช้จ่ายและเวลาการเดินทางให้กับประชาชน การจัดงานลักษณะนี้จะช่วยจับคู่ระหว่างนายจ้าง/สถานประกอบการที่มีความต้องการจ้างงานและผู้สมัครงาน ผ่านระบบออนไลน์ตั้งแต่การค้นหาตําแหน่งงานจนถึงการสัมภาษณ์งาน ซึ่งใช้แนวคิดจากแพลตฟอร์มไทยมีงานทําที่เคยรวบรวมตําแหน่งงานมากที่สุดถึง 1.3 ล้านอัตรา ในงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ในด้านการจัดหางานต่างประเทศ กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จํานวน 100,000 อัตรา โดยจัดส่งแล้ว 38,019 คน และอยู่ระหว่างจัดส่งตามแผนอีก 61,981 คน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่ากรมการจัดหางานขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ด้านการจัดหางานในประเทศมีการจัดหางานเชิงรุกเพื่อเตรียมตําแหน่งงานรองรับคนหางานผ่านระบบออนไลน์ โดยกระจายหน้าที่การรวบรวมตําแหน่งงานให้สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่1-10 และสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่สํารวจความต้องการนายจ้าง/สถานประกอบการในเขตรับผิดชอบ เตรียมไว้บริการคนหางานที่ประสงค์สมัครงานและทํางานในพื้นที่ที่ตรงความต้องการ โดยจัดงานนัดพบแรงงานออนไลน์ครั้งแรกใน “นัดพบแรงงานใหญ่ 9 จังหวัด” ประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ อุดรธานี นครราชสีมา และนครศรีธรรมราช มีตําแหน่งงานว่างรองรับ จํานวน 9,064 อัตรา มีผู้สมัครงานลงทะเบียนหางาน จํานวน 4,245 คน และได้รับการบรรจุงานทันที จํานวน 931 คน รวมทั้ง “นัดพบแรงงานออนไลน์พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC” ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มีตําแหน่งงานว่างรองรับ จํานวน 8,910 อัตรา ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งผู้ที่สนใจยังสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.doe.go.th โดยคลิ๊กที่แบนเนอร์ นัดพบแรงงาน Online DOE Job Fair 2021 จะมีรายละเอียดงาน QR code และช่องทางติดต่อสํานักงานจัดหางานจังหวัดพื้นที่ที่ต้องการทํางาน รวมทั้งคู่มือการลงทะเบียนสําหรับสถานประกอบการและผู้สมัครงานไว้ให้บริการ
ด้านการจัดหางานต่างประเทศ ได้ปรับมาตรการการเดินทางภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานต่างประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นต่อนานาประเทศ โดยปรับวิธีการอบรมแรงงานก่อนเดินทางด้วยระบบอออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom แทนการเดินทางมาอบรม ณ กรมการจัดหางาน การให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์และมาตรการควบคุมโรคที่ประเทศนั้น ๆ กําหนด การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนเดินทางไปทํางานต่างประเทศ และการฉีดวัคซีน Astra Zeneca ให้แรงงานไทยที่จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์ก่อนเดินทาง ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือน ก.ค.64 มีแรงงานไทยที่ยังทํางานอยู่ในต่างประเทศ จํานวน 118,572 คน ส่งรายได้กลับประเทศผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว 153,006 ล้านบาท | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44759 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เกษตรฯ" จับมือ "พาณิชย์" ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน "ยุทธศาสตร์ข้าวไทย" | วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565
"เกษตรฯ" จับมือ "พาณิชย์" ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงาน "ยุทธศาสตร์ข้าวไทย"
ให้บรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 ระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายบุญฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตรเข้าร่วมหารือ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 เมื่อ 4 พฤศจิกายน 2563 ตามที่กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์เสนอ ภายใต้หลักการ "ตลาดนําการผลิต" โดยมีพันธกิจ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการตลาดต่างประเทศ 2) ด้านตลาดภายในประเทศ 3) ด้านการผลิต และ 4) ด้านผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว เพื่อเชื่อมโยงความต้องการของตลาดกับภาคการผลิตให้ดําเนินการไปในทิศทางเดียวกันและสอดรับกันอย่างเป็นระบบนั้น
"สําหรับการติดตามความก้าวหน้าและการหารือในวันนี้ มี 3 ประเด็น คือ 1) การดําเนินการพัฒนาพันธุ์ข้าว โดยการจัดประกวดข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านการผลิตที่มีเป้าหมายต้องได้พันธุ์ข้าวใหม่ 12 พันธุ์ ภายใน 5 ปี และได้มีการจัดโครงการประกวดข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อการพาณิชย์ ครั้งที่ 1 ประจําปี 2564 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ได้ประกาศผลการประกวด และได้ข้าวพันธุ์ใหม่ 6 สายพันธุ์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดําเนินการขอรับรองพันธุ์พืชและขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าวให้เรียบร้อยก่อนเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ ตามขั้นตอนต่อไป 2) การจัดประกวดข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อการพาณิชย์ ครั้งที่ 2 ประจําปี 2565 ซึ่งได้ปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการฯ ไปแล้ว เมื่อ 15 กรกฎาคม 2565 โดยขอความร่วมมือกระทรวงเกษตรฯ ดําเนินการตามขั้นตอนการประกวดในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ การตรวจสอบประวัติพันธุกรรม การกําหนดรหัสตัวอย่างพันธุ์ข้าวที่ผ่านการตรวจสอบ การกระจายตัวอย่างพันธุ์ข้าวไปยังแปลงนาทดลองเพื่อลงเพาะกล้าข้าว เป็นต้น และ 3) การเพิ่มจํานวนหน่วยตรวจสอบเอกลักษณ์พันธุกรรม (DNA) ข้าวหอมมะลิไทย เพื่อเปิดให้บริการตรวจสอบ DNA ข้าวหอมมะลิไทยในเชิงพาณิชย์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ขอให้กรมการข้าวพิจารณาเพิ่มหน่วยตรวจสอบ DNA ในพื้นที่ส่วนกลางด้วย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งตัวอย่างของผู้ประกอบการ ซึ่งกรมการข้าวอยู่ระหว่างพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าว และจะเร่งดําเนินการ รวมถึงแจ้งความคืบหน้าให้ทราบในโอกาสต่อไป" ปลัดเกษตร กล่าว. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เกษตรฯ" จับมือ "พาณิชย์" ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน "ยุทธศาสตร์ข้าวไทย"
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565
"เกษตรฯ" จับมือ "พาณิชย์" ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงาน "ยุทธศาสตร์ข้าวไทย"
ให้บรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 ระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายบุญฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตรเข้าร่วมหารือ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 เมื่อ 4 พฤศจิกายน 2563 ตามที่กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์เสนอ ภายใต้หลักการ "ตลาดนําการผลิต" โดยมีพันธกิจ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการตลาดต่างประเทศ 2) ด้านตลาดภายในประเทศ 3) ด้านการผลิต และ 4) ด้านผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว เพื่อเชื่อมโยงความต้องการของตลาดกับภาคการผลิตให้ดําเนินการไปในทิศทางเดียวกันและสอดรับกันอย่างเป็นระบบนั้น
"สําหรับการติดตามความก้าวหน้าและการหารือในวันนี้ มี 3 ประเด็น คือ 1) การดําเนินการพัฒนาพันธุ์ข้าว โดยการจัดประกวดข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านการผลิตที่มีเป้าหมายต้องได้พันธุ์ข้าวใหม่ 12 พันธุ์ ภายใน 5 ปี และได้มีการจัดโครงการประกวดข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อการพาณิชย์ ครั้งที่ 1 ประจําปี 2564 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ได้ประกาศผลการประกวด และได้ข้าวพันธุ์ใหม่ 6 สายพันธุ์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดําเนินการขอรับรองพันธุ์พืชและขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าวให้เรียบร้อยก่อนเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ ตามขั้นตอนต่อไป 2) การจัดประกวดข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อการพาณิชย์ ครั้งที่ 2 ประจําปี 2565 ซึ่งได้ปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการฯ ไปแล้ว เมื่อ 15 กรกฎาคม 2565 โดยขอความร่วมมือกระทรวงเกษตรฯ ดําเนินการตามขั้นตอนการประกวดในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ การตรวจสอบประวัติพันธุกรรม การกําหนดรหัสตัวอย่างพันธุ์ข้าวที่ผ่านการตรวจสอบ การกระจายตัวอย่างพันธุ์ข้าวไปยังแปลงนาทดลองเพื่อลงเพาะกล้าข้าว เป็นต้น และ 3) การเพิ่มจํานวนหน่วยตรวจสอบเอกลักษณ์พันธุกรรม (DNA) ข้าวหอมมะลิไทย เพื่อเปิดให้บริการตรวจสอบ DNA ข้าวหอมมะลิไทยในเชิงพาณิชย์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ขอให้กรมการข้าวพิจารณาเพิ่มหน่วยตรวจสอบ DNA ในพื้นที่ส่วนกลางด้วย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งตัวอย่างของผู้ประกอบการ ซึ่งกรมการข้าวอยู่ระหว่างพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าว และจะเร่งดําเนินการ รวมถึงแจ้งความคืบหน้าให้ทราบในโอกาสต่อไป" ปลัดเกษตร กล่าว. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57518 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ เผย นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์การโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พอใจ การบริการแบบ “เจอ แจก จบ” ได้ผลดี ประชาชนเข้าถึงการรักษาครอบคลุมมากขึ้น | วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565
โฆษกฯ เผย นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์การโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พอใจ การบริการแบบ “เจอ แจก จบ” ได้ผลดี ประชาชนเข้าถึงการรักษาครอบคลุมมากขึ้น
โฆษกฯ เผย นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์การโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พอใจ การบริการแบบ “เจอ แจก จบ” ได้ผลดี ประชาชนเข้าถึงการรักษาครอบคลุมมากขึ้น
วันที่ 15 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ซึ่งในขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่ในช่วงของการปรับเข้าสู่โรคประจําถิ่น หรือยุติการระบาดใหญ่ (Post Pandemic) เนื่องจากปัจจุบันเชื้อมีความรุนแรงลดลง ผู้ป่วยหนักหรือเสียชีวิตมีสัดส่วนที่ลดลง และมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมเป็นจํานวนมากกว่า 125 ล้านเข็ม รวมถึงระบบรักษาพยาบาลของไทย มีสมรรถนะที่ดีและเตรียมพร้อมในการรองรับสถานการณ์ เพื่อเพิ่มความเชื่อมมั่นให้กับประชาชน นายกรัฐมนตรียังรับรายงานการเพิ่มระบบการดูแลแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัว หรือ “เจอ แจก จบ” เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเข้าสู่ระบบการรักษาสําหรับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งจากการดําเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ ช่วยให้ประชาชนได้รับความสะดวก ได้เข้าถึงบริการครอบคลุมมากขึ้น โดยประชาชนที่มีผลตรวจ ATK ด้วยตนเองเป็นบวก สามารถเข้าไปรับบริการคลินิกโรคทางเดินหายใจของโรงพยาบาลที่มีสิทธิการรักษาอยู่ได้ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยติดตามประเมินอาการในช่วง 48 ชั่วโมงแรก หากมีอาการรุนแรงขึ้นก็อาจมีการพิจารณาให้เข้าระบบการรักษาในโรงพยาบาลได้
นายธนกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอคนไทยอย่าเพิ่งกังวล การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แยกย่อยเป็นหลายๆ สายพันธุ์ย่อยนั้น ถึงแม้ว่าจะทําให้มีการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังไม่พบสัญญาณเรื่องของความสามารถในการแพร่เชื้อ ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงยังเป็นวิธีการป้องกันที่สําคัญ เพื่อลดการติดเชื้อและลดอัตราความรุนแรงของโรค ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโควิด-19 จากการแถลงข่าวของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อได้รับข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสนและตื่นตระหนก
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 19,742 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 19,690 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 52 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 70 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 221,436 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 24,125 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 1,003,262 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 812,919 ราย ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 13 มี.ค. 2565 รวม 126,176,878 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 54,419,126 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 49,977,239 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 สะสม 19,907,958 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 สะสม 1,872,555 โดส
----------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ เผย นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์การโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พอใจ การบริการแบบ “เจอ แจก จบ” ได้ผลดี ประชาชนเข้าถึงการรักษาครอบคลุมมากขึ้น
วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565
โฆษกฯ เผย นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์การโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พอใจ การบริการแบบ “เจอ แจก จบ” ได้ผลดี ประชาชนเข้าถึงการรักษาครอบคลุมมากขึ้น
โฆษกฯ เผย นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์การโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พอใจ การบริการแบบ “เจอ แจก จบ” ได้ผลดี ประชาชนเข้าถึงการรักษาครอบคลุมมากขึ้น
วันที่ 15 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ซึ่งในขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่ในช่วงของการปรับเข้าสู่โรคประจําถิ่น หรือยุติการระบาดใหญ่ (Post Pandemic) เนื่องจากปัจจุบันเชื้อมีความรุนแรงลดลง ผู้ป่วยหนักหรือเสียชีวิตมีสัดส่วนที่ลดลง และมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมเป็นจํานวนมากกว่า 125 ล้านเข็ม รวมถึงระบบรักษาพยาบาลของไทย มีสมรรถนะที่ดีและเตรียมพร้อมในการรองรับสถานการณ์ เพื่อเพิ่มความเชื่อมมั่นให้กับประชาชน นายกรัฐมนตรียังรับรายงานการเพิ่มระบบการดูแลแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัว หรือ “เจอ แจก จบ” เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเข้าสู่ระบบการรักษาสําหรับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งจากการดําเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ ช่วยให้ประชาชนได้รับความสะดวก ได้เข้าถึงบริการครอบคลุมมากขึ้น โดยประชาชนที่มีผลตรวจ ATK ด้วยตนเองเป็นบวก สามารถเข้าไปรับบริการคลินิกโรคทางเดินหายใจของโรงพยาบาลที่มีสิทธิการรักษาอยู่ได้ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยติดตามประเมินอาการในช่วง 48 ชั่วโมงแรก หากมีอาการรุนแรงขึ้นก็อาจมีการพิจารณาให้เข้าระบบการรักษาในโรงพยาบาลได้
นายธนกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอคนไทยอย่าเพิ่งกังวล การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แยกย่อยเป็นหลายๆ สายพันธุ์ย่อยนั้น ถึงแม้ว่าจะทําให้มีการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังไม่พบสัญญาณเรื่องของความสามารถในการแพร่เชื้อ ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงยังเป็นวิธีการป้องกันที่สําคัญ เพื่อลดการติดเชื้อและลดอัตราความรุนแรงของโรค ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโควิด-19 จากการแถลงข่าวของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อได้รับข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสนและตื่นตระหนก
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 19,742 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 19,690 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 52 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 70 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 221,436 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 24,125 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 1,003,262 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 812,919 ราย ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 13 มี.ค. 2565 รวม 126,176,878 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 54,419,126 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 49,977,239 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 สะสม 19,907,958 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 สะสม 1,872,555 โดส
----------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52545 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.เฉลิมชัย ชวนเที่ยวงานเทศกาลผลไม้และของดีอำเภอแกลง ประจำปี 2565 | วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2565
รมต.เฉลิมชัย ชวนเที่ยวงานเทศกาลผลไม้และของดีอําเภอแกลง ประจําปี 2565
รมต.เฉลิมชัย ชวนเที่ยวงานเทศกาลผลไม้และของดีอําเภอแกลง ประจําปี 2565 มุ่งเน้นให้เกษตรกรรักษาคุณภาพและมาตรฐานการผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด พร้อมชูมาตรการ Zero COVID Rayong Fruit เพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดภายในและภายนอกประเทศ
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานเทศกาลผลไม้และของดีอําเภอแกลง ประจําปี 2565 ปีที่ 40 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 17 พฤษภาคม 2565 ณ สถานีบริการน้ํามันบางจาก (ไต๋ ปิโตรเลียม) พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ชนะการประกวดผลไม้ มอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้สนับสนุนการจัดงาน มอบป้ายมาตรการด้านความปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในผลไม้เพื่อการส่งออกของจังหวัดระยอง (Zero COVIDRayong Fruit : ZCRF) เยี่ยมชมการจําหน่ายผลไม้ ชิมทุเรียนหลากสายพันธุ์จากสวนบ้านเรา หมู่ที่ 8 ต.กระแสบน อ.แกลง จ.ระยอง และร่วมกิจกรรมทอดทุเรียนกระทะยักษ์ โดยการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงแหล่งผลิตผลไม้ที่ดี มีคุณภาพ เพิ่มศักยภาพในด้านการจําหน่ายผลไม้ของเกษตรกร สร้างขวัญและกําลังใจแก่เกษตรกรที่ผลิตผลไม้เป็นอาชีพหลัก ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับอําเภอแกลงอีกทางหนึ่งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สําหรับปริมาณผลผลิตของไม้ผล 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง ของเดือนเมษายน 2565 ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ระยอง จันทบุรี และตราด พบว่า ผลผลิตของผลไม้ทั้ง 4 ชนิด มีจํานวนรวม 1,189,522 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีจํานวน 903,865 ตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 32) เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น และมีฝนตกต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2564 ส่งผลให้เอื้อต่อการออกดอกและติดผล แม้จะมีภัยธรรมชาติจากลมพายุช่วงปลายปี 2564 และเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2565 ที่ทําให้ดอกและลูกร่วงเสียหาย แต่ในภาพรวมปริมาณผลผลิต ยังคงมากกว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลผลิตได้ทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และจะออกต่อเนื่องจนถึงกลางเดือนกันยายน 2565 โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 (คิดเป็นร้อยละ 51 ของผลผลิตทั้งหมด) ทําให้ผลผลิตผลไม้ไทยปีนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 32% กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องเตรียมมาตรการรับมือ เพื่อไม่ให้ผลไม้กระจุกตัวและเกิดปัญหาราคาตกต่ํา ซึ่งในปีที่ผ่านมา ไทยส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1.6 แสนล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนส่งออกทะลุแสนล้านเป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ ในส่วนของมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2565 ได้มีการบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบ เป็นมาตรการหลักในการขับเคลื่อน ประกอบด้วย 17 มาตรการ อาทิ 1) มาตรการเร่งรัดตรวจและรับรอง GAP ซึ่งมีเป้าหมายในปี 2565 ไม่ต่ํากว่า 120,000 แปลง 2) มาตรการช่วยผู้ประกอบการ หรือเกษตรกร หรือล้ง กระจายผลผลิตผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท ปริมาณ 80,000 ตัน 3) มาตรการเสริมสภาพคล่องให้ผู้ส่งออกโดยจะช่วยเหลือดอกเบี้ย 3% และช่วยผู้ส่งออกที่ส่งออกผลไม้อีกกิโลกรัมละ 5 บาท ปริมาณ 60,000 ตัน 4) ร่วมบูรณาการระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนให้มีการใช้พระราชบัญญัติเกษตรพันธสัญญา การทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้านผลไม้ โดยจะสนับสนุนให้มีการทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเกษตรกรได้ทราบว่าขายผลไม้ได้เท่าไหร่ มีคนซื้อที่มีหลักประกัน เซ็นสัญญาตามกฎหมายชัดเจนไม่ต่ํากว่า 30,000 ตัน และ 5) มาตรการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ในประเทศ เป็นต้น
"การจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องเกษตรกรในด้านการจําหน่ายสินค้าการเกษตร และเป็นประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวในอําเภอแกลง จึงอยากให้เกษตรกรรักษาคุณภาพและมาตรฐานการผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับจังหวัด รวมถึงขยายโอกาสทางการตลาดไปสู่ภายในและภายนอกประเทศ และพัฒนาเป็นเกษตรอุตสาหกรรมและเกษตรท่องเที่ยวได้ และสําหรับการลงพื้นที่ในวันนี้ อยากมาร่วมแสดงความยินดีที่จังหวัดระยองประสบความสําเร็จที่ผลไม้ของจังหวัดระยอง โดยเฉพาะทุเรียน สามารถนําเงินเข้าจังหวัดมาได้กว่าหมื่นล้านบาทต่อปี และที่สําคัญเป็นเม็ดเงินที่มาถึงมือพี่น้องเกษตรกรโดยตรง จึงอยากมาร่วมยินดีกับความสําเร็จกับเกษตรกรและทุกภาคส่วน ที่ทํางานร่วมกันเพื่อให้ประสบความสําเร็จไปข้างหน้า และในอนาคตต้องการเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับพี่น้องเกษตรกรให้มากยิ่งขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ พร้อมจะเข้ามาสนับสนุนเกษตรกร และมุ่งที่จะสร้างความเข้มแข็งและสร้างรายได้ให้พี่น้องเกษตรกรทุกกลุ่มต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.เฉลิมชัย ชวนเที่ยวงานเทศกาลผลไม้และของดีอำเภอแกลง ประจำปี 2565
วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2565
รมต.เฉลิมชัย ชวนเที่ยวงานเทศกาลผลไม้และของดีอําเภอแกลง ประจําปี 2565
รมต.เฉลิมชัย ชวนเที่ยวงานเทศกาลผลไม้และของดีอําเภอแกลง ประจําปี 2565 มุ่งเน้นให้เกษตรกรรักษาคุณภาพและมาตรฐานการผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด พร้อมชูมาตรการ Zero COVID Rayong Fruit เพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดภายในและภายนอกประเทศ
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานเทศกาลผลไม้และของดีอําเภอแกลง ประจําปี 2565 ปีที่ 40 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 17 พฤษภาคม 2565 ณ สถานีบริการน้ํามันบางจาก (ไต๋ ปิโตรเลียม) พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ชนะการประกวดผลไม้ มอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้สนับสนุนการจัดงาน มอบป้ายมาตรการด้านความปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในผลไม้เพื่อการส่งออกของจังหวัดระยอง (Zero COVIDRayong Fruit : ZCRF) เยี่ยมชมการจําหน่ายผลไม้ ชิมทุเรียนหลากสายพันธุ์จากสวนบ้านเรา หมู่ที่ 8 ต.กระแสบน อ.แกลง จ.ระยอง และร่วมกิจกรรมทอดทุเรียนกระทะยักษ์ โดยการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงแหล่งผลิตผลไม้ที่ดี มีคุณภาพ เพิ่มศักยภาพในด้านการจําหน่ายผลไม้ของเกษตรกร สร้างขวัญและกําลังใจแก่เกษตรกรที่ผลิตผลไม้เป็นอาชีพหลัก ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับอําเภอแกลงอีกทางหนึ่งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สําหรับปริมาณผลผลิตของไม้ผล 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง ของเดือนเมษายน 2565 ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ระยอง จันทบุรี และตราด พบว่า ผลผลิตของผลไม้ทั้ง 4 ชนิด มีจํานวนรวม 1,189,522 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีจํานวน 903,865 ตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 32) เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น และมีฝนตกต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2564 ส่งผลให้เอื้อต่อการออกดอกและติดผล แม้จะมีภัยธรรมชาติจากลมพายุช่วงปลายปี 2564 และเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2565 ที่ทําให้ดอกและลูกร่วงเสียหาย แต่ในภาพรวมปริมาณผลผลิต ยังคงมากกว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลผลิตได้ทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และจะออกต่อเนื่องจนถึงกลางเดือนกันยายน 2565 โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 (คิดเป็นร้อยละ 51 ของผลผลิตทั้งหมด) ทําให้ผลผลิตผลไม้ไทยปีนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 32% กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องเตรียมมาตรการรับมือ เพื่อไม่ให้ผลไม้กระจุกตัวและเกิดปัญหาราคาตกต่ํา ซึ่งในปีที่ผ่านมา ไทยส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1.6 แสนล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนส่งออกทะลุแสนล้านเป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ ในส่วนของมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2565 ได้มีการบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบ เป็นมาตรการหลักในการขับเคลื่อน ประกอบด้วย 17 มาตรการ อาทิ 1) มาตรการเร่งรัดตรวจและรับรอง GAP ซึ่งมีเป้าหมายในปี 2565 ไม่ต่ํากว่า 120,000 แปลง 2) มาตรการช่วยผู้ประกอบการ หรือเกษตรกร หรือล้ง กระจายผลผลิตผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท ปริมาณ 80,000 ตัน 3) มาตรการเสริมสภาพคล่องให้ผู้ส่งออกโดยจะช่วยเหลือดอกเบี้ย 3% และช่วยผู้ส่งออกที่ส่งออกผลไม้อีกกิโลกรัมละ 5 บาท ปริมาณ 60,000 ตัน 4) ร่วมบูรณาการระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนให้มีการใช้พระราชบัญญัติเกษตรพันธสัญญา การทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้านผลไม้ โดยจะสนับสนุนให้มีการทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเกษตรกรได้ทราบว่าขายผลไม้ได้เท่าไหร่ มีคนซื้อที่มีหลักประกัน เซ็นสัญญาตามกฎหมายชัดเจนไม่ต่ํากว่า 30,000 ตัน และ 5) มาตรการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ในประเทศ เป็นต้น
"การจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องเกษตรกรในด้านการจําหน่ายสินค้าการเกษตร และเป็นประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวในอําเภอแกลง จึงอยากให้เกษตรกรรักษาคุณภาพและมาตรฐานการผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับจังหวัด รวมถึงขยายโอกาสทางการตลาดไปสู่ภายในและภายนอกประเทศ และพัฒนาเป็นเกษตรอุตสาหกรรมและเกษตรท่องเที่ยวได้ และสําหรับการลงพื้นที่ในวันนี้ อยากมาร่วมแสดงความยินดีที่จังหวัดระยองประสบความสําเร็จที่ผลไม้ของจังหวัดระยอง โดยเฉพาะทุเรียน สามารถนําเงินเข้าจังหวัดมาได้กว่าหมื่นล้านบาทต่อปี และที่สําคัญเป็นเม็ดเงินที่มาถึงมือพี่น้องเกษตรกรโดยตรง จึงอยากมาร่วมยินดีกับความสําเร็จกับเกษตรกรและทุกภาคส่วน ที่ทํางานร่วมกันเพื่อให้ประสบความสําเร็จไปข้างหน้า และในอนาคตต้องการเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับพี่น้องเกษตรกรให้มากยิ่งขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ พร้อมจะเข้ามาสนับสนุนเกษตรกร และมุ่งที่จะสร้างความเข้มแข็งและสร้างรายได้ให้พี่น้องเกษตรกรทุกกลุ่มต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54581 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ 2565 จัดมหกรรมจำหน่ายสินค้าราคาโรงงาน พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ลดภาระประชาชนและผู้ประกอบการ | วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2564
ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ 2565 จัดมหกรรมจําหน่ายสินค้าราคาโรงงาน พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ลดภาระประชาชนและผู้ประกอบการ
ก.อุตตสาหกรรมมอบของขวัญปีใหม่ 2565 จัดมหกรรมจําหน่ายสินค้าราคาโรงงาน พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ลดภาระประชาชนและผู้ประกอบการ
กระทรวงอุตสาหกรรมมอบของขวัญให้ประชาชนและผู้ประกอบการปี 65 เตรียมจัดงานจําหน่ายสินค้าราคาโรงงานและงานจําหน่ายสินค้ารถยนต์ราคาพิเศษในพื้นที่ต่างจังหวัด รวบรวมสินค้าอุปโภคบริโภคมาจําหน่าย ช่วยลดค่าครองชีพช่วยเหลือประชาชน ระดมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ช่วยเหลือผู้ประกอบการและเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องกิจการ รักษาการจ้างงาน พร้อมสนับสนุนเครื่องมือทางการเกษตรแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกกระทรวงจัดทําแผนงานโครงการมอบเป็นของขวัญปีใหม่สําหรับคนไทยทุกคน กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้จัดของขวัญปีใหม่ 2565 เพื่อมอบให้ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้วยการจัดมหกรรมจําหน่ายสินค้าราคาโรงงานโดยคัดสรรสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อช่วยลดค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน โดยมีทั้งสินค้าจากศรีไทยซุปเปอร์แวร์ สินค้าจากผู้ประกอบการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ชลบุรี ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย สินค้าเอสเอ็มอีและโอทอป สินค้าชุมชนจากโครงการ Farm to Factory โดยจะจัดระหว่างวันที่ 23-24 ธันวาคม 2564 ณ บริเวณนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี และมหกรรมแสดงและจําหน่ายสินค้า DIPROM MOTOR OUTLET จําหน่ายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องจักรกลการเกษตรในราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระให้ผู้บริโภค โดยจะจัดระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัสดุอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จังหวัดลําปาง
พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา กว่า 5 โครงการ จากสํานักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ได้แก่ สินเชื่อเพิ่มศักยภาพSME สําหรับ SME ผู้ผลิตให้บริการค้าปลีกค้าส่งในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG (Bio Circular Green) กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 18 เดือน ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา คาดว่าจะเปิดรับคําขอสินเชื่อได้ในช่วงเดือนมกราคม 2565
• สินเชื่อ สร้างโอกาส เสริมสภาพคล่อง SME สําหรับ SME ผู้ผลิตให้บริการค้าปลีกหรือค้าส่ง เพื่อสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเงินทุนแก่เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพที่เป็นนิติบุคคลและเป็นกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SME ให้นําเงินทุนไปใช้ในการปรับปรุง ลงทุนในกิจการ ฟื้นฟู กิจการในปัจจุบัน หรือเริ่มต้นกิจการใหม่ กรอบวงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายตั้งแต่ 1 แสนบาทและสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา คาดว่าจะเปิดรับคําขอสินเชื่อได้ในช่วงเดือนมกราคม 2565
• สินเชื่อเพื่อฟื้นฟู SME เพื่อเป็นเงินทุนช่วยเหลือให้กับ SME กลุ่มเดิมที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่มีภาระหนี้เงินต้นวงเงินกู้สินเชื่อระยะยาว (Term Loan) คงเหลืออยู่กับกองทุนได้นําเงินทุนไปใช้ในการปรับปรุง ลงทุน เงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่องในการดําเนินกิจการ หรือฟื้นฟูกิจการในปัจจุบันหรือเริ่มต้นกิจการใหม่ โดยผู้รับสินเชื่อต้องเป็นลูกหนี้ในโครงการสินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
หรือโครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สําหรับ SMEs–คนตัวเล็ก หรือโครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน กรอบวงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมกับภาระหนี้เงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยคงค้างของสัญญากู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ต้องไม่เกินจากวงเงินสินเชื่อ ที่ได้รับอนุมัติเดิมระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา คาดว่าจะเปิดรับคําขอสินเชื่อได้ในช่วงเดือนมกราคม 2565
• สินเชื่อพิเศษดีพร้อมเปย์ (DIProm Pay) สําหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรอบวงเงิน 30 ล้านบาท (ยื่นคําขอภายใน 30 เมษายน 2565 หรือจนกว่าจะครบจํานวนวงเงินโครงการ ทั้งนี้ขอสงวนสิทธิ์ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกําหนด หากมีการอนุมัติสินเชื่อเต็มวงเงินแล้ว) โดยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้นแบบขั้นบันได เริ่มต้นปีแรก 3% ปีที่สอง 4% และ ปีที่สาม 5% สนใจสามารถติดต่อได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
• สินเชื่อ SMEs Happy สําหรับลูกค้าเดิมของ ธพว. และผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป เพื่อขยายกิจการ
เสริมสภาพ รักษาการจ้างงาน และฟื้นฟูกิจการหลังสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เริ่มคลี่คลาย โดยแบ่งเป็น 3 โครงการได้แก่ โครงการ SMEs D Plus วงเงิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 4.5 ต่อปี โครงการSMEs D เพื่อการลงทุน วงเงิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 5.5 ต่อปี และโครงการ SMEs D เสริมสภาพคล่อง วงเงิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 6 ต่อปี วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท โดยให้วงเงินกู้ลูกค้าเดิมของ ธพว. สูงสุด 25 ล้านบาทต่อราย ด้านลูกค้าใหม่สูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย โดยผู้กู้จะได้รับการยกเว้นค่าประเมินราคาหลักประกันเมื่อยื่นกู้ในระหว่างวันที่ 3 มกราคม - 31 มีนาคม 2565 โดยคาดว่าโครงการนี้จะทําให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนกว่า 2,000 ราย สร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 60,000 ล้านบาท และรักษาการจ้างงานกว่า 10,000 คน สนใจสามารถติดต่อได้ที่ SME D Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ
นอกจากของขวัญข้างต้นแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมยังเตรียมของขวัญอีก 3 กล่อง เพื่อมอบให้แก่ผู้ประกอบการ ประชาชนและเกษตรกร ประกอบด้วย 1.การอํานวยความสะดวก ลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
2.ยกระดับผู้ประกอบการ และ 3.ดูแลเกษตรกรและประชาชน
1.การอํานวยความสะดวก ลดต้นทุนของผู้ประกอบการ เปิดให้ใช้บริการงานอนุญาตของสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 100% การยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายสําหรับผู้ประกอบการ การยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเครื่องจักร ซึ่งผู้ประกอบการจะสามารถลดค่าใช้จ่าย และมีสภาพคล่องในการประกอบการเพิ่มขึ้น รวมทั้งลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมได้อย่างมีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อราชการ ซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ กว่า 59,796 โรงงานได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี
2. ยกระดับผู้ประกอบการ ได้แก่ การกําหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 เพื่อเป็นเกณฑ์สําหรับการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยปัจจุบัน สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กําหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ไปแล้วจํานวน 39 มาตรฐาน
แจกต้นแบบผลิตภัณฑ์พัฒนาจากกัญชง สู่การใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรม ให้เกษตรกร ผู้สนใจ หรือผู้ประกอบการสามารถรับตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากกัญชงกว่า 28 ผลิตภัณฑ์ได้ฟรี เพื่อนําผลิตภัณฑ์ต้นแบบมาต่อยอดเชิงธุรกิจต่อไปได้ พร้อมทั้งบริการให้คําปรึกษาแนะนําและออกแบบรรจุภัณฑ์ ฉลาก สติกเกอร์ พร้อมทั้งจัดทําต้นแบบให้ผู้ประกอบการฟรี มอบต้นแบบเครื่องมือแพทย์ด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สู่การใช้งานจริงในกลุ่มสถานพยาบาลระดับต่าง ๆ ทั้งสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนการเตรียมความพร้อมสู่โรงงานการผลิต BCG Model เพื่อรองรับตลาด New Normal จํานวน 50 โรงงาน การเปิดคลินิคให้คําปรึกษาแนะนําด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์แก่วิสาหกิจชุมชน เพื่อให้คําปรึกษาแนะนําเชิงลึกในสาขาแฟชั่น ของใช้ของตกแต่งบ้าน สมุนไพร และอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงบริการออกแบบสเก็ตภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อการพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์
แก่ผู้ประกอบการแบบไม่มีค่าใช้จ่าย และทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมแจกซอฟแวร์สําหรับเอสเอ็มอีไทย จํานวน 34 โปรแกรม ให้ใช้ฟรี 6 เดือน เป็นโปรแกรมด้านบัญชี การเงิน ด้านการตลาดออนไลน์ ด้านการบริหารจัดการด้านการบริหารบุคคล ด้านการสื่อสาร และด้านบริการลูกค้าสัมพันธ์
3. ดูแลเกษตรกรและประชาชน ได้แก่ โครงการเหมืองแร่ปลอดภัยห่วงใยประชาชน ปีที่ 5 โดยจัดกิจกรรมดูแลสุขภาพของประชาชนโดยรอบสถานประกอบการและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง การติดตั้ง QR Code หน้าโรงงาน เปิดเผยข้อมูลพื้นฐานของโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ภาคประชาชน/ชุมชน เกิดความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานของภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรม ด้วยการนําเทคโนโลยีมาช่วยในการเพิ่มช่องและอํานวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ และการมีส่วนร่วมในการกํากับดูแลสถานประกอบการ การแสดงคิวอาร์โค้ด (QR Code) คู่กับเครื่องหมายมาตรฐานที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตตามมาตรฐานเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและร้องเรียนได้ว่าสินค้าดี
มีคุณภาพ และเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ การจัดหาเครื่องสางใบอ้อย จํานวน 288 เครื่องให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ยืมใช้ เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในการตัดอ้อยสด รวมถึงช่วยลดมลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
“ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังต้องพึงระวังเรื่องโรคระบาดอยู่ แต่ปัญหาเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการรักษาสภาพคล่องของธุรกิจยังเป็นเรื่องที่ภาครัฐให้ความสําคัญ ซึ่งโครงการฯ ทั้งหมดนี้ เป็นของขวัญที่กระทรวงอุตสาหกรรม รวบรวมมาให้ประชาชนเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ในปี 2565 นี้ เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวก ลดภาระ และเพิ่มสภาพคล่องให้ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ํา เพื่อเสริมสภาพคล่อง สร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และช่วยรักษาการ
จ้างงาน โดยหวังว่าทุกๆ กิจการและสถานประกอบการจะสามารถดําเนินไปได้ปกติต่อไป” นายสุริยะกล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ 2565 จัดมหกรรมจำหน่ายสินค้าราคาโรงงาน พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ลดภาระประชาชนและผู้ประกอบการ
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2564
ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ 2565 จัดมหกรรมจําหน่ายสินค้าราคาโรงงาน พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ลดภาระประชาชนและผู้ประกอบการ
ก.อุตตสาหกรรมมอบของขวัญปีใหม่ 2565 จัดมหกรรมจําหน่ายสินค้าราคาโรงงาน พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ลดภาระประชาชนและผู้ประกอบการ
กระทรวงอุตสาหกรรมมอบของขวัญให้ประชาชนและผู้ประกอบการปี 65 เตรียมจัดงานจําหน่ายสินค้าราคาโรงงานและงานจําหน่ายสินค้ารถยนต์ราคาพิเศษในพื้นที่ต่างจังหวัด รวบรวมสินค้าอุปโภคบริโภคมาจําหน่าย ช่วยลดค่าครองชีพช่วยเหลือประชาชน ระดมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ช่วยเหลือผู้ประกอบการและเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องกิจการ รักษาการจ้างงาน พร้อมสนับสนุนเครื่องมือทางการเกษตรแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกกระทรวงจัดทําแผนงานโครงการมอบเป็นของขวัญปีใหม่สําหรับคนไทยทุกคน กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้จัดของขวัญปีใหม่ 2565 เพื่อมอบให้ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้วยการจัดมหกรรมจําหน่ายสินค้าราคาโรงงานโดยคัดสรรสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อช่วยลดค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน โดยมีทั้งสินค้าจากศรีไทยซุปเปอร์แวร์ สินค้าจากผู้ประกอบการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ชลบุรี ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย สินค้าเอสเอ็มอีและโอทอป สินค้าชุมชนจากโครงการ Farm to Factory โดยจะจัดระหว่างวันที่ 23-24 ธันวาคม 2564 ณ บริเวณนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี และมหกรรมแสดงและจําหน่ายสินค้า DIPROM MOTOR OUTLET จําหน่ายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องจักรกลการเกษตรในราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระให้ผู้บริโภค โดยจะจัดระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัสดุอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จังหวัดลําปาง
พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา กว่า 5 โครงการ จากสํานักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ได้แก่ สินเชื่อเพิ่มศักยภาพSME สําหรับ SME ผู้ผลิตให้บริการค้าปลีกค้าส่งในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG (Bio Circular Green) กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 18 เดือน ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา คาดว่าจะเปิดรับคําขอสินเชื่อได้ในช่วงเดือนมกราคม 2565
• สินเชื่อ สร้างโอกาส เสริมสภาพคล่อง SME สําหรับ SME ผู้ผลิตให้บริการค้าปลีกหรือค้าส่ง เพื่อสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเงินทุนแก่เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพที่เป็นนิติบุคคลและเป็นกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SME ให้นําเงินทุนไปใช้ในการปรับปรุง ลงทุนในกิจการ ฟื้นฟู กิจการในปัจจุบัน หรือเริ่มต้นกิจการใหม่ กรอบวงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายตั้งแต่ 1 แสนบาทและสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา คาดว่าจะเปิดรับคําขอสินเชื่อได้ในช่วงเดือนมกราคม 2565
• สินเชื่อเพื่อฟื้นฟู SME เพื่อเป็นเงินทุนช่วยเหลือให้กับ SME กลุ่มเดิมที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่มีภาระหนี้เงินต้นวงเงินกู้สินเชื่อระยะยาว (Term Loan) คงเหลืออยู่กับกองทุนได้นําเงินทุนไปใช้ในการปรับปรุง ลงทุน เงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่องในการดําเนินกิจการ หรือฟื้นฟูกิจการในปัจจุบันหรือเริ่มต้นกิจการใหม่ โดยผู้รับสินเชื่อต้องเป็นลูกหนี้ในโครงการสินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
หรือโครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สําหรับ SMEs–คนตัวเล็ก หรือโครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน กรอบวงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมกับภาระหนี้เงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยคงค้างของสัญญากู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ต้องไม่เกินจากวงเงินสินเชื่อ ที่ได้รับอนุมัติเดิมระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา คาดว่าจะเปิดรับคําขอสินเชื่อได้ในช่วงเดือนมกราคม 2565
• สินเชื่อพิเศษดีพร้อมเปย์ (DIProm Pay) สําหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรอบวงเงิน 30 ล้านบาท (ยื่นคําขอภายใน 30 เมษายน 2565 หรือจนกว่าจะครบจํานวนวงเงินโครงการ ทั้งนี้ขอสงวนสิทธิ์ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกําหนด หากมีการอนุมัติสินเชื่อเต็มวงเงินแล้ว) โดยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้นแบบขั้นบันได เริ่มต้นปีแรก 3% ปีที่สอง 4% และ ปีที่สาม 5% สนใจสามารถติดต่อได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
• สินเชื่อ SMEs Happy สําหรับลูกค้าเดิมของ ธพว. และผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป เพื่อขยายกิจการ
เสริมสภาพ รักษาการจ้างงาน และฟื้นฟูกิจการหลังสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เริ่มคลี่คลาย โดยแบ่งเป็น 3 โครงการได้แก่ โครงการ SMEs D Plus วงเงิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 4.5 ต่อปี โครงการSMEs D เพื่อการลงทุน วงเงิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 5.5 ต่อปี และโครงการ SMEs D เสริมสภาพคล่อง วงเงิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 6 ต่อปี วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท โดยให้วงเงินกู้ลูกค้าเดิมของ ธพว. สูงสุด 25 ล้านบาทต่อราย ด้านลูกค้าใหม่สูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย โดยผู้กู้จะได้รับการยกเว้นค่าประเมินราคาหลักประกันเมื่อยื่นกู้ในระหว่างวันที่ 3 มกราคม - 31 มีนาคม 2565 โดยคาดว่าโครงการนี้จะทําให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนกว่า 2,000 ราย สร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 60,000 ล้านบาท และรักษาการจ้างงานกว่า 10,000 คน สนใจสามารถติดต่อได้ที่ SME D Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ
นอกจากของขวัญข้างต้นแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมยังเตรียมของขวัญอีก 3 กล่อง เพื่อมอบให้แก่ผู้ประกอบการ ประชาชนและเกษตรกร ประกอบด้วย 1.การอํานวยความสะดวก ลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
2.ยกระดับผู้ประกอบการ และ 3.ดูแลเกษตรกรและประชาชน
1.การอํานวยความสะดวก ลดต้นทุนของผู้ประกอบการ เปิดให้ใช้บริการงานอนุญาตของสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 100% การยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายสําหรับผู้ประกอบการ การยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเครื่องจักร ซึ่งผู้ประกอบการจะสามารถลดค่าใช้จ่าย และมีสภาพคล่องในการประกอบการเพิ่มขึ้น รวมทั้งลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมได้อย่างมีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อราชการ ซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ กว่า 59,796 โรงงานได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี
2. ยกระดับผู้ประกอบการ ได้แก่ การกําหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 เพื่อเป็นเกณฑ์สําหรับการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยปัจจุบัน สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กําหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ไปแล้วจํานวน 39 มาตรฐาน
แจกต้นแบบผลิตภัณฑ์พัฒนาจากกัญชง สู่การใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรม ให้เกษตรกร ผู้สนใจ หรือผู้ประกอบการสามารถรับตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากกัญชงกว่า 28 ผลิตภัณฑ์ได้ฟรี เพื่อนําผลิตภัณฑ์ต้นแบบมาต่อยอดเชิงธุรกิจต่อไปได้ พร้อมทั้งบริการให้คําปรึกษาแนะนําและออกแบบรรจุภัณฑ์ ฉลาก สติกเกอร์ พร้อมทั้งจัดทําต้นแบบให้ผู้ประกอบการฟรี มอบต้นแบบเครื่องมือแพทย์ด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สู่การใช้งานจริงในกลุ่มสถานพยาบาลระดับต่าง ๆ ทั้งสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนการเตรียมความพร้อมสู่โรงงานการผลิต BCG Model เพื่อรองรับตลาด New Normal จํานวน 50 โรงงาน การเปิดคลินิคให้คําปรึกษาแนะนําด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์แก่วิสาหกิจชุมชน เพื่อให้คําปรึกษาแนะนําเชิงลึกในสาขาแฟชั่น ของใช้ของตกแต่งบ้าน สมุนไพร และอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงบริการออกแบบสเก็ตภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อการพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์
แก่ผู้ประกอบการแบบไม่มีค่าใช้จ่าย และทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมแจกซอฟแวร์สําหรับเอสเอ็มอีไทย จํานวน 34 โปรแกรม ให้ใช้ฟรี 6 เดือน เป็นโปรแกรมด้านบัญชี การเงิน ด้านการตลาดออนไลน์ ด้านการบริหารจัดการด้านการบริหารบุคคล ด้านการสื่อสาร และด้านบริการลูกค้าสัมพันธ์
3. ดูแลเกษตรกรและประชาชน ได้แก่ โครงการเหมืองแร่ปลอดภัยห่วงใยประชาชน ปีที่ 5 โดยจัดกิจกรรมดูแลสุขภาพของประชาชนโดยรอบสถานประกอบการและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง การติดตั้ง QR Code หน้าโรงงาน เปิดเผยข้อมูลพื้นฐานของโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ภาคประชาชน/ชุมชน เกิดความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานของภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรม ด้วยการนําเทคโนโลยีมาช่วยในการเพิ่มช่องและอํานวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ และการมีส่วนร่วมในการกํากับดูแลสถานประกอบการ การแสดงคิวอาร์โค้ด (QR Code) คู่กับเครื่องหมายมาตรฐานที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตตามมาตรฐานเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและร้องเรียนได้ว่าสินค้าดี
มีคุณภาพ และเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ การจัดหาเครื่องสางใบอ้อย จํานวน 288 เครื่องให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ยืมใช้ เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในการตัดอ้อยสด รวมถึงช่วยลดมลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
“ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังต้องพึงระวังเรื่องโรคระบาดอยู่ แต่ปัญหาเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการรักษาสภาพคล่องของธุรกิจยังเป็นเรื่องที่ภาครัฐให้ความสําคัญ ซึ่งโครงการฯ ทั้งหมดนี้ เป็นของขวัญที่กระทรวงอุตสาหกรรม รวบรวมมาให้ประชาชนเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ในปี 2565 นี้ เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวก ลดภาระ และเพิ่มสภาพคล่องให้ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ํา เพื่อเสริมสภาพคล่อง สร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และช่วยรักษาการ
จ้างงาน โดยหวังว่าทุกๆ กิจการและสถานประกอบการจะสามารถดําเนินไปได้ปกติต่อไป” นายสุริยะกล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49491 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาลยุติธรรม” ให้กับผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 76 | วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565
ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาลยุติธรรม” ให้กับผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 76
ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาลยุติธรรม” ให้กับผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 76 เน้นย้ํา น้อมนําแนวพระราชดําริ เพื่อสร้างสายธารแห่งความยุติธรรม สร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 65 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมสัญญา ธรรมศักดิ์ ชั้น 7 สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยาย เรื่อง “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาลยุติธรรม” ในการจัดการศึกษาอบรมปฐมนิเทศหลักสูตร “ผู้ช่วยผู้พิพากษา” รุ่นที่ 76 โดยมี นายอําพันธ์ สมบัติสถาพรกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาและประธานคณะกรรมการอํานวยการการจัดการศึกษาอบรมปฐมนิเทศหลักสูตร “ผู้ช่วยผู้พิพากษา” รุ่นที่ 76 คณะกรรมการอํานวยการหลักสูตร และผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 76 ที่บรรจุใหม่ จํานวน 107 คน ร่วมรับฟัง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สายธารแห่งความยุติธรรมเกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของคน ซึ่งแน่นอนเรามี “กฎหมาย” เพื่อให้คนอยู่ในสังคมโดยไม่เบียดเบียนกัน ทําให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย เป็นกติกาที่ถือร่วมกัน ซึ่งในสังคมมักจะพูดกันเสมอว่า ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ซึ่งในความเป็นจริง ยังมีพี่น้องประชาชนจํานวนไม่น้อยที่ยังประสบกับความไม่เท่าเทียมกันทั้งในทางโอกาส และสถานะทางเศรษฐกิจ เช่น คนที่เกิดบนภูเขาเกิดมาไม่มีบัตรประชาชน หรือแม้แต่เด็กที่มีความสามารถมาก แต่ฐานะทางบ้านยากจน ก็ไม่มีโอกาสใช้สติปัญญาในการพัฒนาตนเองให้ถึงขีดสุดได้ ดังนั้น ความยุติธรรมจึงมีจุดเริ่มต้น (ต้นทาง) ตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยที่กระบวนการยุติธรรมผ่านกลไกตํารวจ อัยการ และศาล เป็นปลายทาง การพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนจึงเป็นต้นทางที่จําเป็นที่เราจะต้องทําให้เกิดความยุติธรรมหรือโอกาสที่ดีของชีวิตของคนที่เขาอ่อนด้อยกว่า
“พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเล็งเห็นว่าสิ่งที่เป็นธรรมจะเกิดขึ้น คนต้องอยู่ได้ ธรรมชาติต้องอยู่ได้ โดยทรงคิดค้น “ทฤษฎีใหม่” กว่า 40 ทฤษฎี ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว โดยพระองค์ทรงสังเกตเห็น นํามาทดลองด้วยพระองค์เอง จนเกิดเป็นทฤษฎีใหม่ เช่น “เกษตรทฤษฎีใหม่” คือ การไม่ทําเกษตรเชิงเดี่ยว แต่เป็นเกษตรที่มีการจัดรูปที่ดินให้มีประโยชน์กับชีวิตทุกด้าน คือ พื้นที่แหล่งน้ํา ร้อยละ 30 พื้นที่ปลูกพืชอาหาร ทําไร่ ทํานา ร้อยละ 30 พื้นที่ปลูกไม้ยืนต้น ร้อยละ 30 และพื้นที่ที่อยู่อาศัย ที่เลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 10 “อธรรมปราบอธรรม” คือ เอาของที่มนุษย์รังเกียจหรือไม่เป็นประโยชน์มาทําให้เป็นประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งที่เสียไปให้กลับมาดีเหมือนเดิม เช่น เอาผักตบชวามาทําให้สารแขวนลอยที่เป็นอันตรายกับสัตว์น้ําและน้ําถูกดูดซึมไปใช้เป็นอาหารที่แปลมผักเบี้ย และ “ฝนเทียม” เป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนําน้ําจากฟ้า ให้เกิดฝน เป็นต้น ซึ่งทรงทดลองกว่า 4,000 โครงการ โดยทรงมีเป้าหมายสําคัญ คือ “การพัฒนาคน” ซึ่งโครงการพระราชดําริมากมายที่ทรงคิดค้น ล้วนเป็นการทําให้คนได้มีโอกาสที่ดีของชีวิตในขั้นต่ํา คือ มีความสามารถในการเลี้ยงดูครอบครัวตนเองได้ นั่นคือ อยู่รอด พอเพียง เพิ่มมากขึ้น จนถึงขั้นให้เกิดความมั่นคงของชีวิต และคิดพัฒนาให้ตนเองมีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” กระทั่งได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (Human Development Lifetime Achievement Award) จากองค์การสหประชาชาติ และต่อมาทฤษฎีใหม่ของพระองค์ท่านได้รับการบันทึกและถ่ายทอดขยายผลไว้เป็น “หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)” 17 หมุดหมายขององค์การสหประชาชาติที่ได้เผยแพร่เป็นทฤษฎีสากลของทุกประเทศของโลกในปัจจุบัน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2513 ภาพที่คนไทยในขณะนั้นจะชินตา คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงโดยเสด็จพระราชดําเนินพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบภัยน้ําท่วมในพื้นที่อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม และทอดพระเนตรเห็นผ้าซิ่นที่ประชาชนสวมใส่มารับเสด็จที่มีความวิจิตรสวยงาม ทําให้ทรงเกิดแนวความคิดในการสร้างอาชีพเสริมให้กับเกษตรกรที่อาชีพต้องพึ่งพิงกับสภาพอากาศ โดยพระราชทานแนวความคิดไปสู่การปฏิบัติ ด้วยทรงมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือ “การพัฒนาคน” ด้วยการส่งเสริมยุยงและกระตุ้นทุกวิถีทางให้ประชาชนในพื้นที่ได้ทอผ้าเพื่อที่จะขายให้พระองค์ท่านก่อน และทรงอุทิศพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อผ้าของชาวบ้าน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความอยากในการที่จะช่วยกันทอผ้า เป็นที่มาของคําว่า “ขาดทุนคือกําไร” เพื่อทําให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น นําไปสู่การจัดตั้งโครงการศิลปาชีพ เมื่อปี 2515 ถือเป็นโครงการศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถแห่งแรก
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่มุ่งมั่น แน่วแน่ มั่นคง ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ดังพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” ด้วยทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการในทุกด้านมายาวนาน ซึ่งทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นการ “พัฒนาคน” เพื่อยังประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยให้ได้รับความสุข สะท้อนผ่านพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามที่พระองค์ท่านทรงดําเนินการด้วยการต่อยอด ปรับปรุง พัฒนา ให้สอดคล้องกับยุคสมัยด้วยฐานความคิดต่าง ๆ ในการทรงงานมาจากพระราชดําริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ อาทิ “โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา” ซึ่งส่งผลให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตครบวงจรของประชาชน “เป็นทางรอด” และทําให้สภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ดีขึ้น เพราะโคก หนอง นา ในพื้นที่ 1 ไร่ต้องปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง หรือไม้ 5 ระดับ เพราะไม้ทุกต้น ไม่ว่าจะเป็นไม้พะยูง ประดู่ สัก มะค่า ฯลฯ เป็นมรดกตกทอดไปสู่ลูกหลาน หรือแม้แต่ในสถานการณ์อุทกภัยหรือภัยแล้งที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนที่ขับเคลื่อนโคก หนอง นา ที่จังหวัดสุโขทัย ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะมีแก้มลิง มีหนอง และคลองไส้ไก่ รองรับเก็บน้ํา และมีน้ําใช้ในหน้าแล้ง และ “โครงการจิตอาสาพระราชทาน” ด้วยทรงมุ่งหวังให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่ามีความสมัครสมาน สามัคคี ความเอื้ออาทร ร่วมมือร่วมใจประกอบกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์สุขของชุมชนส่วนรวมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เกิดความรัก ความผูกพันใน 4 สถาบันหลักของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชน เป็นต้น และขณะเดียวกัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชปณิธานที่มุ่งมั่นในการสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ดังใจความตอนหนึ่งของพระราชดํารัส โอกาสเสด็จฯ ทรงเปิดงานวันสตรีไทย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ความว่า “...ข้าพเจ้ามีความตั้งมั่นที่จะสนองพระเดชพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เหมือนดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด และแผ่ขยายพระบารมีแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี...” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการบําเพ็ญพระราชกรณียกิจสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชดําริเกี่ยวกับ “โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรพันธุกรรมพืชของประเทศ และ “โครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้แก่ประชาชน เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการซื้อผักมาบริโภค และการมีผักที่ดีมีคุณภาพรับประทานตลอดทั้งปีในระดับครัวเรือน สําหรับผักที่เหลือก็แบ่งปันให้เพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการสร้างความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน ส่งผลให้ประชาชนมีความอยู่ดี กินดี สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย และโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงมุ่งมั่นในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพระราชทานพระดําริในด้านการสาธารณสุข เพื่อทําให้คนไทยมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงปลอดโรคภัยร้ายแรงทั้งปวง รวมถึงทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งทรงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนโครงการ TO BE NUMBER ONE สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนทุกคนให้ได้รู้จักคุณค่าที่มีอยู่ในตนเอง และรู้ถึงความสําคัญของชีวิตตนเอง เพื่อร่วมพัฒนาประเทศชาติ และยังเป็นความโชคดีของคนไทยที่สมเด็จพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทุกพระองค์ ทรงมีความมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธาน อาทิ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้พระราชทาน “ไตรโครงการ” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อยู่ห่างไกล แก้ปัญหาความยากจนและการเข้าไม่ถึงบริการของรัฐ ได้แก่ โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ โครงการสาละวะไล่โว่ และโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” พระราชทานโครงการพระดําริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เพื่อต่อยอดการพัฒนาคุณภาพชีวิตช่างทอผ้าในชนบทได้รับการส่งเสริมการพัฒนาลวดลาย สีสัน และรูปแบบผ้าไทยให้เข้ากับยุคสมัย เป็นที่ต้องการของคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย สามารถใส่ได้ในทุกเวลา ทุกโอกาส ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้เม็ดเงินหมุนเวียนกลับสู่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเป็นแบบอย่างของ “จิตอาสาพระราชทาน” ในการสมัครใจช่วยเหลือผู้อื่น เสียสละกําลังพระวรกาย เวลาส่วนพระองค์ และพระสติปัญญา ในการทรงงานที่เป็นสาธารณประโยชน์ เป็นต้น
“พวกเราในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องเชื่อมั่นในการทําหน้าที่เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน เพราะการทําหน้าที่ของพวกเราไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เราเป็นพลังของแผ่นดินที่ต้องปฏิบัติราชการจนเกษียณอายุราชการ ดังนั้น สิ่งที่จะเป็นเกราะคุ้มครองการทํางาน คือ การทําหน้าที่ของพวกเราให้เป็นปกติและดีที่สุด จึงขอฝากท่านผู้ช่วยผู้พิพากษาทุกท่านว่า กลไกในการสร้างความยุติธรรมหรือทําให้เกิดความเป็นธรรมกับสังคมนั้น “ต้นน้ํา” เริ่มที่ครัวเรือน โรงเรียน สังคม “กลางน้ํา” คือ ทุกท่าน และปลายน้ํา คือ เราทุกคน โดยต้องส่งเสริมขยายผลแนวทางที่สําคัญที่สุดที่จะทําให้คนไม่ผิดพลาด คือ การดําเนินชีวิตตามแนวพระราชดําริ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิต น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ไปสู่พี่น้องประชาชน การสวมใส่ผ้าไทย การปลูกผักสวนครัว สร้างสังคมที่มีจิตอาสา โดยมีพวกเราทุกคนเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่าง ต่อเนื่องไปถึงเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และสังคม ประเทศชาติของเราจะอยู่ได้ และพี่น้องประชาชนจะมีความสุขอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาลยุติธรรม” ให้กับผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 76
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565
ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาลยุติธรรม” ให้กับผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 76
ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาลยุติธรรม” ให้กับผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 76 เน้นย้ํา น้อมนําแนวพระราชดําริ เพื่อสร้างสายธารแห่งความยุติธรรม สร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 65 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมสัญญา ธรรมศักดิ์ ชั้น 7 สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยาย เรื่อง “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาลยุติธรรม” ในการจัดการศึกษาอบรมปฐมนิเทศหลักสูตร “ผู้ช่วยผู้พิพากษา” รุ่นที่ 76 โดยมี นายอําพันธ์ สมบัติสถาพรกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาและประธานคณะกรรมการอํานวยการการจัดการศึกษาอบรมปฐมนิเทศหลักสูตร “ผู้ช่วยผู้พิพากษา” รุ่นที่ 76 คณะกรรมการอํานวยการหลักสูตร และผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 76 ที่บรรจุใหม่ จํานวน 107 คน ร่วมรับฟัง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สายธารแห่งความยุติธรรมเกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของคน ซึ่งแน่นอนเรามี “กฎหมาย” เพื่อให้คนอยู่ในสังคมโดยไม่เบียดเบียนกัน ทําให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย เป็นกติกาที่ถือร่วมกัน ซึ่งในสังคมมักจะพูดกันเสมอว่า ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ซึ่งในความเป็นจริง ยังมีพี่น้องประชาชนจํานวนไม่น้อยที่ยังประสบกับความไม่เท่าเทียมกันทั้งในทางโอกาส และสถานะทางเศรษฐกิจ เช่น คนที่เกิดบนภูเขาเกิดมาไม่มีบัตรประชาชน หรือแม้แต่เด็กที่มีความสามารถมาก แต่ฐานะทางบ้านยากจน ก็ไม่มีโอกาสใช้สติปัญญาในการพัฒนาตนเองให้ถึงขีดสุดได้ ดังนั้น ความยุติธรรมจึงมีจุดเริ่มต้น (ต้นทาง) ตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยที่กระบวนการยุติธรรมผ่านกลไกตํารวจ อัยการ และศาล เป็นปลายทาง การพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนจึงเป็นต้นทางที่จําเป็นที่เราจะต้องทําให้เกิดความยุติธรรมหรือโอกาสที่ดีของชีวิตของคนที่เขาอ่อนด้อยกว่า
“พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเล็งเห็นว่าสิ่งที่เป็นธรรมจะเกิดขึ้น คนต้องอยู่ได้ ธรรมชาติต้องอยู่ได้ โดยทรงคิดค้น “ทฤษฎีใหม่” กว่า 40 ทฤษฎี ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว โดยพระองค์ทรงสังเกตเห็น นํามาทดลองด้วยพระองค์เอง จนเกิดเป็นทฤษฎีใหม่ เช่น “เกษตรทฤษฎีใหม่” คือ การไม่ทําเกษตรเชิงเดี่ยว แต่เป็นเกษตรที่มีการจัดรูปที่ดินให้มีประโยชน์กับชีวิตทุกด้าน คือ พื้นที่แหล่งน้ํา ร้อยละ 30 พื้นที่ปลูกพืชอาหาร ทําไร่ ทํานา ร้อยละ 30 พื้นที่ปลูกไม้ยืนต้น ร้อยละ 30 และพื้นที่ที่อยู่อาศัย ที่เลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 10 “อธรรมปราบอธรรม” คือ เอาของที่มนุษย์รังเกียจหรือไม่เป็นประโยชน์มาทําให้เป็นประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งที่เสียไปให้กลับมาดีเหมือนเดิม เช่น เอาผักตบชวามาทําให้สารแขวนลอยที่เป็นอันตรายกับสัตว์น้ําและน้ําถูกดูดซึมไปใช้เป็นอาหารที่แปลมผักเบี้ย และ “ฝนเทียม” เป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนําน้ําจากฟ้า ให้เกิดฝน เป็นต้น ซึ่งทรงทดลองกว่า 4,000 โครงการ โดยทรงมีเป้าหมายสําคัญ คือ “การพัฒนาคน” ซึ่งโครงการพระราชดําริมากมายที่ทรงคิดค้น ล้วนเป็นการทําให้คนได้มีโอกาสที่ดีของชีวิตในขั้นต่ํา คือ มีความสามารถในการเลี้ยงดูครอบครัวตนเองได้ นั่นคือ อยู่รอด พอเพียง เพิ่มมากขึ้น จนถึงขั้นให้เกิดความมั่นคงของชีวิต และคิดพัฒนาให้ตนเองมีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” กระทั่งได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (Human Development Lifetime Achievement Award) จากองค์การสหประชาชาติ และต่อมาทฤษฎีใหม่ของพระองค์ท่านได้รับการบันทึกและถ่ายทอดขยายผลไว้เป็น “หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)” 17 หมุดหมายขององค์การสหประชาชาติที่ได้เผยแพร่เป็นทฤษฎีสากลของทุกประเทศของโลกในปัจจุบัน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2513 ภาพที่คนไทยในขณะนั้นจะชินตา คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงโดยเสด็จพระราชดําเนินพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบภัยน้ําท่วมในพื้นที่อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม และทอดพระเนตรเห็นผ้าซิ่นที่ประชาชนสวมใส่มารับเสด็จที่มีความวิจิตรสวยงาม ทําให้ทรงเกิดแนวความคิดในการสร้างอาชีพเสริมให้กับเกษตรกรที่อาชีพต้องพึ่งพิงกับสภาพอากาศ โดยพระราชทานแนวความคิดไปสู่การปฏิบัติ ด้วยทรงมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือ “การพัฒนาคน” ด้วยการส่งเสริมยุยงและกระตุ้นทุกวิถีทางให้ประชาชนในพื้นที่ได้ทอผ้าเพื่อที่จะขายให้พระองค์ท่านก่อน และทรงอุทิศพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อผ้าของชาวบ้าน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความอยากในการที่จะช่วยกันทอผ้า เป็นที่มาของคําว่า “ขาดทุนคือกําไร” เพื่อทําให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น นําไปสู่การจัดตั้งโครงการศิลปาชีพ เมื่อปี 2515 ถือเป็นโครงการศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถแห่งแรก
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่มุ่งมั่น แน่วแน่ มั่นคง ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ดังพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” ด้วยทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการในทุกด้านมายาวนาน ซึ่งทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นการ “พัฒนาคน” เพื่อยังประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยให้ได้รับความสุข สะท้อนผ่านพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามที่พระองค์ท่านทรงดําเนินการด้วยการต่อยอด ปรับปรุง พัฒนา ให้สอดคล้องกับยุคสมัยด้วยฐานความคิดต่าง ๆ ในการทรงงานมาจากพระราชดําริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ อาทิ “โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา” ซึ่งส่งผลให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตครบวงจรของประชาชน “เป็นทางรอด” และทําให้สภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ดีขึ้น เพราะโคก หนอง นา ในพื้นที่ 1 ไร่ต้องปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง หรือไม้ 5 ระดับ เพราะไม้ทุกต้น ไม่ว่าจะเป็นไม้พะยูง ประดู่ สัก มะค่า ฯลฯ เป็นมรดกตกทอดไปสู่ลูกหลาน หรือแม้แต่ในสถานการณ์อุทกภัยหรือภัยแล้งที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนที่ขับเคลื่อนโคก หนอง นา ที่จังหวัดสุโขทัย ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะมีแก้มลิง มีหนอง และคลองไส้ไก่ รองรับเก็บน้ํา และมีน้ําใช้ในหน้าแล้ง และ “โครงการจิตอาสาพระราชทาน” ด้วยทรงมุ่งหวังให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่ามีความสมัครสมาน สามัคคี ความเอื้ออาทร ร่วมมือร่วมใจประกอบกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์สุขของชุมชนส่วนรวมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เกิดความรัก ความผูกพันใน 4 สถาบันหลักของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชน เป็นต้น และขณะเดียวกัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชปณิธานที่มุ่งมั่นในการสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ดังใจความตอนหนึ่งของพระราชดํารัส โอกาสเสด็จฯ ทรงเปิดงานวันสตรีไทย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ความว่า “...ข้าพเจ้ามีความตั้งมั่นที่จะสนองพระเดชพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เหมือนดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด และแผ่ขยายพระบารมีแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี...” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการบําเพ็ญพระราชกรณียกิจสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชดําริเกี่ยวกับ “โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรพันธุกรรมพืชของประเทศ และ “โครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้แก่ประชาชน เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการซื้อผักมาบริโภค และการมีผักที่ดีมีคุณภาพรับประทานตลอดทั้งปีในระดับครัวเรือน สําหรับผักที่เหลือก็แบ่งปันให้เพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการสร้างความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน ส่งผลให้ประชาชนมีความอยู่ดี กินดี สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย และโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงมุ่งมั่นในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพระราชทานพระดําริในด้านการสาธารณสุข เพื่อทําให้คนไทยมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงปลอดโรคภัยร้ายแรงทั้งปวง รวมถึงทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งทรงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนโครงการ TO BE NUMBER ONE สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนทุกคนให้ได้รู้จักคุณค่าที่มีอยู่ในตนเอง และรู้ถึงความสําคัญของชีวิตตนเอง เพื่อร่วมพัฒนาประเทศชาติ และยังเป็นความโชคดีของคนไทยที่สมเด็จพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทุกพระองค์ ทรงมีความมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธาน อาทิ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้พระราชทาน “ไตรโครงการ” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อยู่ห่างไกล แก้ปัญหาความยากจนและการเข้าไม่ถึงบริการของรัฐ ได้แก่ โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ โครงการสาละวะไล่โว่ และโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” พระราชทานโครงการพระดําริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เพื่อต่อยอดการพัฒนาคุณภาพชีวิตช่างทอผ้าในชนบทได้รับการส่งเสริมการพัฒนาลวดลาย สีสัน และรูปแบบผ้าไทยให้เข้ากับยุคสมัย เป็นที่ต้องการของคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย สามารถใส่ได้ในทุกเวลา ทุกโอกาส ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้เม็ดเงินหมุนเวียนกลับสู่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเป็นแบบอย่างของ “จิตอาสาพระราชทาน” ในการสมัครใจช่วยเหลือผู้อื่น เสียสละกําลังพระวรกาย เวลาส่วนพระองค์ และพระสติปัญญา ในการทรงงานที่เป็นสาธารณประโยชน์ เป็นต้น
“พวกเราในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องเชื่อมั่นในการทําหน้าที่เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน เพราะการทําหน้าที่ของพวกเราไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เราเป็นพลังของแผ่นดินที่ต้องปฏิบัติราชการจนเกษียณอายุราชการ ดังนั้น สิ่งที่จะเป็นเกราะคุ้มครองการทํางาน คือ การทําหน้าที่ของพวกเราให้เป็นปกติและดีที่สุด จึงขอฝากท่านผู้ช่วยผู้พิพากษาทุกท่านว่า กลไกในการสร้างความยุติธรรมหรือทําให้เกิดความเป็นธรรมกับสังคมนั้น “ต้นน้ํา” เริ่มที่ครัวเรือน โรงเรียน สังคม “กลางน้ํา” คือ ทุกท่าน และปลายน้ํา คือ เราทุกคน โดยต้องส่งเสริมขยายผลแนวทางที่สําคัญที่สุดที่จะทําให้คนไม่ผิดพลาด คือ การดําเนินชีวิตตามแนวพระราชดําริ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิต น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ไปสู่พี่น้องประชาชน การสวมใส่ผ้าไทย การปลูกผักสวนครัว สร้างสังคมที่มีจิตอาสา โดยมีพวกเราทุกคนเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่าง ต่อเนื่องไปถึงเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และสังคม ประเทศชาติของเราจะอยู่ได้ และพี่น้องประชาชนจะมีความสุขอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55089 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เตรียมแผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชน | วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564
กรมการขนส่งทางบก เตรียมแผนอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชน
ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 21 – 24 ตุลาคม 2564 เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 เพื่ออํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขบ. จึงได้จัดทําแผนปฏิบัติการโดยมีเป้าหมายให้ประชาชน “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” ประกอบด้วยแผนปฏิบัติการในด้านต่าง ๆ ดังนี้
มาตรการด้านการอํานวยความสะดวก ให้สํานักงานขนส่งจังหวัดประมาณการจํานวนผู้โดยสาร และเตรียมจัดหารถโดยสารประจําทางและรถโดยสารไม่ประจําทางให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในการเดินทางทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ส่วนผู้ประกอบการขนส่งยังคงดําเนินการตามมาตรการสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างต่อเนื่อง เช่น คัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายการ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง จัดที่นั่งหรือที่ยืนสําหรับผู้โดยสารตามมาตรการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ทั้งภายในสถานีขนส่งและบนรถโดยสาร ในระหว่างการเดินทางต้องมีการระบายอากาศภายในรถ และทําความสะอาดภายในตัวรถและพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ จัดให้มี QR Code ไทยชนะ เพื่อให้ผู้โดยสารลงทะเบียนทุกครั้งที่ใช้บริการ และขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดระเบียบทั้งการเดินรถและการจราจรภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งให้เหมาะสมคล่องตัว อาทิ การรักษาความสะอาดห้องน้ํา ชานชาลา ลานจอดรถ ตรวจสอบไฟฟ้าส่องสว่างให้เพียงพอ พร้อมจัดเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนและป้องกันมิให้ผู้โดยสารถูกเอาเปรียบจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดจนช่วยเหลือให้คําแนะนําผู้โดยสารเดินทางให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
มาตรการด้านความปลอดภัย ได้กําหนดมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งประกอบด้วย มาตรการผู้ขับขี่และผู้โดยสารปลอดภัย ตรวจสอบสถานประกอบการของผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะทั่วประเทศ เน้นย้ําให้ผู้ประกอบการตรวจความพร้อมรถรวมถึงอุปกรณ์ส่วนควบ และพนักงานขับรถตาม Checklist โดยพนักงานขับรถจะต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจเป็นศูนย์ รวมทั้งกําชับให้ผู้ประกอบการขนส่งปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด หากพบการกระทําผิดจะดําเนินการลงโทษขั้นสูงสุด มาตรการถนนปลอดภัย ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกทุกประเภท ทั้งสมาคมขนส่งสินค้า สมาคมรถบรรทุก รวมถึงผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกไม่ประจําทางและรถบรรทุกส่วนบุคคล ให้หลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 เพื่อบรรเทาปัญหาด้านการจราจรและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมทั้งติดตามการใช้ความเร็วของรถบรรทุกที่มีการติดตั้งระบบ GPS อย่างต่อเนื่อง ผ่าน Application DLT-GPS พร้อมแจ้งเตือนพนักงานขับรถเมื่อพบว่ามีการใช้ความเร็วเกินกําหนด สําหรับมาตรการยานพาหนะปลอดภัย ดําเนินการตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ณ บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอดรถ และจุดตรวจบนถนนสายหลักและสายรอง โดยตรวจความมั่นคงแข็งแรงของตัวรถ อุปกรณ์ส่วนควบและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยมีความครบถ้วน ถูกต้อง และอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานตาม Checklist กําหนด หากตรวจพบสภาพรถหรือพนักงานขับรถแล้วมีข้อบกพร่องที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ให้ดําเนินการจัดหารถคันใหม่และพนักงานขับรถที่มีความพร้อมปฏิบัติหน้าที่แทนทันที เพื่อไม่กระทบต่อการเดินทางของประชาชน และมาตรการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มความถี่ในการออกตรวจจับความเร็วของรถโดยสารสาธารณะในเส้นทางสายหลักที่เข้า - ออก กรุงเทพมหานคร โดยจัดผู้ตรวจการตั้งจุดตรวจพร้อมให้คําแนะนําและให้ความรู้แก่ผู้โดยสารบนรถโดยสารประจําทาง จัดเจ้าหน้าที่ประจําศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบ GPS เพื่อเฝ้าระวังการใช้ความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดในพื้นที่รับผิดชอบตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงรับเรื่องร้องเรียนกรณีผู้โดยสารถูกเอาเปรียบจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน ทางสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
มาตรการด้านความมั่นคง ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตํารวจ ทหาร อปท. บขส. เพิ่มอัตรากําลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานีขนส่งผู้โดยสารผู้โดยสารทุกแห่ง รวมทั้งตรวจสอบการทํางานของกล้อง CCTV ให้สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออํานวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนที่ใช้บริการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ และมาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ด้านความปลอดภัย ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่และเทศกาล และมีหนังสือกําชับให้ผู้ประกอบการขนส่งดูแลพนักงานขับรถให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ มีสภาพร่างกายพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย กําชับพนักงานขับรถโดยสารให้ขับด้วยความระมัดระวัง ใช้ความเร็วตามกฎหมายกําหนด ไม่ขับรถเกินชั่วโมงทํางานตามที่กฎหมายกําหนดหรือการใช้ความเร็วเกินกําหนด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เตรียมแผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชน
วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564
กรมการขนส่งทางบก เตรียมแผนอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชน
ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 21 – 24 ตุลาคม 2564 เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 เพื่ออํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขบ. จึงได้จัดทําแผนปฏิบัติการโดยมีเป้าหมายให้ประชาชน “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” ประกอบด้วยแผนปฏิบัติการในด้านต่าง ๆ ดังนี้
มาตรการด้านการอํานวยความสะดวก ให้สํานักงานขนส่งจังหวัดประมาณการจํานวนผู้โดยสาร และเตรียมจัดหารถโดยสารประจําทางและรถโดยสารไม่ประจําทางให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในการเดินทางทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ส่วนผู้ประกอบการขนส่งยังคงดําเนินการตามมาตรการสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างต่อเนื่อง เช่น คัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายการ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง จัดที่นั่งหรือที่ยืนสําหรับผู้โดยสารตามมาตรการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ทั้งภายในสถานีขนส่งและบนรถโดยสาร ในระหว่างการเดินทางต้องมีการระบายอากาศภายในรถ และทําความสะอาดภายในตัวรถและพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ จัดให้มี QR Code ไทยชนะ เพื่อให้ผู้โดยสารลงทะเบียนทุกครั้งที่ใช้บริการ และขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดระเบียบทั้งการเดินรถและการจราจรภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งให้เหมาะสมคล่องตัว อาทิ การรักษาความสะอาดห้องน้ํา ชานชาลา ลานจอดรถ ตรวจสอบไฟฟ้าส่องสว่างให้เพียงพอ พร้อมจัดเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนและป้องกันมิให้ผู้โดยสารถูกเอาเปรียบจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดจนช่วยเหลือให้คําแนะนําผู้โดยสารเดินทางให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
มาตรการด้านความปลอดภัย ได้กําหนดมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งประกอบด้วย มาตรการผู้ขับขี่และผู้โดยสารปลอดภัย ตรวจสอบสถานประกอบการของผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะทั่วประเทศ เน้นย้ําให้ผู้ประกอบการตรวจความพร้อมรถรวมถึงอุปกรณ์ส่วนควบ และพนักงานขับรถตาม Checklist โดยพนักงานขับรถจะต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจเป็นศูนย์ รวมทั้งกําชับให้ผู้ประกอบการขนส่งปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด หากพบการกระทําผิดจะดําเนินการลงโทษขั้นสูงสุด มาตรการถนนปลอดภัย ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกทุกประเภท ทั้งสมาคมขนส่งสินค้า สมาคมรถบรรทุก รวมถึงผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกไม่ประจําทางและรถบรรทุกส่วนบุคคล ให้หลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 เพื่อบรรเทาปัญหาด้านการจราจรและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมทั้งติดตามการใช้ความเร็วของรถบรรทุกที่มีการติดตั้งระบบ GPS อย่างต่อเนื่อง ผ่าน Application DLT-GPS พร้อมแจ้งเตือนพนักงานขับรถเมื่อพบว่ามีการใช้ความเร็วเกินกําหนด สําหรับมาตรการยานพาหนะปลอดภัย ดําเนินการตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ณ บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอดรถ และจุดตรวจบนถนนสายหลักและสายรอง โดยตรวจความมั่นคงแข็งแรงของตัวรถ อุปกรณ์ส่วนควบและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยมีความครบถ้วน ถูกต้อง และอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานตาม Checklist กําหนด หากตรวจพบสภาพรถหรือพนักงานขับรถแล้วมีข้อบกพร่องที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ให้ดําเนินการจัดหารถคันใหม่และพนักงานขับรถที่มีความพร้อมปฏิบัติหน้าที่แทนทันที เพื่อไม่กระทบต่อการเดินทางของประชาชน และมาตรการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มความถี่ในการออกตรวจจับความเร็วของรถโดยสารสาธารณะในเส้นทางสายหลักที่เข้า - ออก กรุงเทพมหานคร โดยจัดผู้ตรวจการตั้งจุดตรวจพร้อมให้คําแนะนําและให้ความรู้แก่ผู้โดยสารบนรถโดยสารประจําทาง จัดเจ้าหน้าที่ประจําศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบ GPS เพื่อเฝ้าระวังการใช้ความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดในพื้นที่รับผิดชอบตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงรับเรื่องร้องเรียนกรณีผู้โดยสารถูกเอาเปรียบจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน ทางสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
มาตรการด้านความมั่นคง ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตํารวจ ทหาร อปท. บขส. เพิ่มอัตรากําลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานีขนส่งผู้โดยสารผู้โดยสารทุกแห่ง รวมทั้งตรวจสอบการทํางานของกล้อง CCTV ให้สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออํานวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนที่ใช้บริการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ และมาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ด้านความปลอดภัย ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่และเทศกาล และมีหนังสือกําชับให้ผู้ประกอบการขนส่งดูแลพนักงานขับรถให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ มีสภาพร่างกายพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย กําชับพนักงานขับรถโดยสารให้ขับด้วยความระมัดระวัง ใช้ความเร็วตามกฎหมายกําหนด ไม่ขับรถเกินชั่วโมงทํางานตามที่กฎหมายกําหนดหรือการใช้ความเร็วเกินกําหนด | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47228 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เร่งผลักดันสร้างเครือข่ายระบบสาธารณสุขกับทั่วโลก เพื่อป้องกันโรคระบาด และผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน | วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2564
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เร่งผลักดันสร้างเครือข่ายระบบสาธารณสุขกับทั่วโลก เพื่อป้องกันโรคระบาด และผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เร่งผลักดันสร้างเครือข่ายระบบสาธารณสุขกับทั่วโลก เพื่อป้องกันโรคระบาด และผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน
วันที่ 5 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระบบสาธารณสุขไทยกับประเทศต่างๆ และองค์การอนามัยโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโรคอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต รวมถึงวางเป้าหมายและผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน ตลอดจน ร่วมแบ่งปันความรู้ และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์กับนานาประเทศ
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความประสงค์ที่จะต่อยอดความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขจากบทบาทไทยในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยพิเศษ เพื่อเดินหน้าผลักดันข้อตกลงระหว่างประเทศ ว่าด้วยการควบคุมโรคระบาด ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตลอดจน นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวสนับสนุนไทยในการเข้าเป็นสมาชิก WHO BioHub system ซึ่งเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงความรู้ ข้อมูล เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญ ในการประเมินสถานการณ์อย่างทันท่วงทีต่อการจัดการโรคระบาด รวมถึงโรคโควิด-19
นอกจากนี้ ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และกลไก WHO BioHub System ยังเป็นแนวทางของรัฐบาลที่มีเป้าหมายบูรณาการเครือข่ายในการพัฒนาเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ยา วัคซีน รวมถึงแลกเปลี่ยนมาตรการทางด้านสาธารณสุขร่วมกัน อย่างทั่วถึงและครอบคลุม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีของทั้งชาวไทย และแบ่งปันความร่วมมือกับทั่วโลกในฐานะที่ไทยมีบทบาทสําคัญด้านสาธารณสุขระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีวางวิสัยทัศน์การดําเนินแนวทางที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) โดยตั้งเป้าให้เป็นประเทศที่สามารถคิดค้น ทดลอง วิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนในประเทศได้อย่างครอบคลุม ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ซึ่งจะทําให้ภูมิภาค มั่นคงและปลอดภัยในการป้องกันโรค
---------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เร่งผลักดันสร้างเครือข่ายระบบสาธารณสุขกับทั่วโลก เพื่อป้องกันโรคระบาด และผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2564
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เร่งผลักดันสร้างเครือข่ายระบบสาธารณสุขกับทั่วโลก เพื่อป้องกันโรคระบาด และผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เร่งผลักดันสร้างเครือข่ายระบบสาธารณสุขกับทั่วโลก เพื่อป้องกันโรคระบาด และผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน
วันที่ 5 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระบบสาธารณสุขไทยกับประเทศต่างๆ และองค์การอนามัยโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโรคอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต รวมถึงวางเป้าหมายและผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน ตลอดจน ร่วมแบ่งปันความรู้ และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์กับนานาประเทศ
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความประสงค์ที่จะต่อยอดความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขจากบทบาทไทยในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยพิเศษ เพื่อเดินหน้าผลักดันข้อตกลงระหว่างประเทศ ว่าด้วยการควบคุมโรคระบาด ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตลอดจน นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวสนับสนุนไทยในการเข้าเป็นสมาชิก WHO BioHub system ซึ่งเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงความรู้ ข้อมูล เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญ ในการประเมินสถานการณ์อย่างทันท่วงทีต่อการจัดการโรคระบาด รวมถึงโรคโควิด-19
นอกจากนี้ ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และกลไก WHO BioHub System ยังเป็นแนวทางของรัฐบาลที่มีเป้าหมายบูรณาการเครือข่ายในการพัฒนาเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ยา วัคซีน รวมถึงแลกเปลี่ยนมาตรการทางด้านสาธารณสุขร่วมกัน อย่างทั่วถึงและครอบคลุม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีของทั้งชาวไทย และแบ่งปันความร่วมมือกับทั่วโลกในฐานะที่ไทยมีบทบาทสําคัญด้านสาธารณสุขระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีวางวิสัยทัศน์การดําเนินแนวทางที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) โดยตั้งเป้าให้เป็นประเทศที่สามารถคิดค้น ทดลอง วิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนในประเทศได้อย่างครอบคลุม ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ซึ่งจะทําให้ภูมิภาค มั่นคงและปลอดภัยในการป้องกันโรค
---------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” ชื่นชมการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ฯ ตอบสนองนโยบายของรัฐ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเกษตรกรในพื้นที่ให้ดีขึ้น | วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565
“อนุชา” ชื่นชมการดําเนินงานสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ฯ ตอบสนองนโยบายของรัฐ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเกษตรกรในพื้นที่ให้ดีขึ้น
“อนุชา” ชื่นชมการดําเนินงานสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ฯ ตอบสนองนโยบายของรัฐ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเกษตรกรในพื้นที่ให้ดีขึ้น
วันนี้ (26 สิงหาคม 2565) ณ สหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด อําเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท นายอนุชานาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่สามัญ ประจําปี ครั้งที่ 48 ของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายอําเภอมโนรมย์ สหกรณ์จังหวัดชัยนาท หัวหน้าสํานักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ชัยนาท ผู้อํานวยการสํานักงาน ธกส. จังหวัดชัยนาท ผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขามโนรมย์ ประธานกรรมการผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรภายในจังหวัดชัยนาท คณะกรรมการดําเนินการ ผู้ตรวจสอบกิจการ ที่ปรึกษา ผู้แทนสมาชิก เจ้าหน้าที่สหกรณ์เข้าร่วม
นายอนุชาฯ กล่าวแสดงความยินดีกับสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด ที่ได้ดําเนินธุรกิจ ในการพัฒนาภาคการเกษตรในพื้นที่มาจนครบ 48 ปี ด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจ เพื่อพัฒนาองค์กรให้เป็นสหกรณ์ให้มั่นคง สร้างมาตรฐานการให้บริการที่ดี จัดสวัสดิการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสมาชิก ร่วมมือกันพัฒนาชุมชนและสังคม เพื่อสร้างประโยชน์ สร้างความสุขให้เกิดกับชาวมโนรมย์ และสมาชิกในพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมกล่าวชื่นชมการดําเนินงานของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ฯ ในการเป็นกลไกภาคการเกษตรที่ตอบสนองนโยบายของราชการ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเกษตรกรในพื้นที่อําเภอมโนรมย์ และพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นโครงการรวบรวมข้าวเปลือก ที่เน้นการตลาดนําการผลิต โครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย โครงการนาแปลงใหญ่ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ของสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจของสมาชิกต่อสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับย้ําว่า การพัฒนาดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิกทุกท่านได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงจุดยืนอันแน่วแน่ในการเป็นที่พึ่งของมวลสมาชิกอย่างแท้จริง
สําหรับการดําเนินงานของสหกรณ์เกษตรมโนรมย์ในรอบปีที่ผ่านมา สหกรณ์ฯ มีผลกําไรสุทธิ 24 ล้านบาทเศษ ผลของกําไรจัดสรรเป็นทุนของสหกรณ์ และเป็นเงินปันผลให้แก่สมาชิก มีสมาชิกรวม 4 สาขา จํานวน 8,470 คน ทุนเรือนหุ้น 583 ล้านบาทเศษ ทุนดําเนินงาน 2,620 ล้านบาทเศษ เงินรับฝากจากสมาชิก 1,673 ล้านบาทเศษ สินเชื่อให้แก่สมาชิก 1,433 ล้านบาทเศษ รวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป โดยทํา MOU กับบริษัทธนสรรไรซ์ จํากัด จํานวน 136,000 ตันเศษ คิดเป็นเงิน จํานวน 956 ล้านบาท
............................ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” ชื่นชมการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ฯ ตอบสนองนโยบายของรัฐ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเกษตรกรในพื้นที่ให้ดีขึ้น
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565
“อนุชา” ชื่นชมการดําเนินงานสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ฯ ตอบสนองนโยบายของรัฐ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเกษตรกรในพื้นที่ให้ดีขึ้น
“อนุชา” ชื่นชมการดําเนินงานสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ฯ ตอบสนองนโยบายของรัฐ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเกษตรกรในพื้นที่ให้ดีขึ้น
วันนี้ (26 สิงหาคม 2565) ณ สหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด อําเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท นายอนุชานาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่สามัญ ประจําปี ครั้งที่ 48 ของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายอําเภอมโนรมย์ สหกรณ์จังหวัดชัยนาท หัวหน้าสํานักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ชัยนาท ผู้อํานวยการสํานักงาน ธกส. จังหวัดชัยนาท ผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขามโนรมย์ ประธานกรรมการผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรภายในจังหวัดชัยนาท คณะกรรมการดําเนินการ ผู้ตรวจสอบกิจการ ที่ปรึกษา ผู้แทนสมาชิก เจ้าหน้าที่สหกรณ์เข้าร่วม
นายอนุชาฯ กล่าวแสดงความยินดีกับสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด ที่ได้ดําเนินธุรกิจ ในการพัฒนาภาคการเกษตรในพื้นที่มาจนครบ 48 ปี ด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจ เพื่อพัฒนาองค์กรให้เป็นสหกรณ์ให้มั่นคง สร้างมาตรฐานการให้บริการที่ดี จัดสวัสดิการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสมาชิก ร่วมมือกันพัฒนาชุมชนและสังคม เพื่อสร้างประโยชน์ สร้างความสุขให้เกิดกับชาวมโนรมย์ และสมาชิกในพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมกล่าวชื่นชมการดําเนินงานของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ฯ ในการเป็นกลไกภาคการเกษตรที่ตอบสนองนโยบายของราชการ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเกษตรกรในพื้นที่อําเภอมโนรมย์ และพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นโครงการรวบรวมข้าวเปลือก ที่เน้นการตลาดนําการผลิต โครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย โครงการนาแปลงใหญ่ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ของสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจของสมาชิกต่อสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับย้ําว่า การพัฒนาดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิกทุกท่านได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงจุดยืนอันแน่วแน่ในการเป็นที่พึ่งของมวลสมาชิกอย่างแท้จริง
สําหรับการดําเนินงานของสหกรณ์เกษตรมโนรมย์ในรอบปีที่ผ่านมา สหกรณ์ฯ มีผลกําไรสุทธิ 24 ล้านบาทเศษ ผลของกําไรจัดสรรเป็นทุนของสหกรณ์ และเป็นเงินปันผลให้แก่สมาชิก มีสมาชิกรวม 4 สาขา จํานวน 8,470 คน ทุนเรือนหุ้น 583 ล้านบาทเศษ ทุนดําเนินงาน 2,620 ล้านบาทเศษ เงินรับฝากจากสมาชิก 1,673 ล้านบาทเศษ สินเชื่อให้แก่สมาชิก 1,433 ล้านบาทเศษ รวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป โดยทํา MOU กับบริษัทธนสรรไรซ์ จํากัด จํานวน 136,000 ตันเศษ คิดเป็นเงิน จํานวน 956 ล้านบาท
............................ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58474 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง และพัทยา ได้รับใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) | วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565
สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง และพัทยา ได้รับใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะจากสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)
สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม โดยนายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อํานวยการ CAAT มอบใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะของสนามบินนานาชาติให้การท่าอากาศยานอู่ตะเภา ระยอง และพัทยา
สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม โดยนายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อํานวยการ CAAT มอบใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง และพัทยา ให้การท่าอากาศยานอู่ตะเภา (กทภ.) กองทัพเรือ โดยมีพลเรือเอก วรพล ทองปรีชา ผู้อํานวยการ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 ณ ห้องประชุมสุวรรณภูมิ CAAT
ใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะ (Public Aerodrome Operating Certificate: PAOC) เป็นเอกสารที่ออกให้กับเจ้าของหรือผู้ดําเนินการสนามบินที่ได้รับอนุญาตในการเปิดให้บริการแก่สาธารณะ ทําให้สามารถยืนยันได้ถึงมาตรฐานความปลอดภัยของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยานับเป็นสนามบินสาธารณะแห่งที่สองและสนามบินนานาชาติแห่งแรกที่ได้รับมอบใบรับรองนี้ภายใต้การพิจารณาด้วยกระบวนการใหม่ตามมาตรฐานสากล ภายหลังการจัดตั้ง CAAT
สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ปัจจุบันได้ให้บริการสาธารณะแก่อากาศยานภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง มีความยาวทางวิ่ง 3,505 เมตร ซึ่งสามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้ทั้ง B777, B787, A330 รวมถึง Antonov และสนามบินแห่งนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาภายใต้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสําคัญของ Eastern Economic Corridor (EEC) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา เป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3" ที่เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานดอนเมืองและ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง ทําให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง และพัทยา ได้รับใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565
สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง และพัทยา ได้รับใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะจากสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)
สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม โดยนายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อํานวยการ CAAT มอบใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะของสนามบินนานาชาติให้การท่าอากาศยานอู่ตะเภา ระยอง และพัทยา
สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม โดยนายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อํานวยการ CAAT มอบใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง และพัทยา ให้การท่าอากาศยานอู่ตะเภา (กทภ.) กองทัพเรือ โดยมีพลเรือเอก วรพล ทองปรีชา ผู้อํานวยการ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 ณ ห้องประชุมสุวรรณภูมิ CAAT
ใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะ (Public Aerodrome Operating Certificate: PAOC) เป็นเอกสารที่ออกให้กับเจ้าของหรือผู้ดําเนินการสนามบินที่ได้รับอนุญาตในการเปิดให้บริการแก่สาธารณะ ทําให้สามารถยืนยันได้ถึงมาตรฐานความปลอดภัยของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยานับเป็นสนามบินสาธารณะแห่งที่สองและสนามบินนานาชาติแห่งแรกที่ได้รับมอบใบรับรองนี้ภายใต้การพิจารณาด้วยกระบวนการใหม่ตามมาตรฐานสากล ภายหลังการจัดตั้ง CAAT
สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ปัจจุบันได้ให้บริการสาธารณะแก่อากาศยานภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง มีความยาวทางวิ่ง 3,505 เมตร ซึ่งสามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้ทั้ง B777, B787, A330 รวมถึง Antonov และสนามบินแห่งนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาภายใต้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสําคัญของ Eastern Economic Corridor (EEC) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา เป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3" ที่เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานดอนเมืองและ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง ทําให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52128 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ห่วงโอมิครอนระบาดช่วงตรุษจีน แนะประชาชนเลี่ยงเดินทางโดยไม่จำเป็น ลดแออัด ปลอดภัยจากโควิด -19 สธ.ยังคงระดับเตือนภัย ระดับ 4 | วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ห่วงโอมิครอนระบาดช่วงตรุษจีน แนะประชาชนเลี่ยงเดินทางโดยไม่จําเป็น ลดแออัด ปลอดภัยจากโควิด -19 สธ.ยังคงระดับเตือนภัย ระดับ 4
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ห่วงโอมิครอนระบาดช่วงตรุษจีน แนะประชาชนเลี่ยงเดินทางโดยไม่จําเป็น ลดแออัด ปลอดภัยจากโควิด -19 สธ.ยังคงระดับเตือนภัย ระดับ 4
วันนี้ 22 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงการระบาดของโอมิครอนในช่วงตรุษจีน แนะประชาชนเลี่ยงเดินทางโดยไม่จําเป็น ลดแออัด ย้ําปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 1 ก.พ. 65 ถือเป็นวันต้อนรับปีใหม่ของคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีน คาดว่า ภาพรวมเทศกาลตรุษจีนปีนี้ยังมีความคึกคัก เพราะเป็นเทศกาลเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ของพี่น้องคนไทยเชื้อสายจีน อย่างไรก็ตาม การฉลองเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ต้องปรับรูปแบบกิจกรรมต่าง ๆ จากเดิมที่มีการรวมตัวของคนในครอบครัว ให้เน้นปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อภายในครอบครัวและชุมชน รวมทั้งให้นําเทคโนโลยีมาใช้ในการฉลองตรุษจีนทางออนไลน์มากขึ้น เพราะแม้ ศบค. จะผ่อนคลายมาตรการให้ดําเนินกิจกรรมกิจการได้ แต่กระทรวงสาธารณสุขยังคงระดับการเตือนภัย ระดับ 4 เหมือนเดิม
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังแนะประชาชนปฏิบัติตามคําแนะนําตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1) วันจ่าย : ควรวางแผนการซื้อและใช้เวลาให้สั้นที่สุด เลือกซื้อสิ้นค้าสดใหม่จากแหล่งจําหน่ายที่เชื่อถือได้ เช่น ตลาดที่มีการประเมิน Thai Stop COVID 2 Plus หรือจากร้านค้าที่มีระบบออนไลน์ หากจับจ่ายในตลาดให้ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่าง เลี่ยงจุดแออัด
2) วันไหว้ : ล้างวัตถุดิบให้สะอาด ปรุงอาหารสุกทุกเมนู หากทิ้งอาหารไว้นานหลายชั่วโมงให้อุ่นอาหารอีกครั้งก่อนนํามาบริโภค ลดการเผากระดาษ ใช้ธูปสั้นหรือธูปไฟฟ้า เลี่ยงการปักธูปลงในอาหารโดยตรง จัดสถานที่ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก พร้อมทั้งสวมหน้ากากตลอดเวลาขณะที่ทํากิจกรรม
3) วันเที่ยว : ปฏิบัติตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัด ได้แก่ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ รักษาระยะห่าง เลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด เลือกใช้บริการจากสถานประกอบการ แหล่งท่องเที่ยวที่มีสัญลักษณ์ Thai Stop COVID 2 Plus หรือ SHA+ และเมื่อกลับถึงบ้านให้ทําความสะอาดร่างกายทันที
สําหรับจํานวนผู้ติดเชื้อใหม่วันนี้ (22 มกราคม 2565) รวม ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม
รวม 8,112 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 7,935 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 177 ราย หายป่วยกลับบ้าน 7,582 ราย ผู้ป่วยกําลังรักษา 83,231 ราย เสียชีวิต 19 ราย ล่าสุดการให้บริการวัคซีน โควิด -19 สะสมอยู่ทื่ 112,959,434 โดส เข็มที่ 1 ฉีดสะสม 52,018,470 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 48,115,000 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 12,043,108 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 782,856 โดส ///. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ห่วงโอมิครอนระบาดช่วงตรุษจีน แนะประชาชนเลี่ยงเดินทางโดยไม่จำเป็น ลดแออัด ปลอดภัยจากโควิด -19 สธ.ยังคงระดับเตือนภัย ระดับ 4
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ห่วงโอมิครอนระบาดช่วงตรุษจีน แนะประชาชนเลี่ยงเดินทางโดยไม่จําเป็น ลดแออัด ปลอดภัยจากโควิด -19 สธ.ยังคงระดับเตือนภัย ระดับ 4
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ห่วงโอมิครอนระบาดช่วงตรุษจีน แนะประชาชนเลี่ยงเดินทางโดยไม่จําเป็น ลดแออัด ปลอดภัยจากโควิด -19 สธ.ยังคงระดับเตือนภัย ระดับ 4
วันนี้ 22 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงการระบาดของโอมิครอนในช่วงตรุษจีน แนะประชาชนเลี่ยงเดินทางโดยไม่จําเป็น ลดแออัด ย้ําปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 1 ก.พ. 65 ถือเป็นวันต้อนรับปีใหม่ของคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีน คาดว่า ภาพรวมเทศกาลตรุษจีนปีนี้ยังมีความคึกคัก เพราะเป็นเทศกาลเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ของพี่น้องคนไทยเชื้อสายจีน อย่างไรก็ตาม การฉลองเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ต้องปรับรูปแบบกิจกรรมต่าง ๆ จากเดิมที่มีการรวมตัวของคนในครอบครัว ให้เน้นปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อภายในครอบครัวและชุมชน รวมทั้งให้นําเทคโนโลยีมาใช้ในการฉลองตรุษจีนทางออนไลน์มากขึ้น เพราะแม้ ศบค. จะผ่อนคลายมาตรการให้ดําเนินกิจกรรมกิจการได้ แต่กระทรวงสาธารณสุขยังคงระดับการเตือนภัย ระดับ 4 เหมือนเดิม
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังแนะประชาชนปฏิบัติตามคําแนะนําตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1) วันจ่าย : ควรวางแผนการซื้อและใช้เวลาให้สั้นที่สุด เลือกซื้อสิ้นค้าสดใหม่จากแหล่งจําหน่ายที่เชื่อถือได้ เช่น ตลาดที่มีการประเมิน Thai Stop COVID 2 Plus หรือจากร้านค้าที่มีระบบออนไลน์ หากจับจ่ายในตลาดให้ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่าง เลี่ยงจุดแออัด
2) วันไหว้ : ล้างวัตถุดิบให้สะอาด ปรุงอาหารสุกทุกเมนู หากทิ้งอาหารไว้นานหลายชั่วโมงให้อุ่นอาหารอีกครั้งก่อนนํามาบริโภค ลดการเผากระดาษ ใช้ธูปสั้นหรือธูปไฟฟ้า เลี่ยงการปักธูปลงในอาหารโดยตรง จัดสถานที่ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก พร้อมทั้งสวมหน้ากากตลอดเวลาขณะที่ทํากิจกรรม
3) วันเที่ยว : ปฏิบัติตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัด ได้แก่ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ รักษาระยะห่าง เลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด เลือกใช้บริการจากสถานประกอบการ แหล่งท่องเที่ยวที่มีสัญลักษณ์ Thai Stop COVID 2 Plus หรือ SHA+ และเมื่อกลับถึงบ้านให้ทําความสะอาดร่างกายทันที
สําหรับจํานวนผู้ติดเชื้อใหม่วันนี้ (22 มกราคม 2565) รวม ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม
รวม 8,112 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 7,935 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 177 ราย หายป่วยกลับบ้าน 7,582 ราย ผู้ป่วยกําลังรักษา 83,231 ราย เสียชีวิต 19 ราย ล่าสุดการให้บริการวัคซีน โควิด -19 สะสมอยู่ทื่ 112,959,434 โดส เข็มที่ 1 ฉีดสะสม 52,018,470 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 48,115,000 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 12,043,108 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 782,856 โดส ///. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50779 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวน “สายเที่ยว - บริษัททัวร์” ร่วมโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” เหลือสิทธิกว่า 168,000 สิทธิ ปชช. รับสิทธิได้ที่แอปฯ เป๋าตัง | วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565
ชวน “สายเที่ยว - บริษัททัวร์” ร่วมโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” เหลือสิทธิกว่า 168,000 สิทธิ ปชช. รับสิทธิได้ที่แอปฯ เป๋าตัง
.....
ตามที่รัฐบาลได้ขยายเวลา “โครงการทัวร์เที่ยวไทย” ไปสิ้นสุด พ.ค. 65 นั้น ขณะนี้ระบบได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนซื้อรายการนําเที่ยว บริษัทนําเที่ยวรายเดิมเริ่มส่งรายการนําเที่ยว และบริษัทนําเที่ยวรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้แล้ว
.
รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชน และผู้ประกอบการนําเที่ยวเข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยประชาชนสามารถดําเนินการขอรับสิทธิได้ที่แอปฯ เป๋าตัง ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.พ.65 เหลือสิทธิตามโครงการกว่า 168,000 สิทธิ และสามารถตรวจสอบรายละเอียดท่องเที่ยวของบริษัทนําเที่ยวที่ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย
.
ทั้งนี้ นายกฯ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดในเรื่องการกําหนดแนวทางในการบริหารจัดการ เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ พร้อมกํากับให้ผู้ประกอบการนําเที่ยวดูแลนักท่องเที่ยวตามมาตรการโดยเคร่งครัด
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51393
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวน “สายเที่ยว - บริษัททัวร์” ร่วมโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” เหลือสิทธิกว่า 168,000 สิทธิ ปชช. รับสิทธิได้ที่แอปฯ เป๋าตัง
วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565
ชวน “สายเที่ยว - บริษัททัวร์” ร่วมโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” เหลือสิทธิกว่า 168,000 สิทธิ ปชช. รับสิทธิได้ที่แอปฯ เป๋าตัง
.....
ตามที่รัฐบาลได้ขยายเวลา “โครงการทัวร์เที่ยวไทย” ไปสิ้นสุด พ.ค. 65 นั้น ขณะนี้ระบบได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนซื้อรายการนําเที่ยว บริษัทนําเที่ยวรายเดิมเริ่มส่งรายการนําเที่ยว และบริษัทนําเที่ยวรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้แล้ว
.
รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชน และผู้ประกอบการนําเที่ยวเข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยประชาชนสามารถดําเนินการขอรับสิทธิได้ที่แอปฯ เป๋าตัง ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.พ.65 เหลือสิทธิตามโครงการกว่า 168,000 สิทธิ และสามารถตรวจสอบรายละเอียดท่องเที่ยวของบริษัทนําเที่ยวที่ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย
.
ทั้งนี้ นายกฯ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดในเรื่องการกําหนดแนวทางในการบริหารจัดการ เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ พร้อมกํากับให้ผู้ประกอบการนําเที่ยวดูแลนักท่องเที่ยวตามมาตรการโดยเคร่งครัด
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51393
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51441 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว ร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย รับเทรนด์ใหม่ของโลก | วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
ครม. ไฟเขียว ร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย รับเทรนด์ใหม่ของโลก
....
ที่ประชุม ครม. (9 พ.ย.) เห็นชอบร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (ปี 2566 - 2570) ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 2 โดยเน้นทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปี ภายใต้หลักการและแนวคิดสําคัญ คือ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง/ แนวคิดล้มแล้วลุกไว/เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ และโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model)
.
ส่วนแผนกําหนดการพลิกโฉมประเทศไทยสู่ "สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน" เป้าหมายหลัก คือ การปรับโครงการสร้างผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม/การพัฒนาคนสําหรับโลกยุคใหม่/การมุ่งสู่สังคมโอกาสและความเป็นธรรม/การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนและการเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47994
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว ร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย รับเทรนด์ใหม่ของโลก
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
ครม. ไฟเขียว ร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย รับเทรนด์ใหม่ของโลก
....
ที่ประชุม ครม. (9 พ.ย.) เห็นชอบร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (ปี 2566 - 2570) ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 2 โดยเน้นทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปี ภายใต้หลักการและแนวคิดสําคัญ คือ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง/ แนวคิดล้มแล้วลุกไว/เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ และโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model)
.
ส่วนแผนกําหนดการพลิกโฉมประเทศไทยสู่ "สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน" เป้าหมายหลัก คือ การปรับโครงการสร้างผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม/การพัฒนาคนสําหรับโลกยุคใหม่/การมุ่งสู่สังคมโอกาสและความเป็นธรรม/การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนและการเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47994
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48071 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ตรวจเยี่ยม จ.อยุธยา ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม | วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม 2564
“ชัยวุฒิ” ตรวจเยี่ยม จ.อยุธยา ติดตามสถานการณ์น้ําท่วม
“ชัยวุฒิ” ตรวจเยี่ยม จ.อยุธยา ติดตามสถานการณ์น้ําท่วม
“ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมจ.อยุธยาพร้อมพบปะให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยวอนทุกกลุ่มรักประเทศชาติให้มากๆเพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนได้เต็มที่
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวันนี้(2ต.ค. 64)ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่อ.บางบาลจ.อยุธยาติดตามสถานการณ์น้ําท่วมเพื่อรับรู้ความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือได้สอดคล้องกับบริบทความต้องการของเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่โดยเป็นไปตามข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาซึ่งมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกคนลงพื้นที่เยี่ยมเยียนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและตรวจตาดูพื้นที่น้ําท่วม
“วันนี้ผมได้มาตรวจที่อ.บางบาลก็พบว่าเป็นพื้นที่ลุ่มต่ําโดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรก็ท่วมเสียหายหมดเลยเป็นหน้าที่ที่ทางรัฐบาลต้องมาติดตามดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชนชาวนาปีนี้ก็ไม่มีรายได้ก็ต้องการช่วยเหลือ”นายชัยวุฒิกล่าว
นอกจากนี้กระทรวงดิจิทัลฯยังให้ความสําคัญกับการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้รับรู้สถานการณ์น้ําเพื่อป้องกันให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุดกับประชาชนโดยสั่งการผ่านกรมอุตุนิยมวิทยาซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดให้ติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลแจ้งเตือนภัยระดับต่างๆผ่านเครือข่ายกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ(กอนช.)ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติน้ําท่วมได้อย่างทันการณ์
ล่าสุดจากรายงานการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาทราบว่ามีการก่อตัวของพายุที่ฟิลิปปินส์ในห้วงสัปดาห์นี้ก็อาจมีผลต่อประเทศไทยในช่วงวันที่8-9ต.ค.นี้เริ่มก่อตัวเข้ามาในประเทศไทยตามร่องมรสุมต่างๆอาจทําให้มีฝนตกหนักในช่วงปลายสัปดาห์หน้าจึงต้องเร่งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังเพราะอาจมีน้ําท่วมขึ้นสูงในบางพื้นที่
ทั้งนี้รมว.ดีอีเอสยังได้แสดงความคิดเห็นกรณีการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมของรัฐบาล/นายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในบางจังหวัดอย่างเช่นนนทบุรีมีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองมาปิดกั้นและขับไล่ว่าแม้ผู้ชุมนุมมีสิทธิแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแต่ก็ควรเคารพการทําหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภาครัฐบาลด้วยโดยเฉพาะการปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์นี้เป็นการไปตรวจติตามน้ําเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวนนทบุรีและชาวกรุงเทพฯ
“เราควรมาช่วยเหลือกันเรื่องการเมืองควรเอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องประชาชนเดือนร้อนเพราะปัญหาน้ําท่วมเอาเรื่องการเมืองมากไปประเทศก็ไปไม่ได้ฝากไปถึงผู้ชุมนุมทุกคนว่าให้คํานึงถึงประเทศชาติให้รักประเทศชาติมากๆ”นายชัยวุฒิกล่าว
************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ตรวจเยี่ยม จ.อยุธยา ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม
วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม 2564
“ชัยวุฒิ” ตรวจเยี่ยม จ.อยุธยา ติดตามสถานการณ์น้ําท่วม
“ชัยวุฒิ” ตรวจเยี่ยม จ.อยุธยา ติดตามสถานการณ์น้ําท่วม
“ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมจ.อยุธยาพร้อมพบปะให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยวอนทุกกลุ่มรักประเทศชาติให้มากๆเพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนได้เต็มที่
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวันนี้(2ต.ค. 64)ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่อ.บางบาลจ.อยุธยาติดตามสถานการณ์น้ําท่วมเพื่อรับรู้ความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือได้สอดคล้องกับบริบทความต้องการของเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่โดยเป็นไปตามข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาซึ่งมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกคนลงพื้นที่เยี่ยมเยียนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและตรวจตาดูพื้นที่น้ําท่วม
“วันนี้ผมได้มาตรวจที่อ.บางบาลก็พบว่าเป็นพื้นที่ลุ่มต่ําโดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรก็ท่วมเสียหายหมดเลยเป็นหน้าที่ที่ทางรัฐบาลต้องมาติดตามดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชนชาวนาปีนี้ก็ไม่มีรายได้ก็ต้องการช่วยเหลือ”นายชัยวุฒิกล่าว
นอกจากนี้กระทรวงดิจิทัลฯยังให้ความสําคัญกับการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้รับรู้สถานการณ์น้ําเพื่อป้องกันให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุดกับประชาชนโดยสั่งการผ่านกรมอุตุนิยมวิทยาซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดให้ติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลแจ้งเตือนภัยระดับต่างๆผ่านเครือข่ายกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ(กอนช.)ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติน้ําท่วมได้อย่างทันการณ์
ล่าสุดจากรายงานการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาทราบว่ามีการก่อตัวของพายุที่ฟิลิปปินส์ในห้วงสัปดาห์นี้ก็อาจมีผลต่อประเทศไทยในช่วงวันที่8-9ต.ค.นี้เริ่มก่อตัวเข้ามาในประเทศไทยตามร่องมรสุมต่างๆอาจทําให้มีฝนตกหนักในช่วงปลายสัปดาห์หน้าจึงต้องเร่งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังเพราะอาจมีน้ําท่วมขึ้นสูงในบางพื้นที่
ทั้งนี้รมว.ดีอีเอสยังได้แสดงความคิดเห็นกรณีการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมของรัฐบาล/นายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในบางจังหวัดอย่างเช่นนนทบุรีมีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองมาปิดกั้นและขับไล่ว่าแม้ผู้ชุมนุมมีสิทธิแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแต่ก็ควรเคารพการทําหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภาครัฐบาลด้วยโดยเฉพาะการปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์นี้เป็นการไปตรวจติตามน้ําเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวนนทบุรีและชาวกรุงเทพฯ
“เราควรมาช่วยเหลือกันเรื่องการเมืองควรเอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องประชาชนเดือนร้อนเพราะปัญหาน้ําท่วมเอาเรื่องการเมืองมากไปประเทศก็ไปไม่ได้ฝากไปถึงผู้ชุมนุมทุกคนว่าให้คํานึงถึงประเทศชาติให้รักประเทศชาติมากๆ”นายชัยวุฒิกล่าว
************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46496 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม | วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม (ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการกระทําความผิดซ้ําของผู้กระทําความผิดอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. ....)
ในวันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม (ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการกระทําความผิดซ้ําของผู้กระทําความผิดอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. ....) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องด้านการประชาสัมพันธ์ และประชาสังคม ได้แก่ นางอาภาภรณ์ โกศลกุล นางสาวชนัดดา พิทยศิริ นางโศรดา เดชะพงษ์พันธุ์ และผู้บริหารจากกระทรวงยุติธรรม ได้แก่ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นางสาวเอมอร เสียงใหญ่ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวพัชรศรี ศรีเมือง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุม โดยมี พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม นางสาวสุพรรณี ประเสริฐทองกร รองผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม พันตํารวจโท มนตรี บุญยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทําหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
ที่ประชุมได้ร่วมพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ต่อไปนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบการจัดทําคําสั่งกระทรวงยุติธรมเรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาลงนาม
๒. ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างรายละเอียดและแผนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และสร้างความรับรู้เกี่ยวกับร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคมให้แก่ประชาชน และมีข้อสังเกต ดังนี้
- การจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ควรคํานึงถึงกลุ่มเป้าหมายให้รอบด้าน ไม่จํากัดแต่เพียงสตรีหรือเยาวชนเท่านั้น แต่ควรสร้างความตระหนักแก่ประชาชนทั่วไปด้วย
- ควรกําหนดเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง ไม่จํากัดแต่เพียงพื้นที่ในเมืองเพราะในพื้นที่ต่างจังหวัดอาจเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต
- ควรจัดทํา Infographic และคําอธิบายร่างพระราชบัญญัติฯ โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และควรมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ครบถ้วนเหมาะสม และควรคํานึงถึงหน่วยงานเครือข่ายหรือหน่วยงานที่ต้องร่วมดําเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ เช่น สํานักงานศาลยุติธรรม เป็นต้น
- คลิปวิดีโอสั้น อธิบายร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อเสนอ ครม. หากสํานักงานกิจการยุติธรรมดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้จัดส่งให้คณะกรรมการฯ ร่วมพิจารณาเนื้อหา ความเหมาะสมอีกครั้งก่อนเสนอต่อ ครม. หรือนําออกไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม (ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการกระทําความผิดซ้ําของผู้กระทําความผิดอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. ....)
ในวันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม (ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการกระทําความผิดซ้ําของผู้กระทําความผิดอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. ....) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องด้านการประชาสัมพันธ์ และประชาสังคม ได้แก่ นางอาภาภรณ์ โกศลกุล นางสาวชนัดดา พิทยศิริ นางโศรดา เดชะพงษ์พันธุ์ และผู้บริหารจากกระทรวงยุติธรรม ได้แก่ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นางสาวเอมอร เสียงใหญ่ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวพัชรศรี ศรีเมือง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุม โดยมี พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม นางสาวสุพรรณี ประเสริฐทองกร รองผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม พันตํารวจโท มนตรี บุญยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทําหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
ที่ประชุมได้ร่วมพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ต่อไปนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบการจัดทําคําสั่งกระทรวงยุติธรมเรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาลงนาม
๒. ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างรายละเอียดและแผนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และสร้างความรับรู้เกี่ยวกับร่างกฎหมายเฝ้าระวังผู้พ้นโทษในคดีร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อสังคมให้แก่ประชาชน และมีข้อสังเกต ดังนี้
- การจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ควรคํานึงถึงกลุ่มเป้าหมายให้รอบด้าน ไม่จํากัดแต่เพียงสตรีหรือเยาวชนเท่านั้น แต่ควรสร้างความตระหนักแก่ประชาชนทั่วไปด้วย
- ควรกําหนดเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง ไม่จํากัดแต่เพียงพื้นที่ในเมืองเพราะในพื้นที่ต่างจังหวัดอาจเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต
- ควรจัดทํา Infographic และคําอธิบายร่างพระราชบัญญัติฯ โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และควรมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ครบถ้วนเหมาะสม และควรคํานึงถึงหน่วยงานเครือข่ายหรือหน่วยงานที่ต้องร่วมดําเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ เช่น สํานักงานศาลยุติธรรม เป็นต้น
- คลิปวิดีโอสั้น อธิบายร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อเสนอ ครม. หากสํานักงานกิจการยุติธรรมดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้จัดส่งให้คณะกรรมการฯ ร่วมพิจารณาเนื้อหา ความเหมาะสมอีกครั้งก่อนเสนอต่อ ครม. หรือนําออกไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43700 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2565 จำนวน 1,224.8801 ล้านบาท มุ่งเป้าให้ MSME อยู่รอดหลังการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 | วันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564
บอร์ดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2565 จํานวน 1,224.8801 ล้านบาท มุ่งเป้าให้ MSME อยู่รอดหลังการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19
บอร์ดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2565 จํานวน 1,224.8801 ล้านบาท มุ่งเป้าให้ MSME อยู่รอดหลังการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 “นายกฯ”กําชับใช้งบให้คุ้มค่าช่วยคนตัวเล็ก
วันนี้ (25 สิงหาคม 2564) เวลา 09.30 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 3/2564 (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้เร่งพัฒนา Single sign on (SSO) ระบบฐานข้อมูลสมาชิก สสว. เพื่อเชื่อมโยงการบริการและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ย้ําการใช้เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ เกิดความคุ้มค่า และประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SME โดยตรง ทั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอแนะในที่ประชุมให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังล้าสมัยให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้คํานึงถึงการประกอบธุรกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 และผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนที่จะได้รับ ซึ่งสามารถหารือร่วมกับสํานักงาน ป.ย.ป. และคณะทํางานด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการต่อยอดเศรษฐกิจ ยกระดับ SME รวมถึงการส่งเสริมให้มีพี่เลี้ยงสนับสนุนพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาขึ้นเป็น SME รายใหม่ ด้วยการบูรณาการทํางานร่วมกันกับศูนย์บ่มเพาะต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ เช่น ศูนย์ดิจิทัล ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้การทํางานเชื่อมโยงกันเป็นระบบและไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
นายกรัฐมนตรียังกําชับให้เร่งแก้อุปสรรคและข้อจํากัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME โดยจัดทําข้อมูลของ SME ให้ชัดเจนเพื่อใช้พิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งเงินทุนแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งใช้ข้อมูลการบริหารงบประมาณของในส่วนของการพัฒนาจังหวัด กลุ่มจังหวัดประกอบด้วย เพื่อเร่งสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนได้มากขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วยนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมส่งเสริม SME ที่มีศักยภาพและมีนวัตกรรม ส่วน SME ที่มีศักยภาพยังน้อย ก็ต้องหาแนวทางควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ส่งเสริมการค้าขายออนไลน์เพื่อให้ SME ขนาดเล็กสามารถขยายกิจการเป็นขนาดย่อมและขนาดใหญ่ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ด้วย ซึ่งทุกส่วนราชการช่วยกันดําเนินการไปสู่เป้าหมายที่กําหนด รวมทั้งมอบหมาย สสว. หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการขายสินค้าเกษตรออนไลน์และการขนส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและความรู้ด้านเทคโนโลยีเข้ามาสู่ภาคเกษตรให้ได้มากที่สุด เพื่อพัฒนาภาคการเกษตรของไทยให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน มีความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันฐบาลได้มีการดูแลหนี้ของประชาชนทุกกลุ่มโดยไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง หลักการคือการแก้ปัญหาหนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งให้ความสนใจถึงการแก้ปัญหาหนี้ของจีนที่จะนํามาปรับใช้กับประเทศไทยในการแก้ปัญหา “หนี้รายครัวเรือน” ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับประเทศไทยต่อไป
ที่ประชุมเห็นชอบมติสําคัญ อาทิ ร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการให้ความช่วยเหลือ อุดหนุน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จากเงินกองทุนสานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ผ่านผู้ให้บริการทางธุรกิจ พ.ศ. .... รวมทั้งมีมติเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม ประจาปี 2565 จํานวน 1,224.8801 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้ MSME อยู่รอด หลังการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 บรรเทาปัญหาและฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับ ผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 รวมทั้งให้อยู่เป็นโดยการสร้างความพร้อมให้ SME ในการเข้าสู่ การแข่งขันในบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ และอยู่อย่างยั่งยืนคือ การปรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ เกิดความสะดวกแก่ SME
---------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2565 จำนวน 1,224.8801 ล้านบาท มุ่งเป้าให้ MSME อยู่รอดหลังการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19
วันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564
บอร์ดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2565 จํานวน 1,224.8801 ล้านบาท มุ่งเป้าให้ MSME อยู่รอดหลังการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19
บอร์ดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2565 จํานวน 1,224.8801 ล้านบาท มุ่งเป้าให้ MSME อยู่รอดหลังการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 “นายกฯ”กําชับใช้งบให้คุ้มค่าช่วยคนตัวเล็ก
วันนี้ (25 สิงหาคม 2564) เวลา 09.30 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 3/2564 (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้เร่งพัฒนา Single sign on (SSO) ระบบฐานข้อมูลสมาชิก สสว. เพื่อเชื่อมโยงการบริการและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ย้ําการใช้เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ เกิดความคุ้มค่า และประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SME โดยตรง ทั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอแนะในที่ประชุมให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังล้าสมัยให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้คํานึงถึงการประกอบธุรกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 และผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนที่จะได้รับ ซึ่งสามารถหารือร่วมกับสํานักงาน ป.ย.ป. และคณะทํางานด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการต่อยอดเศรษฐกิจ ยกระดับ SME รวมถึงการส่งเสริมให้มีพี่เลี้ยงสนับสนุนพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาขึ้นเป็น SME รายใหม่ ด้วยการบูรณาการทํางานร่วมกันกับศูนย์บ่มเพาะต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ เช่น ศูนย์ดิจิทัล ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้การทํางานเชื่อมโยงกันเป็นระบบและไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
นายกรัฐมนตรียังกําชับให้เร่งแก้อุปสรรคและข้อจํากัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME โดยจัดทําข้อมูลของ SME ให้ชัดเจนเพื่อใช้พิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งเงินทุนแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งใช้ข้อมูลการบริหารงบประมาณของในส่วนของการพัฒนาจังหวัด กลุ่มจังหวัดประกอบด้วย เพื่อเร่งสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนได้มากขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วยนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมส่งเสริม SME ที่มีศักยภาพและมีนวัตกรรม ส่วน SME ที่มีศักยภาพยังน้อย ก็ต้องหาแนวทางควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ส่งเสริมการค้าขายออนไลน์เพื่อให้ SME ขนาดเล็กสามารถขยายกิจการเป็นขนาดย่อมและขนาดใหญ่ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ด้วย ซึ่งทุกส่วนราชการช่วยกันดําเนินการไปสู่เป้าหมายที่กําหนด รวมทั้งมอบหมาย สสว. หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการขายสินค้าเกษตรออนไลน์และการขนส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและความรู้ด้านเทคโนโลยีเข้ามาสู่ภาคเกษตรให้ได้มากที่สุด เพื่อพัฒนาภาคการเกษตรของไทยให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน มีความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันฐบาลได้มีการดูแลหนี้ของประชาชนทุกกลุ่มโดยไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง หลักการคือการแก้ปัญหาหนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งให้ความสนใจถึงการแก้ปัญหาหนี้ของจีนที่จะนํามาปรับใช้กับประเทศไทยในการแก้ปัญหา “หนี้รายครัวเรือน” ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับประเทศไทยต่อไป
ที่ประชุมเห็นชอบมติสําคัญ อาทิ ร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการให้ความช่วยเหลือ อุดหนุน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จากเงินกองทุนสานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ผ่านผู้ให้บริการทางธุรกิจ พ.ศ. .... รวมทั้งมีมติเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม ประจาปี 2565 จํานวน 1,224.8801 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้ MSME อยู่รอด หลังการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 บรรเทาปัญหาและฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับ ผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 รวมทั้งให้อยู่เป็นโดยการสร้างความพร้อมให้ SME ในการเข้าสู่ การแข่งขันในบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ และอยู่อย่างยั่งยืนคือ การปรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ เกิดความสะดวกแก่ SME
---------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45140 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมเมนูอาหารกลางวันต้นแบบ มีคุณค่า ครบโภชนาการ ขอความร่วมมือช่วยกันส่งเสริม สนับสนุนอาหารประจำท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นควบคู่กับอาหารวัฒนธรรมอื่น ๆ | วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565
นายกฯ ชื่นชมเมนูอาหารกลางวันต้นแบบ มีคุณค่า ครบโภชนาการ ขอความร่วมมือช่วยกันส่งเสริม สนับสนุนอาหารประจําท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นควบคู่กับอาหารวัฒนธรรมอื่น ๆ
นายกฯ ชื่นชมเมนูอาหารกลางวันต้นแบบ มีคุณค่า ครบโภชนาการ ขอความร่วมมือช่วยกันส่งเสริม สนับสนุนอาหารประจําท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นควบคู่กับอาหารวัฒนธรรมอื่น ๆ
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (26 เมษายน 2565) เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และคณะผู้บริหาร เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอนิทรรศการ “โครงการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กผ่านประสบการณ์อาหารกลางวันโรงเรียน (Lunch and Learn Project)” ของ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการต้นแบบอาหารกลางวันและรับทราบความคืบหน้าในโครงการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กผ่านประสบการณ์อาหารกลางวันโรงเรียน (Lunch and Learn Project) ซึ่ง สศส. ได้ดําเนินการร่วมกับเชฟ นักสร้างสรรค์อาหาร ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของนักออกแบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ นักเรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องของโรงเรียนในพื้นที่เป้าหมาย 2 จังหวัด คือ จังหวัดขอนแก่น จํานวน 5 โรงเรียน โดยมีนักเรียนเข้าร่วมโครงการ 2,228 คน และจังหวัดเชียงใหม่ จํานวน 4 โรงเรียน มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการ 970 คน ในการพัฒนารายการอาหารอย่างสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับโภชนาการสําหรับเด็กช่วงปฐมวัยด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น เพื่อศึกษาระบบการจัดการอาหารและสูตรอาหารกลางวัน ภายใต้งบประมาณที่จํากัด โดยคํานึงถึงหลักโภชนาการที่เด็กสมควรได้รับ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นการเรียนรู้วัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นและวัฒนธรรมอื่น ๆ ของเด็กผ่านประสบการณ์อาหารกางวัน รวมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้แลกเปลี่ยนความเข้าใจทางวัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นและอาหารจากวัฒนธรรมอื่น ๆ ภายใต้งบ 21 บาท/คน/วัน โดยมีเมนูต้นแบบนําเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ประกอบด้วย 1) Kwantip’s fried chicken มันบด โคลสลอว์ฝรั่งกิมจู 2) ข้าวไก่อบซอสเทอริยากิ ไข่ต้มซีอิ๊ว เฉาก๊วยนมสด และ 3) ข้าวกับแกงโฮ๊ะหมู กล้วยน้ําว้า
นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมโครงการฯ ดังกล่าว ที่จะมีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กผ่านกิจกรรมอาหารกลางวัน เพื่อเป็นโครงการนําร่องและพัฒนาขยายผลลงสู่สถานศึกษาอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันส่งเสริม สนับสนุนการใช้วัตถุดิบปรุงอาหารประจําท้องถิ่นหรือประจําภูมิภาค เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นควบคู่กับอาหารวัฒนธรรมอื่น ๆ พร้อมเป็นกําลังใจให้คณะทํางานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ที่เห็นความสําคัญและได้ร่วมกันผลักดันกิจกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทยในการสร้างต้นแบบการจัดการอาหารและสูตรอาหารกลางวันโดยคํานึงถึงหลักโภชนาการที่เด็กสมควรได้รับ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ อีกทางหนึ่งด้วย
----------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมเมนูอาหารกลางวันต้นแบบ มีคุณค่า ครบโภชนาการ ขอความร่วมมือช่วยกันส่งเสริม สนับสนุนอาหารประจำท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นควบคู่กับอาหารวัฒนธรรมอื่น ๆ
วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565
นายกฯ ชื่นชมเมนูอาหารกลางวันต้นแบบ มีคุณค่า ครบโภชนาการ ขอความร่วมมือช่วยกันส่งเสริม สนับสนุนอาหารประจําท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นควบคู่กับอาหารวัฒนธรรมอื่น ๆ
นายกฯ ชื่นชมเมนูอาหารกลางวันต้นแบบ มีคุณค่า ครบโภชนาการ ขอความร่วมมือช่วยกันส่งเสริม สนับสนุนอาหารประจําท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นควบคู่กับอาหารวัฒนธรรมอื่น ๆ
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (26 เมษายน 2565) เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และคณะผู้บริหาร เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอนิทรรศการ “โครงการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กผ่านประสบการณ์อาหารกลางวันโรงเรียน (Lunch and Learn Project)” ของ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการต้นแบบอาหารกลางวันและรับทราบความคืบหน้าในโครงการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กผ่านประสบการณ์อาหารกลางวันโรงเรียน (Lunch and Learn Project) ซึ่ง สศส. ได้ดําเนินการร่วมกับเชฟ นักสร้างสรรค์อาหาร ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของนักออกแบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ นักเรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องของโรงเรียนในพื้นที่เป้าหมาย 2 จังหวัด คือ จังหวัดขอนแก่น จํานวน 5 โรงเรียน โดยมีนักเรียนเข้าร่วมโครงการ 2,228 คน และจังหวัดเชียงใหม่ จํานวน 4 โรงเรียน มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการ 970 คน ในการพัฒนารายการอาหารอย่างสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับโภชนาการสําหรับเด็กช่วงปฐมวัยด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น เพื่อศึกษาระบบการจัดการอาหารและสูตรอาหารกลางวัน ภายใต้งบประมาณที่จํากัด โดยคํานึงถึงหลักโภชนาการที่เด็กสมควรได้รับ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นการเรียนรู้วัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นและวัฒนธรรมอื่น ๆ ของเด็กผ่านประสบการณ์อาหารกางวัน รวมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้แลกเปลี่ยนความเข้าใจทางวัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นและอาหารจากวัฒนธรรมอื่น ๆ ภายใต้งบ 21 บาท/คน/วัน โดยมีเมนูต้นแบบนําเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ประกอบด้วย 1) Kwantip’s fried chicken มันบด โคลสลอว์ฝรั่งกิมจู 2) ข้าวไก่อบซอสเทอริยากิ ไข่ต้มซีอิ๊ว เฉาก๊วยนมสด และ 3) ข้าวกับแกงโฮ๊ะหมู กล้วยน้ําว้า
นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมโครงการฯ ดังกล่าว ที่จะมีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กผ่านกิจกรรมอาหารกลางวัน เพื่อเป็นโครงการนําร่องและพัฒนาขยายผลลงสู่สถานศึกษาอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันส่งเสริม สนับสนุนการใช้วัตถุดิบปรุงอาหารประจําท้องถิ่นหรือประจําภูมิภาค เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นควบคู่กับอาหารวัฒนธรรมอื่น ๆ พร้อมเป็นกําลังใจให้คณะทํางานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ที่เห็นความสําคัญและได้ร่วมกันผลักดันกิจกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทยในการสร้างต้นแบบการจัดการอาหารและสูตรอาหารกลางวันโดยคํานึงถึงหลักโภชนาการที่เด็กสมควรได้รับ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ อีกทางหนึ่งด้วย
----------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53917 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ชูนวัตกรรมหยุดภัย “ไข้เลือดออก” ส่งมอบชุดตรวจเร็วให้ 13 เขตสุขภาพ ค้นหาผู้ป่วย ควบคุมการระบาดได้เร็ว | วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565
“อนุทิน” ชูนวัตกรรมหยุดภัย “ไข้เลือดออก” ส่งมอบชุดตรวจเร็วให้ 13 เขตสุขภาพ ค้นหาผู้ป่วย ควบคุมการระบาดได้เร็ว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันไข้เลือดออกอาเซียน ชูนวัตกรรมหยุดภัยไข้เลือดออก ส่งมอบชุดตรวจเร็วหาการเชื้อให้ 13 เขตสุขภาพ ช่วยค้นหาผู้ป่วยในพื้นที่และควบคุมการระบาดได้รวดเร็ว และกับดักไข่ยุงลายใช้ลดจํานวนยุงลายในบ้าน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันไข้เลือดออกอาเซียน ชูนวัตกรรมหยุดภัยไข้เลือดออก ส่งมอบชุดตรวจเร็วหาการเชื้อให้ 13 เขตสุขภาพ ช่วยค้นหาผู้ป่วยในพื้นที่และควบคุมการระบาดได้รวดเร็ว และกับดักไข่ยุงลายใช้ลดจํานวนยุงลายในบ้าน เตือนปีนี้ระบาดหนักผนึกความร่วมมือภาคีเครือข่ายรัฐและเอกชนรณรงค์ประชาชนช่วยกําจัดยุงลายลดป่วยตาย
วันนี้ (15 มิถุนายน 2565) ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานวันไข้เลือดออกอาเซียน ประจําปี 2565ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมก้าวไกล ร่วมหยุดภัยไข้เลือดออก” (ASEAN’s Resilience Against Dengue AmidstCOVID-19 Pandemic: Harness Innovation to stop Dengue) พร้อมมอบชุดอุปกรณ์กําจัดยุงให้พื้นที่ 13 เขตสุขภาพและร่วมกับ นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคและหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จํากัด, บริษัท ทาเคดา(ประเทศไทย) จํากัด, สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค), การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จํากัด (มหาชน),บันทึกความเข้าใจ Dengue-Zero, บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ร่วมประกาศเดินหน้าต้านภัยไข้เลือดออก สร้างการรับรู้และรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกันโรคไข้เลือดออก เพื่อลดจํานวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในอนาคต
นายอนุทิน กล่าวว่า วันไข้เลือดออกอาเซียนตรงกับวันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี โดยโรคไข้เลือดออกถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญของประเทศไทยและอาเซียน เนื่องจากเป็นโรคประจําถิ่นของภูมิภาค ซึ่งการแก้ปัญหาโรคไข้เลือดออกต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนและสถานที่ต่าง ๆ ในการช่วยกันทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย ด้วยมาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค สําหรับวันไข้เลือดออกอาเซียนในปี 2565 มีแนวคิดเรื่องนวัตกรรมก้าวไกล ร่วมหยุดภัยไข้เลือดออก โดยชูการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัย การรายงานผล การรักษา และการป้องกันควบคุมโรคควบคู่กันไปในทิศทางเดียวกัน วันนี้จึงได้ส่งแบบตัวอย่างนวัตกรรมชุดตรวจเร็วสําหรับไข้เลือดออก (NS1) และกับดักไข่ยุงลายเพิ่มเติมให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขทั้ง13 เขตสุขภาพ เพื่อนําไปขยายการใช้ให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากที่สุด มีเป้าหมายในการลดจํานวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต ด้วยความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อจะพาประเทศไทยเข้าสู่สังคมปลอดไข้เลือดออกอย่างยั่งยืน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) มีข้อมูลว่าโรคไข้เลือดออกมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วโลกในทศวรรษที่ผ่านมา โดย 70% ของกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกอยู่ในทวีปเอเชีย สําหรับประเทศไทยไข้เลือดออกเป็นโรคที่ระบาดตลอดทั้งปี พบการระบาดสูงสุดในช่วงฤดูฝนจากการคาดการณ์สถานการณ์ไข้เลือดออกด้วยวิธีอนุกรมเวลาพบว่า ปี 2565 จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นสูงกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปี 2564 มีการระบาดค่อนข้างน้อยและลักษณะการระบาดของไข้เลือดออกจะเป็นการระบาดแบบปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี โดยกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต คือ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัวเรื้อรัง และกลุ่มผู้ที่มีน้ําหนักเกินเกณฑ์ สําหรับนวัตกรรมการตรวจหาเชื้อโรคไข้เลือดออกชนิดตรวจเร็วเรียกว่าNS1 ทํางานคล้ายชุดตรวจ ATK ที่ใช้สําหรับตรวจโควิด 19 เพื่อเป็นการค้นหาผู้ป่วยได้รวดเร็วและควบคุมการระบาดได้อย่างทันท่วงที ส่วนอีกนวัตกรรมหนึ่งที่เป็นวิถีที่ประชาชนจะนําไปใช้ได้ คือ กับดักไข่ยุงลาย เพื่อให้ประชาชนนําไปใช้ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยลดความหนาแน่นของยุงลายบริเวณบ้านตนเอง
นายโยชิฮิโระ ฮาเซเบะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาโอ คอร์ปอเรชั่น จํากัดกล่าวว่า คาโอมีความมุ่งมั่นในการช่วยชีวิตและปกป้องผู้คน (Save life, Protect People) โดยให้ความสําคัญใน 3 เรื่องได้แก่ ระบบนิเวศวิทยา การทําให้ผู้คนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีถูกสุขอนามัย และเรื่องชีวิตของผู้คน หรือการดําเนินชีวิตไปอย่างปกติสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการป้องกันโรคติดเชื้อ ด้วยแนวโน้มอุบัติการณ์ของโรคไข้เลือดออกที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในอาเซียน คาโอจึงได้นําเสนอนวัตกรรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์สําหรับทาป้องกันยุงที่มีคุณภาพ ในการปกป้องชีวิตผู้คนให้ปลอดภัย (Save Future Lives) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกให้ห่างไกลโรคภัยตามวิถี “Kirei—Making Life Beautiful”
นายปีเตอร์ สตรีบัล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า ไข้เลือดออกเป็นโรคที่สร้างความสูญเสียทั้งด้านของทรัพยากรการแพทย์ เศรษฐกิจ และคร่าชีวิตผู้คนมากมาย จึงถือเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สําคัญ ทาเคดาตระหนักถึงปัญหาของโรคไข้เลือดออกและไม่อยากให้คนไทยต้องเจ็บป่วยจากโรคนี้ เรามีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมปลอดไข้เลือดออก ภายใต้บันทึกความเข้าใจDengue-Zero ที่ได้ทํางานอย่างใกล้ชิดกับภาคีเครือข่ายจากองค์กรด้านสาธารณสุขจากภาครัฐและเอกชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยสนับสนุนการทํางานในหลากหลายมิติเพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องได้เติมเต็มศักยภาพอย่างเต็มที่ ส่งเสริมให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจถึงภัยของไข้เลือดออก อันจะนําไปสู่การป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
******************************* 15 มิถุนายน 2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ชูนวัตกรรมหยุดภัย “ไข้เลือดออก” ส่งมอบชุดตรวจเร็วให้ 13 เขตสุขภาพ ค้นหาผู้ป่วย ควบคุมการระบาดได้เร็ว
วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565
“อนุทิน” ชูนวัตกรรมหยุดภัย “ไข้เลือดออก” ส่งมอบชุดตรวจเร็วให้ 13 เขตสุขภาพ ค้นหาผู้ป่วย ควบคุมการระบาดได้เร็ว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันไข้เลือดออกอาเซียน ชูนวัตกรรมหยุดภัยไข้เลือดออก ส่งมอบชุดตรวจเร็วหาการเชื้อให้ 13 เขตสุขภาพ ช่วยค้นหาผู้ป่วยในพื้นที่และควบคุมการระบาดได้รวดเร็ว และกับดักไข่ยุงลายใช้ลดจํานวนยุงลายในบ้าน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันไข้เลือดออกอาเซียน ชูนวัตกรรมหยุดภัยไข้เลือดออก ส่งมอบชุดตรวจเร็วหาการเชื้อให้ 13 เขตสุขภาพ ช่วยค้นหาผู้ป่วยในพื้นที่และควบคุมการระบาดได้รวดเร็ว และกับดักไข่ยุงลายใช้ลดจํานวนยุงลายในบ้าน เตือนปีนี้ระบาดหนักผนึกความร่วมมือภาคีเครือข่ายรัฐและเอกชนรณรงค์ประชาชนช่วยกําจัดยุงลายลดป่วยตาย
วันนี้ (15 มิถุนายน 2565) ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานวันไข้เลือดออกอาเซียน ประจําปี 2565ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมก้าวไกล ร่วมหยุดภัยไข้เลือดออก” (ASEAN’s Resilience Against Dengue AmidstCOVID-19 Pandemic: Harness Innovation to stop Dengue) พร้อมมอบชุดอุปกรณ์กําจัดยุงให้พื้นที่ 13 เขตสุขภาพและร่วมกับ นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคและหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จํากัด, บริษัท ทาเคดา(ประเทศไทย) จํากัด, สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค), การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จํากัด (มหาชน),บันทึกความเข้าใจ Dengue-Zero, บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ร่วมประกาศเดินหน้าต้านภัยไข้เลือดออก สร้างการรับรู้และรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกันโรคไข้เลือดออก เพื่อลดจํานวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในอนาคต
นายอนุทิน กล่าวว่า วันไข้เลือดออกอาเซียนตรงกับวันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี โดยโรคไข้เลือดออกถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญของประเทศไทยและอาเซียน เนื่องจากเป็นโรคประจําถิ่นของภูมิภาค ซึ่งการแก้ปัญหาโรคไข้เลือดออกต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนและสถานที่ต่าง ๆ ในการช่วยกันทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย ด้วยมาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค สําหรับวันไข้เลือดออกอาเซียนในปี 2565 มีแนวคิดเรื่องนวัตกรรมก้าวไกล ร่วมหยุดภัยไข้เลือดออก โดยชูการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัย การรายงานผล การรักษา และการป้องกันควบคุมโรคควบคู่กันไปในทิศทางเดียวกัน วันนี้จึงได้ส่งแบบตัวอย่างนวัตกรรมชุดตรวจเร็วสําหรับไข้เลือดออก (NS1) และกับดักไข่ยุงลายเพิ่มเติมให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขทั้ง13 เขตสุขภาพ เพื่อนําไปขยายการใช้ให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากที่สุด มีเป้าหมายในการลดจํานวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต ด้วยความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อจะพาประเทศไทยเข้าสู่สังคมปลอดไข้เลือดออกอย่างยั่งยืน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) มีข้อมูลว่าโรคไข้เลือดออกมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วโลกในทศวรรษที่ผ่านมา โดย 70% ของกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกอยู่ในทวีปเอเชีย สําหรับประเทศไทยไข้เลือดออกเป็นโรคที่ระบาดตลอดทั้งปี พบการระบาดสูงสุดในช่วงฤดูฝนจากการคาดการณ์สถานการณ์ไข้เลือดออกด้วยวิธีอนุกรมเวลาพบว่า ปี 2565 จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นสูงกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปี 2564 มีการระบาดค่อนข้างน้อยและลักษณะการระบาดของไข้เลือดออกจะเป็นการระบาดแบบปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี โดยกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต คือ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัวเรื้อรัง และกลุ่มผู้ที่มีน้ําหนักเกินเกณฑ์ สําหรับนวัตกรรมการตรวจหาเชื้อโรคไข้เลือดออกชนิดตรวจเร็วเรียกว่าNS1 ทํางานคล้ายชุดตรวจ ATK ที่ใช้สําหรับตรวจโควิด 19 เพื่อเป็นการค้นหาผู้ป่วยได้รวดเร็วและควบคุมการระบาดได้อย่างทันท่วงที ส่วนอีกนวัตกรรมหนึ่งที่เป็นวิถีที่ประชาชนจะนําไปใช้ได้ คือ กับดักไข่ยุงลาย เพื่อให้ประชาชนนําไปใช้ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยลดความหนาแน่นของยุงลายบริเวณบ้านตนเอง
นายโยชิฮิโระ ฮาเซเบะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาโอ คอร์ปอเรชั่น จํากัดกล่าวว่า คาโอมีความมุ่งมั่นในการช่วยชีวิตและปกป้องผู้คน (Save life, Protect People) โดยให้ความสําคัญใน 3 เรื่องได้แก่ ระบบนิเวศวิทยา การทําให้ผู้คนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีถูกสุขอนามัย และเรื่องชีวิตของผู้คน หรือการดําเนินชีวิตไปอย่างปกติสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการป้องกันโรคติดเชื้อ ด้วยแนวโน้มอุบัติการณ์ของโรคไข้เลือดออกที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในอาเซียน คาโอจึงได้นําเสนอนวัตกรรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์สําหรับทาป้องกันยุงที่มีคุณภาพ ในการปกป้องชีวิตผู้คนให้ปลอดภัย (Save Future Lives) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกให้ห่างไกลโรคภัยตามวิถี “Kirei—Making Life Beautiful”
นายปีเตอร์ สตรีบัล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า ไข้เลือดออกเป็นโรคที่สร้างความสูญเสียทั้งด้านของทรัพยากรการแพทย์ เศรษฐกิจ และคร่าชีวิตผู้คนมากมาย จึงถือเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สําคัญ ทาเคดาตระหนักถึงปัญหาของโรคไข้เลือดออกและไม่อยากให้คนไทยต้องเจ็บป่วยจากโรคนี้ เรามีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมปลอดไข้เลือดออก ภายใต้บันทึกความเข้าใจDengue-Zero ที่ได้ทํางานอย่างใกล้ชิดกับภาคีเครือข่ายจากองค์กรด้านสาธารณสุขจากภาครัฐและเอกชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยสนับสนุนการทํางานในหลากหลายมิติเพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องได้เติมเต็มศักยภาพอย่างเต็มที่ ส่งเสริมให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจถึงภัยของไข้เลือดออก อันจะนําไปสู่การป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
******************************* 15 มิถุนายน 2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55740 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เร่งผลักดันความร่วมมือ “การเกษตรไทย - ซาอุดีฯ” เดินหน้าขยายตลาด “ส่งออกข้าวไทย” | วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565
นายกฯ เร่งผลักดันความร่วมมือ “การเกษตรไทย - ซาอุดีฯ” เดินหน้าขยายตลาด “ส่งออกข้าวไทย”
.....
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือด้าน “สินค้าเกษตร” ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียให้มีความก้าวหน้าและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินหน้าขยายความร่วมมือด้านการเกษตรกับซาอุดีฯ ซึ่งจะครอบคุลมภาคการเกษตรทุกมิติ เช่น ชลประทาน ปศุสัตว์ ประมง ฮาลาล อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีเกษตร เป็นต้น
.
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารกรมการข้าว ได้เล็งเห็น “โอกาสของการส่งออกข้าวไทย” และจากสถานการณ์ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยสามารถรับมือได้น่าพอใจ และทางซาอุดีฯ ก็มีความต้องการข้าวเป็นจํานวนมาก
.
นายกฯ จึงกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมบูรณาการการทํางานเพื่อให้เกิดผลสําเร็จ โดยเชื่อมั่นในองค์ความรู้ ความสามารถของคนไทย และประสบการณ์ที่ไทยสืบทอดภูมิปัญญาการปลูกข้าวมาอย่างยาวนาน
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55491
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เร่งผลักดันความร่วมมือ “การเกษตรไทย - ซาอุดีฯ” เดินหน้าขยายตลาด “ส่งออกข้าวไทย”
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565
นายกฯ เร่งผลักดันความร่วมมือ “การเกษตรไทย - ซาอุดีฯ” เดินหน้าขยายตลาด “ส่งออกข้าวไทย”
.....
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือด้าน “สินค้าเกษตร” ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียให้มีความก้าวหน้าและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินหน้าขยายความร่วมมือด้านการเกษตรกับซาอุดีฯ ซึ่งจะครอบคุลมภาคการเกษตรทุกมิติ เช่น ชลประทาน ปศุสัตว์ ประมง ฮาลาล อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีเกษตร เป็นต้น
.
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารกรมการข้าว ได้เล็งเห็น “โอกาสของการส่งออกข้าวไทย” และจากสถานการณ์ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยสามารถรับมือได้น่าพอใจ และทางซาอุดีฯ ก็มีความต้องการข้าวเป็นจํานวนมาก
.
นายกฯ จึงกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมบูรณาการการทํางานเพื่อให้เกิดผลสําเร็จ โดยเชื่อมั่นในองค์ความรู้ ความสามารถของคนไทย และประสบการณ์ที่ไทยสืบทอดภูมิปัญญาการปลูกข้าวมาอย่างยาวนาน
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55491
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55537 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัดประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง สัญจรผ่านได้ 6 สายทาง | วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564
กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัดประจําวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง สัญจรผ่านได้ 6 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัด สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 6 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุพรรณบุรี และนครปฐม รวม 23 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 6 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 5 สายทาง (5 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้
1. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600)
2. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800)
3. สายทาง สร.022 สะพานมิตรภาพ - หนองเรือ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+150 - 4+000)
4. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลําน้ําชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อําเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+050 - 3+500)
5. สายทาง อย.5034 แยกทางหลวงชนบท อย.3006 (กม. ที่ 0+900) - บ้านดอนทอง อําเภอลาดบัวหลวง และเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 7+250)
6. สายทาง อย.3049 แยก ทล.340 (กม. ที่ 55+900) - บ้านบางตาเถร อําเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 8+530)
ทั้งนี้ ทช. จะเร่งดําเนินแผนการฟื้นฟูซ่อมแซมเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการสัญจรของประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เดินทางสัญจรได้อย่างปลอดภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัดประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง สัญจรผ่านได้ 6 สายทาง
วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564
กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัดประจําวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง สัญจรผ่านได้ 6 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัด สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 6 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุพรรณบุรี และนครปฐม รวม 23 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 17 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 6 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 5 สายทาง (5 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้
1. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600)
2. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800)
3. สายทาง สร.022 สะพานมิตรภาพ - หนองเรือ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+150 - 4+000)
4. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลําน้ําชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อําเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+050 - 3+500)
5. สายทาง อย.5034 แยกทางหลวงชนบท อย.3006 (กม. ที่ 0+900) - บ้านดอนทอง อําเภอลาดบัวหลวง และเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 7+250)
6. สายทาง อย.3049 แยก ทล.340 (กม. ที่ 55+900) - บ้านบางตาเถร อําเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 8+530)
ทั้งนี้ ทช. จะเร่งดําเนินแผนการฟื้นฟูซ่อมแซมเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการสัญจรของประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เดินทางสัญจรได้อย่างปลอดภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48378 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ แสดงความเสียใจกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ “คุณหมอกระต่าย” ประสบอุบัติเหตุขณะเดินข้ามทางม้าลาย กำชับเจ้าหน้าที่ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง | วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ แสดงความเสียใจกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ “คุณหมอกระต่าย” ประสบอุบัติเหตุขณะเดินข้ามทางม้าลาย กําชับเจ้าหน้าที่ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ แสดงความเสียใจกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ “คุณหมอกระต่าย” ประสบอุบัติเหตุขณะเดินข้ามทางม้าลาย กําชับเจ้าหน้าที่ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ย้ํา ทางเท้าและทางม้าลายต้องปลอดภัยสําหรับทุกคน
วันที่ 24 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความเสียใจต่อกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ คุณหมอกระต่าย แพทย์ผู้ชํานาญการด้านจักษุวิทยา ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ประสบอุบัติเหตุขณะเดินทางข้ามทางม้าลาย บริเวณด้านหน้าสถาบันไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา โดยมอบหมาย นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีร่วมสวดพระอภิธรรม ณ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน พร้อมส่งพวงหรีด แสดงความอาลัยด้วย นับเป็นความสูญเสียครั้งสําคัญของวงการจักษุแพทย์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเจ้าหน้าที่กวดขันบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างจริงจังและเข้มงวด พร้อมให้ตํารวจติดตามคดีให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิต และเร่งจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กทม. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมและภาคประชาสังคม ร่วมกันพิจารณาแก้ไขเร่งด่วน ทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว ทําให้ทางม้าลายและทางเท้าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสําหรับประชาชนเดินเท้าให้ได้อย่างยั่งยืน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ แสดงความเสียใจกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ “คุณหมอกระต่าย” ประสบอุบัติเหตุขณะเดินข้ามทางม้าลาย กำชับเจ้าหน้าที่ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ แสดงความเสียใจกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ “คุณหมอกระต่าย” ประสบอุบัติเหตุขณะเดินข้ามทางม้าลาย กําชับเจ้าหน้าที่ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ แสดงความเสียใจกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ “คุณหมอกระต่าย” ประสบอุบัติเหตุขณะเดินข้ามทางม้าลาย กําชับเจ้าหน้าที่ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ย้ํา ทางเท้าและทางม้าลายต้องปลอดภัยสําหรับทุกคน
วันที่ 24 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความเสียใจต่อกรณี พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ คุณหมอกระต่าย แพทย์ผู้ชํานาญการด้านจักษุวิทยา ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ประสบอุบัติเหตุขณะเดินทางข้ามทางม้าลาย บริเวณด้านหน้าสถาบันไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา โดยมอบหมาย นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีร่วมสวดพระอภิธรรม ณ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน พร้อมส่งพวงหรีด แสดงความอาลัยด้วย นับเป็นความสูญเสียครั้งสําคัญของวงการจักษุแพทย์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเจ้าหน้าที่กวดขันบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างจริงจังและเข้มงวด พร้อมให้ตํารวจติดตามคดีให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิต และเร่งจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กทม. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมและภาคประชาสังคม ร่วมกันพิจารณาแก้ไขเร่งด่วน ทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว ทําให้ทางม้าลายและทางเท้าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสําหรับประชาชนเดินเท้าให้ได้อย่างยั่งยืน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50838 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมวิชาการเกษตร จัดยิ่งใหญ่ โชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมทรงคุณค่ากว่า 900 ต้นแบบ | วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2565
กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมวิชาการเกษตร จัดยิ่งใหญ่ โชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมทรงคุณค่ากว่า 900 ต้นแบบ
กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมวิชาการเกษตร จัดยิ่งใหญ่ โชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมทรงคุณค่ากว่า 900 ต้นแบบ พร้อมแถลงผลงานวิจัย 5 ปี มุ่งขับเคลื่อนผลงานไปสู่พี่น้องเกษตรกร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมแถลงผลงานวิจัยสิ้นสุด ปี 2559 - 2564 กรมวิชาการเกษตร “กรมวิชาการเกษตรร่วมใจ มุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ เพื่อความมั่นคงทางอาหาร DOA Together for BCG and Food Security” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 20 กรกฎาคม 2565 ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต อําเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นการประชุมแถลงผลงานวิจัยที่มีคุณค่าของกรมวิชาการเกษตร นับเป็นโอกาสดีสําหรับนักวิจัยซึ่งเป็นผู้ผลิตผลงาน และผู้ใช้ผลงานซึ่งเป็นพี่น้องเกษตรกร ผู้ประกอบการ ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ ที่จะได้รับรู้ แลกเปลี่ยน นําผลงานวิจัยไปพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการผลิต เพื่อให้เกิดการบูรณาการและทํางานวิจัยร่วมกันให้สอดคล้องกับแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งในด้านการวิจัยรองรับการขับเคลื่อนประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน งานวิจัยที่สร้างรายได้ และเพิ่มอัตราการขยายตัวของ GDP ภาคเกษตร งานวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งยังคงเป็นผลงานที่โดดเด่นของกรมวิชาการเกษตร และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยเพื่อลดระยะเวลาการวิจัย ให้ผลงานออกสู่พี่น้องเกษตรกรโดยเร็ว
รมช.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังต้องคํานึงถึงการวิจัยและการทํางานเพื่อรองรับภาวะวิกฤติของประเทศ อาทิ ภาวะภัยแล้ง ปัญหาการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช รวมไปถึงมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศ ซึ่งจากการดําเนินงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2559 - 2564 ทําให้เกิดผลงานวิจัยที่มีคุณค่ามากมาย ไม่น้อยกว่า 900 ต้นแบบเทคโนโลยี และกรมวิชาการเกษตรได้ขับเคลื่อนผลงานไปสู่ภาคการเกษตร จึงเชื่อมั่นว่าการประชุมแถลงผลงานในครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าต่อทุกภาคส่วน
ด้านนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า การประชุมในครั้งนี้จัดขึ้นรวมทั้งสิ้น 3 วัน เป็นการรายงานผลงานวิจัย นวัตกรรมรวม 29 เรื่องหลัก เพื่อแถลงผลงานวิจัยไปสู่สาธารณะ สร้างการยอมรับและนําไปปรับใช้ในกระบวนการผลิตให้สอดรับกับตลาดสินค้าเกษตรสมัยใหม่ ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จากผู้เกี่ยวข้องในด้านการวิจัยและการผลิต มีผู้เข้าร่วมประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย ตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน เกษตรกร และประชาชนผู้สนใจ
ทั้งนี้ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านพืช เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคการเกษตรของประเทศไทย เป็นภารกิจที่สําคัญของกรมวิชาการเกษตร โดยในปี 2564 กรมวิชาการเกษตรได้รับงบประมาณสนับสนุนด้านการวิจัย ตามแผนงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) จากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) รวมทั้งสิ้น 388 ล้านบาท เพื่อดําเนินงานวิจัยใน 29 แผนงานวิจัย (255 โครงการวิจัย) ต่อเนื่องจากปี 2559 จนกระทั่งสิ้นสุดกระบวนการวิจัยในปี 2564 รวมงบประมาณทั้งสิ้น 2,508 ล้านบาท ส่งผลให้กรมวิชาการเกษตร เกิดผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณค่า พร้อมที่จะนําไปเผยแพร่สู่สาธารณะ ไม่น้อยกว่า 900 ต้นแบบเทคโนโลยี อาทิ
1.พืชพันธุ์พืชใหม่รองรับตลาดเฉพาะและภาคอุตสาหกรรม 16 ชนิด (49 พันธุ์) พันธุ์พืชท้องถิ่นที่มีศักยภาพในอนาคต 19 ชนิด พร้อมทั้งเทคโนโลยีการผลิตพืชท้องถิ่น 41 ชนิด พืช GI รวม 9 ชนิดพืช 2. สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนเกษตรกรรม จากการใช้ชุดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 20-50 % และได้พัฒนาไปสู่เว็บแอปพลิเคชันระบบพยากรณ์ผลผลิตในไม้ผลเศรษฐกิจ ระบบให้คําแนะนําในการใช้ปุ๋ยในปาล์มน้ํามัน ระบบการประเมินการระบาดของศัตรูพืชมันสําปะหลัง 3. นวัตกรรมด้านอารักขาพืชแก้ไขปัญหา โรคใบขาวอ้อย โรคใบด่างมันสําปะหลัง หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ช่วยลดการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรและค่าใช้จ่ายในการป้องกันกําจัดมากกว่าร้อยล้านบาทต่อปี 4. สร้างผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผลิตภัณฑ์ใหม่จากฐานพันธุกรรมพืช สู่อุตสาหกรรมอาหารและเวชสําอาง และยกระดับมาตรฐานการผลิต และ 5. พัฒนาชุดตรวจสอบศัตรูพืชแบบแม่นยําสูง วิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชสําหรับการเจรจาเปิดตลาดสินค้า จัดทํามาตรการสุขอนามัยพืชในการนําเข้า-ส่งออก สินค้าเกษตร ซึ่งส่งผลต่อตลาดเมล็ดพันธุ์และตลาดสินค้าเกษตร ที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 8 แสนล้านบาทต่อปี เป็นต้น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมวิชาการเกษตร จัดยิ่งใหญ่ โชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมทรงคุณค่ากว่า 900 ต้นแบบ
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2565
กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมวิชาการเกษตร จัดยิ่งใหญ่ โชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมทรงคุณค่ากว่า 900 ต้นแบบ
กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมวิชาการเกษตร จัดยิ่งใหญ่ โชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมทรงคุณค่ากว่า 900 ต้นแบบ พร้อมแถลงผลงานวิจัย 5 ปี มุ่งขับเคลื่อนผลงานไปสู่พี่น้องเกษตรกร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมแถลงผลงานวิจัยสิ้นสุด ปี 2559 - 2564 กรมวิชาการเกษตร “กรมวิชาการเกษตรร่วมใจ มุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ เพื่อความมั่นคงทางอาหาร DOA Together for BCG and Food Security” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 20 กรกฎาคม 2565 ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต อําเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นการประชุมแถลงผลงานวิจัยที่มีคุณค่าของกรมวิชาการเกษตร นับเป็นโอกาสดีสําหรับนักวิจัยซึ่งเป็นผู้ผลิตผลงาน และผู้ใช้ผลงานซึ่งเป็นพี่น้องเกษตรกร ผู้ประกอบการ ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ ที่จะได้รับรู้ แลกเปลี่ยน นําผลงานวิจัยไปพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการผลิต เพื่อให้เกิดการบูรณาการและทํางานวิจัยร่วมกันให้สอดคล้องกับแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งในด้านการวิจัยรองรับการขับเคลื่อนประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน งานวิจัยที่สร้างรายได้ และเพิ่มอัตราการขยายตัวของ GDP ภาคเกษตร งานวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งยังคงเป็นผลงานที่โดดเด่นของกรมวิชาการเกษตร และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยเพื่อลดระยะเวลาการวิจัย ให้ผลงานออกสู่พี่น้องเกษตรกรโดยเร็ว
รมช.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังต้องคํานึงถึงการวิจัยและการทํางานเพื่อรองรับภาวะวิกฤติของประเทศ อาทิ ภาวะภัยแล้ง ปัญหาการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช รวมไปถึงมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศ ซึ่งจากการดําเนินงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2559 - 2564 ทําให้เกิดผลงานวิจัยที่มีคุณค่ามากมาย ไม่น้อยกว่า 900 ต้นแบบเทคโนโลยี และกรมวิชาการเกษตรได้ขับเคลื่อนผลงานไปสู่ภาคการเกษตร จึงเชื่อมั่นว่าการประชุมแถลงผลงานในครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าต่อทุกภาคส่วน
ด้านนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า การประชุมในครั้งนี้จัดขึ้นรวมทั้งสิ้น 3 วัน เป็นการรายงานผลงานวิจัย นวัตกรรมรวม 29 เรื่องหลัก เพื่อแถลงผลงานวิจัยไปสู่สาธารณะ สร้างการยอมรับและนําไปปรับใช้ในกระบวนการผลิตให้สอดรับกับตลาดสินค้าเกษตรสมัยใหม่ ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จากผู้เกี่ยวข้องในด้านการวิจัยและการผลิต มีผู้เข้าร่วมประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย ตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน เกษตรกร และประชาชนผู้สนใจ
ทั้งนี้ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านพืช เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคการเกษตรของประเทศไทย เป็นภารกิจที่สําคัญของกรมวิชาการเกษตร โดยในปี 2564 กรมวิชาการเกษตรได้รับงบประมาณสนับสนุนด้านการวิจัย ตามแผนงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) จากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) รวมทั้งสิ้น 388 ล้านบาท เพื่อดําเนินงานวิจัยใน 29 แผนงานวิจัย (255 โครงการวิจัย) ต่อเนื่องจากปี 2559 จนกระทั่งสิ้นสุดกระบวนการวิจัยในปี 2564 รวมงบประมาณทั้งสิ้น 2,508 ล้านบาท ส่งผลให้กรมวิชาการเกษตร เกิดผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณค่า พร้อมที่จะนําไปเผยแพร่สู่สาธารณะ ไม่น้อยกว่า 900 ต้นแบบเทคโนโลยี อาทิ
1.พืชพันธุ์พืชใหม่รองรับตลาดเฉพาะและภาคอุตสาหกรรม 16 ชนิด (49 พันธุ์) พันธุ์พืชท้องถิ่นที่มีศักยภาพในอนาคต 19 ชนิด พร้อมทั้งเทคโนโลยีการผลิตพืชท้องถิ่น 41 ชนิด พืช GI รวม 9 ชนิดพืช 2. สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนเกษตรกรรม จากการใช้ชุดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 20-50 % และได้พัฒนาไปสู่เว็บแอปพลิเคชันระบบพยากรณ์ผลผลิตในไม้ผลเศรษฐกิจ ระบบให้คําแนะนําในการใช้ปุ๋ยในปาล์มน้ํามัน ระบบการประเมินการระบาดของศัตรูพืชมันสําปะหลัง 3. นวัตกรรมด้านอารักขาพืชแก้ไขปัญหา โรคใบขาวอ้อย โรคใบด่างมันสําปะหลัง หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ช่วยลดการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรและค่าใช้จ่ายในการป้องกันกําจัดมากกว่าร้อยล้านบาทต่อปี 4. สร้างผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผลิตภัณฑ์ใหม่จากฐานพันธุกรรมพืช สู่อุตสาหกรรมอาหารและเวชสําอาง และยกระดับมาตรฐานการผลิต และ 5. พัฒนาชุดตรวจสอบศัตรูพืชแบบแม่นยําสูง วิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชสําหรับการเจรจาเปิดตลาดสินค้า จัดทํามาตรการสุขอนามัยพืชในการนําเข้า-ส่งออก สินค้าเกษตร ซึ่งส่งผลต่อตลาดเมล็ดพันธุ์และตลาดสินค้าเกษตร ที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 8 แสนล้านบาทต่อปี เป็นต้น | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57010 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พิพัฒน์ เปิดการแข่งชันจักรยานชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา | วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565
รมว. พิพัฒน์ เปิดการแข่งชันจักรยานชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา
รมว.กก.กล่าวว่า จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ซึ่งมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการท่องเที่ยว และมีความพร้อมทางด้านวัฒนธรรมที่สืบสานมาอย่างยาวนาน
วันที่ 21 สิงหาคม 2565 เวลา 05.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (รมว.กก.) เป็นประธานเปิดการแข่งชันจักรยานชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน การออกกําลังกายแก่นักท่องเที่ยว นักกีฬา ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดทั้งเยาวชน และประชาชน ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว และสงขลาเมืองกีฬา รวมถึงสร้างรายได้จากกิจกรรม ให้ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านกิจกรรมกีฬาระหว่างองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดสงขลา
รมว.กก.กล่าวว่า จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ซึ่งมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการท่องเที่ยว และมีความพร้อมทางด้านวัฒนธรรมที่สืบสานมาอย่างยาวนาน จังหวัดสงขลาเป็นศูนย์กลาง ในการคมนาคมในภาคใต้และเป็นศูนย์กลางในการเดินทางท่องเที่ยวแถบภูมิภาคอาเชียน การจัดกิจกรรมกีฬาในครั้งนี้ เป็นการขับเคลื่อนนตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและก็ฬาที่จะยกระดับมาตรฐานทางการกีฬาของประเทศไทย และกิจกรรมการแข่งขันต่างๆ ให้เป็นระดับมาตรฐานสากล ที่จะนําไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งการสร้างภาพลักษณ์ของจังหวัด ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมการกีฬาและการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งเป็นส่วนสําคัญในการสร้างและส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับจังหวัด และระดับประเทศ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พิพัฒน์ เปิดการแข่งชันจักรยานชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565
รมว. พิพัฒน์ เปิดการแข่งชันจักรยานชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา
รมว.กก.กล่าวว่า จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ซึ่งมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการท่องเที่ยว และมีความพร้อมทางด้านวัฒนธรรมที่สืบสานมาอย่างยาวนาน
วันที่ 21 สิงหาคม 2565 เวลา 05.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (รมว.กก.) เป็นประธานเปิดการแข่งชันจักรยานชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน การออกกําลังกายแก่นักท่องเที่ยว นักกีฬา ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดทั้งเยาวชน และประชาชน ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว และสงขลาเมืองกีฬา รวมถึงสร้างรายได้จากกิจกรรม ให้ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านกิจกรรมกีฬาระหว่างองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดสงขลา
รมว.กก.กล่าวว่า จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ซึ่งมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการท่องเที่ยว และมีความพร้อมทางด้านวัฒนธรรมที่สืบสานมาอย่างยาวนาน จังหวัดสงขลาเป็นศูนย์กลาง ในการคมนาคมในภาคใต้และเป็นศูนย์กลางในการเดินทางท่องเที่ยวแถบภูมิภาคอาเชียน การจัดกิจกรรมกีฬาในครั้งนี้ เป็นการขับเคลื่อนนตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและก็ฬาที่จะยกระดับมาตรฐานทางการกีฬาของประเทศไทย และกิจกรรมการแข่งขันต่างๆ ให้เป็นระดับมาตรฐานสากล ที่จะนําไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งการสร้างภาพลักษณ์ของจังหวัด ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมการกีฬาและการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งเป็นส่วนสําคัญในการสร้างและส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับจังหวัด และระดับประเทศ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58467 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนบริจาคเงินผ่าน e- Donation เข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยนักเรียนยากจน ขยายสิทธิประโยชน์ภาษีถึงปี 66 หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า | วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564
รัฐบาลสนับสนุนบริจาคเงินผ่าน e- Donation เข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยนักเรียนยากจน ขยายสิทธิประโยชน์ภาษีถึงปี 66 หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
รัฐบาลสนับสนุนบริจาคเงินผ่าน e- Donation เข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยนักเรียนยากจน ขยายสิทธิประโยชน์ภาษีถึงปี 66 หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
วันนี้ (30 มิ.ย.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันวานนี้ (29 มิถุนายน 2564) ว่า ครม.อนุมัติขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สําหรับบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยสามารถหักลดหย่อนหรือหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจํานวนเงินที่บริจาค ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e- Donation) ของกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2566 (จากเดิมที่สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2563) รวมทั้งเพิ่มเติมการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขายสินค้า หรือสําหรับการกระทําตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่กองทุนฯ ทั้งนี้ กสศ. จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการช่วยเหลือนักเรียนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ช่วยลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา และพัฒนาคุณภาพประสิทธิภาพครู ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐ หรือจากผู้บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุน โดยดําเนินการในลักษณะการอุดหนุนช่วยเหลือ การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา (มอบทุนการศึกษาและพัฒนาคุณภาพ) และการศึกษาวิจัยนวัตกรรม
สําหรับการดําเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในปี 2563 กสศ. ได้ช่วยเหลือโดยตรงไปแล้ว 1.07 ล้านคน ในส่วนของเงินบริจาคเข้ากองทุนในช่วงปี พ.ศ.2562-2563 มีจํานวน 23.71 ล้านบาท กสศ. ได้นําเงินบริจาคไปใช้ในการช่วยเหลือนักเรียนรวมทั้งสิ้น 46,331 คน แบ่งเป็น (1)นักเรียนยากจนพิเศษที่มีภาวะทุพโภชนาการ จํานวน 40,167 คน (2)นักเรียนยากจนพิเศษและเด็กนอกระบบการศึกษา จํานวน 3,066 คน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ (3)นักเรียนยากจนและพิการ 1,298 คน ได้รับการช่วยเหลือเพื่อแบ่งเบาภาระครัวเรือนในช่วงสถานการณ์โควิด19 และป้องกันไม่ให้หลุดออกจากระบบ และ (4)นักเรียนยากจนพิเศษที่มีภาวะทุพโภชนาการในพื้นที่ห่างไกล จํานวน 1,800 คน ให้ได้รับอาหารเช้าเพื่อการเรียนรู้ที่ดีขึ้นตลอด 1 ปี
----------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนบริจาคเงินผ่าน e- Donation เข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยนักเรียนยากจน ขยายสิทธิประโยชน์ภาษีถึงปี 66 หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564
รัฐบาลสนับสนุนบริจาคเงินผ่าน e- Donation เข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยนักเรียนยากจน ขยายสิทธิประโยชน์ภาษีถึงปี 66 หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
รัฐบาลสนับสนุนบริจาคเงินผ่าน e- Donation เข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยนักเรียนยากจน ขยายสิทธิประโยชน์ภาษีถึงปี 66 หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
วันนี้ (30 มิ.ย.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันวานนี้ (29 มิถุนายน 2564) ว่า ครม.อนุมัติขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สําหรับบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยสามารถหักลดหย่อนหรือหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจํานวนเงินที่บริจาค ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e- Donation) ของกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2566 (จากเดิมที่สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2563) รวมทั้งเพิ่มเติมการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขายสินค้า หรือสําหรับการกระทําตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่กองทุนฯ ทั้งนี้ กสศ. จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการช่วยเหลือนักเรียนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ช่วยลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา และพัฒนาคุณภาพประสิทธิภาพครู ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐ หรือจากผู้บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุน โดยดําเนินการในลักษณะการอุดหนุนช่วยเหลือ การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา (มอบทุนการศึกษาและพัฒนาคุณภาพ) และการศึกษาวิจัยนวัตกรรม
สําหรับการดําเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในปี 2563 กสศ. ได้ช่วยเหลือโดยตรงไปแล้ว 1.07 ล้านคน ในส่วนของเงินบริจาคเข้ากองทุนในช่วงปี พ.ศ.2562-2563 มีจํานวน 23.71 ล้านบาท กสศ. ได้นําเงินบริจาคไปใช้ในการช่วยเหลือนักเรียนรวมทั้งสิ้น 46,331 คน แบ่งเป็น (1)นักเรียนยากจนพิเศษที่มีภาวะทุพโภชนาการ จํานวน 40,167 คน (2)นักเรียนยากจนพิเศษและเด็กนอกระบบการศึกษา จํานวน 3,066 คน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ (3)นักเรียนยากจนและพิการ 1,298 คน ได้รับการช่วยเหลือเพื่อแบ่งเบาภาระครัวเรือนในช่วงสถานการณ์โควิด19 และป้องกันไม่ให้หลุดออกจากระบบ และ (4)นักเรียนยากจนพิเศษที่มีภาวะทุพโภชนาการในพื้นที่ห่างไกล จํานวน 1,800 คน ให้ได้รับอาหารเช้าเพื่อการเรียนรู้ที่ดีขึ้นตลอด 1 ปี
----------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43262 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เปิดใช้สะพานข้ามทางรถไฟ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพิ่มความปลอดภัยบริเวณจุดตัดทางรถไฟ พร้อมสนับสนุนโครงการรถไฟทางคู่ของกระทรวงคมนาคม | วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท เปิดใช้สะพานข้ามทางรถไฟ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพิ่มความปลอดภัยบริเวณจุดตัดทางรถไฟ พร้อมสนับสนุนโครงการรถไฟทางคู่ของกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เปิดใช้สะพานข้ามทางรถไฟจุดตัดทางรถไฟกับถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 - บ้านปากน้ําปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เปิดใช้สะพานข้ามทางรถไฟจุดตัดทางรถไฟกับถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 - บ้านปากน้ําปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางรถไฟอย่างสมบูรณ์ เพิ่มความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชน รวมถึงสนับสนุนโครงการรถไฟทางคู่ สอดรับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. มีถนนในความรับผิดชอบที่มีจุดตัดผ่านทางรถไฟกระจายอยู่ทั่วประเทศ จํานวน 153 แห่ง ซึ่งปัจจุบันปริมาณการจราจรบนถนนดังกล่าวสูงขึ้น ทําให้เกิดอุบัติเหตุรถไฟชนกับยานพาหนะบ่อยครั้ง ประกอบกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีโครงการพัฒนาการขนส่งระบบราง (โครงการรถไฟทางคู่) ทช. จึงมีแผนปรับปรุงจุดตัดทางรถไฟดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรการความปลอดภัยของ รฟท. ที่ได้กําหนดให้บริเวณจุดตัดผ่านทางรถไฟที่มีปริมาณการจราจรเป็นจํานวนมากจะต้องก่อสร้างเป็นทางต่างระดับในรูปแบบของสะพานหรืออุโมงค์
สําหรับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟจุดตัดทางรถไฟกับถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 - บ้านปากน้ําปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปัจจุบันได้ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์และได้เปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรเรียบร้อยแล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการ กม. ที่ 0+000 บริเวณถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 มีจุดสิ้นสุดโครงการบนถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 กม. ที่ 1+150 ตําบลวังก์พง อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีความยาว 280 เมตร ความกว้าง 10 เมตร พร้อมก่อสร้างถนนต่อเชื่อมความยาวรวม 870 เมตร มีทางกลับรถบริเวณจุดสิ้นสุดโครงการ 1 แห่ง นอกจากนี้ยังได้ดําเนินการก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้ามทางรถไฟ 1 แห่ง โดยมีทางลาดเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้พิการอีกด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เปิดใช้สะพานข้ามทางรถไฟ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพิ่มความปลอดภัยบริเวณจุดตัดทางรถไฟ พร้อมสนับสนุนโครงการรถไฟทางคู่ของกระทรวงคมนาคม
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท เปิดใช้สะพานข้ามทางรถไฟ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพิ่มความปลอดภัยบริเวณจุดตัดทางรถไฟ พร้อมสนับสนุนโครงการรถไฟทางคู่ของกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เปิดใช้สะพานข้ามทางรถไฟจุดตัดทางรถไฟกับถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 - บ้านปากน้ําปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เปิดใช้สะพานข้ามทางรถไฟจุดตัดทางรถไฟกับถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 - บ้านปากน้ําปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางรถไฟอย่างสมบูรณ์ เพิ่มความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชน รวมถึงสนับสนุนโครงการรถไฟทางคู่ สอดรับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. มีถนนในความรับผิดชอบที่มีจุดตัดผ่านทางรถไฟกระจายอยู่ทั่วประเทศ จํานวน 153 แห่ง ซึ่งปัจจุบันปริมาณการจราจรบนถนนดังกล่าวสูงขึ้น ทําให้เกิดอุบัติเหตุรถไฟชนกับยานพาหนะบ่อยครั้ง ประกอบกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีโครงการพัฒนาการขนส่งระบบราง (โครงการรถไฟทางคู่) ทช. จึงมีแผนปรับปรุงจุดตัดทางรถไฟดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรการความปลอดภัยของ รฟท. ที่ได้กําหนดให้บริเวณจุดตัดผ่านทางรถไฟที่มีปริมาณการจราจรเป็นจํานวนมากจะต้องก่อสร้างเป็นทางต่างระดับในรูปแบบของสะพานหรืออุโมงค์
สําหรับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟจุดตัดทางรถไฟกับถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 - บ้านปากน้ําปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปัจจุบันได้ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์และได้เปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรเรียบร้อยแล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการ กม. ที่ 0+000 บริเวณถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 มีจุดสิ้นสุดโครงการบนถนนทางหลวงชนบทสาย ปข.1019 กม. ที่ 1+150 ตําบลวังก์พง อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีความยาว 280 เมตร ความกว้าง 10 เมตร พร้อมก่อสร้างถนนต่อเชื่อมความยาวรวม 870 เมตร มีทางกลับรถบริเวณจุดสิ้นสุดโครงการ 1 แห่ง นอกจากนี้ยังได้ดําเนินการก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้ามทางรถไฟ 1 แห่ง โดยมีทางลาดเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้พิการอีกด้วย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43970 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบความร่วมมือด้านแรงงานรอบอ่าวอาหรับ Abu Dhabi Dialogue จับมือพัฒนาขีดความสามารถ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของแรงงาน | วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565
ครม.เห็นชอบความร่วมมือด้านแรงงานรอบอ่าวอาหรับ Abu Dhabi Dialogue จับมือพัฒนาขีดความสามารถ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของแรงงาน
ครม.เห็นชอบความร่วมมือด้านแรงงานรอบอ่าวอาหรับ Abu Dhabi Dialogue จับมือพัฒนาขีดความสามารถ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของแรงงาน
วันนี้ (9 มีนาคม 2565) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (8 มีนาคม 2565) ว่า ครม.เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี Abu Dhabi Dialogue ครั้งที่ 6 (The Joint Declaration of the Abu Dhabi Dialogue Sixth Consultation) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งการประชุม ADD นี้ เป็นการประชุมหารือระหว่างประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบ (ประเทศผู้ส่งแรงงาน) 12 ประเทศ ได้แก่ อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ กัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย และเวียดนาม กับกลุ่มประเทศรอบอ่าวอาหรับผู้รับแรงงาน รวม 7 ประเทศ ได้แก่ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเยเมน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล พัฒนาขีดความสามารถ ส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของแรงงาน ณ ประเทศปลายทาง เพื่อให้การเคลื่อนย้ายแรงงานที่ไปทํางานตามสัญญาจ้างชั่วคราวเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศต้นทางที่ส่งออกและประเทศปลายทางที่รับแรงงาน
ร่างปฏิญญาร่วมฉบับนี้ มีขอบเขตความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกใน 5 ประเด็นสําคัญ ดังนี้
1.การพัฒนาการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของแรงงานที่มีสัญญาจ้างชั่วคราว เช่น สนับสนุนให้มีโครงการเพื่อแบ่งปันความรู้ระหว่างประเทศสมาชิกเกี่ยวกับการนําเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์มาใช้เป็นระบบการแก้ปัญหาข้อพิพาทอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งสร้างระบบที่เอื้อให้เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ตลอดจนมีการแบ่งปันบทเรียนทางนโยบายที่ได้รับระหว่างประเทศสมาชิก ADD และอื่นๆ รวมทั้งสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกพิจารณาขยายขอบเขตระบบการคุ้มครองด้านค่าจ้างให้ครอบคลุมแรงงานที่มีสัญญาจ้างชั่วคราว
2.การอํานวยความสะดวกและยกระดับการเคลื่อนย้ายฝีมือแรงงานและการเทียบคุณวุฒิแรงงานระหว่างประเทศผู้รับและประเทศผู้ส่งแรงงาน เพื่อตอบสนองต่อภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน เช่น การศึกษาเพื่อวิเคราะห์บทเรียนที่ได้รับ โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความต้องการทักษะแรงงาน รวมทั้งพัฒนาทักษะที่สอดคล้องในระดับภูมิภาคระหว่างคู่เจรจา เพื่อให้ตรงกับความต้องการและประเด็นที่ให้ความสําคัญของประเทศสมาชิก ADD
3.การแก้ไขปัญหาข้อท้าทายที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด-19 เช่น การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มในการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการด้านสุขภาพ ในการรับหรือส่งคืนแรงงานที่มีสัญญาจ้างชั่วคราวระหว่างประเทศสมาชิก ADD โดยอํานวยความสะดวกให้มีการสื่อสารโดยใช้ภาษาถิ่นของแรงงานเชื้อชาติต่างๆ
4.การบูรณาการเพศภาวะในนโยบายด้านการส่งเสริมการจ้างงาน เช่น การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความต้องการแรงงานสตรีในตลาดแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและการมีส่วนร่วมในกําลังแรงงานของแรงงานสตรีภายในประเทศสมาชิก ADD
5.การส่งเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาค ระหว่างภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น อาศัยความร่วมมือของประธานและเลขาธิการของโครงการต่างๆ ในการชี้แนะด้านโอกาสและแนวทางการปฏิบัติในด้านต่างๆ เช่น ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล โดยมุ่งเน้นไปที่การนําข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติไปปฏิบัติ รวมถึงส่งเสริมให้มีการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ระหว่างกัน
--------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบความร่วมมือด้านแรงงานรอบอ่าวอาหรับ Abu Dhabi Dialogue จับมือพัฒนาขีดความสามารถ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของแรงงาน
วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565
ครม.เห็นชอบความร่วมมือด้านแรงงานรอบอ่าวอาหรับ Abu Dhabi Dialogue จับมือพัฒนาขีดความสามารถ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของแรงงาน
ครม.เห็นชอบความร่วมมือด้านแรงงานรอบอ่าวอาหรับ Abu Dhabi Dialogue จับมือพัฒนาขีดความสามารถ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของแรงงาน
วันนี้ (9 มีนาคม 2565) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (8 มีนาคม 2565) ว่า ครม.เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี Abu Dhabi Dialogue ครั้งที่ 6 (The Joint Declaration of the Abu Dhabi Dialogue Sixth Consultation) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งการประชุม ADD นี้ เป็นการประชุมหารือระหว่างประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบ (ประเทศผู้ส่งแรงงาน) 12 ประเทศ ได้แก่ อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ กัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย และเวียดนาม กับกลุ่มประเทศรอบอ่าวอาหรับผู้รับแรงงาน รวม 7 ประเทศ ได้แก่ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเยเมน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล พัฒนาขีดความสามารถ ส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของแรงงาน ณ ประเทศปลายทาง เพื่อให้การเคลื่อนย้ายแรงงานที่ไปทํางานตามสัญญาจ้างชั่วคราวเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศต้นทางที่ส่งออกและประเทศปลายทางที่รับแรงงาน
ร่างปฏิญญาร่วมฉบับนี้ มีขอบเขตความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกใน 5 ประเด็นสําคัญ ดังนี้
1.การพัฒนาการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของแรงงานที่มีสัญญาจ้างชั่วคราว เช่น สนับสนุนให้มีโครงการเพื่อแบ่งปันความรู้ระหว่างประเทศสมาชิกเกี่ยวกับการนําเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์มาใช้เป็นระบบการแก้ปัญหาข้อพิพาทอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งสร้างระบบที่เอื้อให้เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ตลอดจนมีการแบ่งปันบทเรียนทางนโยบายที่ได้รับระหว่างประเทศสมาชิก ADD และอื่นๆ รวมทั้งสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกพิจารณาขยายขอบเขตระบบการคุ้มครองด้านค่าจ้างให้ครอบคลุมแรงงานที่มีสัญญาจ้างชั่วคราว
2.การอํานวยความสะดวกและยกระดับการเคลื่อนย้ายฝีมือแรงงานและการเทียบคุณวุฒิแรงงานระหว่างประเทศผู้รับและประเทศผู้ส่งแรงงาน เพื่อตอบสนองต่อภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน เช่น การศึกษาเพื่อวิเคราะห์บทเรียนที่ได้รับ โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความต้องการทักษะแรงงาน รวมทั้งพัฒนาทักษะที่สอดคล้องในระดับภูมิภาคระหว่างคู่เจรจา เพื่อให้ตรงกับความต้องการและประเด็นที่ให้ความสําคัญของประเทศสมาชิก ADD
3.การแก้ไขปัญหาข้อท้าทายที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด-19 เช่น การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มในการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการด้านสุขภาพ ในการรับหรือส่งคืนแรงงานที่มีสัญญาจ้างชั่วคราวระหว่างประเทศสมาชิก ADD โดยอํานวยความสะดวกให้มีการสื่อสารโดยใช้ภาษาถิ่นของแรงงานเชื้อชาติต่างๆ
4.การบูรณาการเพศภาวะในนโยบายด้านการส่งเสริมการจ้างงาน เช่น การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความต้องการแรงงานสตรีในตลาดแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและการมีส่วนร่วมในกําลังแรงงานของแรงงานสตรีภายในประเทศสมาชิก ADD
5.การส่งเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาค ระหว่างภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น อาศัยความร่วมมือของประธานและเลขาธิการของโครงการต่างๆ ในการชี้แนะด้านโอกาสและแนวทางการปฏิบัติในด้านต่างๆ เช่น ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล โดยมุ่งเน้นไปที่การนําข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติไปปฏิบัติ รวมถึงส่งเสริมให้มีการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ระหว่างกัน
--------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงาน ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง | วันพุธที่ 26 มกราคม 2565
รฟม. ลงพื้นที่ตรวจการดําเนินงาน ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง
โดยตรวจสอบการดําเนินงานตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)กระทรวงคมนาคม โดยกองสิ่งแวดล้อม ฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามการดําเนินงานลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว - สําโรง ตลอดแนวเส้นทางก่อสร้างโครงการฯ ตั้งแต่สถานีลาดพร้าว บนถนนลาดพร้าว ไปจนถึงสถานีสําโรง ถนนเทพารักษ์ โดยตรวจสอบการดําเนินงานตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น การติดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ํา การฉีดพรมน้ํา การปิดคลุมกองดิน และการทําความสะอาดพื้นที่ก่อสร้าง เป็นต้น และกําชับให้ผู้ปฏิบัติงานดูแลรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ อีกทั้งได้ตรวจสอบการจัดทําทางเดินเท้าชั่วคราวทดแทนทางเท้าเดิม เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และเน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรฐานการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด สามารถติดตามข้อมูลโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์www.mrta-yellowline.com และไลน์ : @mrtyellowline | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงาน ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง
วันพุธที่ 26 มกราคม 2565
รฟม. ลงพื้นที่ตรวจการดําเนินงาน ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง
โดยตรวจสอบการดําเนินงานตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)กระทรวงคมนาคม โดยกองสิ่งแวดล้อม ฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามการดําเนินงานลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว - สําโรง ตลอดแนวเส้นทางก่อสร้างโครงการฯ ตั้งแต่สถานีลาดพร้าว บนถนนลาดพร้าว ไปจนถึงสถานีสําโรง ถนนเทพารักษ์ โดยตรวจสอบการดําเนินงานตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น การติดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ํา การฉีดพรมน้ํา การปิดคลุมกองดิน และการทําความสะอาดพื้นที่ก่อสร้าง เป็นต้น และกําชับให้ผู้ปฏิบัติงานดูแลรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ อีกทั้งได้ตรวจสอบการจัดทําทางเดินเท้าชั่วคราวทดแทนทางเท้าเดิม เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และเน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรฐานการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด สามารถติดตามข้อมูลโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์www.mrta-yellowline.com และไลน์ : @mrtyellowline | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50920 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ลุยเช็คสต๊อกหมู | วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565
พาณิชย์ลุยเช็คสต๊อกหมู
พาณิชย์ลุยเช็คสต๊อกหมู
ในวันนี้ (20 ม.ค.65) นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอาวุธ วงศ์สวัสดิ์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายใน และเจ้าหน้าที่ตํารวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ลงพื้นที่ตรวจสอบภาวะราคาและปริมาณหมู ณ ห้องเย็น บริษัท พิชชา มีท กรุ๊ป จํากัด เขตมีนบุรี กทม.
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กําหนดให้ผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่ ตั้งแต่ 500 ตัวขึ้นไป และผู้ครอบครองหรือห้องเย็นที่มีสต็อกหมู ตั้งแต่ 5,000 กิโลกรัมขึ้นไป แจ้งปริมาณ และราคาทุก 7 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.นี้เป็นต้นไป เพื่อดูแลปริมาณหมูและสต็อกหมูที่มีอยู่ทั้งประเทศ ในวันนี้จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปริมาณหมูที่บริษัท พิชชา มีท กรุ๊ป จํากัด ซึ่งเป็นห้องเย็นขนาดกลาง รองรับได้ 50 ตัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า มีสต๊อกเข้าออกทุกวัน โดยจะมีการรับส่งเนื้อหมูตามออเดอร์ และจะไม่เก็บไว้นาน เพื่อรักษาคุณภาพไม่ให้ลดลง และอาจศูนย์เสียน้ําหนักลงไปได้ สําหรับหมูแช่แข็งก็จะมีการจัดส่งตามออเดอร์ไปยังร้านอาหารต่างๆ เช่น หมูสไลด์ หมูสําหรับทําสเต๊ก เป็นประจําทุกวัน สําหรับปริมาณสต๊อกหมูชําแหละทั่วประเทศที่ได้รับแจ้ง ตามประกาศ กกร. ณ วันที่ 17 ม.ค.65 มีปริมาณรวม 8,352 ตัน
สําหรับข่าวที่ว่ามีการเก็บสต๊อกหมูเป็นจํานวนมาก ของห้องเย็นขนาดกลางและใหญ่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดบูรณาการกับจังหวัดออกตรวจสอบ หากตรวจแล้วพบว่าไม่แจ้งปริมาณ จะมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท และปรับอีกวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง หรือทั้งจําทั้งปรับ และหากพบเห็นว่ามีการกักตุนจะมีโทษตามมาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซึ่งมีโทษจําคุก 7 ปีปรับ 140,000 บาทหรือทั้งจําและปรับ ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการกักตุนหรือจําหน่ายสินค้าในราคาที่ไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ลุยเช็คสต๊อกหมู
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565
พาณิชย์ลุยเช็คสต๊อกหมู
พาณิชย์ลุยเช็คสต๊อกหมู
ในวันนี้ (20 ม.ค.65) นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอาวุธ วงศ์สวัสดิ์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายใน และเจ้าหน้าที่ตํารวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ลงพื้นที่ตรวจสอบภาวะราคาและปริมาณหมู ณ ห้องเย็น บริษัท พิชชา มีท กรุ๊ป จํากัด เขตมีนบุรี กทม.
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กําหนดให้ผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่ ตั้งแต่ 500 ตัวขึ้นไป และผู้ครอบครองหรือห้องเย็นที่มีสต็อกหมู ตั้งแต่ 5,000 กิโลกรัมขึ้นไป แจ้งปริมาณ และราคาทุก 7 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.นี้เป็นต้นไป เพื่อดูแลปริมาณหมูและสต็อกหมูที่มีอยู่ทั้งประเทศ ในวันนี้จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปริมาณหมูที่บริษัท พิชชา มีท กรุ๊ป จํากัด ซึ่งเป็นห้องเย็นขนาดกลาง รองรับได้ 50 ตัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า มีสต๊อกเข้าออกทุกวัน โดยจะมีการรับส่งเนื้อหมูตามออเดอร์ และจะไม่เก็บไว้นาน เพื่อรักษาคุณภาพไม่ให้ลดลง และอาจศูนย์เสียน้ําหนักลงไปได้ สําหรับหมูแช่แข็งก็จะมีการจัดส่งตามออเดอร์ไปยังร้านอาหารต่างๆ เช่น หมูสไลด์ หมูสําหรับทําสเต๊ก เป็นประจําทุกวัน สําหรับปริมาณสต๊อกหมูชําแหละทั่วประเทศที่ได้รับแจ้ง ตามประกาศ กกร. ณ วันที่ 17 ม.ค.65 มีปริมาณรวม 8,352 ตัน
สําหรับข่าวที่ว่ามีการเก็บสต๊อกหมูเป็นจํานวนมาก ของห้องเย็นขนาดกลางและใหญ่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดบูรณาการกับจังหวัดออกตรวจสอบ หากตรวจแล้วพบว่าไม่แจ้งปริมาณ จะมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท และปรับอีกวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง หรือทั้งจําทั้งปรับ และหากพบเห็นว่ามีการกักตุนจะมีโทษตามมาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซึ่งมีโทษจําคุก 7 ปีปรับ 140,000 บาทหรือทั้งจําและปรับ ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการกักตุนหรือจําหน่ายสินค้าในราคาที่ไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50721 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อัพเกรดบริการที่เหนือกว่าบน “วอลเล็ต สบม.” เช็คยอดถือครองพันธบัตรทุกรุ่นทุกธนาคารได้แล้ววันนี้ | วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565
อัพเกรดบริการที่เหนือกว่าบน “วอลเล็ต สบม.” เช็คยอดถือครองพันธบัตรทุกรุ่นทุกธนาคารได้แล้ววันนี้
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ที่วอลเล็ต สบม. เปิดให้บริการ สบน. ได้ต่อยอดบริการงานจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์อย่างต่อเนื่องบนวอลเล็ต สบม. เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุน และได้ยกระดับการให้บริการอีกขั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ที่วอลเล็ต สบม. เปิดให้บริการ สบน. ได้ต่อยอดบริการงานจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์อย่างต่อเนื่องบนวอลเล็ต สบม. เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุน และได้ยกระดับการให้บริการอีกขั้น โดยบูรณาการพอร์ตการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ที่จําหน่ายผ่านตัวแทนจําหน่ายมาแสดงบนวอลเล็ต สบม. ซึ่งผู้ลงทุนสามารถทราบภาพรวมการลงทุนของตนเอง ตอบโจทย์การดูพอร์ตทุกรุ่นพันธบัตรในที่เดียว และสามารถเรียกดูเงื่อนไขการลงทุนแต่ละรุ่นได้อย่างสะดวกผ่านวอลเล็ต สบม.
สบน. มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการออมการลงทุนภาคประชาชน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์ได้อย่างเท่าเทียม ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง อย่างต่อเนื่อง โดย สบน. มีการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ดิจิทัลผ่านวอลเล็ต สบม. แล้ว 30,200 ล้านบาท มีผู้สนใจลงทะเบียนผ่านช่องทางดังกล่าวแล้วถึง 376,673 ราย และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ไทยให้แก่ผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ สบน. ได้ยกระดับงานบริการที่ตอบโจทย์การลงทุนด้วยนวัตกรรม โดยเพิ่มเมนูบริการ “พันธบัตรออมทรัพย์ที่ซื้อผ่านตัวแทนจําหน่าย” ขึ้น เพื่อผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ที่ซื้อผ่านธนาคารตัวแทนจําหน่าย สามารถเรียกดูประวัติการลงทุนของตนเอง รวมถึงเงื่อนไขการลงทุนพันธบัตรนั้นๆ ได้ โดยไม่จําเป็นต้องเป็นผู้ที่เคยซื้อพันธบัตรรุ่นวอลเล็ต สบม. ผู้สนใจสามารถยืนยันตัวตนและลงทะเบียนเปิดใช้งานวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และรับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สําหรับการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ในรอบกลางปี 2565 สบน. อยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขการจําหน่ายที่เหมาะสม โดยคาดว่าจะจําหน่ายในเดือนมิถุนายน 2565 สบน. ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ และขอให้ติดตามข่าวสารการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเว็บไซต์ http://www.pdmo.go.th และ Facebook ของสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อัพเกรดบริการที่เหนือกว่าบน “วอลเล็ต สบม.” เช็คยอดถือครองพันธบัตรทุกรุ่นทุกธนาคารได้แล้ววันนี้
วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565
อัพเกรดบริการที่เหนือกว่าบน “วอลเล็ต สบม.” เช็คยอดถือครองพันธบัตรทุกรุ่นทุกธนาคารได้แล้ววันนี้
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ที่วอลเล็ต สบม. เปิดให้บริการ สบน. ได้ต่อยอดบริการงานจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์อย่างต่อเนื่องบนวอลเล็ต สบม. เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุน และได้ยกระดับการให้บริการอีกขั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ที่วอลเล็ต สบม. เปิดให้บริการ สบน. ได้ต่อยอดบริการงานจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์อย่างต่อเนื่องบนวอลเล็ต สบม. เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุน และได้ยกระดับการให้บริการอีกขั้น โดยบูรณาการพอร์ตการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ที่จําหน่ายผ่านตัวแทนจําหน่ายมาแสดงบนวอลเล็ต สบม. ซึ่งผู้ลงทุนสามารถทราบภาพรวมการลงทุนของตนเอง ตอบโจทย์การดูพอร์ตทุกรุ่นพันธบัตรในที่เดียว และสามารถเรียกดูเงื่อนไขการลงทุนแต่ละรุ่นได้อย่างสะดวกผ่านวอลเล็ต สบม.
สบน. มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการออมการลงทุนภาคประชาชน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์ได้อย่างเท่าเทียม ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง อย่างต่อเนื่อง โดย สบน. มีการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ดิจิทัลผ่านวอลเล็ต สบม. แล้ว 30,200 ล้านบาท มีผู้สนใจลงทะเบียนผ่านช่องทางดังกล่าวแล้วถึง 376,673 ราย และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ไทยให้แก่ผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ สบน. ได้ยกระดับงานบริการที่ตอบโจทย์การลงทุนด้วยนวัตกรรม โดยเพิ่มเมนูบริการ “พันธบัตรออมทรัพย์ที่ซื้อผ่านตัวแทนจําหน่าย” ขึ้น เพื่อผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ที่ซื้อผ่านธนาคารตัวแทนจําหน่าย สามารถเรียกดูประวัติการลงทุนของตนเอง รวมถึงเงื่อนไขการลงทุนพันธบัตรนั้นๆ ได้ โดยไม่จําเป็นต้องเป็นผู้ที่เคยซื้อพันธบัตรรุ่นวอลเล็ต สบม. ผู้สนใจสามารถยืนยันตัวตนและลงทะเบียนเปิดใช้งานวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และรับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สําหรับการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ในรอบกลางปี 2565 สบน. อยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขการจําหน่ายที่เหมาะสม โดยคาดว่าจะจําหน่ายในเดือนมิถุนายน 2565 สบน. ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ และขอให้ติดตามข่าวสารการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเว็บไซต์ http://www.pdmo.go.th และ Facebook ของสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54219 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการ กทม. และทุกจังหวัดดำเนินการตามข้อกำหนดฯ (ฉบับที่ 32) โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันปฏิบัติในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโ | วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564
ศบค.มท. สั่งการ กทม. และทุกจังหวัดดําเนินการตามข้อกําหนดฯ (ฉบับที่ 32) โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันปฏิบัติในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโ
ศบค.มท. สั่งการ กทม. และทุกจังหวัดดําเนินการตามข้อกําหนดฯ (ฉบับที่ 32) โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันปฏิบัติในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
วันนี้ (30 ส.ค.64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 32) ลงวันที่ 28 ส.ค. 64 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังกรุงเทพมหานคร และจังหวัดทุกจังหวัดรับทราบและถือปฏิบัติตามข้อกําหนดฯ ดังกล่าว โดยเคร่งครัด พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับว่า มาตรการตามข้อกําหนดดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อปรับปรุงการบังคับใช้ในบางมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
สําหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (กรุงเทพมหานคร จังหวัดกาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี และจังหวัดอ่างทอง ให้ดําเนินการ 1) ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น นับแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 ซึ่งเป็นวันที่ข้อกําหนดฉบับนี้ใช้บังคับ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน (จนถึงวันที่ 14 ก.ย. 64) กรณีบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ได้แก่ บุคคลที่เดินทางเพื่อการสาธารณสุข การขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน การให้บริการหรืออํานวยประโยชน์หรือความสะดวกแก่ประชาชน และการประกอบอาชีพที่จําเป็น ให้แสดงบัตรประจําตัวประชาชนหรือบัตรแสดงตนอย่างอื่น และเอกสารรับรองความจําเป็น เอกสารเกี่ยวกับสินค้า บริการ การเดินทางหรือหลักฐานอื่น ๆ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 2) ให้หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสั่งการให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรในความรับผิดชอบดําเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งเต็มความสามารถที่จะทําได้ และมุ่งเน้นการปฏิบัติงานหรือจัดกิจกรรมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มากที่สุด งดการจัดกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มหรือเคลื่อนที่ของคนจํานวนมาก รวมถึงให้ทําความเข้าใจกับภาคเอกชนถึงความจําเป็นที่ต้องให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรของสถานประกอบการ บริษัท ปฏิบัติตามมาตรการเช่นเดียวกัน 3) ให้คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กํากับดูแลและติดตามการดําเนินการของสถานที่ กิจการ หรือกิจกรรมในพื้นที่เพื่อให้เปิดดําเนินการได้ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ ระเบียบ และมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด รวมทั้งมาตรการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกําหนดขึ้นเป็นการเฉพาะ ได้แก่ 1. โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาทุกประเภท จะสามารถพิจารณาให้ใช้อาคารหรือสถานที่เพื่อการจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือการทํากิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจํานวนมากได้ ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุขกําหนด ทั้งนี้ หน่วยงานผู้รับผิดชอบจะได้แจ้งหลักเกณฑ์ให้ทุกจังหวัดทราบต่อไป 2. ร้านจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม สามารถเปิดให้บริการได้โดยให้บริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มในร้านได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. โดยห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน และจํากัดจํานวนผู้นั่งบริโภคในร้าน หากเป็นการบริโภคในห้องปรับอากาศให้มีจํานวนไม่เกินร้อยละ 50 ของจํานวนที่นั่งปกติ แต่หากเป็นพื้นที่เปิดที่อากาศสามารถระบายถ่ายเทได้ดี เช่น ร้านอาหารขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ให้มีจํานวนผู้นั่งบริโภคไม่เกินร้อยละ 75 ของจํานวนที่นั่งปกติ และให้ใช้บังคับมาตรการนี้กับร้านจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันด้วย 3. สถานเสริมความงาม ร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผม เปิดดําเนินการได้ 4. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ หรือสถานประกอบการนวดแผนไทย เปิดให้บริการได้ เฉพาะการให้บริการนวดเท้า 5. ตลาดนัด เปิดดําเนินการได้ตามเวลาปกติถึงเวลา 20.00 น. เฉพาะการจําหน่ายสินค้าอุปโภคหรือบริโภค 6. ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบกิจการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันสามารถเปิดดําเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้น ๆ ถึงเวลา 20.00 น. เว้นแต่กิจการหรือกิจกรรมบางประเภทที่กําหนดเงื่อนไขควบคุมการให้บริการ ได้แก่ “คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานเสริมความงาม” เปิดและให้บริการได้ผ่านการนัดหมาย ส่วนร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผม เปิดดําเนินการได้ผ่านการนัดหมายและจํากัดเวลาการให้บริการในร้านไม่เกินรายละ 1 ชั่วโมง “สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ หรือสถานประกอบการนวดแผนไทย” เปิดดําเนินการได้ผ่านการนัดหมายและจํากัดเฉพาะการให้บริการนวดเท้า โดยสําหรับ “สถาบันกวดวิชา โรงภาพยนตร์ สวนสนุก สวนน้ํา สระว่ายน้ํา สถานที่ออกกําลังกาย ฟิตเนส ตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม การจัดเลี้ยงหรือการจัดประชุม” ยังคงให้ปิดการดําเนินการไว้ก่อน 7. สวนสาธารณะ ลานกีฬา สนามกีฬา สระน้ําเพื่อการกีฬาหรือกิจกรรมทางน้ําเพื่อการสันทนาการ หรือสระว่ายน้ําสาธารณะ หรือสถานที่เพื่อการออกกําลังกายประเภทกลางแจ้งหรือตั้งอยู่ที่เป็นพื้นที่โล่ง สนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกําลังกายประเภทในร่มที่อากาศถ่ายเทได้ดี เปิดดําเนินการได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. และสามารถจัดการแข่งขันได้โดยไม่มีผู้ชมในสนาม 8. การเข้าใช้สนามกีฬาทุกประเภทเพื่อการฝึกซ้อมของนักกีฬาทีมชาติ โดยไม่มีผู้ชมในสนาม จะดําเนินการได้ก็ต่อเมื่อ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งต่อคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ทั้งนี้ ต้องดําเนินการตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ในด้านการใช้เส้นทางคมนาคม การเดินทางข้ามเขตจังหวัดและการเดินทางออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไปยังพื้นที่อื่น สามารถกระทําได้ แต่ขอความร่วมมือให้ประชาชนเดินทางต่อเมื่อกรณีมีเหตุจําเป็นเท่านั้น หากเป็นการเดินทางของผู้ติดเชื้อหรือผู้ที่มีประวัติเสี่ยงติดเชื้อ ให้เดินทางผ่านมาตรการหรือรูปแบบการเดินทางที่กําหนดขึ้นเป็นการเฉพาะเท่านั้น ทั้งนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่คงมีอํานาจตรวจตราความเรียบร้อยและการตรวจคัดกรองเพื่อให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ตามแนวทางที่ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) กําหนด
และสําหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด ให้ดําเนินการ 1) ห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เว้นแต่เป็นกรณีที่ได้รับอนุญาตให้จัดกิจกรรมจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งกิจกรรมหรือการรวมกลุ่มที่ได้รับยกเว้นที่สามารถจัดได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ตามที่กําหนดไว้ในข้อกําหนดฯ (ฉบับที่ 30) โดยกําหนดมาตรการเฉพาะในเรื่องจํานวนบุคคลที่เข้ารวมกลุ่มเพื่อทํากิจกรรม ดังนี้ “พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด” ห้ามการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจํานวนรวมกันมากกว่า 25 คน “พื้นที่ควบคุมสูงสุด (37 จังหวัด)” ห้ามการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มมีจํานวนรวมกันมากกว่า 50 คน และ “พื้นที่ควบคุม (11 จังหวัด)” ห้ามการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มมีจํานวนรวมกันมากกว่า 100 คน ซึ่งมีกิจกรรมที่ได้รับยกเว้น โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด ได้แก่ กิจกรรมเกี่ยวกับการขนส่งหรือขนย้ายประชาชน การรักษาพยาบาลและการสาธารณสุข การให้บริการ การให้ความช่วยเหลือหรืออํานวยประโยชน์หรือความสะดวกแก่ประชาชน การรวมกลุ่มของบุคคลตามปกติในที่พักอาศัย สถานที่ทํางาน การประชุมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือการออกกําลังกายในสถานที่ตามที่ทางราชการกําหนด และกิจกรรมที่ดําเนินโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกิจกรรมที่จัดโดยองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐโดยความเห็นชอบของหัวหน้าหน่วยงานดังกล่าว หรือกิจกรรมอื่นตามที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านความมั่นคงกําหนด และ 2) เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการจะบังคับใช้ในอนาคต มอบหมาย ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค (ศปก.) จังหวัด ศปก.อําเภอ ศปก.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วนในพื้นที่ในมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล “มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล” (Universal Prevention for COVID - 19) และ “มาตรการปลอดภัยสําหรับองค์กร” (Covid Free Setting) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด
นอกจากนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดวางระบบ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมอบหมาย ศปก.จังหวัด ศปก.อําเภอ ศปก.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน กํากับการปฏิบัติตามมาตรการ ประกาศ หรือคําสั่งจังหวัด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และกรณีคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ได้มีมติให้ออกประกาศหรือคําสั่ง ให้ส่งประกาศหรือคําสั่งให้ ศบค.มท. ทราบโดยเร็ว เพื่อรายงานสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป รวมทั้งให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบประกาศหรือคําสั่งโดยทั่วกัน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการ กทม. และทุกจังหวัดดำเนินการตามข้อกำหนดฯ (ฉบับที่ 32) โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันปฏิบัติในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโ
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564
ศบค.มท. สั่งการ กทม. และทุกจังหวัดดําเนินการตามข้อกําหนดฯ (ฉบับที่ 32) โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันปฏิบัติในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโ
ศบค.มท. สั่งการ กทม. และทุกจังหวัดดําเนินการตามข้อกําหนดฯ (ฉบับที่ 32) โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันปฏิบัติในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
วันนี้ (30 ส.ค.64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 32) ลงวันที่ 28 ส.ค. 64 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังกรุงเทพมหานคร และจังหวัดทุกจังหวัดรับทราบและถือปฏิบัติตามข้อกําหนดฯ ดังกล่าว โดยเคร่งครัด พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับว่า มาตรการตามข้อกําหนดดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อปรับปรุงการบังคับใช้ในบางมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
สําหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (กรุงเทพมหานคร จังหวัดกาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี และจังหวัดอ่างทอง ให้ดําเนินการ 1) ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น นับแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 ซึ่งเป็นวันที่ข้อกําหนดฉบับนี้ใช้บังคับ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน (จนถึงวันที่ 14 ก.ย. 64) กรณีบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ได้แก่ บุคคลที่เดินทางเพื่อการสาธารณสุข การขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน การให้บริการหรืออํานวยประโยชน์หรือความสะดวกแก่ประชาชน และการประกอบอาชีพที่จําเป็น ให้แสดงบัตรประจําตัวประชาชนหรือบัตรแสดงตนอย่างอื่น และเอกสารรับรองความจําเป็น เอกสารเกี่ยวกับสินค้า บริการ การเดินทางหรือหลักฐานอื่น ๆ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 2) ให้หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสั่งการให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรในความรับผิดชอบดําเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งเต็มความสามารถที่จะทําได้ และมุ่งเน้นการปฏิบัติงานหรือจัดกิจกรรมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มากที่สุด งดการจัดกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มหรือเคลื่อนที่ของคนจํานวนมาก รวมถึงให้ทําความเข้าใจกับภาคเอกชนถึงความจําเป็นที่ต้องให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรของสถานประกอบการ บริษัท ปฏิบัติตามมาตรการเช่นเดียวกัน 3) ให้คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กํากับดูแลและติดตามการดําเนินการของสถานที่ กิจการ หรือกิจกรรมในพื้นที่เพื่อให้เปิดดําเนินการได้ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ ระเบียบ และมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด รวมทั้งมาตรการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกําหนดขึ้นเป็นการเฉพาะ ได้แก่ 1. โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาทุกประเภท จะสามารถพิจารณาให้ใช้อาคารหรือสถานที่เพื่อการจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือการทํากิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจํานวนมากได้ ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุขกําหนด ทั้งนี้ หน่วยงานผู้รับผิดชอบจะได้แจ้งหลักเกณฑ์ให้ทุกจังหวัดทราบต่อไป 2. ร้านจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม สามารถเปิดให้บริการได้โดยให้บริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มในร้านได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. โดยห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน และจํากัดจํานวนผู้นั่งบริโภคในร้าน หากเป็นการบริโภคในห้องปรับอากาศให้มีจํานวนไม่เกินร้อยละ 50 ของจํานวนที่นั่งปกติ แต่หากเป็นพื้นที่เปิดที่อากาศสามารถระบายถ่ายเทได้ดี เช่น ร้านอาหารขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ให้มีจํานวนผู้นั่งบริโภคไม่เกินร้อยละ 75 ของจํานวนที่นั่งปกติ และให้ใช้บังคับมาตรการนี้กับร้านจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันด้วย 3. สถานเสริมความงาม ร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผม เปิดดําเนินการได้ 4. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ หรือสถานประกอบการนวดแผนไทย เปิดให้บริการได้ เฉพาะการให้บริการนวดเท้า 5. ตลาดนัด เปิดดําเนินการได้ตามเวลาปกติถึงเวลา 20.00 น. เฉพาะการจําหน่ายสินค้าอุปโภคหรือบริโภค 6. ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบกิจการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันสามารถเปิดดําเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้น ๆ ถึงเวลา 20.00 น. เว้นแต่กิจการหรือกิจกรรมบางประเภทที่กําหนดเงื่อนไขควบคุมการให้บริการ ได้แก่ “คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานเสริมความงาม” เปิดและให้บริการได้ผ่านการนัดหมาย ส่วนร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผม เปิดดําเนินการได้ผ่านการนัดหมายและจํากัดเวลาการให้บริการในร้านไม่เกินรายละ 1 ชั่วโมง “สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ หรือสถานประกอบการนวดแผนไทย” เปิดดําเนินการได้ผ่านการนัดหมายและจํากัดเฉพาะการให้บริการนวดเท้า โดยสําหรับ “สถาบันกวดวิชา โรงภาพยนตร์ สวนสนุก สวนน้ํา สระว่ายน้ํา สถานที่ออกกําลังกาย ฟิตเนส ตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม การจัดเลี้ยงหรือการจัดประชุม” ยังคงให้ปิดการดําเนินการไว้ก่อน 7. สวนสาธารณะ ลานกีฬา สนามกีฬา สระน้ําเพื่อการกีฬาหรือกิจกรรมทางน้ําเพื่อการสันทนาการ หรือสระว่ายน้ําสาธารณะ หรือสถานที่เพื่อการออกกําลังกายประเภทกลางแจ้งหรือตั้งอยู่ที่เป็นพื้นที่โล่ง สนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกําลังกายประเภทในร่มที่อากาศถ่ายเทได้ดี เปิดดําเนินการได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. และสามารถจัดการแข่งขันได้โดยไม่มีผู้ชมในสนาม 8. การเข้าใช้สนามกีฬาทุกประเภทเพื่อการฝึกซ้อมของนักกีฬาทีมชาติ โดยไม่มีผู้ชมในสนาม จะดําเนินการได้ก็ต่อเมื่อ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งต่อคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ทั้งนี้ ต้องดําเนินการตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ในด้านการใช้เส้นทางคมนาคม การเดินทางข้ามเขตจังหวัดและการเดินทางออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไปยังพื้นที่อื่น สามารถกระทําได้ แต่ขอความร่วมมือให้ประชาชนเดินทางต่อเมื่อกรณีมีเหตุจําเป็นเท่านั้น หากเป็นการเดินทางของผู้ติดเชื้อหรือผู้ที่มีประวัติเสี่ยงติดเชื้อ ให้เดินทางผ่านมาตรการหรือรูปแบบการเดินทางที่กําหนดขึ้นเป็นการเฉพาะเท่านั้น ทั้งนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่คงมีอํานาจตรวจตราความเรียบร้อยและการตรวจคัดกรองเพื่อให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ตามแนวทางที่ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) กําหนด
และสําหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด ให้ดําเนินการ 1) ห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เว้นแต่เป็นกรณีที่ได้รับอนุญาตให้จัดกิจกรรมจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งกิจกรรมหรือการรวมกลุ่มที่ได้รับยกเว้นที่สามารถจัดได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ตามที่กําหนดไว้ในข้อกําหนดฯ (ฉบับที่ 30) โดยกําหนดมาตรการเฉพาะในเรื่องจํานวนบุคคลที่เข้ารวมกลุ่มเพื่อทํากิจกรรม ดังนี้ “พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด” ห้ามการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจํานวนรวมกันมากกว่า 25 คน “พื้นที่ควบคุมสูงสุด (37 จังหวัด)” ห้ามการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มมีจํานวนรวมกันมากกว่า 50 คน และ “พื้นที่ควบคุม (11 จังหวัด)” ห้ามการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มมีจํานวนรวมกันมากกว่า 100 คน ซึ่งมีกิจกรรมที่ได้รับยกเว้น โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด ได้แก่ กิจกรรมเกี่ยวกับการขนส่งหรือขนย้ายประชาชน การรักษาพยาบาลและการสาธารณสุข การให้บริการ การให้ความช่วยเหลือหรืออํานวยประโยชน์หรือความสะดวกแก่ประชาชน การรวมกลุ่มของบุคคลตามปกติในที่พักอาศัย สถานที่ทํางาน การประชุมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือการออกกําลังกายในสถานที่ตามที่ทางราชการกําหนด และกิจกรรมที่ดําเนินโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกิจกรรมที่จัดโดยองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐโดยความเห็นชอบของหัวหน้าหน่วยงานดังกล่าว หรือกิจกรรมอื่นตามที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านความมั่นคงกําหนด และ 2) เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการจะบังคับใช้ในอนาคต มอบหมาย ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค (ศปก.) จังหวัด ศปก.อําเภอ ศปก.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วนในพื้นที่ในมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล “มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล” (Universal Prevention for COVID - 19) และ “มาตรการปลอดภัยสําหรับองค์กร” (Covid Free Setting) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด
นอกจากนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดวางระบบ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมอบหมาย ศปก.จังหวัด ศปก.อําเภอ ศปก.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน กํากับการปฏิบัติตามมาตรการ ประกาศ หรือคําสั่งจังหวัด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และกรณีคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ได้มีมติให้ออกประกาศหรือคําสั่ง ให้ส่งประกาศหรือคําสั่งให้ ศบค.มท. ทราบโดยเร็ว เพื่อรายงานสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป รวมทั้งให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบประกาศหรือคําสั่งโดยทั่วกัน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45330 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วม รพ.พลังแผ่นดินเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม 24 เตียง ดูแลโควิดสีแดง กทม. จัดบุคลากร ร่วมปฏิบัติงาน | วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564
สธ.ร่วม รพ.พลังแผ่นดินเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม 24 เตียง ดูแลโควิดสีแดง กทม. จัดบุคลากร ร่วมปฏิบัติงาน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน ของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เผยเตรียมเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม 24 เตียงรองรับผู้ป่วยโควิดสีแดงพื้นที่ กทม. สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ร่วมปฏิบัติงาน ส่วนโรงพยาบาลบุษราคัมเตรียมเปิด 2 พันเตียง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน ของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เผยเตรียมเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม 24 เตียงรองรับผู้ป่วยโควิดสีแดงพื้นที่ กทม. สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ร่วมปฏิบัติงานส่วนโรงพยาบาลบุษราคัมเตรียมเปิด 2 พันเตียงรองรับผู้ป่วยอาการสีเหลือง พร้อมวางแผนเพิ่มศักยภาพการส่งต่อผู้ป่วยระหว่าง 2 โรงพยาบาล
วันนี้ (30 มิถุนายน 2564) ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมหารือร่วมกับ พลตรี นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เพื่อวางแผนการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 พร้อมลงพื้นที่ตรวจโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนามที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเปิดขึ้นเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มอาการสีแดง
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า พื้นที่ กทม.ยังมีการติดเชื้อโควิด 19 จํานวนมาก โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 1 พันรายต่อวัน ทําให้สถานการณ์เตียงรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ค่อนข้างตึงตัว ทั้งเตียงดูแลผู้ป่วยอาการสีเขียว สีเหลือง และสีแดง ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการแก้ไขปัญหาเรื่องเตียงในเขตพื้นที่ กทม. โดยจะมีการเปิดฮอสปิเทลเพื่อรองรับผู้ป่วยอาการสีเขียวเพิ่มขึ้น และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลให้ดูแลผู้ป่วยอาการสีเหลืองและสีแดงมากยิ่งขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเปิดเตียงรองรับผู้ป่วยอาการสีเหลืองในโรงพยาบาลบุษราคัมเพิ่มอีกประมาณ 2 พันเตียง
ส่วนโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะที่เป็นโรงพยาบาลเอกชน จะเพิ่มเตียงไอซียูในโรงพยาบาลพลังแผ่นดินจํานวน 24 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยอาการสีแดง โดยกระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เป็นต้น มาร่วมปฏิบัติงาน ซึ่งวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 จะมีการอบรมอายุรแพทย์จบใหม่ 4 สาขา ได้แก่ อายุรแพทย์ อายุรแพทย์โรคปอด อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ และเวชบําบัดวิกฤต ที่จบการศึกษาวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อส่งไปช่วยดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ในพื้นที่ กทม. นอกจากนี้ ยังได้วางแผนการทํางานร่วมกันในการรับส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลบุษราคัมและโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยในระยะต่อไป
สําหรับโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 รองรับผู้ติดเชื้อได้ทั้งหมด 215 เตียง แบ่งเป็นสีแดง 48 เตียง สีเหลือง 150 เตียง และสํารองไว้ 12 เตียง เพื่อใช้ทําการฟอกเลือดผู้ป่วยโรคไต 5 เตียง ดูแลผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจที่รอผลโควิด 5 เตียง ห้องผ่าตัดและห้องคลอด 1 ห้อง ปัจจุบันดูแลผู้ป่วยสีแดง 35 เตียง และสีเหลือง 133 เตียง
************************************* 30 มิถุนายน 2564 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วม รพ.พลังแผ่นดินเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม 24 เตียง ดูแลโควิดสีแดง กทม. จัดบุคลากร ร่วมปฏิบัติงาน
วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564
สธ.ร่วม รพ.พลังแผ่นดินเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม 24 เตียง ดูแลโควิดสีแดง กทม. จัดบุคลากร ร่วมปฏิบัติงาน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน ของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เผยเตรียมเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม 24 เตียงรองรับผู้ป่วยโควิดสีแดงพื้นที่ กทม. สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ร่วมปฏิบัติงาน ส่วนโรงพยาบาลบุษราคัมเตรียมเปิด 2 พันเตียง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน ของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เผยเตรียมเปิดเตียงไอซียูเพิ่ม 24 เตียงรองรับผู้ป่วยโควิดสีแดงพื้นที่ กทม. สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ร่วมปฏิบัติงานส่วนโรงพยาบาลบุษราคัมเตรียมเปิด 2 พันเตียงรองรับผู้ป่วยอาการสีเหลือง พร้อมวางแผนเพิ่มศักยภาพการส่งต่อผู้ป่วยระหว่าง 2 โรงพยาบาล
วันนี้ (30 มิถุนายน 2564) ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมหารือร่วมกับ พลตรี นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เพื่อวางแผนการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 พร้อมลงพื้นที่ตรวจโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนามที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเปิดขึ้นเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มอาการสีแดง
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า พื้นที่ กทม.ยังมีการติดเชื้อโควิด 19 จํานวนมาก โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 1 พันรายต่อวัน ทําให้สถานการณ์เตียงรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ค่อนข้างตึงตัว ทั้งเตียงดูแลผู้ป่วยอาการสีเขียว สีเหลือง และสีแดง ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการแก้ไขปัญหาเรื่องเตียงในเขตพื้นที่ กทม. โดยจะมีการเปิดฮอสปิเทลเพื่อรองรับผู้ป่วยอาการสีเขียวเพิ่มขึ้น และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลให้ดูแลผู้ป่วยอาการสีเหลืองและสีแดงมากยิ่งขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเปิดเตียงรองรับผู้ป่วยอาการสีเหลืองในโรงพยาบาลบุษราคัมเพิ่มอีกประมาณ 2 พันเตียง
ส่วนโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะที่เป็นโรงพยาบาลเอกชน จะเพิ่มเตียงไอซียูในโรงพยาบาลพลังแผ่นดินจํานวน 24 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยอาการสีแดง โดยกระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เป็นต้น มาร่วมปฏิบัติงาน ซึ่งวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 จะมีการอบรมอายุรแพทย์จบใหม่ 4 สาขา ได้แก่ อายุรแพทย์ อายุรแพทย์โรคปอด อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ และเวชบําบัดวิกฤต ที่จบการศึกษาวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อส่งไปช่วยดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ในพื้นที่ กทม. นอกจากนี้ ยังได้วางแผนการทํางานร่วมกันในการรับส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลบุษราคัมและโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยในระยะต่อไป
สําหรับโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 รองรับผู้ติดเชื้อได้ทั้งหมด 215 เตียง แบ่งเป็นสีแดง 48 เตียง สีเหลือง 150 เตียง และสํารองไว้ 12 เตียง เพื่อใช้ทําการฟอกเลือดผู้ป่วยโรคไต 5 เตียง ดูแลผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจที่รอผลโควิด 5 เตียง ห้องผ่าตัดและห้องคลอด 1 ห้อง ปัจจุบันดูแลผู้ป่วยสีแดง 35 เตียง และสีเหลือง 133 เตียง
************************************* 30 มิถุนายน 2564 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43307 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ หารือ คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยืนยัน ไทย-สหรัฐฯ พร้อมตอกย้ำความเป็นหุ้นส่วน เดินหน้าความร่วมมือในทุกมิติ | วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ หารือ คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยืนยัน ไทย-สหรัฐฯ พร้อมตอกย้ําความเป็นหุ้นส่วน เดินหน้าความร่วมมือในทุกมิติ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ หารือ คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยืนยัน ไทย-สหรัฐฯ พร้อมตอกย้ําความเป็นหุ้นส่วน เดินหน้าความร่วมมือในทุกมิติ
วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2564) 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นาย Amerish "Ami" Bera ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ด้านเอเชีย แปซิฟิก เอเชียกลาง และการไม่แพร่ขยายอาวุธ คณะกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หัวหน้าคณะ นําคณะสภาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับคณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ สู่ประเทศไทย โดยถือเป็นคณะแรกที่เยือนไทยนับตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และยาวนานระหว่างกัน ทั้งนี้ ไทยยินดีที่ความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนการเยือน และความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ยังคงดําเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการทํางานร่วมกับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ร่วมกันอย่างรอบด้าน
ด้านประธานคณะอนุกรรมาธิการ ยินดีที่ได้เดินทางมาเยือนไทยในครั้งนี้ ไทย และสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และมีความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์และความท้าทายในปัจจุบัน ความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดระหว่างกันจึงมีความสําคัญอย่างยิ่ง โดยคณะ ส.ส. สหรัฐฯพร้อมสนับสนุนรัฐบาลไทย และส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
ทั้งสองฝ่ายพร้อมกระชับความร่วมมือระหว่างกัน และยินดีที่รัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ภายใต้การนําของประธานาธิบดีไบเดน มีนโยบายสําคัญที่สอดคล้อง และมีท่าทีร่วมกันในประเด็นที่เป็นที่สนใจในเวทีโลกหลายประเด็น อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด- 19 ทั้งในมิติด้านมาตรการทางสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
โอกาสนี้ นายกฯ กล่าวยินดีที่การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังคงขยายตัว แม้ในช่วงโควิด-19 พร้อมย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการสนับสนุนภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่ลงทุนในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ เป็นประจําทุกปี ในขณะที่ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหาร ก็ยังคงเป็นอีกส่วนสําคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐฯ ทั้งนี้ ไทยมุ่งมั่นจะเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรและความร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดต่อไป
นอกจากนี้ ไทยมุ่งหวังที่จะเห็นภูมิภาคนี้มีความมั่งคั่ง มั่นคง และธํารงไว้ซึ่งสันติภาพเช่นเดียวกับสหรัฐฯ โดยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความท้าทายต่าง ๆ ไทยพร้อมร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคและอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง โดยเฉพาะผ่านกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค เช่น อาเซียน ACMECS และ US-Mekong Partnership | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ หารือ คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยืนยัน ไทย-สหรัฐฯ พร้อมตอกย้ำความเป็นหุ้นส่วน เดินหน้าความร่วมมือในทุกมิติ
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ หารือ คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยืนยัน ไทย-สหรัฐฯ พร้อมตอกย้ําความเป็นหุ้นส่วน เดินหน้าความร่วมมือในทุกมิติ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ หารือ คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยืนยัน ไทย-สหรัฐฯ พร้อมตอกย้ําความเป็นหุ้นส่วน เดินหน้าความร่วมมือในทุกมิติ
วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2564) 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นาย Amerish "Ami" Bera ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ด้านเอเชีย แปซิฟิก เอเชียกลาง และการไม่แพร่ขยายอาวุธ คณะกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หัวหน้าคณะ นําคณะสภาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับคณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ สู่ประเทศไทย โดยถือเป็นคณะแรกที่เยือนไทยนับตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และยาวนานระหว่างกัน ทั้งนี้ ไทยยินดีที่ความสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนการเยือน และความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ยังคงดําเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการทํางานร่วมกับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ร่วมกันอย่างรอบด้าน
ด้านประธานคณะอนุกรรมาธิการ ยินดีที่ได้เดินทางมาเยือนไทยในครั้งนี้ ไทย และสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และมีความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์และความท้าทายในปัจจุบัน ความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดระหว่างกันจึงมีความสําคัญอย่างยิ่ง โดยคณะ ส.ส. สหรัฐฯพร้อมสนับสนุนรัฐบาลไทย และส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
ทั้งสองฝ่ายพร้อมกระชับความร่วมมือระหว่างกัน และยินดีที่รัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ภายใต้การนําของประธานาธิบดีไบเดน มีนโยบายสําคัญที่สอดคล้อง และมีท่าทีร่วมกันในประเด็นที่เป็นที่สนใจในเวทีโลกหลายประเด็น อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด- 19 ทั้งในมิติด้านมาตรการทางสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
โอกาสนี้ นายกฯ กล่าวยินดีที่การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังคงขยายตัว แม้ในช่วงโควิด-19 พร้อมย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการสนับสนุนภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่ลงทุนในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ เป็นประจําทุกปี ในขณะที่ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหาร ก็ยังคงเป็นอีกส่วนสําคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐฯ ทั้งนี้ ไทยมุ่งมั่นจะเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรและความร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดต่อไป
นอกจากนี้ ไทยมุ่งหวังที่จะเห็นภูมิภาคนี้มีความมั่งคั่ง มั่นคง และธํารงไว้ซึ่งสันติภาพเช่นเดียวกับสหรัฐฯ โดยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความท้าทายต่าง ๆ ไทยพร้อมร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคและอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง โดยเฉพาะผ่านกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค เช่น อาเซียน ACMECS และ US-Mekong Partnership | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47933 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ทำงานเชิงรุก ประสานครอบครัวแฟนสาว "ทอยทอย" หลังถูกแทงเสียชีวิต เร่งช่วยเหลือเงินเยียวยา | วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ทํางานเชิงรุก ประสานครอบครัวแฟนสาว "ทอยทอย" หลังถูกแทงเสียชีวิต เร่งช่วยเหลือเงินเยียวยา
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ทํางานเชิงรุก ประสานครอบครัวแฟนสาว "ทอยทอย" หลังถูกแทงเสียชีวิต เร่งช่วยเหลือเงินเยียวยา-แนะนําหลักเกณฑ์ฟ้องคดี ย้ําพร้อมช่วยเหยื่อผู้เสียหายทุกราย
นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวถึงกรณี นายธนภัทร ชนะกุลพิศาล หรือ ทอยทอย ก่อเหตุใช้อาวุธมีดแทง แฟนสาว คือ น.ส.ชัชสรัญ สุวรรณกิจ หรือ พิม เข้าที่บริเวณหน้าอกกว่า 20 แผล จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตว่า สําหรับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้มอบหมายให้ เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (หน่วยปฏิบัติการเชิงรุก) กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ ประสานงานกับพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจนครบาลคันนายาวเจ้าของคดี เพื่อสอบถามความคืบหน้าทางคดี และประสานทายาทของผู้เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อแจ้งสิทธิค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559 พร้อมทั้งให้คําแนะนําการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การเรียกค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญา หลักเกณฑ์การฟ้องคดีแพ่งฐานละเมิด การขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อให้ครอบครัวผู้เสียหายได้รับทราบถึงสิทธินั้น
นายเรืองศักดิ์ กล่าวอีกว่า แต่เนื่องจากขณะนี้ทางทายาทของผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่างการนําศพผู้เสียชีวิตไปบําเพ็ญกุศลที่วัดบึงทองหลาง จึงยังไม่สะดวกให้เจ้าหน้าที่เข้าพบเพื่อรับคําขอเงินเยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งหากประชาชนตกเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา ถูกผู้อื่นกระทําให้เสียชีวิตโดยที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทําความผิด ทายาทมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเยียวยาในฐานะที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่ ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย 50,000 บาท ค่าจัดการศพ 20,000 บาท และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 110,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะอนุกรรมการฯ โดยสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ส่วนกลาง (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) และ ส่วนภูมิภาค (สํานักงานยุติธรรมจังหวัด ทุกแห่งทั่วประเทศ) หรือ ติดต่อที่ สายด่วนยุติธรรม โทร. 1111 กด 77 “เราพร้อมช่วยเหลือเยียวยา ตามนโยบาย ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน” | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ทำงานเชิงรุก ประสานครอบครัวแฟนสาว "ทอยทอย" หลังถูกแทงเสียชีวิต เร่งช่วยเหลือเงินเยียวยา
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ทํางานเชิงรุก ประสานครอบครัวแฟนสาว "ทอยทอย" หลังถูกแทงเสียชีวิต เร่งช่วยเหลือเงินเยียวยา
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ทํางานเชิงรุก ประสานครอบครัวแฟนสาว "ทอยทอย" หลังถูกแทงเสียชีวิต เร่งช่วยเหลือเงินเยียวยา-แนะนําหลักเกณฑ์ฟ้องคดี ย้ําพร้อมช่วยเหยื่อผู้เสียหายทุกราย
นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวถึงกรณี นายธนภัทร ชนะกุลพิศาล หรือ ทอยทอย ก่อเหตุใช้อาวุธมีดแทง แฟนสาว คือ น.ส.ชัชสรัญ สุวรรณกิจ หรือ พิม เข้าที่บริเวณหน้าอกกว่า 20 แผล จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตว่า สําหรับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้มอบหมายให้ เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (หน่วยปฏิบัติการเชิงรุก) กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ ประสานงานกับพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจนครบาลคันนายาวเจ้าของคดี เพื่อสอบถามความคืบหน้าทางคดี และประสานทายาทของผู้เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อแจ้งสิทธิค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559 พร้อมทั้งให้คําแนะนําการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การเรียกค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญา หลักเกณฑ์การฟ้องคดีแพ่งฐานละเมิด การขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อให้ครอบครัวผู้เสียหายได้รับทราบถึงสิทธินั้น
นายเรืองศักดิ์ กล่าวอีกว่า แต่เนื่องจากขณะนี้ทางทายาทของผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่างการนําศพผู้เสียชีวิตไปบําเพ็ญกุศลที่วัดบึงทองหลาง จึงยังไม่สะดวกให้เจ้าหน้าที่เข้าพบเพื่อรับคําขอเงินเยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งหากประชาชนตกเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา ถูกผู้อื่นกระทําให้เสียชีวิตโดยที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทําความผิด ทายาทมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเยียวยาในฐานะที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่ ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย 50,000 บาท ค่าจัดการศพ 20,000 บาท และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 110,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะอนุกรรมการฯ โดยสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ส่วนกลาง (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) และ ส่วนภูมิภาค (สํานักงานยุติธรรมจังหวัด ทุกแห่งทั่วประเทศ) หรือ ติดต่อที่ สายด่วนยุติธรรม โทร. 1111 กด 77 “เราพร้อมช่วยเหลือเยียวยา ตามนโยบาย ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน” | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44537 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การยาสูบฯ ชูแผนพัฒนาที่ดินใน กทม. และเชียงราย ให้เอกชนเช่า หวังสร้างรายได้อีกทาง คาดเปิดประมูล ก.ย. 64 | วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2564
การยาสูบฯ ชูแผนพัฒนาที่ดินใน กทม. และเชียงราย ให้เอกชนเช่า หวังสร้างรายได้อีกทาง คาดเปิดประมูล ก.ย. 64
ยสท.จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) ในรูปแบบออนไลน์ โครงการพัฒนาที่ดินของ ยสท. จํานวน 3 แปลง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดเชียงราย บนทําเลศักยภาพสูง โดยมีผู้สนใจจากภาคเอกชนหลากหลายกลุ่มธุรกิจ
17 สิงหาคม 2564 การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) ในรูปแบบออนไลน์ โครงการพัฒนาที่ดินของ ยสท. จํานวน 3 แปลง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดเชียงราย บนทําเลศักยภาพสูง โดยมีผู้สนใจจากภาคเอกชนหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ทั้งกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจทางการแพทย์ ธุรกิจโลจิสติกส์ ฯลฯ เข้าร่วมประชุมและแสดงความคิดเห็น ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 3 ตึกอํานวยการ การยาสูบแห่งประเทศไทย สํานักงานใหญ่ คลองเตย กรุงเทพฯ
นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ยสท. เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง มีอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย ได้มีมติเห็นชอบให้ ยสท. นําอสังหาริมทรัพย์ที่เหลือจากการใช้ตามภารกิจหลักและมีศักยภาพมาจัดหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ โดยในปี 2564 ยสท. ได้คัดเลือกที่ดินแปลงที่มีศักยภาพเพื่อนํามาจัดประโยชน์โดยการให้เช่า จํานวน 3 แปลง ได้แก่ แปลงที่ 1 โกดัง ร.ย.ส.1 ตั้งอยู่ริมถนนเจริญกรุง ด้านหลังติดแม่น้ําเจ้าพระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ อดีตใช้เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตยาสูบ และโกดังเก็บวัตถุดิบ ส่วนอีก 2 แปลงตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงราย บนทําเลศักยภาพสูง และอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย ติดด่านชายแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจระหว่างชายแดนไทย-จีน-เมียนมาร์-ลาว และในตัวเมืองเชียงราย
ยสท. จะนําความคิดเห็นจากภาคเอกชนมาประกอบการพิจารณาจัดทําแบบประกาศและเอกสารเสนอราคาการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของการยาสูบแห่งประเทศไทย โดยคาดว่าจะขายเอกสารฯ เสนอราคาการให้เช่าที่ดินทั้ง 3 แปลง ได้ในเดือนตุลาคม 2564 โดยมุ่งหวังว่าจะมีภาคเอกชนเข้าร่วมประมูลหลายราย ซึ่งจะกําหนดให้เอกชนจัดทําข้อเสนอเป็นระยะเวลา 1 เดือน ยื่นข้อเสนอในเดือนธันวาคม 2564 และได้เอกชนผู้ลงทุนประมาณเดือนมกราคม 2565 ซึ่ง ยสท. จะพิจารณาจากรูปแบบการพัฒนาพื้นที่ และแบบจําลองธุรกิจ (Business Model) มีการประเมินมูลค่าการลงทุนและผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ําที่ ยสท. ควรจะได้รับ และเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่โดยรอบ ซึ่ง ยสท. จะพิจารณาคัดเลือกเอกชนที่เสนอผลตอบแทนที่ดีที่สุด
แผนการพัฒนาพื้นที่ทั้ง 3 แปลง ที่ให้เช่าครั้งนี้ ยสท. ได้ประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ ดังนี้
• แปลงโกดัง ร.ย.ส.1 เจริญกรุง ถนนเจริญกรุง บางรัก กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ 3 งาน 95 ตารางวา ด้านหน้าติดถนนเจริญกรุง ด้านหลังติดแม่น้ําเจ้าพระยา ทําเลที่ตั้งศักยภาพสูง ซึ่งได้ประเมินรูปแบบโครงการที่เหมาะสม ได้แก่ โรงแรมระดับ 5 ดาว เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ ธุรกิจค้าปลีก ศูนย์การค้า/ตลาดสมัยใหม่ สําหรับที่ดินอีก 2 แปลงในจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ด้านการค้าและโลจิสติกส์ที่สําคัญของภาคเหนือ ได้แก่
• แปลงสถานีใบยาเวียงพาน เนื้อที่ประมาณ 75 ไร่ 1 งาน 72.4 ตารางวา ริมถนนพหลโยธิน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ใกล้กับชายแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์ ที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ฝั่งขาเข้าตัวเมืองเชียงราย อยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย และรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจระหว่างชายแดนไทย-จีน-เมียนมาร์-ลาว
• แปลงสถานีใบยาแม่กรณ์ เนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ ตั้งอยู่ตําบลสันทราย อําเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ห่างจากท่ายานอากาศแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติสามารถรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ อีกทั้งยังใกล้แหล่งธุรกิจการค้าในตัวเมือง เช่น ตลาดล้านเมือง ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เชียงราย และห้างโฮมโปร ประเมินว่าที่ดินทั้ง 2 แปลงในจังหวัดเชียงราย รูปแบบโครงการที่เหมาะสม ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ศูนย์การค้า/ตลาด และคลังสินค้าโลจิสติกส์
ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ยังเผยอีกว่า นอกจากที่ดินแปลงศักยภาพทั้ง 3 แปลง ข้างต้น ยสท. ยังมีแผนพัฒนาที่ดินที่มีศักยภาพอีกหลายแปลง ทั้งในกรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะเปิดประมูลการให้เช่าอีกในโอกาสต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การยาสูบฯ ชูแผนพัฒนาที่ดินใน กทม. และเชียงราย ให้เอกชนเช่า หวังสร้างรายได้อีกทาง คาดเปิดประมูล ก.ย. 64
วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2564
การยาสูบฯ ชูแผนพัฒนาที่ดินใน กทม. และเชียงราย ให้เอกชนเช่า หวังสร้างรายได้อีกทาง คาดเปิดประมูล ก.ย. 64
ยสท.จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) ในรูปแบบออนไลน์ โครงการพัฒนาที่ดินของ ยสท. จํานวน 3 แปลง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดเชียงราย บนทําเลศักยภาพสูง โดยมีผู้สนใจจากภาคเอกชนหลากหลายกลุ่มธุรกิจ
17 สิงหาคม 2564 การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) ในรูปแบบออนไลน์ โครงการพัฒนาที่ดินของ ยสท. จํานวน 3 แปลง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดเชียงราย บนทําเลศักยภาพสูง โดยมีผู้สนใจจากภาคเอกชนหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ทั้งกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจทางการแพทย์ ธุรกิจโลจิสติกส์ ฯลฯ เข้าร่วมประชุมและแสดงความคิดเห็น ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 3 ตึกอํานวยการ การยาสูบแห่งประเทศไทย สํานักงานใหญ่ คลองเตย กรุงเทพฯ
นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ยสท. เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง มีอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย ได้มีมติเห็นชอบให้ ยสท. นําอสังหาริมทรัพย์ที่เหลือจากการใช้ตามภารกิจหลักและมีศักยภาพมาจัดหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ โดยในปี 2564 ยสท. ได้คัดเลือกที่ดินแปลงที่มีศักยภาพเพื่อนํามาจัดประโยชน์โดยการให้เช่า จํานวน 3 แปลง ได้แก่ แปลงที่ 1 โกดัง ร.ย.ส.1 ตั้งอยู่ริมถนนเจริญกรุง ด้านหลังติดแม่น้ําเจ้าพระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ อดีตใช้เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตยาสูบ และโกดังเก็บวัตถุดิบ ส่วนอีก 2 แปลงตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงราย บนทําเลศักยภาพสูง และอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย ติดด่านชายแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจระหว่างชายแดนไทย-จีน-เมียนมาร์-ลาว และในตัวเมืองเชียงราย
ยสท. จะนําความคิดเห็นจากภาคเอกชนมาประกอบการพิจารณาจัดทําแบบประกาศและเอกสารเสนอราคาการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของการยาสูบแห่งประเทศไทย โดยคาดว่าจะขายเอกสารฯ เสนอราคาการให้เช่าที่ดินทั้ง 3 แปลง ได้ในเดือนตุลาคม 2564 โดยมุ่งหวังว่าจะมีภาคเอกชนเข้าร่วมประมูลหลายราย ซึ่งจะกําหนดให้เอกชนจัดทําข้อเสนอเป็นระยะเวลา 1 เดือน ยื่นข้อเสนอในเดือนธันวาคม 2564 และได้เอกชนผู้ลงทุนประมาณเดือนมกราคม 2565 ซึ่ง ยสท. จะพิจารณาจากรูปแบบการพัฒนาพื้นที่ และแบบจําลองธุรกิจ (Business Model) มีการประเมินมูลค่าการลงทุนและผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ําที่ ยสท. ควรจะได้รับ และเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่โดยรอบ ซึ่ง ยสท. จะพิจารณาคัดเลือกเอกชนที่เสนอผลตอบแทนที่ดีที่สุด
แผนการพัฒนาพื้นที่ทั้ง 3 แปลง ที่ให้เช่าครั้งนี้ ยสท. ได้ประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ ดังนี้
• แปลงโกดัง ร.ย.ส.1 เจริญกรุง ถนนเจริญกรุง บางรัก กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ 3 งาน 95 ตารางวา ด้านหน้าติดถนนเจริญกรุง ด้านหลังติดแม่น้ําเจ้าพระยา ทําเลที่ตั้งศักยภาพสูง ซึ่งได้ประเมินรูปแบบโครงการที่เหมาะสม ได้แก่ โรงแรมระดับ 5 ดาว เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ ธุรกิจค้าปลีก ศูนย์การค้า/ตลาดสมัยใหม่ สําหรับที่ดินอีก 2 แปลงในจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ด้านการค้าและโลจิสติกส์ที่สําคัญของภาคเหนือ ได้แก่
• แปลงสถานีใบยาเวียงพาน เนื้อที่ประมาณ 75 ไร่ 1 งาน 72.4 ตารางวา ริมถนนพหลโยธิน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ใกล้กับชายแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์ ที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ฝั่งขาเข้าตัวเมืองเชียงราย อยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย และรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจระหว่างชายแดนไทย-จีน-เมียนมาร์-ลาว
• แปลงสถานีใบยาแม่กรณ์ เนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ ตั้งอยู่ตําบลสันทราย อําเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ห่างจากท่ายานอากาศแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติสามารถรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ อีกทั้งยังใกล้แหล่งธุรกิจการค้าในตัวเมือง เช่น ตลาดล้านเมือง ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เชียงราย และห้างโฮมโปร ประเมินว่าที่ดินทั้ง 2 แปลงในจังหวัดเชียงราย รูปแบบโครงการที่เหมาะสม ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ศูนย์การค้า/ตลาด และคลังสินค้าโลจิสติกส์
ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ยังเผยอีกว่า นอกจากที่ดินแปลงศักยภาพทั้ง 3 แปลง ข้างต้น ยสท. ยังมีแผนพัฒนาที่ดินที่มีศักยภาพอีกหลายแปลง ทั้งในกรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะเปิดประมูลการให้เช่าอีกในโอกาสต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44856 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 8 ใช้ระบบการรักษาทางไกลดูแลผู้ป่วยจิตเวช ช่วยให้เข้าถึงการดูแลรักษาได้ต่อเนื่อง | วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565
เขตสุขภาพที่ 8 ใช้ระบบการรักษาทางไกลดูแลผู้ป่วยจิตเวช ช่วยให้เข้าถึงการดูแลรักษาได้ต่อเนื่อง
เขตสุขภาพที่ 8 นําร่องระบบดูแลจิตเวชทางไกล ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่าย 3 หมอ โรงพยาบาลและโรงพยาบาลจิตเวช เริ่มในกลุ่มผู้ป่วยไบโพล่า ช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาและติดตามอาการได้ต่อเนื่อง ผู้ป่วยอาการดีขึ้น อยู่ในสังคมได้ปลอดภัย
เขตสุขภาพที่ 8 นําร่องระบบดูแลจิตเวชทางไกล ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่าย 3 หมอ โรงพยาบาลและโรงพยาบาลจิตเวช เริ่มในกลุ่มผู้ป่วยไบโพล่า ช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาและติดตามอาการได้ต่อเนื่องผู้ป่วยอาการดีขึ้น อยู่ในสังคมได้ปลอดภัย พร้อมกับเปิดอาคารภูมิจิต โรงพยาบาลหนองคาย รองรับผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในพื้นที่และใกล้เคียง ลดการส่งต่อโรงพยาบาลเฉพาะทางนอกพื้นที่
วันนี้ (30 พฤษภาคม 2565) ที่โรงพยาบาลหนองคาย จังหวัดหนองคาย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นางรัจริน วงศ์รจิต นายกสมาคมแม่บ้านสาธารณสุข นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 8 และคณะผู้บริหาร ติดตามการดําเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข และเปิดอาคารภูมิจิต โรงพยาบาลหนองคาย
นายแพทย์เกียรติภูมิ เปิดเผยว่า จากรายงานการดําเนินงานด้านสุขภาพจิต ของเขตสุขภาพที่ 8ซึ่งประกอบด้วย อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และบึงกาฬ พบว่า ในปีงบประมาณ 2564มีอัตราการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 84.24% ผู้ป่วยโรคจิตเภท 100% และ อัตราฆ่าตัวตายสําเร็จ 7.44 ต่อแสนประชากร โดยปัญหาการกระตุ้นพัฒนาการเด็ก การเข้าถึงบริการกลุ่มโรคจิตเวชเด็ก และปัญหาการฆ่าตัวตาย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงบูรณาการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิตและจิตเวช ด้วยแนวคิดR8Mental Healthประกอบด้วย การพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช การส่งเสริมสุขภาพจิต การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตการเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิต และงานสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและช่วยป้องกันการเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังพัฒนาระบบการรักษาจิตเวชทางไกล โดยเชื่อมโยงเครือข่ายระบบ 3 หมอ โรงพยาบาลทั่วไป กับโรงพยาบาลจิตเวชเลยราชนครินทร์ และโรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาและติดตามอาการผู้ป่วยได้สะดวกยิ่งขึ้น ลดการรอคอยรักษาและลดการเดินทาง ที่สําคัญ ทําให้การดูแลรักษามีความต่อเนื่องผู้ป่วยอาการสงบลง ไม่กลับมาเป็นซ้ํา และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย โดยเริ่มนําร่องให้บริการในผู้ป่วยโรคไบโพล่า และจะขยายผลไปยังผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังกลุ่มอื่น ๆ ต่อไป
สําหรับอาคารภูมิจิต โรงพยาบาลหนองคาย เป็นการขยายบริการบําบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดได้เข้าถึงการบริการอย่างทั่วถึง โดยเปิดให้บริการทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในจํานวน 17 เตียง รองรับผู้ป่วยในพื้นที่และใกล้เคียงซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยทํางานเป็นเครือข่ายร่วมกับโรงพยาบาลชุมชน และรพ.สต. รวมถึงประสานกับ สภ.เมืองหนองคาย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการก้าวร้าวควบคุมไม่ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับบริการรักษาใกล้บ้าน ลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับการรักษานอกพื้นที่
********************************************* 30 พฤษภาคม 2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 8 ใช้ระบบการรักษาทางไกลดูแลผู้ป่วยจิตเวช ช่วยให้เข้าถึงการดูแลรักษาได้ต่อเนื่อง
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565
เขตสุขภาพที่ 8 ใช้ระบบการรักษาทางไกลดูแลผู้ป่วยจิตเวช ช่วยให้เข้าถึงการดูแลรักษาได้ต่อเนื่อง
เขตสุขภาพที่ 8 นําร่องระบบดูแลจิตเวชทางไกล ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่าย 3 หมอ โรงพยาบาลและโรงพยาบาลจิตเวช เริ่มในกลุ่มผู้ป่วยไบโพล่า ช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาและติดตามอาการได้ต่อเนื่อง ผู้ป่วยอาการดีขึ้น อยู่ในสังคมได้ปลอดภัย
เขตสุขภาพที่ 8 นําร่องระบบดูแลจิตเวชทางไกล ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่าย 3 หมอ โรงพยาบาลและโรงพยาบาลจิตเวช เริ่มในกลุ่มผู้ป่วยไบโพล่า ช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาและติดตามอาการได้ต่อเนื่องผู้ป่วยอาการดีขึ้น อยู่ในสังคมได้ปลอดภัย พร้อมกับเปิดอาคารภูมิจิต โรงพยาบาลหนองคาย รองรับผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในพื้นที่และใกล้เคียง ลดการส่งต่อโรงพยาบาลเฉพาะทางนอกพื้นที่
วันนี้ (30 พฤษภาคม 2565) ที่โรงพยาบาลหนองคาย จังหวัดหนองคาย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นางรัจริน วงศ์รจิต นายกสมาคมแม่บ้านสาธารณสุข นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 8 และคณะผู้บริหาร ติดตามการดําเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข และเปิดอาคารภูมิจิต โรงพยาบาลหนองคาย
นายแพทย์เกียรติภูมิ เปิดเผยว่า จากรายงานการดําเนินงานด้านสุขภาพจิต ของเขตสุขภาพที่ 8ซึ่งประกอบด้วย อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และบึงกาฬ พบว่า ในปีงบประมาณ 2564มีอัตราการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 84.24% ผู้ป่วยโรคจิตเภท 100% และ อัตราฆ่าตัวตายสําเร็จ 7.44 ต่อแสนประชากร โดยปัญหาการกระตุ้นพัฒนาการเด็ก การเข้าถึงบริการกลุ่มโรคจิตเวชเด็ก และปัญหาการฆ่าตัวตาย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงบูรณาการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิตและจิตเวช ด้วยแนวคิดR8Mental Healthประกอบด้วย การพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช การส่งเสริมสุขภาพจิต การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตการเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิต และงานสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและช่วยป้องกันการเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังพัฒนาระบบการรักษาจิตเวชทางไกล โดยเชื่อมโยงเครือข่ายระบบ 3 หมอ โรงพยาบาลทั่วไป กับโรงพยาบาลจิตเวชเลยราชนครินทร์ และโรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาและติดตามอาการผู้ป่วยได้สะดวกยิ่งขึ้น ลดการรอคอยรักษาและลดการเดินทาง ที่สําคัญ ทําให้การดูแลรักษามีความต่อเนื่องผู้ป่วยอาการสงบลง ไม่กลับมาเป็นซ้ํา และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย โดยเริ่มนําร่องให้บริการในผู้ป่วยโรคไบโพล่า และจะขยายผลไปยังผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังกลุ่มอื่น ๆ ต่อไป
สําหรับอาคารภูมิจิต โรงพยาบาลหนองคาย เป็นการขยายบริการบําบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดได้เข้าถึงการบริการอย่างทั่วถึง โดยเปิดให้บริการทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในจํานวน 17 เตียง รองรับผู้ป่วยในพื้นที่และใกล้เคียงซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยทํางานเป็นเครือข่ายร่วมกับโรงพยาบาลชุมชน และรพ.สต. รวมถึงประสานกับ สภ.เมืองหนองคาย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการก้าวร้าวควบคุมไม่ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับบริการรักษาใกล้บ้าน ลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับการรักษานอกพื้นที่
********************************************* 30 พฤษภาคม 2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55176 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. การดำเนินกิจกรรม ขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. .... ส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง เปิดเผย โปร่งใส สร้างความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน | วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565
ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. การดําเนินกิจกรรม ขององค์กรไม่แสวงหากําไร พ.ศ. .... ส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง เปิดเผย โปร่งใส สร้างความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน
ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. การดําเนินกิจกรรม ขององค์กรไม่แสวงหากําไร พ.ศ. .... ส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง เปิดเผย โปร่งใส สร้างความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน ป้องกันไม่ให้องค์กรไม่แสวงหากําไรถูกใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย
วันที่ 4 มกราคม 2565 นายธนกร วังบุญคชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการยกร่าง พ.ร.บ. การดําเนินกิจกรรมขององค์กร ไม่แสวงหากําไร พ.ศ. .... ของ คณะกรรมการกฤษฎีกา และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับร่าง พ.ร.บ. ไปดําเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย ตาม ม.77 ของรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ. หลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมิน ผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 62 ก่อนเสนอ ครม. ต่อไป โดยมุ่งเน้นส่งเสริมองค์กรไม่แสวงหากําไร ให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการดําเนินกิจการที่ให้เป็นไปอย่างเปิดเผย โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ รวมทั้งมีการกําหนดกลไกการกํากับดูแลเท่าที่จําเป็น ไม่ให้เป็นภาระแก่องค์กรไม่แสวงหากําไรขณะเดียวกันก็ให้ความคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ รักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้ การดําเนินกิจกรรมขององค์กรฯ ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 25 ของรัฐธรรมนูญด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงเป้าหมายสําคัญร่าง พ.ร.บ.ฯ เพื่อประโยชน์สาธารณะ โปร่งใส และเป็นประโยชน์ ซึ่งยังต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน ซึ่งข้อกําหนดต่าง ๆ เป็นไปตามมาตรฐานสากลว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ป้องกันการสนับสนุนด้านการเงินในการต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งหลายประเทศก็มีกลไก และกฎกติกา เช่นนี้ ขณะที่รอร่าง พ.ร.บ. เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภา ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้กฏหมายที่มีอยู่ พร้อมขอสนับสนุนจากวิปในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ฯ เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาต่อไป
สาระสําคัญ “ร่าง พ.ร.บ. การดําเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากําไร พ.ศ. ....” อาทิ กําหนดบทนิยาม “องค์กรไม่แสวงหากําไร” หมายความว่า คณะบุคคลภาคเอกชน ซึ่งรวมกลุ่มกันจัดตั้งในรูปแบบใด ๆ ที่มีบุคคลร่วมดําเนินงาน เพื่อจัดทํากิจกรรมต่าง ๆ ในสังคม โดยไม่มุ่งแสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน แต่ไม่รวมถึงการรวมกลุ่มของคณะบุคคลเพื่อดําเนินกิจกรรม เป็นการเฉพาะคราว หรือดําเนินกิจกรรมเฉพาะเพื่อประโยชน์ ของคณะบุคคลนั้น หรือพรรคการเมือง โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ ทั้งนี้ องค์กรไม่แสวงหากําไรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ ต้องอยู่ในบังคับตาม พ.ร.บ. นี้ด้วย
นอกจากนี้ ยังกําหนดให้มี “คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรไม่แสวงหากําไร” ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็น ประธานกรรมการ โดยมีหน้าที่และอํานาจในการส่งเสริมและพัฒนาองค์กร ไม่แสวงหากําไร เช่น เสนอแนะต่อ ครม. เรื่องสิทธิประโยชน์ ทางภาษีให้แก่องค์กรไม่แสวงหากําไรและผู้สนับสนุน กําหนดสิทธิประโยชน์ขององค์กรไม่แสวงหากําไรโดยให้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนและให้องค์กรไม่แสวงหากําไรและผู้สนับสนุนองค์กรไม่แสวงหากําไร อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด
ขณะเดียวกัน กําหนดให้องค์กรฯ ไม่แสวงหากําไร ต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรไม่แสวงหากําไร เช่น ชื่อ วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง วิธีการดําเนินการ แหล่งที่มาของเงินทุน และรายชื่อผู้รับผิดชอบ และห้ามไม่ให้ดําเนินงานที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ การดําเนินงานที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม หากได้รับเงินจาก ต่างประเทศต้องแจ้งชื่อแหล่งเงินทุนต่างประเทศ บัญชีธนาคารที่จะรับเงิน จํานวนเงินที่จะได้รับ และวัตถุประสงค์ของการนําเงิน ไปใช้จ่าย ต่อนายทะเบียน ต้อง รับเงินผ่านบัญชีของ ธนาคาร ที่แจ้งไว้ ต่อนายทะเบียน ต้องใช้เงินเฉพาะตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งต่อ นายทะเบียน และต้องไม่ใช้เงินเพื่อดําเนินกิจกรรมในลักษณะ การแสวงหาอํานาจรัฐ หรือเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมือง จัดทําบัญชีรายรับรายจ่ายในแต่ละรอบปีปฏิทิน และเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายดังกล่าว โดยต้องเก็บรักษา บัญชีรายรับรายจ่ายนั้นไว้ให้สามารถตรวจสอบได้เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งยังกําหนดมาตรการบังคับและโทษ โดย กําหนดให้ในกรณีที่องค์กรไม่แสวงหากําไรไม่ดําเนินการ หากฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว อาจถูกสั่งให้หยุด การดําเนินกิจกรรมหรือยุติการดําเนินงานได้ และกําหนดโทษปรับทางอาญาสําหรับองค์กรไม่แสวงหากําไร และผู้รับผิดชอบ หากไม่หยุดการดําเนินกิจกรรมหรือยุติ การดําเนินงานหลังจากได้รับคําสั่งด้วย
................................ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. การดำเนินกิจกรรม ขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. .... ส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง เปิดเผย โปร่งใส สร้างความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน
วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565
ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. การดําเนินกิจกรรม ขององค์กรไม่แสวงหากําไร พ.ศ. .... ส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง เปิดเผย โปร่งใส สร้างความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน
ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. การดําเนินกิจกรรม ขององค์กรไม่แสวงหากําไร พ.ศ. .... ส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง เปิดเผย โปร่งใส สร้างความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน ป้องกันไม่ให้องค์กรไม่แสวงหากําไรถูกใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย
วันที่ 4 มกราคม 2565 นายธนกร วังบุญคชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการยกร่าง พ.ร.บ. การดําเนินกิจกรรมขององค์กร ไม่แสวงหากําไร พ.ศ. .... ของ คณะกรรมการกฤษฎีกา และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับร่าง พ.ร.บ. ไปดําเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย ตาม ม.77 ของรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ. หลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมิน ผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 62 ก่อนเสนอ ครม. ต่อไป โดยมุ่งเน้นส่งเสริมองค์กรไม่แสวงหากําไร ให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการดําเนินกิจการที่ให้เป็นไปอย่างเปิดเผย โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ รวมทั้งมีการกําหนดกลไกการกํากับดูแลเท่าที่จําเป็น ไม่ให้เป็นภาระแก่องค์กรไม่แสวงหากําไรขณะเดียวกันก็ให้ความคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ รักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้ การดําเนินกิจกรรมขององค์กรฯ ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 25 ของรัฐธรรมนูญด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงเป้าหมายสําคัญร่าง พ.ร.บ.ฯ เพื่อประโยชน์สาธารณะ โปร่งใส และเป็นประโยชน์ ซึ่งยังต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน ซึ่งข้อกําหนดต่าง ๆ เป็นไปตามมาตรฐานสากลว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ป้องกันการสนับสนุนด้านการเงินในการต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งหลายประเทศก็มีกลไก และกฎกติกา เช่นนี้ ขณะที่รอร่าง พ.ร.บ. เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภา ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้กฏหมายที่มีอยู่ พร้อมขอสนับสนุนจากวิปในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ฯ เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาต่อไป
สาระสําคัญ “ร่าง พ.ร.บ. การดําเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากําไร พ.ศ. ....” อาทิ กําหนดบทนิยาม “องค์กรไม่แสวงหากําไร” หมายความว่า คณะบุคคลภาคเอกชน ซึ่งรวมกลุ่มกันจัดตั้งในรูปแบบใด ๆ ที่มีบุคคลร่วมดําเนินงาน เพื่อจัดทํากิจกรรมต่าง ๆ ในสังคม โดยไม่มุ่งแสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน แต่ไม่รวมถึงการรวมกลุ่มของคณะบุคคลเพื่อดําเนินกิจกรรม เป็นการเฉพาะคราว หรือดําเนินกิจกรรมเฉพาะเพื่อประโยชน์ ของคณะบุคคลนั้น หรือพรรคการเมือง โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ ทั้งนี้ องค์กรไม่แสวงหากําไรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ ต้องอยู่ในบังคับตาม พ.ร.บ. นี้ด้วย
นอกจากนี้ ยังกําหนดให้มี “คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรไม่แสวงหากําไร” ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็น ประธานกรรมการ โดยมีหน้าที่และอํานาจในการส่งเสริมและพัฒนาองค์กร ไม่แสวงหากําไร เช่น เสนอแนะต่อ ครม. เรื่องสิทธิประโยชน์ ทางภาษีให้แก่องค์กรไม่แสวงหากําไรและผู้สนับสนุน กําหนดสิทธิประโยชน์ขององค์กรไม่แสวงหากําไรโดยให้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนและให้องค์กรไม่แสวงหากําไรและผู้สนับสนุนองค์กรไม่แสวงหากําไร อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด
ขณะเดียวกัน กําหนดให้องค์กรฯ ไม่แสวงหากําไร ต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรไม่แสวงหากําไร เช่น ชื่อ วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง วิธีการดําเนินการ แหล่งที่มาของเงินทุน และรายชื่อผู้รับผิดชอบ และห้ามไม่ให้ดําเนินงานที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ การดําเนินงานที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม หากได้รับเงินจาก ต่างประเทศต้องแจ้งชื่อแหล่งเงินทุนต่างประเทศ บัญชีธนาคารที่จะรับเงิน จํานวนเงินที่จะได้รับ และวัตถุประสงค์ของการนําเงิน ไปใช้จ่าย ต่อนายทะเบียน ต้อง รับเงินผ่านบัญชีของ ธนาคาร ที่แจ้งไว้ ต่อนายทะเบียน ต้องใช้เงินเฉพาะตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งต่อ นายทะเบียน และต้องไม่ใช้เงินเพื่อดําเนินกิจกรรมในลักษณะ การแสวงหาอํานาจรัฐ หรือเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมือง จัดทําบัญชีรายรับรายจ่ายในแต่ละรอบปีปฏิทิน และเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายดังกล่าว โดยต้องเก็บรักษา บัญชีรายรับรายจ่ายนั้นไว้ให้สามารถตรวจสอบได้เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งยังกําหนดมาตรการบังคับและโทษ โดย กําหนดให้ในกรณีที่องค์กรไม่แสวงหากําไรไม่ดําเนินการ หากฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว อาจถูกสั่งให้หยุด การดําเนินกิจกรรมหรือยุติการดําเนินงานได้ และกําหนดโทษปรับทางอาญาสําหรับองค์กรไม่แสวงหากําไร และผู้รับผิดชอบ หากไม่หยุดการดําเนินกิจกรรมหรือยุติ การดําเนินงานหลังจากได้รับคําสั่งด้วย
................................ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50187 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยบินด่วนลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการดูแลพี่น้องประชาชนพื้นที่อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เน้นย้ำ สายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที | วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2564
ปลัดมหาดไทยบินด่วนลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการดูแลพี่น้องประชาชนพื้นที่อําเภอสวี จังหวัดชุมพร เน้นย้ํา สายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ปลัดมหาดไทยบินด่วนลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการดูแลพี่น้องประชาชนพื้นที่อําเภอสวี จังหวัดชุมพร เน้นย้ํา สายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และระมัดระวังอันตรายจากไฟฟ้าช็อต พร้อมให้กําลังใจพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่
วันนี้ (14 พ.ย. 64) เวลา 10.30 น. ณ ศาลาประชาคมองค์การบริหารส่วนตําบลสวี ที่ว่าการอําเภอสวี อําเภอสวี จังหวัดชุมพร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยพื้นที่จังหวัดชุมพร พร้อมด้วย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และนายวรัตม์ มาประณีต ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการบรรเทาสาธารณภัย โดยมี นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายศิลปชัย เรือนสูง นายอําเภอสวี นายอุดมศักดิ์ ขาวหนูนา ผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานี นางสาวสุนารี บุญชุบ หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดชุมพร ให้การต้อนรับ และนําตรวจเยี่ยม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนจังหวัดชุมพรที่กําลังประสบปัญหาอุทกภัยในขณะนี้ และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ตนพร้อมด้วยอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยที่อําเภอสวี จังหวัดชุมพร รวมถึงติดตามการแก้ไขปัญหาการจราจรเส้นทางที่รถไม่สามารถสัญจรผ่านทั้งขาขึ้นและขาล่องภาคใต้ บริเวณทางหลวงหมายเลข 41 พื้นที่ตําบลสวี อําเภอสวี จังหวัดชุมพร ซึ่งเมื่อมาถึงพื้นที่แล้วพบว่า รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร หัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายในพื้นที่ สามารถแจ้งเตือนภัยพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที และเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นการแก้ไขสถานการณ์ได้ดี แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวของภาคกลาง ภาคเหนือ ทําให้ความกดอากาศสูงของประเทศจีนตอนใต้ลงมาเจอกับความกดอากาศต่ํา ทําให้เกิดฝนตกที่ภาคใต้ และเมื่อฝนตกอย่างต่อเนื่อง จึงทําให้มวลน้ําสะสมเกิดสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งในขณะนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานกับหน่วยงานด้านบริหารจัดการน้ําของประเทศ คือ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา (องค์การมหาชน) หรือ สสน. และสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) ในการติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์น้ํา ทั้งน้ําฝน และน้ําบนฝั่ง โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ติดตามและบริหารสถานการณ์น้ํา (Warroom) ภายในวันอังคารที่จะถึงนี้ ที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานี เพื่อบูรณาการติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ํา และสามารถส่งข่าว กระจายข่าวให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นําท้องที่ อําเภอ และจังหวัด ได้ประสานกับพี่น้องประชาชน เพื่อแจ้งเตือนและช่วยกันในการขจัดปัดเป่าปัญหาอุปสรรคน้ําท่วมต่าง ๆ ให้หมดไป และจะทําให้พวกเราสามารถผ่านช่วงฝนตกหนักในเดือนพฤศจิกายนตลอดทั้งเดือน จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคมกลางเดือน ได้อย่างอุ่นใจ และก็รู้เท่าทันเหตุการณ์ข้างหน้าได้
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นอกจากนี้ ในแง่ของการช่วยเหลือเยียวยา ฟื้นฟู ได้สั่งการให้ทางจังหวัดชุมพร ร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้ง ปภ. ท้องถิ่น กองทัพบก รวมทั้งอาสาสมัครมวลชนต่าง ๆ เข้ามาช่วยดูแลในเรื่องของความสะอาดของถนนหนทาง และสถานที่ต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ที่จะทําให้เกิดโรคระบาด ควบคู่กับการเข้าไปฟื้นฟูเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้อยู่อาศัยในบ้านเรือนได้อย่างปกติสุขในเวลาอันรวดเร็ว ตลอดถึงการอํานวยความสะดวกในการจัดตั้ง Fix it Center ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เข้าซ่อมแซม ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ที่เกิดความเสียหาย และขอให้จังหวัด อําเภอ ประสานหน่วยงานสาธารณสุข อสม. ดูแลสุขภาพของประชาชนให้ระมัดระวังโรคที่มาจากน้ํา ลงพื้นที่ช่วยดูแลประชาชน โดยเฉพาะพวกโรคน้ํากัดเท้า โรคผิวหนังต่าง ๆ และที่สําคัญในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของประชาชนในช่วงสถานการณ์น้ําท่วม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ขอฝากให้พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันใช้บริการแจ้งขอความช่วยเหลือศูนย์ฮอตไลน์ สายด่วนนิรภัย 1784 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง จะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่อง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ไม่เฉพาะในช่วงน้ําท่วม รวมทั้งเรื่องถนนหนทาง ไฟไหม้ อุบัติเหตุ ด้วย แต่ถ้าเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทร. 1669 และขอเป็นกําลังใจให้ทุกท่าน ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่เคารพเลื่อมใสของชาวชุมพร รวมถึงพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องประชาชนที่ประสบภัยและชาวชุมพรทุกท่านได้ประสบสิ่งดี ๆ ให้ผ่านอุปสรรคในครั้งนี้ไปอย่างราบรื่น ที่สําคัญที่สุดขอให้พวกเราช่วยเหลือกัน ไม่ทอดทิ้งกัน
นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร กล่าวว่า จังหวัดชุมพร ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกําลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ส่งผลให้มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทําให้เกิดสถานการณ์อุทกภัย ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย. 64 เป็นต้นมา จํานวน 6 อําเภอ ได้แก่ อําเภอพะโต๊ะ อําเภอสวี อําเภอหลังสวน อําเภอทุ่งตะโก อําเภอเมืองชุมพร และอําเภอปะทิว รวม 42 ตําบล 331 หมู่บ้าน 9 ชุมชน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 7,682 ครัวเรือน 24,739 คน ผู้เสียชีวิต 2 ราย โรงเรียน 1 แห่ง วัด 4 แห่ง บ้านพักอาศัย 520 หลัง สถานที่ราชการ 2 แห่ง โรงงาน 2 แห่ง ถนน 137 สาย คอสะพาน 1 แห่ง ฝ่ายน้ําล้น 5 แห่ง ท่อระบายน้ํา 3 แห่ง ท่อชนิดลอดเหลี่ยม 1 แห่ง โดยในด้านการแก้ไขและบริหารจัดการสถานการณ์ จังหวัดชุมพร ได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด และศูนย์อํานวยการอําเภอทุกอําเภอ ประสานการเผชิญเหตุและบูรณาการ ระดมสรรพกําลังและทรัพยากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนพื้นที่ประสบภัย พร้อมทั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย นอกจากนี้ ได้มีการจัดตั้งโรงครัวจิตอาสา ณ หอประชุมจังหวัดชุมพร ศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร พร้อมทั้งบูรณาการฝ่ายปกครอง ทหาร มทบ.44 กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร ข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจิตอาสา อาสาสมัคร เข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และอพยพประชาชนในพื้นที่ และได้รับการสนับสนุนเครื่องอุปกรณ์จากหน่วยงานสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน รวมถึงมูลนิธิในพื้นที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดข้างเคียง ได้แก่ รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย เรือท้องแบน เครื่องสูบน้ําระยะไกล เครื่องสูบน้ําขนาดท่อส่ง 14 นิ้ว รถไฟฟ้าส่องสว่าง รถบรรทุกน้ํา รถบรรทุก 6 ล้อ รถบรรทุกขนาดเล็ก เรือยนต์กู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว เครื่องจักรกล และเครื่องผลักดันน้ํา เพื่อเร่งบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน และสําหรับสถานการณ์น้ําท่วมถนนสายเอเชีย 41 ทุกจุดระดับน้ําลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ รถทุกชนิดสามารถสัญจรได้แล้ว โดยแขวงทางหลวงชุมพร ได้เปิดการจราจรพร้อมทั้งได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและอํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เส้นทางช่วงบริเวณดังกล่าว และเพื่อความปลอดภัย ขอให้ผู้ใช้เส้นทางเพิ่มความระมัดระวังในการใช้เส้นทางดังกล่าวด้วย
สุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากได้รับทราบจากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาและจากการแจ้งเตือนของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําว่า ในช่วง 2-3 วันข้างหน้าอาจจะมีฝนตกหนักอีก (17 – 19 พ.ย. 64) จนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน จึงขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ช่วยกันเคลื่อนย้ายสิ่งของที่อยู่ในที่ต่ําที่ลุ่มให้ไปอยู่ในที่สูง ถ้าบ้านเรือนเป็นบ้านชั้นเดียวหรืออยู่ในที่ต่ํา สามารถแจ้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เข้าไปช่วยเหลือ หรือโทร. 1784 จะมีกําลังของ อปพร. อาสาสมัครของมูลนิธิการกุศล เข้าไปช่วยขนย้าย เพราะในทุกพื้นที่เรามีแผนสํารองในการอพยพทุกคนไปอยู่ในที่สูง ที่ปลอดภัย จึงขอให้ช่วยกันแจ้งเตือนและช่วยกันยกข้าวของ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นจํานวนมาก นอกจากนี้ สาเหตุสําคัญของการเสียชีวิตในช่วงน้ําท่วม คือ “ไฟช็อต” จึงขอให้ทางจังหวัดและสื่อมวลชนได้ช่วยกันประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการดูแลอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเป็นกําลังสําคัญในการไปช่วยปรับแก้ไข ถ้าปลั๊กไฟอยู่ในที่ต่ํา ต้องตัดคัตเอาท์ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และไฟช็อต อาจทําให้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
จากนั้นปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้พบปะให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ให้กับตัวแทนผู้สูงอายุ และประชาชนผู้ประสบภัย จํานวนกว่า 100 ชิ้น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยบินด่วนลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการดูแลพี่น้องประชาชนพื้นที่อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เน้นย้ำ สายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2564
ปลัดมหาดไทยบินด่วนลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการดูแลพี่น้องประชาชนพื้นที่อําเภอสวี จังหวัดชุมพร เน้นย้ํา สายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ปลัดมหาดไทยบินด่วนลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการดูแลพี่น้องประชาชนพื้นที่อําเภอสวี จังหวัดชุมพร เน้นย้ํา สายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และระมัดระวังอันตรายจากไฟฟ้าช็อต พร้อมให้กําลังใจพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่
วันนี้ (14 พ.ย. 64) เวลา 10.30 น. ณ ศาลาประชาคมองค์การบริหารส่วนตําบลสวี ที่ว่าการอําเภอสวี อําเภอสวี จังหวัดชุมพร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยพื้นที่จังหวัดชุมพร พร้อมด้วย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และนายวรัตม์ มาประณีต ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการบรรเทาสาธารณภัย โดยมี นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายศิลปชัย เรือนสูง นายอําเภอสวี นายอุดมศักดิ์ ขาวหนูนา ผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานี นางสาวสุนารี บุญชุบ หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดชุมพร ให้การต้อนรับ และนําตรวจเยี่ยม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนจังหวัดชุมพรที่กําลังประสบปัญหาอุทกภัยในขณะนี้ และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ตนพร้อมด้วยอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยที่อําเภอสวี จังหวัดชุมพร รวมถึงติดตามการแก้ไขปัญหาการจราจรเส้นทางที่รถไม่สามารถสัญจรผ่านทั้งขาขึ้นและขาล่องภาคใต้ บริเวณทางหลวงหมายเลข 41 พื้นที่ตําบลสวี อําเภอสวี จังหวัดชุมพร ซึ่งเมื่อมาถึงพื้นที่แล้วพบว่า รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร หัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายในพื้นที่ สามารถแจ้งเตือนภัยพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที และเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นการแก้ไขสถานการณ์ได้ดี แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวของภาคกลาง ภาคเหนือ ทําให้ความกดอากาศสูงของประเทศจีนตอนใต้ลงมาเจอกับความกดอากาศต่ํา ทําให้เกิดฝนตกที่ภาคใต้ และเมื่อฝนตกอย่างต่อเนื่อง จึงทําให้มวลน้ําสะสมเกิดสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งในขณะนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานกับหน่วยงานด้านบริหารจัดการน้ําของประเทศ คือ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา (องค์การมหาชน) หรือ สสน. และสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) ในการติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์น้ํา ทั้งน้ําฝน และน้ําบนฝั่ง โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ติดตามและบริหารสถานการณ์น้ํา (Warroom) ภายในวันอังคารที่จะถึงนี้ ที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานี เพื่อบูรณาการติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ํา และสามารถส่งข่าว กระจายข่าวให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นําท้องที่ อําเภอ และจังหวัด ได้ประสานกับพี่น้องประชาชน เพื่อแจ้งเตือนและช่วยกันในการขจัดปัดเป่าปัญหาอุปสรรคน้ําท่วมต่าง ๆ ให้หมดไป และจะทําให้พวกเราสามารถผ่านช่วงฝนตกหนักในเดือนพฤศจิกายนตลอดทั้งเดือน จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคมกลางเดือน ได้อย่างอุ่นใจ และก็รู้เท่าทันเหตุการณ์ข้างหน้าได้
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นอกจากนี้ ในแง่ของการช่วยเหลือเยียวยา ฟื้นฟู ได้สั่งการให้ทางจังหวัดชุมพร ร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้ง ปภ. ท้องถิ่น กองทัพบก รวมทั้งอาสาสมัครมวลชนต่าง ๆ เข้ามาช่วยดูแลในเรื่องของความสะอาดของถนนหนทาง และสถานที่ต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ที่จะทําให้เกิดโรคระบาด ควบคู่กับการเข้าไปฟื้นฟูเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้อยู่อาศัยในบ้านเรือนได้อย่างปกติสุขในเวลาอันรวดเร็ว ตลอดถึงการอํานวยความสะดวกในการจัดตั้ง Fix it Center ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เข้าซ่อมแซม ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ที่เกิดความเสียหาย และขอให้จังหวัด อําเภอ ประสานหน่วยงานสาธารณสุข อสม. ดูแลสุขภาพของประชาชนให้ระมัดระวังโรคที่มาจากน้ํา ลงพื้นที่ช่วยดูแลประชาชน โดยเฉพาะพวกโรคน้ํากัดเท้า โรคผิวหนังต่าง ๆ และที่สําคัญในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของประชาชนในช่วงสถานการณ์น้ําท่วม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ขอฝากให้พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันใช้บริการแจ้งขอความช่วยเหลือศูนย์ฮอตไลน์ สายด่วนนิรภัย 1784 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง จะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่อง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ไม่เฉพาะในช่วงน้ําท่วม รวมทั้งเรื่องถนนหนทาง ไฟไหม้ อุบัติเหตุ ด้วย แต่ถ้าเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทร. 1669 และขอเป็นกําลังใจให้ทุกท่าน ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่เคารพเลื่อมใสของชาวชุมพร รวมถึงพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องประชาชนที่ประสบภัยและชาวชุมพรทุกท่านได้ประสบสิ่งดี ๆ ให้ผ่านอุปสรรคในครั้งนี้ไปอย่างราบรื่น ที่สําคัญที่สุดขอให้พวกเราช่วยเหลือกัน ไม่ทอดทิ้งกัน
นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร กล่าวว่า จังหวัดชุมพร ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกําลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ส่งผลให้มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทําให้เกิดสถานการณ์อุทกภัย ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย. 64 เป็นต้นมา จํานวน 6 อําเภอ ได้แก่ อําเภอพะโต๊ะ อําเภอสวี อําเภอหลังสวน อําเภอทุ่งตะโก อําเภอเมืองชุมพร และอําเภอปะทิว รวม 42 ตําบล 331 หมู่บ้าน 9 ชุมชน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 7,682 ครัวเรือน 24,739 คน ผู้เสียชีวิต 2 ราย โรงเรียน 1 แห่ง วัด 4 แห่ง บ้านพักอาศัย 520 หลัง สถานที่ราชการ 2 แห่ง โรงงาน 2 แห่ง ถนน 137 สาย คอสะพาน 1 แห่ง ฝ่ายน้ําล้น 5 แห่ง ท่อระบายน้ํา 3 แห่ง ท่อชนิดลอดเหลี่ยม 1 แห่ง โดยในด้านการแก้ไขและบริหารจัดการสถานการณ์ จังหวัดชุมพร ได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด และศูนย์อํานวยการอําเภอทุกอําเภอ ประสานการเผชิญเหตุและบูรณาการ ระดมสรรพกําลังและทรัพยากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนพื้นที่ประสบภัย พร้อมทั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย นอกจากนี้ ได้มีการจัดตั้งโรงครัวจิตอาสา ณ หอประชุมจังหวัดชุมพร ศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร พร้อมทั้งบูรณาการฝ่ายปกครอง ทหาร มทบ.44 กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร ข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจิตอาสา อาสาสมัคร เข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และอพยพประชาชนในพื้นที่ และได้รับการสนับสนุนเครื่องอุปกรณ์จากหน่วยงานสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน รวมถึงมูลนิธิในพื้นที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดข้างเคียง ได้แก่ รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย เรือท้องแบน เครื่องสูบน้ําระยะไกล เครื่องสูบน้ําขนาดท่อส่ง 14 นิ้ว รถไฟฟ้าส่องสว่าง รถบรรทุกน้ํา รถบรรทุก 6 ล้อ รถบรรทุกขนาดเล็ก เรือยนต์กู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว เครื่องจักรกล และเครื่องผลักดันน้ํา เพื่อเร่งบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน และสําหรับสถานการณ์น้ําท่วมถนนสายเอเชีย 41 ทุกจุดระดับน้ําลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ รถทุกชนิดสามารถสัญจรได้แล้ว โดยแขวงทางหลวงชุมพร ได้เปิดการจราจรพร้อมทั้งได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและอํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เส้นทางช่วงบริเวณดังกล่าว และเพื่อความปลอดภัย ขอให้ผู้ใช้เส้นทางเพิ่มความระมัดระวังในการใช้เส้นทางดังกล่าวด้วย
สุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากได้รับทราบจากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาและจากการแจ้งเตือนของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําว่า ในช่วง 2-3 วันข้างหน้าอาจจะมีฝนตกหนักอีก (17 – 19 พ.ย. 64) จนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน จึงขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ช่วยกันเคลื่อนย้ายสิ่งของที่อยู่ในที่ต่ําที่ลุ่มให้ไปอยู่ในที่สูง ถ้าบ้านเรือนเป็นบ้านชั้นเดียวหรืออยู่ในที่ต่ํา สามารถแจ้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เข้าไปช่วยเหลือ หรือโทร. 1784 จะมีกําลังของ อปพร. อาสาสมัครของมูลนิธิการกุศล เข้าไปช่วยขนย้าย เพราะในทุกพื้นที่เรามีแผนสํารองในการอพยพทุกคนไปอยู่ในที่สูง ที่ปลอดภัย จึงขอให้ช่วยกันแจ้งเตือนและช่วยกันยกข้าวของ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นจํานวนมาก นอกจากนี้ สาเหตุสําคัญของการเสียชีวิตในช่วงน้ําท่วม คือ “ไฟช็อต” จึงขอให้ทางจังหวัดและสื่อมวลชนได้ช่วยกันประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการดูแลอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเป็นกําลังสําคัญในการไปช่วยปรับแก้ไข ถ้าปลั๊กไฟอยู่ในที่ต่ํา ต้องตัดคัตเอาท์ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และไฟช็อต อาจทําให้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
จากนั้นปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้พบปะให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ให้กับตัวแทนผู้สูงอายุ และประชาชนผู้ประสบภัย จํานวนกว่า 100 ชิ้น | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48220 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยหัวหินเร่งแก้หนี้ครั้งที่ 9 กางผลงานช่วยประชาชนได้แล้วเกือบหมื่นราย | วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยหัวหินเร่งแก้หนี้ครั้งที่ 9 กางผลงานช่วยประชาชนได้แล้วเกือบหมื่นราย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยหัวหินเร่งแก้หนี้ครั้งที่ 9 กางผลงานช่วยประชาชนได้แล้วเกือบหมื่นราย ทุนทรัพย์ 2,480 ล้าน เร่งสปีดลงทุกจังหวัดเพื่อช่วยเรื่องหนี้พร้อมรับฟังปัญหา ยันใช้งบคุ้มค่าดูแลประชาชน
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 เวลา 11.00 น. ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 9 และยุติธรรมพบประชาชน โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขา รมว.ยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นางจิรภา สินธุนาวา ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นางสาวยุพาภรณ์ ศิริกิจพาณิชย์กูล รองอธิบดีกรมบังคับคดี นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา นายก อบจ.ราชบุรี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และประชาชนร่วมงาน โดยก่อนเข้างานมีการคัดกรองโควิด-19 อย่างเข้มงวด
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ตนนั่งรถมาไกล 200 กิโลเมตร เพื่อมาช่วยเร่งไกล่เกลี่ยและแก้ปัญหาหนี้สินให้กับชาวประจวบและเพชรบุรี ตามนโยบายรัฐบาลในการคลายทุกข์ให้กับประชาชน โดยมีเป้าหมายประชาชนที่เข้าร่วมงาน 9,139 ราย ทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 548 ล้านบาท ตนคํานวณตัวเลขผู้ขาดส่งโดยเฉลี่ยที่เราไกล่เกลี่ยก่อนหน้านี้ได้รับส่วนลดเป็นแสนบาท วันนี้ถ้าใครมาเขาจะคิดและลดให้เป็นกรณีพิเศษ ตนไปมาหลายจังหวัด การแก้หนี้คือปลายทุกข์ ตนได้คุยกับ รมต.หลายท่าน อยากให้มีการสนับสนุนและสร้างอาชีพใหม่ให้ประชาชน เช่น การเลี้ยงวัว ทําอาหารฮาลาลเพื่อส่งออก ตรงนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการจัดทําให้ประชาชน ขอขอบคุณสถาบันการเงินที่เข้าร่วมงาน คือ กยศ. ธนาคารออมสิน ธอส. ธกส. บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จํากัด บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จํากัด (มหาชน)
“การจัดงานจนถึงขณะนี้มีลูกหนี้ขอไกล่เกลี่ยแล้ว 10,073 ราย ซึ่งไกล่เกลี่ยสําเร็จไปถึง 9,200 ราย ทุนทรัพย์รวม 2.4 พันล้านบาท จะเห็นได้ว่าผลสําเร็จนี้ เป็นการจัดสรรงบประมาณที่คุ้มค่า เพราะรัฐบาลได้รับงบมา 41 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ เฉลี่ยตกคนละ 400 บาท จากเป้าหมาย 1 แสนราย แต่รัฐบาล สามารถนํามาต่อยอดลดค่าใช้จ่ายประชาชนได้ถึงคนละ 120,000 บาท ทําให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่หายใจหายคอได้มากขึ้นและทําให้ประชาชน รู้จักภารกิจของกระทรวงยุติธรรมมากขึ้น ผมขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน เพื่อช่วยเหลือประชาชน” รมว.ยุติธรรม กล่าว
จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้มอบเงินเยียวยา 10 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 778,514 บาท และมอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน จํานวน 9 ศูนย์ และได้เดินชมบูธนิทรรศการ และร่วมการไกล่เกลี่ย โดยรายแรก เป็นหนี้ก่อนฟ้องของกยศ.กู้มา 200,000 บาท ส่งมา 15 ปี กยศ. ลดให้เหลือ 153,000 บาท ผ่อนอีก 20 ปี งวดละ 740 บาท รายต่อมา เป็นหนี้ ธนาคารออมสิน ขอขยายหนี้ ลดดอกเบี้ย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยหัวหินเร่งแก้หนี้ครั้งที่ 9 กางผลงานช่วยประชาชนได้แล้วเกือบหมื่นราย
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยหัวหินเร่งแก้หนี้ครั้งที่ 9 กางผลงานช่วยประชาชนได้แล้วเกือบหมื่นราย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยหัวหินเร่งแก้หนี้ครั้งที่ 9 กางผลงานช่วยประชาชนได้แล้วเกือบหมื่นราย ทุนทรัพย์ 2,480 ล้าน เร่งสปีดลงทุกจังหวัดเพื่อช่วยเรื่องหนี้พร้อมรับฟังปัญหา ยันใช้งบคุ้มค่าดูแลประชาชน
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 เวลา 11.00 น. ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 9 และยุติธรรมพบประชาชน โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขา รมว.ยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นางจิรภา สินธุนาวา ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นางสาวยุพาภรณ์ ศิริกิจพาณิชย์กูล รองอธิบดีกรมบังคับคดี นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา นายก อบจ.ราชบุรี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และประชาชนร่วมงาน โดยก่อนเข้างานมีการคัดกรองโควิด-19 อย่างเข้มงวด
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ตนนั่งรถมาไกล 200 กิโลเมตร เพื่อมาช่วยเร่งไกล่เกลี่ยและแก้ปัญหาหนี้สินให้กับชาวประจวบและเพชรบุรี ตามนโยบายรัฐบาลในการคลายทุกข์ให้กับประชาชน โดยมีเป้าหมายประชาชนที่เข้าร่วมงาน 9,139 ราย ทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 548 ล้านบาท ตนคํานวณตัวเลขผู้ขาดส่งโดยเฉลี่ยที่เราไกล่เกลี่ยก่อนหน้านี้ได้รับส่วนลดเป็นแสนบาท วันนี้ถ้าใครมาเขาจะคิดและลดให้เป็นกรณีพิเศษ ตนไปมาหลายจังหวัด การแก้หนี้คือปลายทุกข์ ตนได้คุยกับ รมต.หลายท่าน อยากให้มีการสนับสนุนและสร้างอาชีพใหม่ให้ประชาชน เช่น การเลี้ยงวัว ทําอาหารฮาลาลเพื่อส่งออก ตรงนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการจัดทําให้ประชาชน ขอขอบคุณสถาบันการเงินที่เข้าร่วมงาน คือ กยศ. ธนาคารออมสิน ธอส. ธกส. บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จํากัด บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จํากัด (มหาชน)
“การจัดงานจนถึงขณะนี้มีลูกหนี้ขอไกล่เกลี่ยแล้ว 10,073 ราย ซึ่งไกล่เกลี่ยสําเร็จไปถึง 9,200 ราย ทุนทรัพย์รวม 2.4 พันล้านบาท จะเห็นได้ว่าผลสําเร็จนี้ เป็นการจัดสรรงบประมาณที่คุ้มค่า เพราะรัฐบาลได้รับงบมา 41 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ เฉลี่ยตกคนละ 400 บาท จากเป้าหมาย 1 แสนราย แต่รัฐบาล สามารถนํามาต่อยอดลดค่าใช้จ่ายประชาชนได้ถึงคนละ 120,000 บาท ทําให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่หายใจหายคอได้มากขึ้นและทําให้ประชาชน รู้จักภารกิจของกระทรวงยุติธรรมมากขึ้น ผมขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน เพื่อช่วยเหลือประชาชน” รมว.ยุติธรรม กล่าว
จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้มอบเงินเยียวยา 10 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 778,514 บาท และมอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน จํานวน 9 ศูนย์ และได้เดินชมบูธนิทรรศการ และร่วมการไกล่เกลี่ย โดยรายแรก เป็นหนี้ก่อนฟ้องของกยศ.กู้มา 200,000 บาท ส่งมา 15 ปี กยศ. ลดให้เหลือ 153,000 บาท ผ่อนอีก 20 ปี งวดละ 740 บาท รายต่อมา เป็นหนี้ ธนาคารออมสิน ขอขยายหนี้ ลดดอกเบี้ย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54511 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนคนชอบเที่ยวอย่าลืมจอง เราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย เหลือ 1.85 แสนสิทธิสุดท้ายแล้ว | วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565
เตือนคนชอบเที่ยวอย่าลืมจอง เราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย เหลือ 1.85 แสนสิทธิสุดท้ายแล้ว
เตือนคนชอบเที่ยวอย่าลืมจอง เราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย เหลือ 1.85 แสนสิทธิสุดท้ายแล้ว
วันที่ 26 สิงหาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย 1.5 ล้านสิทธิ และเปิดให้ลงทะเบียนจองห้องพักได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา ณ วันที่ 25 ส.ค. 65 มีผู้จองใช้สิทธิไปแล้วประมาณ 1.315 ล้านสิทธิ เหลือห้องพักตามโครงการประมาณ 1.85 แสนสิทธิ
“ผู้ที่มีแผนที่จะท่องเที่ยวอยู่แล้วอย่าลืมเข้ามาใช้สิทธิตามโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่ตอนนี้เหลือ 1.85 แสนสิทธิเท่านั้น ซึ่งสิทธิตามโครงการนี้สามารถเข้าพักได้ถึงวันที่ 31 ต.ค. เป็นวันสุดท้าย และหากมีการเดินทางโดยเครื่องบินสามารถลงทะเบียนตั๋วเครื่องบินเพื่อรับเงินสนับสนุนค่าเครื่องบินในวันที่ 5 พ.ย. เวลา 21.00 น.”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย เป็นโครงการที่รัฐบาลสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ให้ประชาชนเดินทางได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลง มีการใช้จ่ายเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ช่วยฟื้นฟูผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 มาเป็นเวลากว่า 2 ปี
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกันเป็นหนึ่งในโครงการสําคัญที่กระตุ้นให้การท่องเที่ยวในประเทศ(ไทยเที่ยวไทย) เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมาย 160 ล้านคน-ครั้ง
โดยข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 17 ส.ค. 65 มีจํานวนนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย สะสม 86 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 235 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 เกิดรายได้จากนักท่องเที่ยวรวม 377,740 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 68 ของรายได้จากนักท่องเที่ยวโดยรวมที่ 554,051 ล้านบาท ส่วนอีกร้อยละ 32 หรือ 176,311 ล้านบาท เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ขณะนี้ทยอยปรับตัวดีขึ้นสอดคล้องกับสถานการณ์โควิด19 เช่นเดียวกัน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนคนชอบเที่ยวอย่าลืมจอง เราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย เหลือ 1.85 แสนสิทธิสุดท้ายแล้ว
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565
เตือนคนชอบเที่ยวอย่าลืมจอง เราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย เหลือ 1.85 แสนสิทธิสุดท้ายแล้ว
เตือนคนชอบเที่ยวอย่าลืมจอง เราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย เหลือ 1.85 แสนสิทธิสุดท้ายแล้ว
วันที่ 26 สิงหาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย 1.5 ล้านสิทธิ และเปิดให้ลงทะเบียนจองห้องพักได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา ณ วันที่ 25 ส.ค. 65 มีผู้จองใช้สิทธิไปแล้วประมาณ 1.315 ล้านสิทธิ เหลือห้องพักตามโครงการประมาณ 1.85 แสนสิทธิ
“ผู้ที่มีแผนที่จะท่องเที่ยวอยู่แล้วอย่าลืมเข้ามาใช้สิทธิตามโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่ตอนนี้เหลือ 1.85 แสนสิทธิเท่านั้น ซึ่งสิทธิตามโครงการนี้สามารถเข้าพักได้ถึงวันที่ 31 ต.ค. เป็นวันสุดท้าย และหากมีการเดินทางโดยเครื่องบินสามารถลงทะเบียนตั๋วเครื่องบินเพื่อรับเงินสนับสนุนค่าเครื่องบินในวันที่ 5 พ.ย. เวลา 21.00 น.”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เราเที่ยวด้วยกัน เฟส4 ส่วนขยาย เป็นโครงการที่รัฐบาลสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ให้ประชาชนเดินทางได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลง มีการใช้จ่ายเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ช่วยฟื้นฟูผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 มาเป็นเวลากว่า 2 ปี
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกันเป็นหนึ่งในโครงการสําคัญที่กระตุ้นให้การท่องเที่ยวในประเทศ(ไทยเที่ยวไทย) เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมาย 160 ล้านคน-ครั้ง
โดยข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 17 ส.ค. 65 มีจํานวนนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย สะสม 86 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 235 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 เกิดรายได้จากนักท่องเที่ยวรวม 377,740 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 68 ของรายได้จากนักท่องเที่ยวโดยรวมที่ 554,051 ล้านบาท ส่วนอีกร้อยละ 32 หรือ 176,311 ล้านบาท เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ขณะนี้ทยอยปรับตัวดีขึ้นสอดคล้องกับสถานการณ์โควิด19 เช่นเดียวกัน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58459 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) | วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference)
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference)
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๔ – ๐๓ ชั้น ๔ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) โดยมี น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนยุติธรรม และคณะกรรมการฯ เข้าร่วมฯ
ในการนี้ ที่ประชุมได้รายงานผลการดําเนินงานตามบันทึกข้อตกลงการประเมินของกองทุนยุติธรรม ประจําปีบัญชี ๒๕๖๔ และรายงานผลการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญาของสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา รวมทั้งรายงานความคืบหน้าด้านคดี
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้หารือร่วมกันในการพิจารณารายงานผลการตรวจสอบภายในและการกําหนดแนวทางในการติดตามการดําเนินงานตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจสอบภายใน และร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม เรื่อง แบบหนังสือรับรองการชําระเงินของกองทุนยุติธรรม พ.ศ. .... ตลอดจนปฏิทินการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ประจําปีบัญชี ๒๕๖๕ อันเป็นการพัฒนาการดําเนินงานของกองทุนยุติธรรมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือได้อย่างสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference)
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference)
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference)
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๔ – ๐๓ ชั้น ๔ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) โดยมี น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนยุติธรรม และคณะกรรมการฯ เข้าร่วมฯ
ในการนี้ ที่ประชุมได้รายงานผลการดําเนินงานตามบันทึกข้อตกลงการประเมินของกองทุนยุติธรรม ประจําปีบัญชี ๒๕๖๔ และรายงานผลการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญาของสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา รวมทั้งรายงานความคืบหน้าด้านคดี
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้หารือร่วมกันในการพิจารณารายงานผลการตรวจสอบภายในและการกําหนดแนวทางในการติดตามการดําเนินงานตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจสอบภายใน และร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม เรื่อง แบบหนังสือรับรองการชําระเงินของกองทุนยุติธรรม พ.ศ. .... ตลอดจนปฏิทินการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ประจําปีบัญชี ๒๕๖๕ อันเป็นการพัฒนาการดําเนินงานของกองทุนยุติธรรมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือได้อย่างสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46269 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM observes construction progress of Krabi Airport extension | วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564
PM observes construction progress of Krabi Airport extension
PM observes construction progress of Krabi Airport extension
November 15, 2021, at 0900hrs, at the International Terminal, Krabi International Airport, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha, together with Minister of Interior Gen. Anupong Paojinda, and PM's Secretary General Distat Hotrakitya, observed the construction progress of the Airport extension phase. Renovation of Passenger Terminals I and II and construction of the 3rdterminal are underway, and expected to complete in 2022, which will increase the capacity to accommodate 3,000 passengers per hour or 8 million passengers per year. Carpark building is also renovated to accommodate the maximum of 2,700 cars. Future plans for the renovation of Krabi International Airport also include construction of parallel taxiway and improvement of airport electrical system. Once completed, capacity of the Airport could be enhanced to accommodate additional 70,000 passengers per year, and could generate extra 1.830 billion Baht.
According to the Government Spokesperson, the Prime Minister gave his moral support to the airport officers and personnel, and emphasized that they strictly comply with the “Universal Prevention” measure despite the ease of lockdown for various businesses/activities to ensure maximum protection against possible transmission of COVID-19. All airport terminals must be disinfected on a weekly basis as part of Ministry of Public Health’s COVID-19 preventive measures. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM observes construction progress of Krabi Airport extension
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564
PM observes construction progress of Krabi Airport extension
PM observes construction progress of Krabi Airport extension
November 15, 2021, at 0900hrs, at the International Terminal, Krabi International Airport, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha, together with Minister of Interior Gen. Anupong Paojinda, and PM's Secretary General Distat Hotrakitya, observed the construction progress of the Airport extension phase. Renovation of Passenger Terminals I and II and construction of the 3rdterminal are underway, and expected to complete in 2022, which will increase the capacity to accommodate 3,000 passengers per hour or 8 million passengers per year. Carpark building is also renovated to accommodate the maximum of 2,700 cars. Future plans for the renovation of Krabi International Airport also include construction of parallel taxiway and improvement of airport electrical system. Once completed, capacity of the Airport could be enhanced to accommodate additional 70,000 passengers per year, and could generate extra 1.830 billion Baht.
According to the Government Spokesperson, the Prime Minister gave his moral support to the airport officers and personnel, and emphasized that they strictly comply with the “Universal Prevention” measure despite the ease of lockdown for various businesses/activities to ensure maximum protection against possible transmission of COVID-19. All airport terminals must be disinfected on a weekly basis as part of Ministry of Public Health’s COVID-19 preventive measures. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48297 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ ออท.ออสเตรเลียฯ ย้ำความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด พร้อมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต่อยอดขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19 | วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565
นายกฯ หารือ ออท.ออสเตรเลียฯ ย้ําความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด พร้อมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต่อยอดขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19
นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ ย้ําความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด พร้อมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต่อยอดขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2565) เวลา 15.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายแอลลัน เจมส์ มักคินนัน (H.E. Mr. Allan James McKinnon) เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ อีกครั้ง พร้อมขอบคุณที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ดํารงตําแหน่ง ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับออสเตรเลียให้แน่นแฟ้นมากขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ออสเตรเลีย และการจัดทําวีดิทัศน์สารคดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงศึกษาในเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งสร้างความประทับใจ และสะท้อนความสัมพันธ์ที่พิเศษระหว่างไทยกับออสเตรเลีย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยินดีกับการจัดการเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2565 ซึ่งประสบความสําเร็จด้วยดี โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมทํางานร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่ของออสเตรเลีย เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป
เอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ ยินดีที่ได้มีโอกาสพบหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พร้อมขอบคุณนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่จนประสบความสําเร็จด้วยดีเสมอมา ตลอดจนชื่นชมความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ ขณะนี้ออสเตรเลียเปิดให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว เพื่ออํานวยความสะดวกให้การเดินทางระดับประชาชน และทราบว่ามีนักเรียน/นักศึกษาชาวไทยจํานวนมากสนใจมาศึกษาต่อยังออสเตรเลีย สะท้อนความสัมพันธ์ระดับประชาชนที่แน่นแฟ้น นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในทุกมิติ โดยเฉพาะการค้าและการลงทุน ซึ่งมีการจัดทําความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน และมีการแลกเปลี่ยนการลงทุนระหว่างกันจํานวนมาก ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุนและผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลียให้ก้าวหน้าต่อไปยิ่งขึ้น
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยและออสเตรเลียเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด โดยมีความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงที่แน่นแฟ้นยาวนาน ทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค ครอบคลุมหลายประเด็น อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีย้ําความมุ่งมั่นของไทยในการร่วมมือกับออสเตรเลียอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นการปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญและดําเนินการปราบปรามอย่างจริงจังมาตลอด โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณออสเตรเลียที่ให้การสนับสนุนไทยในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (Counter Trafficking in Persons Center of Excellence) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้วย
ด้านความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลออสเตรเลียที่สนับสนุนวัคซีนแก่ไทย ตลอดจนยินดีที่ไทยและออสเตรเลียได้เปิดให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการศึกษา เชื่อมั่นว่าจะช่วยทําให้การค้าและการลงทุนระหว่างกันฟื้นตัวและขยายตัวได้อีกมาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมขยายความร่วมมือกับออสเตรเลียในด้านการลงทุน ในสาขาที่ออสเตรเลียมีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ของไทย ตลอดจนเชิญชวนให้นักลงทุนออสเตรเลียขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีศักยภาพและความพร้อมรองรับการลงทุนเป็นอย่างดี โดยเอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ พร้อมให้การสนับสนุน
ด้านความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและอนุภูมิภาค นายกรัฐมนตรียินดีที่อาเซียนและออสเตรเลียได้ยกระดับสถานะความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน พร้อมชื่นชมบทบาทที่สร้างสรรค์ของออสเตรเลียในการส่งเสริมการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือในภูมิภาคและอนุภูมิภาค ให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมตามแผนที่กําหนดไว้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณออสเตรเลียที่สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคของไทยในปีนี้ โดยไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนเอเปคไปข้างหน้าท่ามกลางความท้าทาย โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 และการส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม
*************************************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ ออท.ออสเตรเลียฯ ย้ำความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด พร้อมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต่อยอดขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565
นายกฯ หารือ ออท.ออสเตรเลียฯ ย้ําความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด พร้อมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต่อยอดขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19
นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ ย้ําความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด พร้อมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต่อยอดขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2565) เวลา 15.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายแอลลัน เจมส์ มักคินนัน (H.E. Mr. Allan James McKinnon) เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ อีกครั้ง พร้อมขอบคุณที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ดํารงตําแหน่ง ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับออสเตรเลียให้แน่นแฟ้นมากขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ออสเตรเลีย และการจัดทําวีดิทัศน์สารคดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงศึกษาในเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งสร้างความประทับใจ และสะท้อนความสัมพันธ์ที่พิเศษระหว่างไทยกับออสเตรเลีย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยินดีกับการจัดการเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2565 ซึ่งประสบความสําเร็จด้วยดี โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมทํางานร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่ของออสเตรเลีย เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป
เอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ ยินดีที่ได้มีโอกาสพบหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พร้อมขอบคุณนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่จนประสบความสําเร็จด้วยดีเสมอมา ตลอดจนชื่นชมความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ ขณะนี้ออสเตรเลียเปิดให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว เพื่ออํานวยความสะดวกให้การเดินทางระดับประชาชน และทราบว่ามีนักเรียน/นักศึกษาชาวไทยจํานวนมากสนใจมาศึกษาต่อยังออสเตรเลีย สะท้อนความสัมพันธ์ระดับประชาชนที่แน่นแฟ้น นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในทุกมิติ โดยเฉพาะการค้าและการลงทุน ซึ่งมีการจัดทําความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน และมีการแลกเปลี่ยนการลงทุนระหว่างกันจํานวนมาก ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุนและผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลียให้ก้าวหน้าต่อไปยิ่งขึ้น
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยและออสเตรเลียเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด โดยมีความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงที่แน่นแฟ้นยาวนาน ทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค ครอบคลุมหลายประเด็น อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีย้ําความมุ่งมั่นของไทยในการร่วมมือกับออสเตรเลียอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นการปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญและดําเนินการปราบปรามอย่างจริงจังมาตลอด โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณออสเตรเลียที่ให้การสนับสนุนไทยในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (Counter Trafficking in Persons Center of Excellence) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้วย
ด้านความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลออสเตรเลียที่สนับสนุนวัคซีนแก่ไทย ตลอดจนยินดีที่ไทยและออสเตรเลียได้เปิดให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการศึกษา เชื่อมั่นว่าจะช่วยทําให้การค้าและการลงทุนระหว่างกันฟื้นตัวและขยายตัวได้อีกมาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมขยายความร่วมมือกับออสเตรเลียในด้านการลงทุน ในสาขาที่ออสเตรเลียมีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ของไทย ตลอดจนเชิญชวนให้นักลงทุนออสเตรเลียขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีศักยภาพและความพร้อมรองรับการลงทุนเป็นอย่างดี โดยเอกอัครราชทูตออสเตรเลียฯ พร้อมให้การสนับสนุน
ด้านความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและอนุภูมิภาค นายกรัฐมนตรียินดีที่อาเซียนและออสเตรเลียได้ยกระดับสถานะความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน พร้อมชื่นชมบทบาทที่สร้างสรรค์ของออสเตรเลียในการส่งเสริมการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือในภูมิภาคและอนุภูมิภาค ให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมตามแผนที่กําหนดไว้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณออสเตรเลียที่สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคของไทยในปีนี้ โดยไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนเอเปคไปข้างหน้าท่ามกลางความท้าทาย โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 และการส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม
*************************************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54953 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เชิญชวนประชาชนฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ตามฤดูกาล (7 กลุ่มเสี่ยง) ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ | วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เชิญชวนประชาชนฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ตามฤดูกาล (7 กลุ่มเสี่ยง) ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เชิญชวนประชาชนฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ตามฤดูกาล (7 กลุ่มเสี่ยง) ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งลดอาการรุนแรงของโรคและความเสี่ยงในการเสียชีวิต
วันนี้ (17 ส.ค.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเหลือเวลาเพียงอีก 15 วันสุดท้าย ตามที่ สปสช. ร่วมกับ กรมควบคุมโรค รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม- 31 สิงหาคม นี้ ทั้งนี้ การฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ยังคงเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่ง ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ สามารถลดอาการรุนแรงของโรคและความเสี่ยงในการเสียชีวิต อีกทั้ง โรคไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดกระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซึ่งในแต่ละปีประเทศไทยมีรายงานพบผู้ป่วยมีจํานวนมากเพิ่มขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 อาจก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตลงได้ โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1. หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป (ให้บริการตลอดทั้งปี) 2. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปีทุกคน 3. ผู้มีโรคเรื้อรัง ดังนี้ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบําบัด และเบาหวาน 4. บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป 5. โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) 6. โรคอ้วน (น้ําหนัก> 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร) 7. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ รวมทั้งประชาชนทุกสิทธิการรักษา ประชาชนสามารถติดต่อฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีได้ที่สถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง ได้แก่ รพ.รัฐทุกแห่ง, รพ.สต., ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ กทม. คลินิกเอกชนและโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมให้บริการฉีดวัคซีน
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จํานวน 2,461 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,460 รายผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,402,622 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 2,243 ราย หายป่วยสะสม 2,405,746 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกําลังรักษา 19,902 ราย เสียชีวิต 28 ราย เสียชีวิตสะสม 10,217 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 943 ราย/// | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เชิญชวนประชาชนฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ตามฤดูกาล (7 กลุ่มเสี่ยง) ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่
วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เชิญชวนประชาชนฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ตามฤดูกาล (7 กลุ่มเสี่ยง) ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ เชิญชวนประชาชนฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ตามฤดูกาล (7 กลุ่มเสี่ยง) ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งลดอาการรุนแรงของโรคและความเสี่ยงในการเสียชีวิต
วันนี้ (17 ส.ค.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเหลือเวลาเพียงอีก 15 วันสุดท้าย ตามที่ สปสช. ร่วมกับ กรมควบคุมโรค รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม- 31 สิงหาคม นี้ ทั้งนี้ การฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ยังคงเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่ง ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ สามารถลดอาการรุนแรงของโรคและความเสี่ยงในการเสียชีวิต อีกทั้ง โรคไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดกระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซึ่งในแต่ละปีประเทศไทยมีรายงานพบผู้ป่วยมีจํานวนมากเพิ่มขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 อาจก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตลงได้ โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1. หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป (ให้บริการตลอดทั้งปี) 2. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปีทุกคน 3. ผู้มีโรคเรื้อรัง ดังนี้ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบําบัด และเบาหวาน 4. บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป 5. โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) 6. โรคอ้วน (น้ําหนัก> 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร) 7. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ รวมทั้งประชาชนทุกสิทธิการรักษา ประชาชนสามารถติดต่อฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีได้ที่สถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง ได้แก่ รพ.รัฐทุกแห่ง, รพ.สต., ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ กทม. คลินิกเอกชนและโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมให้บริการฉีดวัคซีน
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จํานวน 2,461 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,460 รายผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,402,622 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 2,243 ราย หายป่วยสะสม 2,405,746 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกําลังรักษา 19,902 ราย เสียชีวิต 28 ราย เสียชีวิตสะสม 10,217 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 943 ราย/// | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58105 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลามาตรการภาษี ผู้บริจาคเพื่อการศึกษาลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า | วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564
ขยายเวลามาตรการภาษี ผู้บริจาคเพื่อการศึกษาลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
....
ใครที่กําลังวางแผนบริหารจัดการเรื่องภาษีอยู่มาดูทางนี้... รัฐบาลขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สําหรับบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้มีโอกาสทางการศึกษาหรือมีทักษะเพื่อประกอบอาชีพตามความถนัด โดยดําเนินการในลักษณะการอุดหนุนช่วยเหลือ (มอบทุนการศึกษาและพัฒนาคุณภาพ) และการศึกษาวิจัยนวัตกรรม จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 63 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 66
.
ซึ่งมาตรการนี้สามารถหักลดหย่อนหรือหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจํานวนเงินที่บริจาค แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว
.
ผู้บริจาคที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี จะต้องดําเนินการผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e- Donation) ให้แก่ กสศ. ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 64 - 31 ธ.ค. 66
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลามาตรการภาษี ผู้บริจาคเพื่อการศึกษาลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564
ขยายเวลามาตรการภาษี ผู้บริจาคเพื่อการศึกษาลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
....
ใครที่กําลังวางแผนบริหารจัดการเรื่องภาษีอยู่มาดูทางนี้... รัฐบาลขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สําหรับบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้มีโอกาสทางการศึกษาหรือมีทักษะเพื่อประกอบอาชีพตามความถนัด โดยดําเนินการในลักษณะการอุดหนุนช่วยเหลือ (มอบทุนการศึกษาและพัฒนาคุณภาพ) และการศึกษาวิจัยนวัตกรรม จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 63 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 66
.
ซึ่งมาตรการนี้สามารถหักลดหย่อนหรือหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจํานวนเงินที่บริจาค แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว
.
ผู้บริจาคที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี จะต้องดําเนินการผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e- Donation) ให้แก่ กสศ. ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 64 - 31 ธ.ค. 66
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 26 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย | วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 26 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 26 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย
1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 82 เพศหญิง อายุ 57 ปี
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 26 เพศหญิง อายุ 47 ปี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 26 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 26 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 26 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย
1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 82 เพศหญิง อายุ 57 ปี
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 26 เพศหญิง อายุ 47 ปี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46229 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา เผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาสลากเกินราคาถูกทางแล้ว เตรียมแก้ไขหลักเกณฑ์การทำสัญญา พร้อมเดินหน้าแพลตฟอร์มจําหน่ายสลาก 16 มิ.ย. นี้ | วันพุธที่ 27 เมษายน 2565
รมต.อนุชา เผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาสลากเกินราคาถูกทางแล้ว เตรียมแก้ไขหลักเกณฑ์การทําสัญญา พร้อมเดินหน้าแพลตฟอร์มจําหน่ายสลาก 16 มิ.ย. นี้
รมต.อนุชา เผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาสลากเกินราคาถูกทางแล้ว เตรียมแก้ไขหลักเกณฑ์การทําสัญญา พร้อมเดินหน้าแพลตฟอร์มจําหน่ายสลาก 16 มิ.ย. นี้
วันนี้ (27 เมษายน 2565) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์ชั้น 3 สานักงานสลาก กินแบ่งรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กําหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อรับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานของ คณะอนุกรรมการทั้ง 3 คณะ โดยในเบื้องต้น ที่ประชุมได้เห็นชอบ มาตรการที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคา ได้แก่ มาตรการทางแพ่ง มาตรการทางอาญา และมาตรการทางกฎหมายอื่นๆ โดยมาตรการทางแพ่ง ต้องมีการแก้ไขสัญญาการรับสลากไปจําหน่าย ระหว่างสํานักงานสลากฯ กับตัวแทน รายย่อย และสมาคม องค์กร โดยเพิ่ม "หน้าที่และความรับผิดชอบ" ในการควบคุมกํากับดูแลตัวแทนจําหน่าย เพื่อแก้ไขและลดปัญหาการเปลี่ยนมือของสลาก มีวางเงิน "มัดจํา" เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา รวมถึง การกําหนด "เบี้ยปรับ" กรณีมีการกระทําผิดสัญญา ซึ่งคณะอนุกรรมการจะศึกษาในรายละเอียดต่อไป และเห็นว่า การปรับแก้ไขรูปแบบของสัญญาสามารถดําเนินการได้ทันที นอกจากนี้ ต้องมีการเพิ่มมาตรการทางอาญา โดยเห็นควรออกใบอนุญาตให้ผู้ขายสลาก รวมถึงการใช้มาตรการทางกฎหมายอื่น ๆ เช่น การกําหนดฐาน ความผิดเพิ่ม กรณีมีทําให้ราคาสลากมีความปั่นป่วน การขายสลากเกินราคาที่กระทําโดยเปิดเผย กฎหมายว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การตรวจสอบการชําระภาษีอากร เป็นต้น
ในส่วนของคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหา โดยนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้สรุป หัวข้อในการศึกษา ที่จะสะท้อนการศึกษาได้ตลอดทั้งกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นต้นทาง กลางทางและปลายทาง โดยเริ่มจากผู้กําหนดนโยบาย ซึ่งเป็นต้นทางในการนําไปสู่การปฏิบัติที่จะทําให้มาตรการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นสัดส่วนของการจัดสรรสลากที่สะท้อนภาพที่แท้จริงของตลาด นอกจากนี้ ยังเสนอให้สํานักงาน มีระบบลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อให้สามารถดูแลผู้จําหน่ายสลากได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าของมาตรการต่างๆ ที่สํานักงานฯ กําลังดําเนินการ ประกอบด้วย โครงการสลาก 80 ขณะนี้ ให้บริการแล้ว จํานวน 209 จุดในกทม. และภาคกลาง ในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 151 ราย ภาคตะวันออก 48 ราย อยู่ระหว่างการจัดทําสัญญา และจะเดินทางไปคัดเลือกที่ภาคเหนือ และภาคใต้ อีกเกือบ 1,500 ราย ภายในเดือนพฤษภาคม 2565 เพื่อให้โครงการ สลาก 80 ทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของการจําหน่ายสลากบนแพลตฟอร์ม โดยร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาแพลตฟอร์มจาหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยใช้แอปถุงเงินและแอปเป๋าตัง เป็นหลัก คาดว่าจะเริ่มดาเนินการได้ในงวด 16 มิถุนายน 2565 โดยสํานักงานฯ จะนําเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้ความเห็นชอบในวันพรุ่งนี้ (28 เมษายน 2565) สําหรับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ สํานักงานฯ เตรียมนําเสนอคณะกรรมการสลากฯ เพื่อดําเนินการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและศึกษาผลกระทบทางสังคม ประจาปี 2565 โดยระยะแรก จะรับฟังความคิดเห็น 2 รูปแบบ ได้แก่ สลากตัวเลข 3 หลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาล 6 หลัก หรือแบบที่จาหน่ายอยู่ในปัจจุบัน คาดว่าจะลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นได้กลางปีนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า กรณีแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่สํานักงานฯ กําลังทดสอบระบบและเริ่มดําเนินการเร็วๆ นี้ ปริมาณสลากที่จะนําเข้าจําหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น ควรจะมีปริมาณมากพอที่จะสร้างแรงกระเพื่อม ทําให้ความรุนแรงของปัญหาสลาก เกินราคาลดลงได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ได้ขอให้สํานักงานฯ ศึกษาวิเคราะห์ ส่วนลดจากการจําหน่าย มีความเหมาะสมหรือเพียงพอหรือไม่อย่างไร และในส่วนของมาตรการต่างๆ ของสํานักงานฯ ที่จะดําเนินการต่อจากนี้ไป ขอให้คณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง เร่งสร้างการรับรู้และสื่อสารให้ประชาชนอย่างแพร่หลายต่อไป สําหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบการค้าสลากออนไลน์เกินราคา ขอให้ประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดําเนินการพิจารณาความเหมาะสมในการปิดให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดการค้าสลากเกินราคาในรูปแบบออนไลน์อีกต่อไป
.................. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา เผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาสลากเกินราคาถูกทางแล้ว เตรียมแก้ไขหลักเกณฑ์การทำสัญญา พร้อมเดินหน้าแพลตฟอร์มจําหน่ายสลาก 16 มิ.ย. นี้
วันพุธที่ 27 เมษายน 2565
รมต.อนุชา เผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาสลากเกินราคาถูกทางแล้ว เตรียมแก้ไขหลักเกณฑ์การทําสัญญา พร้อมเดินหน้าแพลตฟอร์มจําหน่ายสลาก 16 มิ.ย. นี้
รมต.อนุชา เผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาสลากเกินราคาถูกทางแล้ว เตรียมแก้ไขหลักเกณฑ์การทําสัญญา พร้อมเดินหน้าแพลตฟอร์มจําหน่ายสลาก 16 มิ.ย. นี้
วันนี้ (27 เมษายน 2565) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์ชั้น 3 สานักงานสลาก กินแบ่งรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กําหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อรับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานของ คณะอนุกรรมการทั้ง 3 คณะ โดยในเบื้องต้น ที่ประชุมได้เห็นชอบ มาตรการที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคา ได้แก่ มาตรการทางแพ่ง มาตรการทางอาญา และมาตรการทางกฎหมายอื่นๆ โดยมาตรการทางแพ่ง ต้องมีการแก้ไขสัญญาการรับสลากไปจําหน่าย ระหว่างสํานักงานสลากฯ กับตัวแทน รายย่อย และสมาคม องค์กร โดยเพิ่ม "หน้าที่และความรับผิดชอบ" ในการควบคุมกํากับดูแลตัวแทนจําหน่าย เพื่อแก้ไขและลดปัญหาการเปลี่ยนมือของสลาก มีวางเงิน "มัดจํา" เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา รวมถึง การกําหนด "เบี้ยปรับ" กรณีมีการกระทําผิดสัญญา ซึ่งคณะอนุกรรมการจะศึกษาในรายละเอียดต่อไป และเห็นว่า การปรับแก้ไขรูปแบบของสัญญาสามารถดําเนินการได้ทันที นอกจากนี้ ต้องมีการเพิ่มมาตรการทางอาญา โดยเห็นควรออกใบอนุญาตให้ผู้ขายสลาก รวมถึงการใช้มาตรการทางกฎหมายอื่น ๆ เช่น การกําหนดฐาน ความผิดเพิ่ม กรณีมีทําให้ราคาสลากมีความปั่นป่วน การขายสลากเกินราคาที่กระทําโดยเปิดเผย กฎหมายว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การตรวจสอบการชําระภาษีอากร เป็นต้น
ในส่วนของคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหา โดยนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้สรุป หัวข้อในการศึกษา ที่จะสะท้อนการศึกษาได้ตลอดทั้งกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นต้นทาง กลางทางและปลายทาง โดยเริ่มจากผู้กําหนดนโยบาย ซึ่งเป็นต้นทางในการนําไปสู่การปฏิบัติที่จะทําให้มาตรการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นสัดส่วนของการจัดสรรสลากที่สะท้อนภาพที่แท้จริงของตลาด นอกจากนี้ ยังเสนอให้สํานักงาน มีระบบลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อให้สามารถดูแลผู้จําหน่ายสลากได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าของมาตรการต่างๆ ที่สํานักงานฯ กําลังดําเนินการ ประกอบด้วย โครงการสลาก 80 ขณะนี้ ให้บริการแล้ว จํานวน 209 จุดในกทม. และภาคกลาง ในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 151 ราย ภาคตะวันออก 48 ราย อยู่ระหว่างการจัดทําสัญญา และจะเดินทางไปคัดเลือกที่ภาคเหนือ และภาคใต้ อีกเกือบ 1,500 ราย ภายในเดือนพฤษภาคม 2565 เพื่อให้โครงการ สลาก 80 ทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของการจําหน่ายสลากบนแพลตฟอร์ม โดยร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาแพลตฟอร์มจาหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยใช้แอปถุงเงินและแอปเป๋าตัง เป็นหลัก คาดว่าจะเริ่มดาเนินการได้ในงวด 16 มิถุนายน 2565 โดยสํานักงานฯ จะนําเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้ความเห็นชอบในวันพรุ่งนี้ (28 เมษายน 2565) สําหรับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ สํานักงานฯ เตรียมนําเสนอคณะกรรมการสลากฯ เพื่อดําเนินการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและศึกษาผลกระทบทางสังคม ประจาปี 2565 โดยระยะแรก จะรับฟังความคิดเห็น 2 รูปแบบ ได้แก่ สลากตัวเลข 3 หลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาล 6 หลัก หรือแบบที่จาหน่ายอยู่ในปัจจุบัน คาดว่าจะลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นได้กลางปีนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า กรณีแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่สํานักงานฯ กําลังทดสอบระบบและเริ่มดําเนินการเร็วๆ นี้ ปริมาณสลากที่จะนําเข้าจําหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น ควรจะมีปริมาณมากพอที่จะสร้างแรงกระเพื่อม ทําให้ความรุนแรงของปัญหาสลาก เกินราคาลดลงได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ได้ขอให้สํานักงานฯ ศึกษาวิเคราะห์ ส่วนลดจากการจําหน่าย มีความเหมาะสมหรือเพียงพอหรือไม่อย่างไร และในส่วนของมาตรการต่างๆ ของสํานักงานฯ ที่จะดําเนินการต่อจากนี้ไป ขอให้คณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง เร่งสร้างการรับรู้และสื่อสารให้ประชาชนอย่างแพร่หลายต่อไป สําหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบการค้าสลากออนไลน์เกินราคา ขอให้ประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดําเนินการพิจารณาความเหมาะสมในการปิดให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดการค้าสลากเกินราคาในรูปแบบออนไลน์อีกต่อไป
.................. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54003 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจำปี 2564 ชื่นชมนักกีฬาไทย เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนไทย | วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2564
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจําปี 2564 ชื่นชมนักกีฬาไทย เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนไทย
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจําปี 2564 ชื่นชมนักกีฬาไทย เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนไทย
วันนี้ (16 ธันวาคม 2564) เวลา 14.20 น. ณ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก การกีฬาแห่งประเทศไทย ถนนรามคําแหง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีประกาศเกียรติคุณนักกีฬาดีเด่น เนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจําปี 2564 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นเกียรติ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ภายในงานดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เพื่อเป็นการร่วมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงให้ความสําคัญกับการกีฬา รัฐบาลกําหนดให้ 16 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันกีฬาแห่งชาติ มุ่งให้คนไทยมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ส่งเสริมการเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ พัฒนาทักษะ ยกระดับความสามารถการกีฬาในเวทีระดับโลก พัฒนาศักยภาพให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในแต่ละระยะ ที่ผ่านมาการกีฬาทั้งระดับภาคและระดับชาติไทย ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องมีการปรับการแข่งขันให้เข้ากับสถานการณ์ แต่นักกีฬาไทยก็ยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและเรียกความสนใจจากพี่น้องชาวไทย แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ และความเสียสละในการฝึกซ้อม เป็นตัวแทนให้กับประเทศไทย จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง และประเทศได้ ทั้งนี้ ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่เป็นแรงบันดาลใจสําคัญทําให้นักกีฬาประสบความสําเร็จ
นายกรัฐมนตรียังย้ําถึงปัจจัยสําคัญในการพัฒนาทักษะของนักกีฬาได้แก่ การสร้างระเบียบ ความอดทน อดกลั้น ให้นักกีฬามีกําลังใจในการต่อสู้กับแรงกดดัน การเตรียมนักกีฬา ให้ความสําคัญกับเรื่องโภชนาการ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ เน้นสร้างการกีฬาให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และการเป็นผู้แทนในการสร้างการรับรู้อัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์
ภายในงาน นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลด้านกีฬา ประจําปี พ.ศ. 2564 จํานวนรวมทั้งสิ้น 39 รางวัล ประกอบไปด้วย 1) รางวัลปูชนียบุคคลด้านกีฬา 1 รางวัล 2) รางวัลนักวิทยาศาสตร์การกีฬาผู้ทรงคุณค่า 1 รางวัล 3) รางวัลนักบริหารกีฬาทรงคุณค่า 1 รางวัล 4) รางวัลบุคลากรทางการกีฬาดีเด่น 4 รางวัล 5) รางวัลผู้ฝึกสอนกีฬาดีเด่น 4 รางวัล 6) รางวัลผู้ทรงคุณค่าทางการกีฬา 1 รางวัล 7) รางวัลประเภทชนิดทีมกีฬาดีเด่น (EVENTS) และรางวัลชนิดกีฬาทีมดีเด่น (SPORTS) 4 รางวัล 8) รางวัลสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยดีเด่น 3 รางวัล 9) รางวัลนักกีฬาพิการดีเด่น 4 รางวัล 10) รางวัลนักกีฬามวยไทยอาชีพดีเด่น 2 รางวัล 11) รางวัลนักกีฬาอาชีพดีเด่น 2 รางวัล 12) รางวัลนักกีฬาเยาวชนสมัครเล่นดีเด่น 6 รางวัล และ 13) รางวัลนักกีฬาสมัครเล่นดีเด่น 6 รางวัล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมถ่ายภาพกับนักกีฬาที่ได้รับรางวัล พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการ พระมหากษัตริย์นักกีฬาแห่งแผ่นดิน และนิทรรศการมวยไทย ศิลปะการต่อสู้บนผืนผ้าใบไทยสู่โอลิมปิก บริเวณโถงชั้น 1
อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก
สําหรับพิธีประกาศเกียรติคุณนักกีฬาดีเด่น ประจําปี 2564 นอกจากเป็นการมอบรางวัล ยังมีการจัดงานสัปดาห์วันกีฬาแห่งชาติประจําปี 2564 มีรูปแบบการจัดงานภายใต้มาตรการป้องกัน โควิด-19 และคอนเซปต์ “กิจกรรมกีฬาสีขาว” นําร่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเน้นจัดกิจกรรมรักษาความสะอาด สะดวก ปลอดภัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
.................................... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจำปี 2564 ชื่นชมนักกีฬาไทย เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนไทย
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2564
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจําปี 2564 ชื่นชมนักกีฬาไทย เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนไทย
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจําปี 2564 ชื่นชมนักกีฬาไทย เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนไทย
วันนี้ (16 ธันวาคม 2564) เวลา 14.20 น. ณ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก การกีฬาแห่งประเทศไทย ถนนรามคําแหง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีประกาศเกียรติคุณนักกีฬาดีเด่น เนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจําปี 2564 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นเกียรติ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ภายในงานดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เพื่อเป็นการร่วมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงให้ความสําคัญกับการกีฬา รัฐบาลกําหนดให้ 16 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันกีฬาแห่งชาติ มุ่งให้คนไทยมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ส่งเสริมการเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ พัฒนาทักษะ ยกระดับความสามารถการกีฬาในเวทีระดับโลก พัฒนาศักยภาพให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในแต่ละระยะ ที่ผ่านมาการกีฬาทั้งระดับภาคและระดับชาติไทย ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องมีการปรับการแข่งขันให้เข้ากับสถานการณ์ แต่นักกีฬาไทยก็ยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและเรียกความสนใจจากพี่น้องชาวไทย แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ และความเสียสละในการฝึกซ้อม เป็นตัวแทนให้กับประเทศไทย จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง และประเทศได้ ทั้งนี้ ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่เป็นแรงบันดาลใจสําคัญทําให้นักกีฬาประสบความสําเร็จ
นายกรัฐมนตรียังย้ําถึงปัจจัยสําคัญในการพัฒนาทักษะของนักกีฬาได้แก่ การสร้างระเบียบ ความอดทน อดกลั้น ให้นักกีฬามีกําลังใจในการต่อสู้กับแรงกดดัน การเตรียมนักกีฬา ให้ความสําคัญกับเรื่องโภชนาการ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ เน้นสร้างการกีฬาให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และการเป็นผู้แทนในการสร้างการรับรู้อัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์
ภายในงาน นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลด้านกีฬา ประจําปี พ.ศ. 2564 จํานวนรวมทั้งสิ้น 39 รางวัล ประกอบไปด้วย 1) รางวัลปูชนียบุคคลด้านกีฬา 1 รางวัล 2) รางวัลนักวิทยาศาสตร์การกีฬาผู้ทรงคุณค่า 1 รางวัล 3) รางวัลนักบริหารกีฬาทรงคุณค่า 1 รางวัล 4) รางวัลบุคลากรทางการกีฬาดีเด่น 4 รางวัล 5) รางวัลผู้ฝึกสอนกีฬาดีเด่น 4 รางวัล 6) รางวัลผู้ทรงคุณค่าทางการกีฬา 1 รางวัล 7) รางวัลประเภทชนิดทีมกีฬาดีเด่น (EVENTS) และรางวัลชนิดกีฬาทีมดีเด่น (SPORTS) 4 รางวัล 8) รางวัลสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยดีเด่น 3 รางวัล 9) รางวัลนักกีฬาพิการดีเด่น 4 รางวัล 10) รางวัลนักกีฬามวยไทยอาชีพดีเด่น 2 รางวัล 11) รางวัลนักกีฬาอาชีพดีเด่น 2 รางวัล 12) รางวัลนักกีฬาเยาวชนสมัครเล่นดีเด่น 6 รางวัล และ 13) รางวัลนักกีฬาสมัครเล่นดีเด่น 6 รางวัล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมถ่ายภาพกับนักกีฬาที่ได้รับรางวัล พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการ พระมหากษัตริย์นักกีฬาแห่งแผ่นดิน และนิทรรศการมวยไทย ศิลปะการต่อสู้บนผืนผ้าใบไทยสู่โอลิมปิก บริเวณโถงชั้น 1
อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก
สําหรับพิธีประกาศเกียรติคุณนักกีฬาดีเด่น ประจําปี 2564 นอกจากเป็นการมอบรางวัล ยังมีการจัดงานสัปดาห์วันกีฬาแห่งชาติประจําปี 2564 มีรูปแบบการจัดงานภายใต้มาตรการป้องกัน โควิด-19 และคอนเซปต์ “กิจกรรมกีฬาสีขาว” นําร่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเน้นจัดกิจกรรมรักษาความสะอาด สะดวก ปลอดภัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
.................................... | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49542 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ สานต่อความร่วมมือรอบด้าน ค้าการลงทุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ | วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ สานต่อความร่วมมือรอบด้าน ค้าการลงทุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา เทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ สานต่อความร่วมมือรอบด้าน ค้าการลงทุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา เทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพพร้อมพัฒนาศักยภาพทั้งสองประเทศเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายแร็มโก โยฮันเนิส ฟัน ไวน์คาร์เดิน (H.E. Mr. Remco Johannes van Wijngaarden) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและยินดีกับการเข้ารับตําแหน่งเอกอัครราชทูตในประเทศไทย ซึ่งไทยและเนเธอร์แลนด์ต่างมีความสัมพันธ์และประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนานกว่า 400 ปี ผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ และความร่วมมือพหุภาคี และทวิภาคี โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน ด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการน้ําที่ทั้งสองประเทศต่างให้ความสําคัญเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีร่วมแสดงความยินดีกับการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่อย่างเป็นทางการของเนเธอร์แลนด์ พร้อมถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์
ด้านเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ารับตําแหน่ง ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศในอาเซียนที่เนเธอร์แลนด์ให้ความสําคัญและมีบทบาทในด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยไทยมีศักยภาพอย่างยิ่งในการส่งออกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไปยังตลาดสหภาพยุโรป รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา เทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเนเธอร์แลนด์เน้นแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงการใช้พลังงานทดแทนในอนาคต โดยเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ยืนยันว่า พร้อมให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันต่อไป
โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่สําคัญ ดังนี้
- ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าเนเธอร์แลนด์เป็นคู่ค้าที่สําคัญของไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมามูลค่าการค้าของทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งยังลงทุนในไทยมากเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มสหภาพยุโรป เช่น การส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ระหว่างกัน ขณะเดียวกันเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ เห็นพ้องว่าทั้งสองฝ่ายสามารถผลักดันการค้าการลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ลงทุนในไทยแล้วกว่า 300 บริษัท โดยล่าสุดเนเธอร์แลนด์ได้มีการหารือร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อพิจารณาขยายการลงทุนต่อไป รวมทั้งการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-EU และการยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน-EU ซึ่งเห็นพ้องว่า ไทยและเนเธอร์แลนด์สามารถเป็นกําลังสําคัญในการส่งเสริมความร่วมมือที่จะต่อยอดผลประโยชน์ร่วมกันได้ระหว่างสองภูมิภาค
- ด้านการบริหารจัดการน้ําและสิ่งแวดล้อม เนเธอร์แลนด์พร้อมร่วมมือกับไทยในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และเศรษฐกิจสีเขียว ด้านนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวคิด BCG ซึ่งไทยให้ความสําคัญ และสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําที่ทั้งสองประเทศได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําระหว่างสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติกับกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ําแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 2564
- ด้านเทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ นายกรัฐมนตรีเสนอให้ขยายความร่วมมือระหว่าง Food Valley ของเนเธอร์แลนด์และเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ของไทย ซึ่งทางเนเธอร์แลนด์มีแผนที่จะจัดตั้งจุดประสานงานเครือข่ายระดับโลกด้านนวัตกรรมอาหาร (Global Coordinating Secretariat of the Food Innovation Hubs: GCS) ด้านเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ยินดีให้ความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่จะต้องคํานึงถึงเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่เนเธอร์แลนด์จะเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (EXPO 2022 Floriade Almere) ในช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม 2565 ซึ่งไทยจะเข้าร่วมงานเช่นเดียวกัน ภายใต้ชื่อ “Thailand Pavilion” ในแนวคิด “Trust Thailand” โดยเชื่อมั่นว่างานดังกล่าวจะช่วยสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีสีเขียวและนวัตกรรมเพื่อการผลิตและชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ได้แสดงความยินดีกับการเป็นเจ้าภาพ APEC 2022 ของไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะประสบความสําเร็จและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้หัวข้อ เปิดกว้าง เชื่อมโยง และสมดุล (Open. Connect. Balance.) ซึ่งพร้อมที่จะนําข้อหารือที่ได้ไปสานต่อร่วมกับเนเธอร์แลนด์และEUเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ สานต่อความร่วมมือรอบด้าน ค้าการลงทุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ
วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ สานต่อความร่วมมือรอบด้าน ค้าการลงทุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา เทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ สานต่อความร่วมมือรอบด้าน ค้าการลงทุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา เทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพพร้อมพัฒนาศักยภาพทั้งสองประเทศเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายแร็มโก โยฮันเนิส ฟัน ไวน์คาร์เดิน (H.E. Mr. Remco Johannes van Wijngaarden) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและยินดีกับการเข้ารับตําแหน่งเอกอัครราชทูตในประเทศไทย ซึ่งไทยและเนเธอร์แลนด์ต่างมีความสัมพันธ์และประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนานกว่า 400 ปี ผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ และความร่วมมือพหุภาคี และทวิภาคี โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน ด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการน้ําที่ทั้งสองประเทศต่างให้ความสําคัญเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีร่วมแสดงความยินดีกับการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่อย่างเป็นทางการของเนเธอร์แลนด์ พร้อมถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์
ด้านเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ารับตําแหน่ง ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศในอาเซียนที่เนเธอร์แลนด์ให้ความสําคัญและมีบทบาทในด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยไทยมีศักยภาพอย่างยิ่งในการส่งออกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไปยังตลาดสหภาพยุโรป รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา เทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเนเธอร์แลนด์เน้นแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงการใช้พลังงานทดแทนในอนาคต โดยเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ยืนยันว่า พร้อมให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันต่อไป
โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่สําคัญ ดังนี้
- ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าเนเธอร์แลนด์เป็นคู่ค้าที่สําคัญของไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมามูลค่าการค้าของทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งยังลงทุนในไทยมากเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มสหภาพยุโรป เช่น การส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ระหว่างกัน ขณะเดียวกันเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ เห็นพ้องว่าทั้งสองฝ่ายสามารถผลักดันการค้าการลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ลงทุนในไทยแล้วกว่า 300 บริษัท โดยล่าสุดเนเธอร์แลนด์ได้มีการหารือร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อพิจารณาขยายการลงทุนต่อไป รวมทั้งการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-EU และการยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน-EU ซึ่งเห็นพ้องว่า ไทยและเนเธอร์แลนด์สามารถเป็นกําลังสําคัญในการส่งเสริมความร่วมมือที่จะต่อยอดผลประโยชน์ร่วมกันได้ระหว่างสองภูมิภาค
- ด้านการบริหารจัดการน้ําและสิ่งแวดล้อม เนเธอร์แลนด์พร้อมร่วมมือกับไทยในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และเศรษฐกิจสีเขียว ด้านนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวคิด BCG ซึ่งไทยให้ความสําคัญ และสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําที่ทั้งสองประเทศได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําระหว่างสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติกับกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ําแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 2564
- ด้านเทคโนโลยีการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ นายกรัฐมนตรีเสนอให้ขยายความร่วมมือระหว่าง Food Valley ของเนเธอร์แลนด์และเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ของไทย ซึ่งทางเนเธอร์แลนด์มีแผนที่จะจัดตั้งจุดประสานงานเครือข่ายระดับโลกด้านนวัตกรรมอาหาร (Global Coordinating Secretariat of the Food Innovation Hubs: GCS) ด้านเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ยินดีให้ความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่จะต้องคํานึงถึงเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่เนเธอร์แลนด์จะเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (EXPO 2022 Floriade Almere) ในช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม 2565 ซึ่งไทยจะเข้าร่วมงานเช่นเดียวกัน ภายใต้ชื่อ “Thailand Pavilion” ในแนวคิด “Trust Thailand” โดยเชื่อมั่นว่างานดังกล่าวจะช่วยสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีสีเขียวและนวัตกรรมเพื่อการผลิตและชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ได้แสดงความยินดีกับการเป็นเจ้าภาพ APEC 2022 ของไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะประสบความสําเร็จและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้หัวข้อ เปิดกว้าง เชื่อมโยง และสมดุล (Open. Connect. Balance.) ซึ่งพร้อมที่จะนําข้อหารือที่ได้ไปสานต่อร่วมกับเนเธอร์แลนด์และEUเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51174 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ห่วงใย สั่ง รมว.สุชาติ เร่งช่วยแรงงานไทยบาดเจ็บในเกาหลีใต้กลับมารักษาตัวที่สกลนคร | วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2565
นายก ห่วงใย สั่ง รมว.สุชาติ เร่งช่วยแรงงานไทยบาดเจ็บในเกาหลีใต้กลับมารักษาตัวที่สกลนคร
...
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีญาติของแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บถูกทําร้ายร่างกายบริเวณศรีษะในเกาหลีใต้ได้ร้องขอความช่วยเหลือให้หน่วยงานรัฐส่งกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในเกาหลีใต้มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งตนเองได้รับการประสานกับ ส.ส.นิยม เวชกามา ส.ส.จังหวัดสกลนคร เขต 2 เบื้องต้นกระทรวงแรงงานได้ตรวจสอบฐานข้อมูลกรมการจัดหางาน พบว่า แรงงานไทยรายดังกล่าวทราบชื่อ คือ นายกฤษฎา ศรีอาจ อายุ 25 ปี มีภูมิลําเนาอยู่บ้านเลขที่ 71 ม.1 ต.บ้านโพน อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร ได้เดินทางไปทํางานประเทศเกาหลีใต้แบบถูกกฎหมายโดยกรมการจัดหางานจัดส่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 และเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ถูกเพื่อนร่วมงานทําร้ายร่างกายบริเวณศีรษะ มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและล้มบ่อย แพทย์วินิจฉัยว่ามีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมองชั้นนอกและทําการรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ อาการปัจจุบัน ยังไม่ได้สติและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยกรณีดังกล่าว จึงได้ให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานความช่วยเหลือและติดตามสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน ซึ่ง นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ นางบุปผา พันธุ์เพ็ง รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นหัวหน้าคณะ เดินทางพร้อมเจ้าหน้าที่สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ ฝ่ายการแพทย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคอยอํานวยความสะดวกในการรับนายกฤษฎา ที่ได้เดินทางมาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ด้วยสายการบินโคเรียนแอร์ เที่ยวบินที่ KE 651 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน เวลา 19.50 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 23.20 น.ตามเวลาในประเทศไทย โดยมี นางพนาวรรณ อินธิแสง ซึ่งเป็นน้า เดินทางมารับด้วย
นายสุชาติ ยังกล่าวถึง ความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทยรายดังกล่าวว่า สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้ประสานกระทรวงสาธารณสุข ขอความอนุเคราะห์รถพยาบาลพร้อมเจ้าหน้าที่รับส่งนายกฤษฎา จากสนามบินไปยังโรงพยาบาลบางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อเข้ารับการรักษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ก่อนกลับภูมิลําเนาจังหวัดสกลนคร ส่วนของค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่เกาหลีใต้ จํานวน 2,250,000 บาท นั้น ทางสถานเอกอัครราชทูตและโรงพยาบาลที่เกาหลีใต้กําลังประสานขอรับเงินช่วยเหลือ
จากกระทรวงสาธารณสุขของเกาหลีใต้ ทางด้านค่าใช้จ่ายในการส่งผู้ป่วยกลับไทย จํานวน 360,000 บาท นั้น ขณะนี้ญาติได้ชําระหมดแล้ว โดยได้รับเงินบริจาคจากเพื่อนคนงานที่เกาหลีใต้ จํานวน 100,000 บาท ส่วนสิทธิประโยชน์ที่แรงงานไทยจะได้รับมีเงินประกันการเดินทางกลับและเงินประกันการทํางานครบสัญญาจ้าง จํานวน 151,000 บาท และสิทธิประโยชน์จากการเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งจะจ่ายให้ภายหลังการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว
“ท่านนายกรัฐมนตรีห่วงใยมาก และกําชับให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานความช่วยเหลือและติดตามสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน เพื่อให้ได้เดินทางกลับมาพักรักษาตัวกับครอบครัว กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างของแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ หากประสบเหตุไม่คาดคิดในต่างประเทศ เงินสงเคราะห์ในส่วนนี้จะเป็นประโยชน์มากในการดูแลคุ้มครองสิทธิประโยชน์และบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นได้” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ห่วงใย สั่ง รมว.สุชาติ เร่งช่วยแรงงานไทยบาดเจ็บในเกาหลีใต้กลับมารักษาตัวที่สกลนคร
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2565
นายก ห่วงใย สั่ง รมว.สุชาติ เร่งช่วยแรงงานไทยบาดเจ็บในเกาหลีใต้กลับมารักษาตัวที่สกลนคร
...
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีญาติของแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บถูกทําร้ายร่างกายบริเวณศรีษะในเกาหลีใต้ได้ร้องขอความช่วยเหลือให้หน่วยงานรัฐส่งกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในเกาหลีใต้มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งตนเองได้รับการประสานกับ ส.ส.นิยม เวชกามา ส.ส.จังหวัดสกลนคร เขต 2 เบื้องต้นกระทรวงแรงงานได้ตรวจสอบฐานข้อมูลกรมการจัดหางาน พบว่า แรงงานไทยรายดังกล่าวทราบชื่อ คือ นายกฤษฎา ศรีอาจ อายุ 25 ปี มีภูมิลําเนาอยู่บ้านเลขที่ 71 ม.1 ต.บ้านโพน อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร ได้เดินทางไปทํางานประเทศเกาหลีใต้แบบถูกกฎหมายโดยกรมการจัดหางานจัดส่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 และเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ถูกเพื่อนร่วมงานทําร้ายร่างกายบริเวณศีรษะ มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและล้มบ่อย แพทย์วินิจฉัยว่ามีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมองชั้นนอกและทําการรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ อาการปัจจุบัน ยังไม่ได้สติและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยกรณีดังกล่าว จึงได้ให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานความช่วยเหลือและติดตามสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน ซึ่ง นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ นางบุปผา พันธุ์เพ็ง รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นหัวหน้าคณะ เดินทางพร้อมเจ้าหน้าที่สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ ฝ่ายการแพทย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคอยอํานวยความสะดวกในการรับนายกฤษฎา ที่ได้เดินทางมาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ด้วยสายการบินโคเรียนแอร์ เที่ยวบินที่ KE 651 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน เวลา 19.50 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 23.20 น.ตามเวลาในประเทศไทย โดยมี นางพนาวรรณ อินธิแสง ซึ่งเป็นน้า เดินทางมารับด้วย
นายสุชาติ ยังกล่าวถึง ความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทยรายดังกล่าวว่า สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้ประสานกระทรวงสาธารณสุข ขอความอนุเคราะห์รถพยาบาลพร้อมเจ้าหน้าที่รับส่งนายกฤษฎา จากสนามบินไปยังโรงพยาบาลบางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อเข้ารับการรักษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ก่อนกลับภูมิลําเนาจังหวัดสกลนคร ส่วนของค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่เกาหลีใต้ จํานวน 2,250,000 บาท นั้น ทางสถานเอกอัครราชทูตและโรงพยาบาลที่เกาหลีใต้กําลังประสานขอรับเงินช่วยเหลือ
จากกระทรวงสาธารณสุขของเกาหลีใต้ ทางด้านค่าใช้จ่ายในการส่งผู้ป่วยกลับไทย จํานวน 360,000 บาท นั้น ขณะนี้ญาติได้ชําระหมดแล้ว โดยได้รับเงินบริจาคจากเพื่อนคนงานที่เกาหลีใต้ จํานวน 100,000 บาท ส่วนสิทธิประโยชน์ที่แรงงานไทยจะได้รับมีเงินประกันการเดินทางกลับและเงินประกันการทํางานครบสัญญาจ้าง จํานวน 151,000 บาท และสิทธิประโยชน์จากการเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งจะจ่ายให้ภายหลังการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว
“ท่านนายกรัฐมนตรีห่วงใยมาก และกําชับให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานความช่วยเหลือและติดตามสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน เพื่อให้ได้เดินทางกลับมาพักรักษาตัวกับครอบครัว กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างของแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ หากประสบเหตุไม่คาดคิดในต่างประเทศ เงินสงเคราะห์ในส่วนนี้จะเป็นประโยชน์มากในการดูแลคุ้มครองสิทธิประโยชน์และบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นได้” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55845 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกรกฎาคม 2565 | วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกรกฎาคม 2565
ราคาสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2565 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ การเปิดประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ การสร้างความมั่นคงทางอาหารส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. เผยราคาสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2565 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ การเปิดประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ การสร้างความมั่นคงทางอาหารส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง ยางพาราดิบ ปาล์มน้ํามัน สุกร และโคเนื้อ ยกเว้น น้ําตาลทรายดิบและกุ้งขาวแวนนาไมที่มีแนวโน้มราคาปรับลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 9,142 - 9,206 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.10 - 0.80 เนื่องจากคําสั่งซื้อล่วงหน้าของประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารโลก ทําให้ประเทศต่าง ๆ กําหนดมาตรการจํากัดการส่งออกอาหารประกอบกับมีความต้องการใช้ข้าวเพื่อผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 13,964 - 14,074 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.15 - 0.94 เนื่องจากความต้องการของประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 9,179 - 9,243 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.09 - 1.80 เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวเหนียวลดลง เพราะราคาในปีที่ผ่านมาไม่จูงใจในการผลิตข้าวเปลือกเหนียวนาปี ทําให้เกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน ผลิตข้าวเหนียวไว้รับประทานในครัวเรือนและไม่กระจายไปยังภาคอื่น ๆ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5 % ราคาอยู่ที่ 10.54 - 10.59 บาท/ก.ก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.22 – 0.65 เนื่องจากเป็นช่วงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รุ่น 1 (ปลูกมีนาคม - ตุลาคม) ทําให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ประกอบกับสิ้นสุดมาตรการเพิ่มปริมาณการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ความต้องการ ใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มประมาณการสํารองธัญพืชเพื่อการบริโภค และภาวะเงินบาท อ่อนค่า ทําให้ต้นทุนการนําเข้าราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นปรับตัวสูงขึ้น
มันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.56 - 2.60 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.39 - 1.96 เนื่องจากความต้องการใช้น้ํามันเชื้อเพลิงและเอทานอลเพิ่มขึ้น ทําให้ความต้องการใช้มันสําปะหลังเพื่อผลิตเอทานอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการนําเข้ามันสําปะหลังจากต่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 62.08 - 62.79 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.68 - 1.83 เนื่องจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของจีนส่งผลให้ผู้ประกอบการกลับมาดําเนินการผลิตได้ตามปกติและมีการผลิตรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประกอบกับราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกยังสูง ส่งผลให้ราคายางสังเคราะห์เพิ่มขึ้นและต้นทุนการผลิตถุงมือยางสังเคราะห์สูงขึ้น จึงทําให้ความต้องการยางธรรมชาติเพิ่มขึ้น ปาล์มน้ํามัน ราคาอยู่ที่ 10.11 - 11.35 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 4.01 - 16.76 เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นําเข้าปาล์มน้ํามันรายใหญ่ของโลก เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทําให้การคมนาคมขนส่งกลับมาให้บริการอีกครั้ง ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร และ Supermarket กลับมาเปิดบริการตามปกติ สุกร ราคาอยู่ที่ 102.11 – 104.61 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.08 - 3.56 เนื่องจากปัจจัยด้านต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าการจัดการทําระบบป้องกันภัยทางชีวภาพของฟาร์มสุกร และค่าขนส่งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จากการที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรให้ชะลอการปรับเพิ่มราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม จะทําให้ราคาเนื้อสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย โคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 99.94 – 100.40 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.02 - 0.48 เนื่องจากมาตรการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเครื่องดื่มและอาหาร รวมถึงเนื้อโคปรับตัวเพิ่มขึ้น
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง น้ําตาลทรายดิบ ราคาอยู่ที่ 18.54 – 18.64 เซนต์/ปอนด์ (14.46 - 14.54 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.12 – 0.65 เนื่องจากราคาน้ําตาลทรายโลกได้รับผลกระทบจากข่าวการลดภาษีน้ํามันของประเทศบราซิล อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาเอทานอลลดลงและกระตุ้นให้โรงงานน้ําตาลของบราซิลเพิ่มสัดส่วนการนําอ้อยไปผลิตน้ําตาลแทนการผลิตเอทานอล ส่งผลให้อุปทานน้ําตาลในตลาดโลกเพิ่มขึ้น กุ้งขาวแวนนาไม (70 ตัว/ก.ก.) ราคาอยู่ที่ 148.82 - 149.76 บาท/กก. ราคาลดลงจาก เดือนก่อน ร้อยละ 0.16 - 0.79 เนื่องจากคาดว่าผลผลิตกุ้งจะเพิ่มขึ้นจากการที่เกษตรกรเพิ่มการปล่อยลูกกุ้งตามต้นทุนราคาลูกกุ้งที่ปรับลดลง นอกจากนี้ ตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นํากุ้งรายใหญ่ของไทย คาดว่าจะนําเข้ากุ้งลดลง เนื่องจากได้นําเข้ากุ้งแล้วจํานวนมากในช่วงก่อนหน้าจากผู้ผลิตกุ้งหลักในอินเดีย อินโดนีเซีย และเอกวาดอร์ และยังมีสต็อกสะสมมาก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกรกฎาคม 2565
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกรกฎาคม 2565
ราคาสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2565 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ การเปิดประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ การสร้างความมั่นคงทางอาหารส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. เผยราคาสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2565 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ การเปิดประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ การสร้างความมั่นคงทางอาหารส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง ยางพาราดิบ ปาล์มน้ํามัน สุกร และโคเนื้อ ยกเว้น น้ําตาลทรายดิบและกุ้งขาวแวนนาไมที่มีแนวโน้มราคาปรับลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 9,142 - 9,206 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.10 - 0.80 เนื่องจากคําสั่งซื้อล่วงหน้าของประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารโลก ทําให้ประเทศต่าง ๆ กําหนดมาตรการจํากัดการส่งออกอาหารประกอบกับมีความต้องการใช้ข้าวเพื่อผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 13,964 - 14,074 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.15 - 0.94 เนื่องจากความต้องการของประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 9,179 - 9,243 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.09 - 1.80 เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวเหนียวลดลง เพราะราคาในปีที่ผ่านมาไม่จูงใจในการผลิตข้าวเปลือกเหนียวนาปี ทําให้เกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน ผลิตข้าวเหนียวไว้รับประทานในครัวเรือนและไม่กระจายไปยังภาคอื่น ๆ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5 % ราคาอยู่ที่ 10.54 - 10.59 บาท/ก.ก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.22 – 0.65 เนื่องจากเป็นช่วงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รุ่น 1 (ปลูกมีนาคม - ตุลาคม) ทําให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ประกอบกับสิ้นสุดมาตรการเพิ่มปริมาณการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ความต้องการ ใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มประมาณการสํารองธัญพืชเพื่อการบริโภค และภาวะเงินบาท อ่อนค่า ทําให้ต้นทุนการนําเข้าราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นปรับตัวสูงขึ้น
มันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.56 - 2.60 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.39 - 1.96 เนื่องจากความต้องการใช้น้ํามันเชื้อเพลิงและเอทานอลเพิ่มขึ้น ทําให้ความต้องการใช้มันสําปะหลังเพื่อผลิตเอทานอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการนําเข้ามันสําปะหลังจากต่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 62.08 - 62.79 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.68 - 1.83 เนื่องจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของจีนส่งผลให้ผู้ประกอบการกลับมาดําเนินการผลิตได้ตามปกติและมีการผลิตรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประกอบกับราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกยังสูง ส่งผลให้ราคายางสังเคราะห์เพิ่มขึ้นและต้นทุนการผลิตถุงมือยางสังเคราะห์สูงขึ้น จึงทําให้ความต้องการยางธรรมชาติเพิ่มขึ้น ปาล์มน้ํามัน ราคาอยู่ที่ 10.11 - 11.35 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 4.01 - 16.76 เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นําเข้าปาล์มน้ํามันรายใหญ่ของโลก เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทําให้การคมนาคมขนส่งกลับมาให้บริการอีกครั้ง ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร และ Supermarket กลับมาเปิดบริการตามปกติ สุกร ราคาอยู่ที่ 102.11 – 104.61 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.08 - 3.56 เนื่องจากปัจจัยด้านต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าการจัดการทําระบบป้องกันภัยทางชีวภาพของฟาร์มสุกร และค่าขนส่งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จากการที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรให้ชะลอการปรับเพิ่มราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม จะทําให้ราคาเนื้อสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย โคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 99.94 – 100.40 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.02 - 0.48 เนื่องจากมาตรการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเครื่องดื่มและอาหาร รวมถึงเนื้อโคปรับตัวเพิ่มขึ้น
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง น้ําตาลทรายดิบ ราคาอยู่ที่ 18.54 – 18.64 เซนต์/ปอนด์ (14.46 - 14.54 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.12 – 0.65 เนื่องจากราคาน้ําตาลทรายโลกได้รับผลกระทบจากข่าวการลดภาษีน้ํามันของประเทศบราซิล อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาเอทานอลลดลงและกระตุ้นให้โรงงานน้ําตาลของบราซิลเพิ่มสัดส่วนการนําอ้อยไปผลิตน้ําตาลแทนการผลิตเอทานอล ส่งผลให้อุปทานน้ําตาลในตลาดโลกเพิ่มขึ้น กุ้งขาวแวนนาไม (70 ตัว/ก.ก.) ราคาอยู่ที่ 148.82 - 149.76 บาท/กก. ราคาลดลงจาก เดือนก่อน ร้อยละ 0.16 - 0.79 เนื่องจากคาดว่าผลผลิตกุ้งจะเพิ่มขึ้นจากการที่เกษตรกรเพิ่มการปล่อยลูกกุ้งตามต้นทุนราคาลูกกุ้งที่ปรับลดลง นอกจากนี้ ตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นํากุ้งรายใหญ่ของไทย คาดว่าจะนําเข้ากุ้งลดลง เนื่องจากได้นําเข้ากุ้งแล้วจํานวนมากในช่วงก่อนหน้าจากผู้ผลิตกุ้งหลักในอินเดีย อินโดนีเซีย และเอกวาดอร์ และยังมีสต็อกสะสมมาก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน kick off นำเข้าแรงงานต่างด้าวตามม.64 ในพื้นที่ 8 จังหวัดติดพรมแดน | วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565
กระทรวงแรงงาน kick off นําเข้าแรงงานต่างด้าวตามม.64 ในพื้นที่ 8 จังหวัดติดพรมแดน
เริ่มวันแรก กระทรวงแรงงานเปิดให้นําเข้าแรงงานตาม ม.64 ใน 8 จังหวัด ศรีสะเกษ สุรินทร์ สระแก้ว ตราด เชียงราย ตาก กาญจนบุรี และระนอง ทํางานบริเวณชายแดนแบบไป - กลับ และตามฤดูกาล พร้อมแจง 5 ขั้นตอนการเข้ามาทํางานในสถานการณ์โควิด - 19
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (วันที่ 15 มี.ค. 65) เป็นวันแรกที่กระทรวงแรงงานเปิดให้นําเข้าแรงงานต่างด้าวตามมาตรา 64 เพิ่มขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ สระแก้ว ตราด เชียงราย ตาก กาญจนบุรี และระนอง รวม 8 จังหวัด เพื่อเข้ามาทํางานในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และการลักลอบทํางานอย่างผิดกฎหมาย หลังจากสํารวจความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวของนายจ้าง สถานประกอบการ และพบความต้องการจ้างแรงงานในพื้นที่ 8 จังหวัด จํานวน 32,479 คน จึงมีการเร่งดําเนินการวางแนวทางการนําคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา และกัมพูชา ที่เข้ามาทํางานบริเวณชายแดนในลักษณะไป - กลับ หรือตามฤดูกาลในพื้นที่ความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง ( มาตรา 64) โดยใช้แนวทางเดียวกับการนําเข้าแรงงานชาวกัมพูชามาทํางานตามฤดูกาลภาคเกษตรในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ที่เปิดนําร่องการนําเข้าฯเป็นจังหวัดแรก เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ซึ่งขณะนี้กรมการจัดหางานได้เตรียมความพร้อมเพื่อดําเนินการนําเข้าแรงงานต่างด้าวตามมาตรา 64 เป็นที่เรียบร้อย ตามที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน มีข้อสั่งการ
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานจัดทําแนวทางการนําแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมาเข้ามาทํางานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) โดยมี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. นายจ้างประสานลูกจ้าง เพื่อจัดเรียมเอกสารและนัดหมายวันเดินทางเข้ามาทํางานในประเทศไทย เพื่อให้แรงงานต่างด้าวเตรียมหลักฐาน ได้แก่ หลักฐานการตรวจโควิด - 19 โดยวิธี RT- PCR หรือผลรับรองการตรวจ ATK ไม่เกิน 72 ชม.ก่อนเดินทางเข้ามา เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม และบัตรผ่านแดนที่ประเทศต้นทางออกให้ หรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกรมการจัดหางานประกาศกําหนด
2. ด่านควบคุมโรคติดต่อฯ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการตรวจโควิด - 19 และเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลดําเนินการตรวจโรคตามกฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าว และทําประกันสุขภาพระยะเวลา 3 เดือน และออกใบรับรอง ต.8
3. ด่านตรวจคนเข้าเมืองฯ ดําเนินการตรวจบัตรผ่านแดนที่ประเทศต้นทางออกให้ หรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกรมการจัดหางานประกาศกําหนด และดําเนินการตรวจประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรในบัตรผ่านแดน เป็นระยะเวลา 30 วันต่อครั้ง
4. สถานที่กักตัว โดยคนต่างด้าวที่ฉีดวัคซีนมาจากประเทศต้นทางครบแล้วให้เข้ารับการกักตัวอย่างน้อย 7 วัน และให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด - 19 โดยวิธี RT - PCR จํานวน 2 ครั้ง กรณีตรวจพบเชื้อให้เข้ารับการรักษาโดยนายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษา
5. การขอรับใบอนุญาตทํางาน โดยสํานักงานจัดหางานจังหวัดฯ ดําเนินการตรวจสอบเอกสาร ได้แก่ 1.คําขออนุญาตทํางานของคนต่างด้าวตามมาตรา 64 (แบบ บต. 29) 2.สําเนาบัตรผ่านแดนหรือเอกสารซึ่งอธิบดีกรมการจัดหางานประกาศกําหนด และสําเนาหลักฐานการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร 3.ใบรับรองแพทย์ (6 โรค) 4.รูปถ่ายขนาด 3 x 4 ซม. จํานวน 3 รูป 5.สัญญาจ้างและหนังสือรับรองการจ้าง 6.เอกสารนายจ้าง 7.หลักฐานการกักตัวครบกําหนดไม่พบเชื้อ
โดยจัดเก็บค่าธรรมเนียมการยื่นคําขอ ฉบับละ 100 บาท ค่าใบอนุญาตทํางาน ฉบับละ 225 บาท และออกใบอนุญาตทํางานแบบ บต.40 ไม่เกิน 3 เดือน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน kick off นำเข้าแรงงานต่างด้าวตามม.64 ในพื้นที่ 8 จังหวัดติดพรมแดน
วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565
กระทรวงแรงงาน kick off นําเข้าแรงงานต่างด้าวตามม.64 ในพื้นที่ 8 จังหวัดติดพรมแดน
เริ่มวันแรก กระทรวงแรงงานเปิดให้นําเข้าแรงงานตาม ม.64 ใน 8 จังหวัด ศรีสะเกษ สุรินทร์ สระแก้ว ตราด เชียงราย ตาก กาญจนบุรี และระนอง ทํางานบริเวณชายแดนแบบไป - กลับ และตามฤดูกาล พร้อมแจง 5 ขั้นตอนการเข้ามาทํางานในสถานการณ์โควิด - 19
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (วันที่ 15 มี.ค. 65) เป็นวันแรกที่กระทรวงแรงงานเปิดให้นําเข้าแรงงานต่างด้าวตามมาตรา 64 เพิ่มขึ้นในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ สระแก้ว ตราด เชียงราย ตาก กาญจนบุรี และระนอง รวม 8 จังหวัด เพื่อเข้ามาทํางานในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และการลักลอบทํางานอย่างผิดกฎหมาย หลังจากสํารวจความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวของนายจ้าง สถานประกอบการ และพบความต้องการจ้างแรงงานในพื้นที่ 8 จังหวัด จํานวน 32,479 คน จึงมีการเร่งดําเนินการวางแนวทางการนําคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา และกัมพูชา ที่เข้ามาทํางานบริเวณชายแดนในลักษณะไป - กลับ หรือตามฤดูกาลในพื้นที่ความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง ( มาตรา 64) โดยใช้แนวทางเดียวกับการนําเข้าแรงงานชาวกัมพูชามาทํางานตามฤดูกาลภาคเกษตรในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ที่เปิดนําร่องการนําเข้าฯเป็นจังหวัดแรก เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ซึ่งขณะนี้กรมการจัดหางานได้เตรียมความพร้อมเพื่อดําเนินการนําเข้าแรงงานต่างด้าวตามมาตรา 64 เป็นที่เรียบร้อย ตามที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน มีข้อสั่งการ
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานจัดทําแนวทางการนําแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมาเข้ามาทํางานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) โดยมี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. นายจ้างประสานลูกจ้าง เพื่อจัดเรียมเอกสารและนัดหมายวันเดินทางเข้ามาทํางานในประเทศไทย เพื่อให้แรงงานต่างด้าวเตรียมหลักฐาน ได้แก่ หลักฐานการตรวจโควิด - 19 โดยวิธี RT- PCR หรือผลรับรองการตรวจ ATK ไม่เกิน 72 ชม.ก่อนเดินทางเข้ามา เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม และบัตรผ่านแดนที่ประเทศต้นทางออกให้ หรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกรมการจัดหางานประกาศกําหนด
2. ด่านควบคุมโรคติดต่อฯ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการตรวจโควิด - 19 และเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลดําเนินการตรวจโรคตามกฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าว และทําประกันสุขภาพระยะเวลา 3 เดือน และออกใบรับรอง ต.8
3. ด่านตรวจคนเข้าเมืองฯ ดําเนินการตรวจบัตรผ่านแดนที่ประเทศต้นทางออกให้ หรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกรมการจัดหางานประกาศกําหนด และดําเนินการตรวจประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรในบัตรผ่านแดน เป็นระยะเวลา 30 วันต่อครั้ง
4. สถานที่กักตัว โดยคนต่างด้าวที่ฉีดวัคซีนมาจากประเทศต้นทางครบแล้วให้เข้ารับการกักตัวอย่างน้อย 7 วัน และให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด - 19 โดยวิธี RT - PCR จํานวน 2 ครั้ง กรณีตรวจพบเชื้อให้เข้ารับการรักษาโดยนายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษา
5. การขอรับใบอนุญาตทํางาน โดยสํานักงานจัดหางานจังหวัดฯ ดําเนินการตรวจสอบเอกสาร ได้แก่ 1.คําขออนุญาตทํางานของคนต่างด้าวตามมาตรา 64 (แบบ บต. 29) 2.สําเนาบัตรผ่านแดนหรือเอกสารซึ่งอธิบดีกรมการจัดหางานประกาศกําหนด และสําเนาหลักฐานการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร 3.ใบรับรองแพทย์ (6 โรค) 4.รูปถ่ายขนาด 3 x 4 ซม. จํานวน 3 รูป 5.สัญญาจ้างและหนังสือรับรองการจ้าง 6.เอกสารนายจ้าง 7.หลักฐานการกักตัวครบกําหนดไม่พบเชื้อ
โดยจัดเก็บค่าธรรมเนียมการยื่นคําขอ ฉบับละ 100 บาท ค่าใบอนุญาตทํางาน ฉบับละ 225 บาท และออกใบอนุญาตทํางานแบบ บต.40 ไม่เกิน 3 เดือน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52550 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) | วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564
โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน)
✌️สู่เป้าหมาย 33,000 คน ภายใน กันยายน 2564 ✌️
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปลัด สธ...
สธ...
...
รพ.โพนพิสัย...
รพ.สังคม... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน)
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564
โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน)
✌️สู่เป้าหมาย 33,000 คน ภายใน กันยายน 2564 ✌️
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปลัด สธ...
สธ...
...
รพ.โพนพิสัย...
รพ.สังคม... | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45205 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมร่วมผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ หารือการสร้างจิตสำนึกและวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนผู้ขับขี่ พร้อมเน้นย้ำขับเคลื่อนการทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในระดับพื้นที่ เพื่อพี่น้องประชาชน | วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565
มท.1 ประชุมร่วมผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ หารือการสร้างจิตสํานึกและวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนผู้ขับขี่ พร้อมเน้นย้ําขับเคลื่อนการทํางานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในระดับพื้นที่ เพื่อพี่น้องประชาชน
มท.1 ประชุมร่วมผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ หารือการสร้างจิตสํานึกและวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนผู้ขับขี่ พร้อมเน้นย้ําขับเคลื่อนการทํางานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในระดับพื้นที่ เพื่อพี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันนี้ (14 ก.พ. 2565) เวลา 13.00 น ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเต็ล อะ ลักชัวรี โฮเต็ล แบ็งค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมี พลตํารวจตรี ธารา ปุณศรี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร นายชยาวุธ จันทร นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ที่ปรึกษาระดับกระทรวง อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างสูงที่พระราชทานแบบลายผ้าขิดพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย และประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เชิญมามอบให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการสนองพระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมภูมิปัญญา วิถีชีวิตของประชาชนกลุ่มทอผ้าที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของการประกอบอาชีพทอผ้าคงอยู่คู่กับประเทศไทย ซึ่งผ้าไทยเป็นผ้าที่สวมใส่สบาย สามารถใส่ได้ในโอกาสต่าง ๆ จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้น้อมนําพระมหากรุณาในครั้งนี้ ไปขับเคลื่อนขยายผลให้กับประชาชนผู้ประกอบการทอผ้าในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน อันจะส่งผลต่อครอบครัว และเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน
จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ 1) มาตรการการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากกรณีรถจักรยานยนต์ชนคนเดินข้ามถนนบริเวณทางข้าม ซึ่งแม้ว่าในขณะนี้ จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง แต่ก็ยังคงพบการกระทําความผิดฝ่าฝืนกฎหมายในการใช้รถใช้ถนนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่คับขัน ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ต้องใช้กลไกในพื้นที่ ทําให้คนใช้รถใช้ถนนมีจิตวิญญาณหรือวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน รณรงค์ให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก เยาวชนในสถานศึกษา เพื่อสร้างจิตสํานึกและนําไปพูดคุยทําความเข้าใจกับคุณพ่อ คุณแม่ สมาชิกในครอบครับที่ขับรถ 2) การดําเนินการตามพระราชบัญญัติสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนในเรื่องค่าครองชีพ ผ่านการสอดส่องดูแล ติดตาม และสํารวจราคาสินค้าและโภคภัณฑ์ในพื้นที่ซึ่งสะท้อนถึงค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามราคาสินค้าและโภคภัณฑ์ร่วมกับพาณิชย์จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบการขึ้นราคาสินค้าเกินกําหนด หรือพบการกักตุนโภคภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ให้ดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย 3) การจัดที่ดินให้ชุมชนตามนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดําเนินการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และแนวทางที่กําหนดเพื่อประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินในการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น 4) การจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยต้องเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อการเกิดไฟป่า หมอกควันในพื้นที่ ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทิศทางลม การเกิดจุดความร้อน (Hotspot) พร้อมทั้งทบทวนและจัดทําแผนเผชิญเหตุ ปรับปรุงข้อมูลพื้นที่เสี่ยง แบ่งพื้นที่รับผิดชอบถึงระดับอําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน บูรณาการซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกําเนิด ทั้งยานพาหนะ การก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ให้พี่น้องประชาชนเข้าใจและมีส่วนร่วมตามมาตรการภาครัฐ ลด ละ เลิก การเผาป่า การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ภาคก่อสร้างปฏิบัติตามกฎหมาย ภาคอุตสาหกรรมตรวจสอบและติดตั้งอุปกรณ์กรองอากาศ และคนใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ช่วยกันตรวจสอบสภาพรถ เพื่อไม่ให้ปล่อยควันเสียที่เผาไหม้ไม่หมด 5) การเตรียมการรับมือภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ํา โดยเฝ้าระวัง ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ ปริมาณฝนที่ตก และปริมาณน้ําตามแหล่งน้ําต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งวางแผนการบริหารจัดการน้ํา โดยใช้กลไกของคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการของจังหวัด กําหนดแนวทางการใช้น้ําในลักษณะต่าง ๆ ทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ การเกษตร และอุตสาหกรรม ตลอดถึงแนวทางการระบาย และกักเก็บน้ําไว้ใช้ประโยชน์ตามแหล่งน้ําขนาดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ําในพื้นที่ 6) การดําเนินงานของศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ผ่านกลไกนายอําเภอในฐานะประธานกรรมการ ศจพ.อําเภอ หากพบว่าครัวเรือนประชาชนประสบปัญหาเรื่องใด ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือหน่วยงานที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ดําเนินการแก้ไขทันที เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้า และประชาชนได้รับการแก้ไขปัญหาตรงจุด 7) การแก้ปัญหาสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้า โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดําเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสวยงาม อันเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของพื้นที่อําเภอ จังหวัด และเป็นการป้องกันอันตรายของประชาชนจากสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าที่รกรุงรังอีกด้วย 8) การแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากสภาพพื้นผิวถนนขรุขระและชํารุดเสียหาย โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอํานาจหน้าที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหาสภาพถนนที่ชํารุดเสียหาย เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและบรรเทาผลกระทบจากความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน
“ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทําหน้าที่ในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขพี่น้องประชาชน โดยขับเคลื่อนการทํางานและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านต่าง ๆ เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อันจะทําให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และความผาสุกกับประเทศชาติ นอกจากนี้ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกท่าน ได้ช่วยกันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย อุดหนุนประชาชนผู้ประกอบการทอผ้าซึ่งมีอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเงินทุกบาททุกสตางค์ที่คนไทยด้วยกันซื้อผ้าไทย อุดหนุนผ้าไทย จะกลับคืนสู่ประชาชนคนไทยด้วยกัน เศรษฐกิจฐานรากจะเข้มแข็ง และเป็นการต่อลมหายใจ สร้างคุณค่าผ้าไทยให้ได้รับการสืบสาน รักษา ต่อยอด อย่างยั่งยืนตลอดไป” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวในตอนท้าย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมร่วมผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ หารือการสร้างจิตสำนึกและวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนผู้ขับขี่ พร้อมเน้นย้ำขับเคลื่อนการทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในระดับพื้นที่ เพื่อพี่น้องประชาชน
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565
มท.1 ประชุมร่วมผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ หารือการสร้างจิตสํานึกและวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนผู้ขับขี่ พร้อมเน้นย้ําขับเคลื่อนการทํางานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในระดับพื้นที่ เพื่อพี่น้องประชาชน
มท.1 ประชุมร่วมผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ หารือการสร้างจิตสํานึกและวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนผู้ขับขี่ พร้อมเน้นย้ําขับเคลื่อนการทํางานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในระดับพื้นที่ เพื่อพี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันนี้ (14 ก.พ. 2565) เวลา 13.00 น ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเต็ล อะ ลักชัวรี โฮเต็ล แบ็งค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมี พลตํารวจตรี ธารา ปุณศรี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร นายชยาวุธ จันทร นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ที่ปรึกษาระดับกระทรวง อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างสูงที่พระราชทานแบบลายผ้าขิดพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย และประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เชิญมามอบให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการสนองพระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมภูมิปัญญา วิถีชีวิตของประชาชนกลุ่มทอผ้าที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของการประกอบอาชีพทอผ้าคงอยู่คู่กับประเทศไทย ซึ่งผ้าไทยเป็นผ้าที่สวมใส่สบาย สามารถใส่ได้ในโอกาสต่าง ๆ จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้น้อมนําพระมหากรุณาในครั้งนี้ ไปขับเคลื่อนขยายผลให้กับประชาชนผู้ประกอบการทอผ้าในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน อันจะส่งผลต่อครอบครัว และเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน
จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ 1) มาตรการการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากกรณีรถจักรยานยนต์ชนคนเดินข้ามถนนบริเวณทางข้าม ซึ่งแม้ว่าในขณะนี้ จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง แต่ก็ยังคงพบการกระทําความผิดฝ่าฝืนกฎหมายในการใช้รถใช้ถนนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่คับขัน ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ต้องใช้กลไกในพื้นที่ ทําให้คนใช้รถใช้ถนนมีจิตวิญญาณหรือวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน รณรงค์ให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก เยาวชนในสถานศึกษา เพื่อสร้างจิตสํานึกและนําไปพูดคุยทําความเข้าใจกับคุณพ่อ คุณแม่ สมาชิกในครอบครับที่ขับรถ 2) การดําเนินการตามพระราชบัญญัติสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนในเรื่องค่าครองชีพ ผ่านการสอดส่องดูแล ติดตาม และสํารวจราคาสินค้าและโภคภัณฑ์ในพื้นที่ซึ่งสะท้อนถึงค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามราคาสินค้าและโภคภัณฑ์ร่วมกับพาณิชย์จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบการขึ้นราคาสินค้าเกินกําหนด หรือพบการกักตุนโภคภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ให้ดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย 3) การจัดที่ดินให้ชุมชนตามนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดําเนินการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และแนวทางที่กําหนดเพื่อประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินในการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น 4) การจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยต้องเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อการเกิดไฟป่า หมอกควันในพื้นที่ ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทิศทางลม การเกิดจุดความร้อน (Hotspot) พร้อมทั้งทบทวนและจัดทําแผนเผชิญเหตุ ปรับปรุงข้อมูลพื้นที่เสี่ยง แบ่งพื้นที่รับผิดชอบถึงระดับอําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน บูรณาการซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกําเนิด ทั้งยานพาหนะ การก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ให้พี่น้องประชาชนเข้าใจและมีส่วนร่วมตามมาตรการภาครัฐ ลด ละ เลิก การเผาป่า การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ภาคก่อสร้างปฏิบัติตามกฎหมาย ภาคอุตสาหกรรมตรวจสอบและติดตั้งอุปกรณ์กรองอากาศ และคนใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ช่วยกันตรวจสอบสภาพรถ เพื่อไม่ให้ปล่อยควันเสียที่เผาไหม้ไม่หมด 5) การเตรียมการรับมือภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ํา โดยเฝ้าระวัง ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ ปริมาณฝนที่ตก และปริมาณน้ําตามแหล่งน้ําต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งวางแผนการบริหารจัดการน้ํา โดยใช้กลไกของคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการของจังหวัด กําหนดแนวทางการใช้น้ําในลักษณะต่าง ๆ ทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ การเกษตร และอุตสาหกรรม ตลอดถึงแนวทางการระบาย และกักเก็บน้ําไว้ใช้ประโยชน์ตามแหล่งน้ําขนาดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ําในพื้นที่ 6) การดําเนินงานของศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ผ่านกลไกนายอําเภอในฐานะประธานกรรมการ ศจพ.อําเภอ หากพบว่าครัวเรือนประชาชนประสบปัญหาเรื่องใด ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือหน่วยงานที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ดําเนินการแก้ไขทันที เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้า และประชาชนได้รับการแก้ไขปัญหาตรงจุด 7) การแก้ปัญหาสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้า โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดําเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสวยงาม อันเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของพื้นที่อําเภอ จังหวัด และเป็นการป้องกันอันตรายของประชาชนจากสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าที่รกรุงรังอีกด้วย 8) การแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากสภาพพื้นผิวถนนขรุขระและชํารุดเสียหาย โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอํานาจหน้าที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหาสภาพถนนที่ชํารุดเสียหาย เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและบรรเทาผลกระทบจากความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน
“ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทําหน้าที่ในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขพี่น้องประชาชน โดยขับเคลื่อนการทํางานและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านต่าง ๆ เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อันจะทําให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และความผาสุกกับประเทศชาติ นอกจากนี้ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกท่าน ได้ช่วยกันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย อุดหนุนประชาชนผู้ประกอบการทอผ้าซึ่งมีอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเงินทุกบาททุกสตางค์ที่คนไทยด้วยกันซื้อผ้าไทย อุดหนุนผ้าไทย จะกลับคืนสู่ประชาชนคนไทยด้วยกัน เศรษฐกิจฐานรากจะเข้มแข็ง และเป็นการต่อลมหายใจ สร้างคุณค่าผ้าไทยให้ได้รับการสืบสาน รักษา ต่อยอด อย่างยั่งยืนตลอดไป” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวในตอนท้าย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51560 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 10 - 12 ธันวาคม 2564 | วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 10 - 12 ธันวาคม 2564
วันรัฐธรรมนูญ ประจําปี 2564 ตรงกับวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง จํานวน 3 วันตั้งแต่วันที่ 10 - 12 ธันวาคม 2564 ขสมก. จึงจัดแผนการเดินรถโดยสารในช่วงวันหยุดตั้งแต่วันที่ 9 - 13 ธันวาคม 2564 โดยมีรายละเอียด
นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันรัฐธรรมนูญตรงกับวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง จํานวน 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 - 12 ธันวาคม 2564 ขสมก. จึงจัดแผนการเดินรถโดยสารเพื่ออํานวยความสะดวก ปลอดภัย และรองรับการเดินทางของประชาชนที่จะเดินทางในช่วงวันหยุดดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 9 - 13 ธันวาคม 2564 โดยมีรายละเอียดดังนี้
มาตรการเดินรถโดยสาร
1. ในเส้นทางปกติ จัดรถออกวิ่ง เฉลี่ยวันละ 2,663 คัน จํานวน 17,123 เที่ยว
2. จัดเดินรถ AIRPORT BUS เชื่อมต่อท่าอากาศยาน จํานวน 6 เส้นทาง รวม 59 คัน ดังนี้
- สาย A 1 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สถานีรถไฟฟ้า BTS จตุจักร เฉลี่ยวันละ 16 คัน
- สาย A 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เฉลี่ยวันละ 12 คัน
- สาย A 3 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สวนลุมพินี เฉลี่ยวันละ 8 คัน
- สาย A 4 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 8 คัน
- สาย S 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 4 คัน
- สาย 555 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - รังสิต เฉลี่ยวันละ 11 คัน
3. จัดเดินรถเชื่อมต่อสถานีขนส่งกรุงเทพ จํานวน 5 สถานี รวม 35 เส้นทาง ดังนี้
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (จตุจักร) จํานวน 12 เส้นทาง ได้แก่ สาย 3 16 49 77 96 134 136 138 145 509 517 และ 536
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (เอกมัย) จํานวน 8 เส้นทาง ได้แก่ สาย 2 23 25 71 72 501 508 และ 511
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) จํานวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 66 79 511 515 516 และ 556
- สถานีรถไฟหัวลําโพง จํานวน 7 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4 7 21 25 34 73 และ 501
- สถานีกลางบางซื่อ จํานวน 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 49 และ 67
มาตรการความปลอดภัยด้านพนักงานประจํารถ
1. กํากับดูแลพนักงานขับรถโดยสารให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พนักงานเก็บค่าโดยสาร ดูแลการขึ้น - ลง ของผู้ใช้บริการอย่างใกล้ชิด ให้บริการด้วยความสุภาพเรียบร้อย
2. ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ความดันโลหิต และอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้ง ก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร พร้อมทั้งกําชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร
3. ให้พนักงานขับรถตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสาร และอุปกรณ์ส่วนควบ ก่อนนํารถออกให้บริการ ประสานผู้รับเหมาซ่อมรถ ตรวจเช็คสภาพรถโดยสาร และซ่อมบํารุงรักษารถให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี ตามมาตรฐานคุณภาพบริการ ISO 9001 : 2015
มาตรการความปลอดภัยด้านรถโดยสารประจําทาง
1. เพิ่มความถี่ในการล้างทําความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทําความสะอาดผ้าม่าน
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทําความสะอาดภายในรถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช็ดทําความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์ สําหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น
3. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สําหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียว และเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์
4. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” บริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ในการใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าว
5. ติดตั้งป้ายข้อความ “เหลือรถอีก 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถอีก 1 คันสุดท้าย” “รถคันสุดท้าย” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสารที่วิ่งให้บริการ 3 คันสุดท้ายในแต่ละวัน
มาตรการความปลอดภัยด้านผู้ใช้บริการ
1. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร
2. ล้างทําความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น
3. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน“ไทยชนะ”บนรถโดยสาร เพื่อเช็กอินเมื่อขึ้นรถ และเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถ สําหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก. ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็คอิน - เช็คเอาท์ โดยอัตโนมัติ เมื่อนําบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชําระค่าโดยสาร
4. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัส COVID -19 และลงทะเบียน
5. ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด
6. ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต - เครดิต ที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อโรค
นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเดินรถ ได้แก่ ศูนย์วิทยุรัชดา สํานักงานใหญ่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ศูนย์วิทยุเขตการเดินรถที่ 1 - 8 ตั้งแต่วันที่ 9 - 13 ธันวาคม 2564 และจัดเจ้าหน้าที่
Call Center 1348 ให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารในการเดินรถอีกด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 10 - 12 ธันวาคม 2564
วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 10 - 12 ธันวาคม 2564
วันรัฐธรรมนูญ ประจําปี 2564 ตรงกับวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง จํานวน 3 วันตั้งแต่วันที่ 10 - 12 ธันวาคม 2564 ขสมก. จึงจัดแผนการเดินรถโดยสารในช่วงวันหยุดตั้งแต่วันที่ 9 - 13 ธันวาคม 2564 โดยมีรายละเอียด
นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันรัฐธรรมนูญตรงกับวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง จํานวน 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 - 12 ธันวาคม 2564 ขสมก. จึงจัดแผนการเดินรถโดยสารเพื่ออํานวยความสะดวก ปลอดภัย และรองรับการเดินทางของประชาชนที่จะเดินทางในช่วงวันหยุดดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 9 - 13 ธันวาคม 2564 โดยมีรายละเอียดดังนี้
มาตรการเดินรถโดยสาร
1. ในเส้นทางปกติ จัดรถออกวิ่ง เฉลี่ยวันละ 2,663 คัน จํานวน 17,123 เที่ยว
2. จัดเดินรถ AIRPORT BUS เชื่อมต่อท่าอากาศยาน จํานวน 6 เส้นทาง รวม 59 คัน ดังนี้
- สาย A 1 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สถานีรถไฟฟ้า BTS จตุจักร เฉลี่ยวันละ 16 คัน
- สาย A 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เฉลี่ยวันละ 12 คัน
- สาย A 3 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สวนลุมพินี เฉลี่ยวันละ 8 คัน
- สาย A 4 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 8 คัน
- สาย S 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 4 คัน
- สาย 555 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - รังสิต เฉลี่ยวันละ 11 คัน
3. จัดเดินรถเชื่อมต่อสถานีขนส่งกรุงเทพ จํานวน 5 สถานี รวม 35 เส้นทาง ดังนี้
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (จตุจักร) จํานวน 12 เส้นทาง ได้แก่ สาย 3 16 49 77 96 134 136 138 145 509 517 และ 536
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (เอกมัย) จํานวน 8 เส้นทาง ได้แก่ สาย 2 23 25 71 72 501 508 และ 511
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) จํานวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 66 79 511 515 516 และ 556
- สถานีรถไฟหัวลําโพง จํานวน 7 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4 7 21 25 34 73 และ 501
- สถานีกลางบางซื่อ จํานวน 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 49 และ 67
มาตรการความปลอดภัยด้านพนักงานประจํารถ
1. กํากับดูแลพนักงานขับรถโดยสารให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พนักงานเก็บค่าโดยสาร ดูแลการขึ้น - ลง ของผู้ใช้บริการอย่างใกล้ชิด ให้บริการด้วยความสุภาพเรียบร้อย
2. ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ความดันโลหิต และอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้ง ก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร พร้อมทั้งกําชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร
3. ให้พนักงานขับรถตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสาร และอุปกรณ์ส่วนควบ ก่อนนํารถออกให้บริการ ประสานผู้รับเหมาซ่อมรถ ตรวจเช็คสภาพรถโดยสาร และซ่อมบํารุงรักษารถให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี ตามมาตรฐานคุณภาพบริการ ISO 9001 : 2015
มาตรการความปลอดภัยด้านรถโดยสารประจําทาง
1. เพิ่มความถี่ในการล้างทําความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทําความสะอาดผ้าม่าน
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทําความสะอาดภายในรถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช็ดทําความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์ สําหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น
3. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สําหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียว และเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์
4. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” บริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ในการใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าว
5. ติดตั้งป้ายข้อความ “เหลือรถอีก 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถอีก 1 คันสุดท้าย” “รถคันสุดท้าย” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสารที่วิ่งให้บริการ 3 คันสุดท้ายในแต่ละวัน
มาตรการความปลอดภัยด้านผู้ใช้บริการ
1. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร
2. ล้างทําความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น
3. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน“ไทยชนะ”บนรถโดยสาร เพื่อเช็กอินเมื่อขึ้นรถ และเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถ สําหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก. ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็คอิน - เช็คเอาท์ โดยอัตโนมัติ เมื่อนําบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชําระค่าโดยสาร
4. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัส COVID -19 และลงทะเบียน
5. ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด
6. ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต - เครดิต ที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อโรค
นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเดินรถ ได้แก่ ศูนย์วิทยุรัชดา สํานักงานใหญ่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ศูนย์วิทยุเขตการเดินรถที่ 1 - 8 ตั้งแต่วันที่ 9 - 13 ธันวาคม 2564 และจัดเจ้าหน้าที่
Call Center 1348 ให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารในการเดินรถอีกด้วย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49249 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน ขยายเวลาพร้อมลดดอกเบี้ยสูงสุด 0.50% ต่อปี | วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2564
ธอส. ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน ขยายเวลาพร้อมลดดอกเบี้ยสูงสุด 0.50% ต่อปี
ธอส.ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าของ ธอส. ที่ยังได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 และความสามารถในการผ่อนชําระหนี้ได้ตามสัญญายังไม่กลับมาเหมือนเดิม
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าของ ธอส. ที่ยังได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 และความสามารถในการผ่อนชําระหนี้ได้ตามสัญญายังไม่กลับมาเหมือนเดิม ประกอบด้วย การขยายความช่วยเหลือให้ลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้ 9 มาตรการปัจจุบันของธนาคาร ซึ่งจะสิ้นสุดความช่วยเหลือในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ผ่านมาตรการที่ 18 [M18] : สําหรับลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ สามารถเลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชําระ [ตัดต้น และดอกเบี้ย] และลดอัตราดอกเบี้ย 0.25-0.50% ต่อปี และมาตรการที่ 19 [M19] : สําหรับลูกค้าผู้ประกอบการสินเชื่อแฟลต สามารถเลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชําระ [ตัดต้น และดอกเบี้ย] และลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th หรือ สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ขณะที่ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL และลูกค้ารายย่อย NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และไม่ได้อยู่ในมาตรการ สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการที่ 17[M17] : ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เดือนที่ 1-3 เหลือ 0% ต่อปี เดือนที่ 4-6 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 7-12 เท่ากับ 3.90% ต่อปี ช่วยเหลือนานสูงสุด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 ตามนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบันผ่านมาตรการต่าง ๆ รวม 20 มาตรการ ภายใต้ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” และ “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ” โดย ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 มีจํานวนลูกค้าได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการของธนาคารรวมสูงสุดถึง 972,978 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 846,911 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาตรการส่วนใหญ่สามารถปรับตัวและกลับมาผ่อนชําระได้ตามปกติ ยังคงเหลือลูกค้าที่ยังอยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการ รวมจํานวน 109,094 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 113,281 ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการที่ 2 [M2], มาตรการที่ 9[M9], มาตรการที่ 10[M10], มาตรการที่ 11[M11], มาตรการที่ 12[M12],มาตรการที่ 13[M13], มาตรการที่ 14[M14], มาตรการที่ 15[M15] และ มาตรการที่ 16 [M16] ซึ่งกําลังจะสิ้นสุดความช่วยเหลือในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้า
ที่ยังคงได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 และดําเนินการตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องแนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน) ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 จึงได้มีมติให้ ธอส. จัดทํา “มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน” เพื่อขยายความช่วยเหลือให้กับลูกค้าเดิมที่ยังอยู่ระหว่างการใช้มาตรการความช่วยเหลือของ ธอส. จํานวน 9 มาตรการ(M2, M9, M10, M11, M12, M13, M14, M15 และ M16) ที่ความสามารถในการผ่อนชําระหนี้ยังไม่กลับมาเป็นปกติได้ตามสัญญา ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 มาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน จึงจําเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยจะได้รับความช่วยเหลือในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดังนี้
มาตรการที่ 18 [M18] : สําหรับลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ รองรับลูกค้าเดิมใน M2, M9, M 11, M13 และ M15 เลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชําระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชําระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ใช้อยู่ลงอีก 0.25-0.50% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th หรือ สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 25 มกราคม 2565
มาตรการที่ 19 [M19] : สําหรับลูกค้าผู้ประกอบการสินเชื่อแฟลต รองรับลูกค้าเดิมใน M12 เลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชําระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 70% ของเงินงวดผ่อนชําระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ใช้อยู่ลงอีก 0.25% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ที่สํานักงานใหญ่และสาขาทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 25 มกราคม 2565
มาตรการที่ 17 [M17] : สําหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL และลูกค้ารายย่อย NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้และไม่ได้อยู่ในมาตรการ หรือรองรับลูกค้าเดิมใน M10, M14 และ M16 จะได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0% ต่อปี ในเดือนที่ 1-3 เดือนที่ 4-6 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 7-12 เท่ากับ 3.90% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือสูงสุดนาน 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้น โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565
ทั้งนี้ ลูกค้าตามมาตรการข้างต้นที่ต้องการขยายระยะเวลาความช่วยเหลือจะต้อง Upload แสดงหลักฐานยืนยันว่าได้รับผลกระทบทางรายได้ให้ธนาคารพิจารณาผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ส่วนกรณีที่ลูกค้าไม่มีสมาร์ทโฟนสามารถกรอกข้อมูลเพื่อแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการได้ที่ www.ghbank.co.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน ขยายเวลาพร้อมลดดอกเบี้ยสูงสุด 0.50% ต่อปี
วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2564
ธอส. ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน ขยายเวลาพร้อมลดดอกเบี้ยสูงสุด 0.50% ต่อปี
ธอส.ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าของ ธอส. ที่ยังได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 และความสามารถในการผ่อนชําระหนี้ได้ตามสัญญายังไม่กลับมาเหมือนเดิม
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าของ ธอส. ที่ยังได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 และความสามารถในการผ่อนชําระหนี้ได้ตามสัญญายังไม่กลับมาเหมือนเดิม ประกอบด้วย การขยายความช่วยเหลือให้ลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้ 9 มาตรการปัจจุบันของธนาคาร ซึ่งจะสิ้นสุดความช่วยเหลือในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ผ่านมาตรการที่ 18 [M18] : สําหรับลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ สามารถเลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชําระ [ตัดต้น และดอกเบี้ย] และลดอัตราดอกเบี้ย 0.25-0.50% ต่อปี และมาตรการที่ 19 [M19] : สําหรับลูกค้าผู้ประกอบการสินเชื่อแฟลต สามารถเลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชําระ [ตัดต้น และดอกเบี้ย] และลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th หรือ สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ขณะที่ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL และลูกค้ารายย่อย NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และไม่ได้อยู่ในมาตรการ สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการที่ 17[M17] : ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เดือนที่ 1-3 เหลือ 0% ต่อปี เดือนที่ 4-6 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 7-12 เท่ากับ 3.90% ต่อปี ช่วยเหลือนานสูงสุด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 ตามนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบันผ่านมาตรการต่าง ๆ รวม 20 มาตรการ ภายใต้ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” และ “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ” โดย ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 มีจํานวนลูกค้าได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการของธนาคารรวมสูงสุดถึง 972,978 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 846,911 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาตรการส่วนใหญ่สามารถปรับตัวและกลับมาผ่อนชําระได้ตามปกติ ยังคงเหลือลูกค้าที่ยังอยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการ รวมจํานวน 109,094 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 113,281 ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการที่ 2 [M2], มาตรการที่ 9[M9], มาตรการที่ 10[M10], มาตรการที่ 11[M11], มาตรการที่ 12[M12],มาตรการที่ 13[M13], มาตรการที่ 14[M14], มาตรการที่ 15[M15] และ มาตรการที่ 16 [M16] ซึ่งกําลังจะสิ้นสุดความช่วยเหลือในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้า
ที่ยังคงได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 และดําเนินการตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องแนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน) ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 จึงได้มีมติให้ ธอส. จัดทํา “มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน” เพื่อขยายความช่วยเหลือให้กับลูกค้าเดิมที่ยังอยู่ระหว่างการใช้มาตรการความช่วยเหลือของ ธอส. จํานวน 9 มาตรการ(M2, M9, M10, M11, M12, M13, M14, M15 และ M16) ที่ความสามารถในการผ่อนชําระหนี้ยังไม่กลับมาเป็นปกติได้ตามสัญญา ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 มาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน จึงจําเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยจะได้รับความช่วยเหลือในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดังนี้
มาตรการที่ 18 [M18] : สําหรับลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ รองรับลูกค้าเดิมใน M2, M9, M 11, M13 และ M15 เลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชําระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชําระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ใช้อยู่ลงอีก 0.25-0.50% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th หรือ สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 25 มกราคม 2565
มาตรการที่ 19 [M19] : สําหรับลูกค้าผู้ประกอบการสินเชื่อแฟลต รองรับลูกค้าเดิมใน M12 เลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชําระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 70% ของเงินงวดผ่อนชําระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ใช้อยู่ลงอีก 0.25% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ที่สํานักงานใหญ่และสาขาทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 25 มกราคม 2565
มาตรการที่ 17 [M17] : สําหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL และลูกค้ารายย่อย NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้และไม่ได้อยู่ในมาตรการ หรือรองรับลูกค้าเดิมใน M10, M14 และ M16 จะได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0% ต่อปี ในเดือนที่ 1-3 เดือนที่ 4-6 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 7-12 เท่ากับ 3.90% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือสูงสุดนาน 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้น โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565
ทั้งนี้ ลูกค้าตามมาตรการข้างต้นที่ต้องการขยายระยะเวลาความช่วยเหลือจะต้อง Upload แสดงหลักฐานยืนยันว่าได้รับผลกระทบทางรายได้ให้ธนาคารพิจารณาผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ส่วนกรณีที่ลูกค้าไม่มีสมาร์ทโฟนสามารถกรอกข้อมูลเพื่อแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการได้ที่ www.ghbank.co.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49830 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการจัดตั้งมลพิษทางน้ำจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ มอบนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ | วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565
ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกฯ ว่าด้วยการจัดตั้งมลพิษทางน้ําจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ มอบนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์
ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกฯ ว่าด้วยการจัดตั้งมลพิษทางน้ําจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ มอบนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์
วันท่ี่ 15 มีนาคม 2565 นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ พ.ศ. .... โดยเป็นการยกเลิกระเบียบฯ ปี 47 และปรับปรุง แก้ไขใหม่ เพื่อให้การดําเนินการอยู่ในระบบ Single Command และมีการช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Respond)
สาระสําคัญเป็นการกําหนดมาตรการการขจัดมลพิษทางน้ํา เนื่องจากน้ํามันให้ครอบคลุมถึง เคมีภัณฑ์ สารอันตรายและสารพิษ อันเป็นประโยชน์ต่อการรักษาสภาพแวดล้อมทางน้ํา ป้องกันมลพิษทางน้ํา รวมทั้งเยียวยาความเสียหายให้แก่บุคคล ที่ได้รับความเสียหายจากการขจัดมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ให้จัดการมลพิษทางน้ําจากน้ํามันและเคมีภัณท์ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีการปรับปรุง สําคัญองค์ประกอบ กําหนดอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ฯ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาทิ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ําจากน้ํามัน (กจน.) แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แก้ไขบทนิยามคําว่า "น้ํามัน" ให้หมายถึง น้ํามันดิบตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่รวมถึงก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลว ให้คณะกรรมการมีอํานาจหน้าที่กําหนดนโยบายและจัดทําแผนจัดการมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์รและให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการของหน่วยปฏิบัติ รวมทั้งเสนอคณะรัฐมนตรีในการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ ในกรณีฉุกเฉินประธานอาจใช้อํานาจแทน คณะกรรมการฯ ในการควบคุมกํากับดูแลจัดการมลพิษทางน้ําได้ ทั้งนี้ กรมเจ้าท่าจะเป็นศูนย์ประสานงานในการขจัดมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์
นายธนกร ยังกล่าวถึงระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันพ.ศ. 2547ว่าได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานและไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบันที่มลพิษทางน้ํามีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นและสร้างความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมขาดการบูรณาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและขาดแผนปฎิบัติการที่กําหนดอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานซึ่งจะทําให้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานทั้งนี้การปรับปรุงจะทําให้มาตรการการจัดการมลพิษทางน้ําครอบคลุมการป้องกันและขจัดมลพิษทางเคมีภัณท์ครบถ้วนและยังสอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือ ค.ศ. 1973/1978รองรับการตรวจประเมินจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศและเตรียมความพร้อมในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารว่าด้วยการเตรียมการปฏิบัติการณ์และความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ําเนื่องจากสารอันตรายและสารพิษด้วย
-------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการจัดตั้งมลพิษทางน้ำจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ มอบนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์
วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565
ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกฯ ว่าด้วยการจัดตั้งมลพิษทางน้ําจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ มอบนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์
ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกฯ ว่าด้วยการจัดตั้งมลพิษทางน้ําจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ มอบนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์
วันท่ี่ 15 มีนาคม 2565 นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ พ.ศ. .... โดยเป็นการยกเลิกระเบียบฯ ปี 47 และปรับปรุง แก้ไขใหม่ เพื่อให้การดําเนินการอยู่ในระบบ Single Command และมีการช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Respond)
สาระสําคัญเป็นการกําหนดมาตรการการขจัดมลพิษทางน้ํา เนื่องจากน้ํามันให้ครอบคลุมถึง เคมีภัณฑ์ สารอันตรายและสารพิษ อันเป็นประโยชน์ต่อการรักษาสภาพแวดล้อมทางน้ํา ป้องกันมลพิษทางน้ํา รวมทั้งเยียวยาความเสียหายให้แก่บุคคล ที่ได้รับความเสียหายจากการขจัดมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ให้จัดการมลพิษทางน้ําจากน้ํามันและเคมีภัณท์ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีการปรับปรุง สําคัญองค์ประกอบ กําหนดอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ฯ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาทิ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ําจากน้ํามัน (กจน.) แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แก้ไขบทนิยามคําว่า "น้ํามัน" ให้หมายถึง น้ํามันดิบตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่รวมถึงก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลว ให้คณะกรรมการมีอํานาจหน้าที่กําหนดนโยบายและจัดทําแผนจัดการมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์รและให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการของหน่วยปฏิบัติ รวมทั้งเสนอคณะรัฐมนตรีในการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์ ในกรณีฉุกเฉินประธานอาจใช้อํานาจแทน คณะกรรมการฯ ในการควบคุมกํากับดูแลจัดการมลพิษทางน้ําได้ ทั้งนี้ กรมเจ้าท่าจะเป็นศูนย์ประสานงานในการขจัดมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันและเคมีภัณฑ์
นายธนกร ยังกล่าวถึงระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามันพ.ศ. 2547ว่าได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานและไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบันที่มลพิษทางน้ํามีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นและสร้างความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมขาดการบูรณาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและขาดแผนปฎิบัติการที่กําหนดอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานซึ่งจะทําให้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานทั้งนี้การปรับปรุงจะทําให้มาตรการการจัดการมลพิษทางน้ําครอบคลุมการป้องกันและขจัดมลพิษทางเคมีภัณท์ครบถ้วนและยังสอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือ ค.ศ. 1973/1978รองรับการตรวจประเมินจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศและเตรียมความพร้อมในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารว่าด้วยการเตรียมการปฏิบัติการณ์และความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ําเนื่องจากสารอันตรายและสารพิษด้วย
-------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52553 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" มั่นใจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นไปตามคาดการณ์ของ ศบค. และสธ. แต่ยังขอประชาชนร่วมมือฉีดวัคซีน เพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 | วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" มั่นใจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นไปตามคาดการณ์ของ ศบค. และสธ. แต่ยังขอประชาชนร่วมมือฉีดวัคซีน เพื่อลดจํานวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" มั่นใจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นไปตามคาดการณ์ของ ศบค. และสธ. แต่ยังขอประชาชนร่วมมือฉีดวัคซีน เพื่อลดจํานวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 9,721 ราย
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ และจํานวนผู้เสียชีวิตใหม่รายวัน แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในไทย เป็นไปตามคาดการณ์ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มอยู่ในระดับทรงตัว แต่อัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยยังคงสูงเมื่อเทียบกับจํานวนผู้ติดเชื้อรายวัน นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ําประชาชนให้ความสําคัญในการฉีดวัคซีนทั้งเข็มหลักและเข็มกระตุ้น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อ และลดการสูญเสียชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมให้โควิด-19 เข้าสู่โรคประจําถิ่น ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข พบว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตมาจากสาเหตุของโรคอื่นร่วมด้วย ดังนั้น การแยกกลุ่มผู้เสียชีวิตจากโรคร่วมแต่ติดเชื้อโควิด-19 กับผู้เสียชีวิตที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีภาวะปอดอักเสบและเสียชีวิต จะทําให้สามารถวางแผนการรักษาพยาบาลในอนาคตได้ ซึ่งจะส่งผลต่อแนวทางการลดอัตราการเสียชีวิตของทั้งสองกลุ่มด้วย ซึ่งจะนําไปสู่การเป็นโรคประจําถิ่นต่อไป
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 9,721 ราย จําแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 9,670 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 51 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 77 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 118,567 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 20,145 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 2,058,101 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 1,956,697 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,669 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 22 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 21.2 ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 1 พ.ค. 65 รวม 133,869,962 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 56,303,713 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 51,349,203 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 สะสม 23,492,850 และผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 4 สะสม 2,724,196 โดส | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" มั่นใจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นไปตามคาดการณ์ของ ศบค. และสธ. แต่ยังขอประชาชนร่วมมือฉีดวัคซีน เพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" มั่นใจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นไปตามคาดการณ์ของ ศบค. และสธ. แต่ยังขอประชาชนร่วมมือฉีดวัคซีน เพื่อลดจํานวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" มั่นใจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นไปตามคาดการณ์ของ ศบค. และสธ. แต่ยังขอประชาชนร่วมมือฉีดวัคซีน เพื่อลดจํานวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 9,721 ราย
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ และจํานวนผู้เสียชีวิตใหม่รายวัน แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในไทย เป็นไปตามคาดการณ์ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มอยู่ในระดับทรงตัว แต่อัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยยังคงสูงเมื่อเทียบกับจํานวนผู้ติดเชื้อรายวัน นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ําประชาชนให้ความสําคัญในการฉีดวัคซีนทั้งเข็มหลักและเข็มกระตุ้น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อ และลดการสูญเสียชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมให้โควิด-19 เข้าสู่โรคประจําถิ่น ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข พบว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตมาจากสาเหตุของโรคอื่นร่วมด้วย ดังนั้น การแยกกลุ่มผู้เสียชีวิตจากโรคร่วมแต่ติดเชื้อโควิด-19 กับผู้เสียชีวิตที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีภาวะปอดอักเสบและเสียชีวิต จะทําให้สามารถวางแผนการรักษาพยาบาลในอนาคตได้ ซึ่งจะส่งผลต่อแนวทางการลดอัตราการเสียชีวิตของทั้งสองกลุ่มด้วย ซึ่งจะนําไปสู่การเป็นโรคประจําถิ่นต่อไป
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 9,721 ราย จําแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 9,670 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 51 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 77 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 118,567 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 20,145 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 2,058,101 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 1,956,697 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,669 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 22 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 21.2 ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 1 พ.ค. 65 รวม 133,869,962 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 56,303,713 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 51,349,203 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 สะสม 23,492,850 และผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 4 สะสม 2,724,196 โดส | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เปิดงาน “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เขตสุขภาพที่ 9 | วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565
“อนุทิน” เปิดงาน “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เขตสุขภาพที่ 9
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เขตสุขภาพที่ 9 พร้อมส่งมอบต้นกล้ากัญชา 1,000 ต้น ให้แก่ประชาชน เผยปี 2564 ผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง สร้างรายได้กว่า 7 พันล้านบาท
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ “มหกรรมกัญชา 360 องศาปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เขตสุขภาพที่ 9 พร้อมส่งมอบต้นกล้ากัญชา 1,000 ต้น ให้แก่ประชาชน เผยปี 2564ผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง สร้างรายได้กว่า 7 พันล้านบาท
วันนี้ (10 มิถุนายน 2565) ที่สนามช้างอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร เปิดการประชุมวิชาการกัญชาทางการแพทย์ เขตสุขภาพที่ 9 “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านกัญชาทางการแพทย์กัญชงเพื่อเศรษฐกิจ และเพิ่มการเข้าถึงการให้บริการกัญชาทางการแพทย์แก่ประชาชน ผู้ประกอบการ และบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมส่งมอบต้นกล้ากัญชา 1,000 ต้น ให้แก่ประชาชน
นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อนนโยบายกัญชาทางการแพทย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงประโยชน์จากสารสกัดกัญชาในการนํามาใช้รักษาและดูแลสุขภาพตนเองเบื้องต้น รวมถึงต่อยอดเศรษฐกิจครอบครัว ซึ่งภายหลังที่ประเทศไทยเปิดโอกาสให้นํากัญชามาใช้ทางการแพทย์ได้ในปี 2562 กระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามประสิทธิผลและความปลอดภัยของการใช้ยากัญชารักษาโรค พบว่า ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาด้วยยากัญชามากขึ้นและมีความปลอดภัยสูง รวมถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง เป็นที่ต้องการอย่างมาก สร้างรายได้หมุนเวียนมูลค่ากว่า7 พันล้านบาทในปี 2564
“ล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 มิถุนายน 2565) การปลดล็อคพืชกัญชาจากการเป็นยาเสพติดมีผลโดยสมบูรณ์เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชงอย่างเหมาะสม สามารถปลูกกัญชาทั้งการใช้ในครัวเรือน การดูแลผู้ป่วย หรือเชิงพาณิชย์ได้ โดยสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้จัดทําแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ”อํานวยความสะดวกในการจดแจ้งการปลูกกัญชา กัญชงให้แก่ประชาชน และขอย้ําว่า แม้กัญชา กัญชงไม่ใช่ยาเสพติดแล้วการครอบครองหรือการค้าไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป การปลูกกัญชาไม่ต้องขออนุญาต แต่ขอให้ไปจดแจ้ง ซึ่งเป็นไปตามข้อกําหนดของสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในทางที่ถูกต้อง และขอให้ช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้มีผู้ใช้ไปในทางที่ผิด” นายอนุทินกล่าว
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 9 ซึ่งประกอบด้วย นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เป็นเขตสุขภาพที่มีความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนกัญชาเสรีทางการแพทย์ ดําเนินการทั้งในส่วนต้นน้ํา มีพื้นที่ปลูกกัญชาถึง 53 แห่ง และกัญชงถึง 93 แห่ง, ส่วนกลางน้ํา มีโรงพยาบาลมาตรฐาน GMP ที่มีศักยภาพผลิตยากัญชาสนับสนุนทั้งในเขตสุขภาพและเขตสุขภาพอื่นๆ และปลายน้ํา เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐครบทุกแห่ง และภาคเอกชนอีก 9 แห่ง โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้มีการใช้กัญชาได้อย่างถูกต้องปลอดภัย เตรียมความพร้อม ทั้งการปลูก การนําส่วนต่างๆ มาใช้ประโยชน์เพื่อการรักษา ประกอบอาหาร แปรรูปในผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ต่อยอดในเชิงธุรกิจได้อย่างคุ้มค่า
โดยกิจกรรมการประชุมวิชาการกัญชาทางการแพทย์ เขตสุขภาพที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 มิถุนายน 2565ประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ นิทรรศการความรู้เกี่ยวกับกัญชาครบวงจร, บริการให้คําปรึกษาการขออนุญาตการปลูกเชิงพาณิชย์, การเปิดตัวแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ” รับจดแจ้งสําหรับประชาชนที่ประสงค์ปลูกกัญชา,ร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชาและกัญชง กว่า 200 บูธ, คลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน, วิสาหกิจชุมชนตัวอย่างที่ประสบความสําเร็จในการปลูกพืชกัญชา กัญชงเพื่อใช้สร้างเศรษฐกิจ ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมไฮไลท์ คือ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร นําต้นกล้ากัญชาและกัญชงในโครงการ “แจกกล้ากัญชา 1 ล้านต้น” มาแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาร่วมงานฟรี จํานวน 1,000 ต้น
**************************** 9 มิถุนายน 2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เปิดงาน “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เขตสุขภาพที่ 9
วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565
“อนุทิน” เปิดงาน “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เขตสุขภาพที่ 9
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เขตสุขภาพที่ 9 พร้อมส่งมอบต้นกล้ากัญชา 1,000 ต้น ให้แก่ประชาชน เผยปี 2564 ผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง สร้างรายได้กว่า 7 พันล้านบาท
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ “มหกรรมกัญชา 360 องศาปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เขตสุขภาพที่ 9 พร้อมส่งมอบต้นกล้ากัญชา 1,000 ต้น ให้แก่ประชาชน เผยปี 2564ผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง สร้างรายได้กว่า 7 พันล้านบาท
วันนี้ (10 มิถุนายน 2565) ที่สนามช้างอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร เปิดการประชุมวิชาการกัญชาทางการแพทย์ เขตสุขภาพที่ 9 “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านกัญชาทางการแพทย์กัญชงเพื่อเศรษฐกิจ และเพิ่มการเข้าถึงการให้บริการกัญชาทางการแพทย์แก่ประชาชน ผู้ประกอบการ และบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมส่งมอบต้นกล้ากัญชา 1,000 ต้น ให้แก่ประชาชน
นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อนนโยบายกัญชาทางการแพทย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงประโยชน์จากสารสกัดกัญชาในการนํามาใช้รักษาและดูแลสุขภาพตนเองเบื้องต้น รวมถึงต่อยอดเศรษฐกิจครอบครัว ซึ่งภายหลังที่ประเทศไทยเปิดโอกาสให้นํากัญชามาใช้ทางการแพทย์ได้ในปี 2562 กระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามประสิทธิผลและความปลอดภัยของการใช้ยากัญชารักษาโรค พบว่า ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาด้วยยากัญชามากขึ้นและมีความปลอดภัยสูง รวมถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง เป็นที่ต้องการอย่างมาก สร้างรายได้หมุนเวียนมูลค่ากว่า7 พันล้านบาทในปี 2564
“ล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 มิถุนายน 2565) การปลดล็อคพืชกัญชาจากการเป็นยาเสพติดมีผลโดยสมบูรณ์เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชงอย่างเหมาะสม สามารถปลูกกัญชาทั้งการใช้ในครัวเรือน การดูแลผู้ป่วย หรือเชิงพาณิชย์ได้ โดยสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้จัดทําแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ”อํานวยความสะดวกในการจดแจ้งการปลูกกัญชา กัญชงให้แก่ประชาชน และขอย้ําว่า แม้กัญชา กัญชงไม่ใช่ยาเสพติดแล้วการครอบครองหรือการค้าไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป การปลูกกัญชาไม่ต้องขออนุญาต แต่ขอให้ไปจดแจ้ง ซึ่งเป็นไปตามข้อกําหนดของสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในทางที่ถูกต้อง และขอให้ช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้มีผู้ใช้ไปในทางที่ผิด” นายอนุทินกล่าว
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 9 ซึ่งประกอบด้วย นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เป็นเขตสุขภาพที่มีความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนกัญชาเสรีทางการแพทย์ ดําเนินการทั้งในส่วนต้นน้ํา มีพื้นที่ปลูกกัญชาถึง 53 แห่ง และกัญชงถึง 93 แห่ง, ส่วนกลางน้ํา มีโรงพยาบาลมาตรฐาน GMP ที่มีศักยภาพผลิตยากัญชาสนับสนุนทั้งในเขตสุขภาพและเขตสุขภาพอื่นๆ และปลายน้ํา เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐครบทุกแห่ง และภาคเอกชนอีก 9 แห่ง โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้มีการใช้กัญชาได้อย่างถูกต้องปลอดภัย เตรียมความพร้อม ทั้งการปลูก การนําส่วนต่างๆ มาใช้ประโยชน์เพื่อการรักษา ประกอบอาหาร แปรรูปในผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ต่อยอดในเชิงธุรกิจได้อย่างคุ้มค่า
โดยกิจกรรมการประชุมวิชาการกัญชาทางการแพทย์ เขตสุขภาพที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 มิถุนายน 2565ประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ นิทรรศการความรู้เกี่ยวกับกัญชาครบวงจร, บริการให้คําปรึกษาการขออนุญาตการปลูกเชิงพาณิชย์, การเปิดตัวแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ” รับจดแจ้งสําหรับประชาชนที่ประสงค์ปลูกกัญชา,ร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชาและกัญชง กว่า 200 บูธ, คลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน, วิสาหกิจชุมชนตัวอย่างที่ประสบความสําเร็จในการปลูกพืชกัญชา กัญชงเพื่อใช้สร้างเศรษฐกิจ ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมไฮไลท์ คือ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร นําต้นกล้ากัญชาและกัญชงในโครงการ “แจกกล้ากัญชา 1 ล้านต้น” มาแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาร่วมงานฟรี จํานวน 1,000 ต้น
**************************** 9 มิถุนายน 2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55583 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2565 | วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2565
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2565 พบการกระทําผิด จํานวน 313 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.87 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต โดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใสและ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพ ของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2565) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 313 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.87 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 173 คดี ค่าปรับ 1.65 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 102 คดี ค่าปรับ 2.48 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 6 คดี ค่าปรับ 0.08 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.51ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 1 คดี ค่าปรับ 0.08 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 15 คดี ค่าปรับ 0.39 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 6 คดี ค่าปรับ 0.68 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,382.345 ลิตร ยาสูบ จํานวน 5,188 ซอง ไพ่ จํานวน 325 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 15,190.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 77 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 16 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 3 กุมภาพันธ์ 2565 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 9,380 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 182.57 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 4,915 คดี ค่าปรับ 43.40 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 3,364 คดี ค่าปรับ 93.10 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 153 คดี ค่าปรับ 1.65 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 228 คดี ค่าปรับ 15.67 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 47 คดี ค่าปรับ 2.16 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 473 คดี ค่าปรับ จํานวน 11.07 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 200 คดี ค่าปรับ 15.52 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 60,556.700 ลิตร ยาสูบ จํานวน 1,741,261 ซอง ไพ่ จํานวน 7,232 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 483,503.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 69,354 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 572 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/42-2565/762-2565-28-3-2565-5 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2565
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2565
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2565 พบการกระทําผิด จํานวน 313 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.87 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต โดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใสและ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพ ของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2565) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 313 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.87 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 173 คดี ค่าปรับ 1.65 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 102 คดี ค่าปรับ 2.48 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 6 คดี ค่าปรับ 0.08 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.51ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 1 คดี ค่าปรับ 0.08 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 15 คดี ค่าปรับ 0.39 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 6 คดี ค่าปรับ 0.68 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,382.345 ลิตร ยาสูบ จํานวน 5,188 ซอง ไพ่ จํานวน 325 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 15,190.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 77 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 16 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 3 กุมภาพันธ์ 2565 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 9,380 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 182.57 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 4,915 คดี ค่าปรับ 43.40 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 3,364 คดี ค่าปรับ 93.10 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 153 คดี ค่าปรับ 1.65 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 228 คดี ค่าปรับ 15.67 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 47 คดี ค่าปรับ 2.16 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 473 คดี ค่าปรับ จํานวน 11.07 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 200 คดี ค่าปรับ 15.52 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 60,556.700 ลิตร ยาสูบ จํานวน 1,741,261 ซอง ไพ่ จํานวน 7,232 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 483,503.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 69,354 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 572 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/42-2565/762-2565-28-3-2565-5 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51249 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว | วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564
พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว
พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว
วันที่ 19 ธ.ค. 64 เวลา 18.30 น. ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ํา กรุงเทพฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับมูลนิธิบ้านพระพร จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตการกุศลที่จัดขึ้นเพื่อสมทบทุนการศึกษาให้แก่เด็กเยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร และเป็นทุนประกอบอาชีพให้แก่แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว โดยมีศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ อาทิ ปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ แคทลียา อิงลิซ โจนัส แอนเดอร์สัน แอน นันทนา บุญหลง โบ จอยซ์ อู๋ ธรรพ์ณธร อี้ด วงฟลาย คิง เดอะวอยซ์ และซิดนีย์ ThaiBev ThaiTelent เป็นต้น ร่วมขับร้องบทเพลงที่ช่วยจรรโลงใจ สร้างพลังและโอกาสในการร่วมแบ่งปันของคนในสังคม พร้อมน้อมนําบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 มาเป็นส่วนหนึ่งของงาน เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ได้มีจัดการอบรมให้ความรู้ด้านดนตรี (แซกโซโฟน) จากอาจารย์เมธวัช (เทวัญ) ทรัพย์แสนยากร พร้อมด้วยทีมงาน ผู้ที่มีความรู้ และประสบการณ์ด้านดนตรี ให้แก่เด็ก เยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร เพื่อให้มีทักษะด้านการเล่นดนตรี (แซกโซโฟน) มากขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว โดยสมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาว่างอย่างมีคุณภาพ ด้วยการใช้ดนตรีเป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการแสดงมินิคอนเสิร์ต ณ กระทรวง พม. นับว่าเป็นการสร้างพลังใจ จุดประกายความฝันและแรงบันดาลใจในการเล่นดนตรีนําไปสู่เป้าหมายในชีวิตด้านต่าง ๆ และเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองและครอบครัว
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอขอบคุณบริษัท คิง พาวเวอร์ ที่สนันสนุนสถานที่สําหรับการจัดงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ และอยากบอกว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ดนตรี หรือว่ากีฬา จึงอยากบอกทุกคนว่า ช่วยกันสนับสนุนเด็กๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นอนาคตของประเทศต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564
พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว
พม. จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) สมทบทุนช่วยเหลือเด็ก เยาวชนในมูลนิธิบ้านพระพร และแม่เลี้ยงเดี่ยว
วันที่ 19 ธ.ค. 64 เวลา 18.30 น. ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ํา กรุงเทพฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับมูลนิธิบ้านพระพร จัดคอนเสิร์ตดนตรี ความรัก และครอบครัว (My Music, My Love & My Family) โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตการกุศลที่จัดขึ้นเพื่อสมทบทุนการศึกษาให้แก่เด็กเยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร และเป็นทุนประกอบอาชีพให้แก่แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว โดยมีศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ อาทิ ปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ แคทลียา อิงลิซ โจนัส แอนเดอร์สัน แอน นันทนา บุญหลง โบ จอยซ์ อู๋ ธรรพ์ณธร อี้ด วงฟลาย คิง เดอะวอยซ์ และซิดนีย์ ThaiBev ThaiTelent เป็นต้น ร่วมขับร้องบทเพลงที่ช่วยจรรโลงใจ สร้างพลังและโอกาสในการร่วมแบ่งปันของคนในสังคม พร้อมน้อมนําบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 มาเป็นส่วนหนึ่งของงาน เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ได้มีจัดการอบรมให้ความรู้ด้านดนตรี (แซกโซโฟน) จากอาจารย์เมธวัช (เทวัญ) ทรัพย์แสนยากร พร้อมด้วยทีมงาน ผู้ที่มีความรู้ และประสบการณ์ด้านดนตรี ให้แก่เด็ก เยาวชนในความดูแลของมูลนิธิบ้านพระพร เพื่อให้มีทักษะด้านการเล่นดนตรี (แซกโซโฟน) มากขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว โดยสมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาว่างอย่างมีคุณภาพ ด้วยการใช้ดนตรีเป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการแสดงมินิคอนเสิร์ต ณ กระทรวง พม. นับว่าเป็นการสร้างพลังใจ จุดประกายความฝันและแรงบันดาลใจในการเล่นดนตรีนําไปสู่เป้าหมายในชีวิตด้านต่าง ๆ และเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองและครอบครัว
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอขอบคุณบริษัท คิง พาวเวอร์ ที่สนันสนุนสถานที่สําหรับการจัดงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ และอยากบอกว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ดนตรี หรือว่ากีฬา จึงอยากบอกทุกคนว่า ช่วยกันสนับสนุนเด็กๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นอนาคตของประเทศต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49659 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบการแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร โดยให้ตั้งสำนักงานศุลกากรมาบตาพุดสนับสนุนพิธีการศุลกากรในอีอีซี และสำนักงานศุลการกรภาคที่ 5 รองรับการขยายตัวระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ | วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565
ครม.เห็นชอบการแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร โดยให้ตั้งสํานักงานศุลกากรมาบตาพุดสนับสนุนพิธีการศุลกากรในอีอีซี และสํานักงานศุลการกรภาคที่ 5 รองรับการขยายตัวระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
ครม.เห็นชอบการแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร โดยให้ตั้งสํานักงานศุลกากรมาบตาพุดสนับสนุนพิธีการศุลกากรในอีอีซี และสํานักงานศุลการกรภาคที่ 5 รองรับการขยายตัวระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันที่ 9 ส.ค. 2565 ได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง (ฉบับที่...) พ.ศ.... โดยมีสาระสําคัญเป็นการจัดตั้งสํานักงานศุลกากรขึ้นใหม่ การให้คงและเพิ่มหน้าที่และอํานาจหน่วยงานที่มีอยู่เดิม
ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ประกอบด้วย สํานักงานศุลกากรมาบตาพุด เพื่ออํานวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การจัดเก็บภาษีและรายได้อื่นสําหรับสินค้านําเข้าและส่งออกสินค้าถ่ายลํา สินค้าผ่านแดน และสํานักงานศุลกากรภาคที่5 เพื่อรองรับการอํานวยความสะดวกในการนําของเข้าการส่งของออกและการขยายตัวของระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
พร้อมกันนี้ ให้เพิ่มหน้าที่และอํานาจ ของสํานักงานศุลกากร ดังต่อไปนี้ สํานักงานศุลการกรุงเทพตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด, สํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, สํานักงานศุลกากรตรวจสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, สํานักศุลกากรตรวจสินค้าลาดกระบัง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด, สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด และสํานักงานศุลกากรการท่าอากาศยานดอนเมือง โดยให้เพิ่มหน้าที่และอํานาจในการตรวจสอบบันทึก บัญชีและเอกสารที่เกี่ยวกับการนําของเข้า หรือส่งของออก ณ ที่ทําการของผู้นําของเข้า ผู้ส่งของออก หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อปราบปรามการฉ้อฉลทางการค้าภายใน
สําหรับส่วนราชการที่เหลือภายใต้กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ให้มีหน้าที่และอํานาจคงเดิม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบการแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร โดยให้ตั้งสำนักงานศุลกากรมาบตาพุดสนับสนุนพิธีการศุลกากรในอีอีซี และสำนักงานศุลการกรภาคที่ 5 รองรับการขยายตัวระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565
ครม.เห็นชอบการแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร โดยให้ตั้งสํานักงานศุลกากรมาบตาพุดสนับสนุนพิธีการศุลกากรในอีอีซี และสํานักงานศุลการกรภาคที่ 5 รองรับการขยายตัวระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
ครม.เห็นชอบการแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร โดยให้ตั้งสํานักงานศุลกากรมาบตาพุดสนับสนุนพิธีการศุลกากรในอีอีซี และสํานักงานศุลการกรภาคที่ 5 รองรับการขยายตัวระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันที่ 9 ส.ค. 2565 ได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง (ฉบับที่...) พ.ศ.... โดยมีสาระสําคัญเป็นการจัดตั้งสํานักงานศุลกากรขึ้นใหม่ การให้คงและเพิ่มหน้าที่และอํานาจหน่วยงานที่มีอยู่เดิม
ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ประกอบด้วย สํานักงานศุลกากรมาบตาพุด เพื่ออํานวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การจัดเก็บภาษีและรายได้อื่นสําหรับสินค้านําเข้าและส่งออกสินค้าถ่ายลํา สินค้าผ่านแดน และสํานักงานศุลกากรภาคที่5 เพื่อรองรับการอํานวยความสะดวกในการนําของเข้าการส่งของออกและการขยายตัวของระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
พร้อมกันนี้ ให้เพิ่มหน้าที่และอํานาจ ของสํานักงานศุลกากร ดังต่อไปนี้ สํานักงานศุลการกรุงเทพตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด, สํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, สํานักงานศุลกากรตรวจสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, สํานักศุลกากรตรวจสินค้าลาดกระบัง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด, สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด และสํานักงานศุลกากรการท่าอากาศยานดอนเมือง โดยให้เพิ่มหน้าที่และอํานาจในการตรวจสอบบันทึก บัญชีและเอกสารที่เกี่ยวกับการนําของเข้า หรือส่งของออก ณ ที่ทําการของผู้นําของเข้า ผู้ส่งของออก หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อปราบปรามการฉ้อฉลทางการค้าภายใน
สําหรับส่วนราชการที่เหลือภายใต้กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ให้มีหน้าที่และอํานาจคงเดิม | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57824 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุม ศบค. กำชับสธ. ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง-การกลายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 สั่ง ศธ. เน้นแผนเผชิญเหตุ ป้องกันการแพร่ระบาดในโรงเรียน ให้ มท. เฝ้าระวังจุดผ่อนปรน | วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565
นายกฯ ประชุม ศบค. กําชับสธ. ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง-การกลายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 สั่ง ศธ. เน้นแผนเผชิญเหตุ ป้องกันการแพร่ระบาดในโรงเรียน ให้ มท. เฝ้าระวังจุดผ่อนปรน
นายกฯ ประชุม ศบค. กําชับสธ. ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง-การกลายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 สั่ง ศธ. เน้นแผนเผชิญเหตุ ป้องกันการแพร่ระบาดในโรงเรียน พร้อมให้ มท. เฝ้าระวังจุดผ่อนปรนตามแนวชายแดนที่ไม่มีจุดควบคุมโรคกํากับ
วันนี้ (8 กรกฎาคม 2565) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 10/2565 กําชับ ให้ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามอาการผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง-การกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เตรียมความพร้อมเตียง แพทย์ ยา เวชภัณฑ์ ให้รายงานความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีน/ยา เป็นระยะ พร้อมเห็นชอบขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ต่อไปอีก 2 เดือน เป็นคราวที่ 19 ทั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) รายงานผลการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในช่วงที่ผ่านมา ระบุว่า จํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการติดตามการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของโควิด-19 เนื่องจากหลายประเทศได้ผ่อนคลายมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมโรค ซึ่งอาจทําให้การติดตามสายพันธุ์ใหม่ยากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงและการเสียชีวิต หากติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกในขณะนี้ มีสัดส่วนของโอมิครอนสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐอเมริกา และกําลังแทนที่สายพันธุ์เดิม ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 แพร่เร็วและรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 แต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น จากการมีมาตรการผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงอาจพบการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพิ่มขึ้น โดยพบผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยและรักษาตัวที่บ้านเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลยังเพิ่มขึ้นไม่มาก จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามอาการของผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง การสุ่มตรวจ และติดตามการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เพื่อนําข้อมูลมาวิเคราะห์และกําหนดมาตรการต่าง ๆ ต่อไป และในช่วงนี้ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นในไทย ขอให้ติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมของเตียง แพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ รวมทั้งการพัฒนาชุดตรวจหาเชื้อ จํานวนผู้ได้รับวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีนและภูมิคุ้มกัน อาการความรุนแรงของโรค และการตอบสนองต่อยารักษา รวมทั้งขอให้รายงานความคืบหน้าเรื่องการพัฒนาวัคซีนและยาให้ทราบเป็นระยะด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปรับโควิด-19 เป็นโรคประจําถิ่น ต้องพิจารณาตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ศบค. ได้มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเศรษฐกิจได้เดินหน้าต่อ โดยประชาชนต้องเตรียมพร้อม และอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างปลอดภัย สิ่งที่สําคัญคือการสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่ปิด สถานที่แออัด รถขนส่งสาธารณะ แม้กระทั่งเครื่องบิน โดยเฉพาะกลุ่ม 608 และการไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งจะช่วยลดและป้องกันอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตลงได้
สําหรับมติ ศบค. ที่สําคัญ ได้แก่ รับทราบแนวคิดของกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือการระบาดและเปลี่ยนผ่านสู่การบริหารจัดการหลังการระบาด (Post-pandemic) ซึ่งมีแผน/มาตรการการบริหารจัดการสถานการณ์โรคโควิด 19 ในระยะต่อไป 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสาธารณสุข ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมายและสังคม และด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ พร้อมเห็นชอบหลักการ มาตรการ และมอบหมาย ดังนี้ 1) มอบ คกก.โรคติดต่อชาติ กําหนดกรอบนโยบาย และแนวทางปฏิบัติในการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค ตามมาตรา 14 (1) ของพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 2) เห็นชอบหลักการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้เกินกว่าร้อยละ 60 โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง 3) มอบ สธ. จัดระบบการเข้าถึงยาต้านไวรัสให้สะดวกและเข้าถึงง่าย 4) มอบกรมประชาสัมพันธ์กระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสําคัญของการสวมหน้ากาก และการรับวัคซีน 5) มอบกระทรวงมหาดไทย ศึกษาข้อกฎหมายเพื่อพิจารณาตัดโรคโควิด-19 ออกจากโรคต้องห้ามเข้าราชอาณาจักร ซึ่งจะเป็นการดําเนินการดําเนินการในระยะต่อไป
ศบค. เห็นชอบขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ต่อไปอีก 2 เดือน (1 สิงหาคม 2565 – 30 กันยายน 2565 เป็นคราวที่ 19 เพื่อยังคงไว้ซึ่งดํารงบรรดามาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 แบบบูรณาการให้มีความเป็นเอกภาพในการบังคับใช้เป็นการทั่วไปทั้งประเทศ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ําถึงความจําเป็นที่ต้องเปิดประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเดินหน้าเศรษฐกิจ หวังให้ประชาชนสามารถดําเนินชีวิต กลับมาประกอบอาชีพได้อย่างปกติ พร้อมกับสั่งการให้หน่วยงานความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการที่เหมาะสมในการดูแลตรวจตราด่านช่องทางเข้า-ออก ทั้งด่านปกติ ด่านธรรมชาติ การเปิดจุดผ่อนปรน การค้าชายแดน โดยเฉพาะจุดผ่อนปรนที่ไม่มีด่านควบคุมโรคกํากับ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ต้องการใช้ พรก. ฉุกเฉิน ในเรื่องอื่น ๆ ทั้งสิ้น แต่มีเหตุผลความจําเป็น เป็นการแก้ปัญหาเชิงบูรณาการ วัตถุประสงค์เพื่อการรักษาชีวิตของประชาชนให้มากที่สุด ฉะนั้น อย่าบิดเบือนเป็นอย่างอื่น พร้อมฝากให้ดูแลบุคลากรทางสาธารณสุขให้ดี โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถิติการแพร่ระบาดสูงในปัจจุบัน และขอให้กรุงเทพมหานครดูแลการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้มีความปลอดภัย เน้นการรณรงค์ สื่อสาร สวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งฝากให้ ศธ. และโรงเรียนพิจารณาหามาตรการที่ปลอดภัย ในการทํากิจกรรมร่วมกันของนักเรียน และนายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ทํางานอย่างเต็มที่ ซึ่งทําให้ประชาชนคนไทยได้เกิดการเรียนรู้และสามารถอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ได้ในวิถีชีวิตปกติ และผ่านพ้นช่วงวิกฤตของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ย้ําว่ารัฐบาลจะทําอย่างเต็มที่ด้วยความร่วมมือของทุกคน ทุกภาคส่วน ในการนําพาประเทศเดินไปข้างหน้าต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุม ศบค. กำชับสธ. ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง-การกลายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 สั่ง ศธ. เน้นแผนเผชิญเหตุ ป้องกันการแพร่ระบาดในโรงเรียน ให้ มท. เฝ้าระวังจุดผ่อนปรน
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565
นายกฯ ประชุม ศบค. กําชับสธ. ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง-การกลายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 สั่ง ศธ. เน้นแผนเผชิญเหตุ ป้องกันการแพร่ระบาดในโรงเรียน ให้ มท. เฝ้าระวังจุดผ่อนปรน
นายกฯ ประชุม ศบค. กําชับสธ. ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง-การกลายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 สั่ง ศธ. เน้นแผนเผชิญเหตุ ป้องกันการแพร่ระบาดในโรงเรียน พร้อมให้ มท. เฝ้าระวังจุดผ่อนปรนตามแนวชายแดนที่ไม่มีจุดควบคุมโรคกํากับ
วันนี้ (8 กรกฎาคม 2565) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 10/2565 กําชับ ให้ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามอาการผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง-การกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เตรียมความพร้อมเตียง แพทย์ ยา เวชภัณฑ์ ให้รายงานความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีน/ยา เป็นระยะ พร้อมเห็นชอบขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ต่อไปอีก 2 เดือน เป็นคราวที่ 19 ทั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) รายงานผลการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในช่วงที่ผ่านมา ระบุว่า จํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการติดตามการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของโควิด-19 เนื่องจากหลายประเทศได้ผ่อนคลายมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมโรค ซึ่งอาจทําให้การติดตามสายพันธุ์ใหม่ยากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงและการเสียชีวิต หากติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกในขณะนี้ มีสัดส่วนของโอมิครอนสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐอเมริกา และกําลังแทนที่สายพันธุ์เดิม ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 แพร่เร็วและรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 แต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น จากการมีมาตรการผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงอาจพบการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพิ่มขึ้น โดยพบผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยและรักษาตัวที่บ้านเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลยังเพิ่มขึ้นไม่มาก จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามอาการของผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง การสุ่มตรวจ และติดตามการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เพื่อนําข้อมูลมาวิเคราะห์และกําหนดมาตรการต่าง ๆ ต่อไป และในช่วงนี้ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นในไทย ขอให้ติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมของเตียง แพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ รวมทั้งการพัฒนาชุดตรวจหาเชื้อ จํานวนผู้ได้รับวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีนและภูมิคุ้มกัน อาการความรุนแรงของโรค และการตอบสนองต่อยารักษา รวมทั้งขอให้รายงานความคืบหน้าเรื่องการพัฒนาวัคซีนและยาให้ทราบเป็นระยะด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปรับโควิด-19 เป็นโรคประจําถิ่น ต้องพิจารณาตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ศบค. ได้มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเศรษฐกิจได้เดินหน้าต่อ โดยประชาชนต้องเตรียมพร้อม และอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างปลอดภัย สิ่งที่สําคัญคือการสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่ปิด สถานที่แออัด รถขนส่งสาธารณะ แม้กระทั่งเครื่องบิน โดยเฉพาะกลุ่ม 608 และการไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งจะช่วยลดและป้องกันอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตลงได้
สําหรับมติ ศบค. ที่สําคัญ ได้แก่ รับทราบแนวคิดของกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือการระบาดและเปลี่ยนผ่านสู่การบริหารจัดการหลังการระบาด (Post-pandemic) ซึ่งมีแผน/มาตรการการบริหารจัดการสถานการณ์โรคโควิด 19 ในระยะต่อไป 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสาธารณสุข ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมายและสังคม และด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ พร้อมเห็นชอบหลักการ มาตรการ และมอบหมาย ดังนี้ 1) มอบ คกก.โรคติดต่อชาติ กําหนดกรอบนโยบาย และแนวทางปฏิบัติในการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค ตามมาตรา 14 (1) ของพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 2) เห็นชอบหลักการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้เกินกว่าร้อยละ 60 โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง 3) มอบ สธ. จัดระบบการเข้าถึงยาต้านไวรัสให้สะดวกและเข้าถึงง่าย 4) มอบกรมประชาสัมพันธ์กระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสําคัญของการสวมหน้ากาก และการรับวัคซีน 5) มอบกระทรวงมหาดไทย ศึกษาข้อกฎหมายเพื่อพิจารณาตัดโรคโควิด-19 ออกจากโรคต้องห้ามเข้าราชอาณาจักร ซึ่งจะเป็นการดําเนินการดําเนินการในระยะต่อไป
ศบค. เห็นชอบขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ต่อไปอีก 2 เดือน (1 สิงหาคม 2565 – 30 กันยายน 2565 เป็นคราวที่ 19 เพื่อยังคงไว้ซึ่งดํารงบรรดามาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 แบบบูรณาการให้มีความเป็นเอกภาพในการบังคับใช้เป็นการทั่วไปทั้งประเทศ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ําถึงความจําเป็นที่ต้องเปิดประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเดินหน้าเศรษฐกิจ หวังให้ประชาชนสามารถดําเนินชีวิต กลับมาประกอบอาชีพได้อย่างปกติ พร้อมกับสั่งการให้หน่วยงานความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการที่เหมาะสมในการดูแลตรวจตราด่านช่องทางเข้า-ออก ทั้งด่านปกติ ด่านธรรมชาติ การเปิดจุดผ่อนปรน การค้าชายแดน โดยเฉพาะจุดผ่อนปรนที่ไม่มีด่านควบคุมโรคกํากับ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ต้องการใช้ พรก. ฉุกเฉิน ในเรื่องอื่น ๆ ทั้งสิ้น แต่มีเหตุผลความจําเป็น เป็นการแก้ปัญหาเชิงบูรณาการ วัตถุประสงค์เพื่อการรักษาชีวิตของประชาชนให้มากที่สุด ฉะนั้น อย่าบิดเบือนเป็นอย่างอื่น พร้อมฝากให้ดูแลบุคลากรทางสาธารณสุขให้ดี โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถิติการแพร่ระบาดสูงในปัจจุบัน และขอให้กรุงเทพมหานครดูแลการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้มีความปลอดภัย เน้นการรณรงค์ สื่อสาร สวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งฝากให้ ศธ. และโรงเรียนพิจารณาหามาตรการที่ปลอดภัย ในการทํากิจกรรมร่วมกันของนักเรียน และนายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ทํางานอย่างเต็มที่ ซึ่งทําให้ประชาชนคนไทยได้เกิดการเรียนรู้และสามารถอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ได้ในวิถีชีวิตปกติ และผ่านพ้นช่วงวิกฤตของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ย้ําว่ารัฐบาลจะทําอย่างเต็มที่ด้วยความร่วมมือของทุกคน ทุกภาคส่วน ในการนําพาประเทศเดินไปข้างหน้าต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ | วันอังคารที่ 21 ธันวาคม 2564
รัฐบาลเตรียมฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2564
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลเตรียมฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ โดยเห็นชอบแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะ 11 ปี รวม 84 โครงการ ภายใต้เป้าประสงค์ คือ สร้างความปลอดภัยในการสัญจร ปรับปรุงภูมิทัศน์ แก้ปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ํา ป้องกันปราบปรามการบุกรุกทําลายทรัพยากรในคลอง และบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา โดยประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เช่น แก้ปัญหามลภาวะได้อย่างครบวงจร สร้างระบบบําบัดน้ําได้ 39 แห่ง รองรับการบําบัดน้ําเสียได้กว่า 1.3 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําได้ 30 ลบ.ม./วินาที มีเขื่อนป้องกันตลิ่ง 33.32 กม. เพิ่มพื้นที่ที่ได้รับการป้องกันน้ําท่วมกว่า 96,000 ไร่ มีท่าเทียบเรือเพิ่มขึ้นและใช้เรือไฟฟ้าให้บริการ รองรับประชาชนได้สูงสุด 1,000 คน/วัน
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม 2564
รัฐบาลเตรียมฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2564
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลเตรียมฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ โดยเห็นชอบแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะ 11 ปี รวม 84 โครงการ ภายใต้เป้าประสงค์ คือ สร้างความปลอดภัยในการสัญจร ปรับปรุงภูมิทัศน์ แก้ปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ํา ป้องกันปราบปรามการบุกรุกทําลายทรัพยากรในคลอง และบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา โดยประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เช่น แก้ปัญหามลภาวะได้อย่างครบวงจร สร้างระบบบําบัดน้ําได้ 39 แห่ง รองรับการบําบัดน้ําเสียได้กว่า 1.3 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําได้ 30 ลบ.ม./วินาที มีเขื่อนป้องกันตลิ่ง 33.32 กม. เพิ่มพื้นที่ที่ได้รับการป้องกันน้ําท่วมกว่า 96,000 ไร่ มีท่าเทียบเรือเพิ่มขึ้นและใช้เรือไฟฟ้าให้บริการ รองรับประชาชนได้สูงสุด 1,000 คน/วัน
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49705 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ช่วยกลุ่มคนขับรถแท็กซี่/วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ใน 29 จังหวัด อนุมัติกรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท เร่งจ่ายเยียวยาภายในเดือนพฤศิกายน นี้ | วันอังคารที่ 12 ตุลาคม 2564
ครม. ช่วยกลุ่มคนขับรถแท็กซี่/วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ใน 29 จังหวัด อนุมัติกรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท เร่งจ่ายเยียวยาภายในเดือนพฤศิกายน นี้
ครม. ช่วยกลุ่มคนขับรถแท็กซี่/วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ใน 29 จังหวัดด อนุมัติกรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท เร่งจ่ายเยียวยาภายในเดือนพฤศิกายน นี้
วันนี้ 12 ต.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบและไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด แบ่งเป็น ผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) 12,918 คน และผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ 3,776 คน รวม 16,694 คน โดยจะสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ คนละ 5,000 บาทต่อเดือน ภายใต้กรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท ทั้งนี้ สําหรับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพเป็นระยะเวลา 2 เดือน ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัดเพิ่มเติม สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพระยะเวลา 1 เดือน
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมถึงวิธีการลงทะเบียนร่วมโครงการฯ ว่า กรมการขนส่งทางบกจะเปิดให้มีการลงทะเบียนตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ และดําเนินการตรวจสอบข้อมูลผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่มีอายุเกิน 65 ปี จากฐานข้อมูลใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (รถแท็กซี่) และใบอนุญาตขับ รถจักรยานยนต์สาธารณะ สําหรับกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่เช่าที่ไม่สามารถตรวจสอบพื้นที่ให้บริการได้ จะต้องทําการตรวจสอบยืนยันตัวตนก่อน เช่น ให้นิติบุคคลรถเช่า/สหกรณ์แท็กซี่เป็นผู้รับรอง เป็นต้น ซึ่งกรมการขนส่งทางบกจะจ่ายเงินด้วยวิธีการโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (Promptpay) เฉพาะการผูกบัญชีกับเลขบัตรประจําตัวประชาชน หรือตามวิธีการอื่นที่กรมการขนส่งทางบกกําหนด คาดว่าจะจ่ายเงินรอบแรกระหว่างวันที่ 8 – 12 พฤศจิกายน และจ่ายเงินรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 – 26 พฤศจิกายน
“โครงการฯ ดังกล่าวจะช่วยรักษาคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้างและรถจักรยานยนต์สาธารณะ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งเป็นการช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ เนื่องจากระบบการขนส่งสาธารณะเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศน์ธุรกิจด้านการขนส่งด้วยรถสาธารณะ ที่จะส่งผลให้ประชาชนยังคงได้ใช้บริการรถสาธารณะที่มีคุณภาพ มีความครอบคลุมในพื้นที่อย่างปลอดภัยต่อไป” นายธนกรฯ กล่าว
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ช่วยกลุ่มคนขับรถแท็กซี่/วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ใน 29 จังหวัด อนุมัติกรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท เร่งจ่ายเยียวยาภายในเดือนพฤศิกายน นี้
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม 2564
ครม. ช่วยกลุ่มคนขับรถแท็กซี่/วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ใน 29 จังหวัด อนุมัติกรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท เร่งจ่ายเยียวยาภายในเดือนพฤศิกายน นี้
ครม. ช่วยกลุ่มคนขับรถแท็กซี่/วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ใน 29 จังหวัดด อนุมัติกรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท เร่งจ่ายเยียวยาภายในเดือนพฤศิกายน นี้
วันนี้ 12 ต.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบและไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด แบ่งเป็น ผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) 12,918 คน และผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ 3,776 คน รวม 16,694 คน โดยจะสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ คนละ 5,000 บาทต่อเดือน ภายใต้กรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท ทั้งนี้ สําหรับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพเป็นระยะเวลา 2 เดือน ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัดเพิ่มเติม สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพระยะเวลา 1 เดือน
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมถึงวิธีการลงทะเบียนร่วมโครงการฯ ว่า กรมการขนส่งทางบกจะเปิดให้มีการลงทะเบียนตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ และดําเนินการตรวจสอบข้อมูลผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่มีอายุเกิน 65 ปี จากฐานข้อมูลใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (รถแท็กซี่) และใบอนุญาตขับ รถจักรยานยนต์สาธารณะ สําหรับกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่เช่าที่ไม่สามารถตรวจสอบพื้นที่ให้บริการได้ จะต้องทําการตรวจสอบยืนยันตัวตนก่อน เช่น ให้นิติบุคคลรถเช่า/สหกรณ์แท็กซี่เป็นผู้รับรอง เป็นต้น ซึ่งกรมการขนส่งทางบกจะจ่ายเงินด้วยวิธีการโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (Promptpay) เฉพาะการผูกบัญชีกับเลขบัตรประจําตัวประชาชน หรือตามวิธีการอื่นที่กรมการขนส่งทางบกกําหนด คาดว่าจะจ่ายเงินรอบแรกระหว่างวันที่ 8 – 12 พฤศจิกายน และจ่ายเงินรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 – 26 พฤศจิกายน
“โครงการฯ ดังกล่าวจะช่วยรักษาคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้างและรถจักรยานยนต์สาธารณะ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งเป็นการช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ เนื่องจากระบบการขนส่งสาธารณะเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศน์ธุรกิจด้านการขนส่งด้วยรถสาธารณะ ที่จะส่งผลให้ประชาชนยังคงได้ใช้บริการรถสาธารณะที่มีคุณภาพ มีความครอบคลุมในพื้นที่อย่างปลอดภัยต่อไป” นายธนกรฯ กล่าว
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46905 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยื่น “เลี้ยงควาย-เกษตรเชิงนิเวศ” ทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นมรดกทางการเกษตรโลก สอดรับนโยบาย Soft Power | วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยื่น “เลี้ยงควาย-เกษตรเชิงนิเวศ” ทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นมรดกทางการเกษตรโลก สอดรับนโยบาย Soft Power
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยื่น “เลี้ยงควาย-เกษตรเชิงนิเวศ” ทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นมรดกทางการเกษตรโลก สอดรับนโยบาย Soft Power
วันที่ 9 พ.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมเป็นอีกหน่วยงานหลักในการส่งเสริม Soft Power ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการส่งเสริมให้อาหารไทย แหล่งท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต เป็นที่เลื่องลือและยอมรับทั่วโลก ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้ขับเคลื่อนเรื่องการส่งเสริมมรดกวัฒนธรรมด้านการเกษตรที่ประเทศไทยมีความโดดเด่น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นเอกสารขอรับรอง “วิถีการเลี้ยงควายและเกษตรเชิงนิเวศในพื้นที่ทะเลน้อย” จ.พัทลุง ที่สืบทอดกันมากว่า 250 ปี เป็น “มรดกทางการเกษตรโลก” (Globally Important Agricultural Heritage System หรือ GIAHS) จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO
พื้นที่ดังกล่าวมีความสําคัญเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากจนได้รับการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ชุ่มน้ําโลก หรือ “Ramsar site” และมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ FAO ในการเป็นมรดกทางการเกษตร ที่เน้นการอนุรักษ์มรดกทางการเกษตรโลก เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาเศรษฐกิจ ปกป้องและส่งเสริมการใช้ทางชีวภาพให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและยั่งยืนบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ําทะเลน้อย มีวิถีชีวิตที่มีความเชื่อมโยงกับควายน้ําทะเลน้อย
นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า เกษตรกรในพื้นที่ชุ่มน้ําทะเลน้อยมีรายได้หลักจากการขายควาย ประกอบกับการทําประมง ปลูกข้าว และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกระจูด ด้านระบบนิเวศ เมื่อถึงฤดูน้ําหลาก น้ําในทะเลน้อยมีปริมาณสูง ควายน้ําจะดําน้ําลงไปกินหญ้าใต้น้ําและพืชน้ําอย่างสายบัว ใบบัว หรือสาหร่าย กระจูด ซึ่งมีความสําคัญต่อระบบนิเวศในการกําจัดวัชพืช และมูลของควายยังเป็นอาหารให้กับพืชและแพลงตอน ซึ่งเป็นอาหารปลา และในส่วนของด้านวัฒนธรรม ควายเป็นศูนย์รวมของความเชื่อ มีพิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับควาย และทางเดินของควาย นอกจากจะสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามยังช่วยป้องกันการเกิดไฟป่าอีกด้วย
“หากพื้นที่ชุ่มน้ําทะเลน้อยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางการเกษตรโลก จะทําให้เกษตรกรและชุมชนได้รับประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยว โอกาสทางการเกษตร การจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะต้องผ่านหลักเกณฑ์ 5 ข้อ ได้แก่ 1) ความมั่นคงด้านอาหาร/ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี 2) ความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร 3) ระบบความรู้/ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีมาแต่ดั้งเดิม 4) วัฒนธรรม ระบบคุณค่า และองค์กรทางสังคม และ 5) ลักษณะภูมิทัศน์/และภูมิทัศน์ทางทะเล” นางสาวรัชดา กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยื่น “เลี้ยงควาย-เกษตรเชิงนิเวศ” ทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นมรดกทางการเกษตรโลก สอดรับนโยบาย Soft Power
วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยื่น “เลี้ยงควาย-เกษตรเชิงนิเวศ” ทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นมรดกทางการเกษตรโลก สอดรับนโยบาย Soft Power
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยื่น “เลี้ยงควาย-เกษตรเชิงนิเวศ” ทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นมรดกทางการเกษตรโลก สอดรับนโยบาย Soft Power
วันที่ 9 พ.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมเป็นอีกหน่วยงานหลักในการส่งเสริม Soft Power ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการส่งเสริมให้อาหารไทย แหล่งท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต เป็นที่เลื่องลือและยอมรับทั่วโลก ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้ขับเคลื่อนเรื่องการส่งเสริมมรดกวัฒนธรรมด้านการเกษตรที่ประเทศไทยมีความโดดเด่น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นเอกสารขอรับรอง “วิถีการเลี้ยงควายและเกษตรเชิงนิเวศในพื้นที่ทะเลน้อย” จ.พัทลุง ที่สืบทอดกันมากว่า 250 ปี เป็น “มรดกทางการเกษตรโลก” (Globally Important Agricultural Heritage System หรือ GIAHS) จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO
พื้นที่ดังกล่าวมีความสําคัญเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากจนได้รับการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ชุ่มน้ําโลก หรือ “Ramsar site” และมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ FAO ในการเป็นมรดกทางการเกษตร ที่เน้นการอนุรักษ์มรดกทางการเกษตรโลก เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาเศรษฐกิจ ปกป้องและส่งเสริมการใช้ทางชีวภาพให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและยั่งยืนบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ําทะเลน้อย มีวิถีชีวิตที่มีความเชื่อมโยงกับควายน้ําทะเลน้อย
นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า เกษตรกรในพื้นที่ชุ่มน้ําทะเลน้อยมีรายได้หลักจากการขายควาย ประกอบกับการทําประมง ปลูกข้าว และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกระจูด ด้านระบบนิเวศ เมื่อถึงฤดูน้ําหลาก น้ําในทะเลน้อยมีปริมาณสูง ควายน้ําจะดําน้ําลงไปกินหญ้าใต้น้ําและพืชน้ําอย่างสายบัว ใบบัว หรือสาหร่าย กระจูด ซึ่งมีความสําคัญต่อระบบนิเวศในการกําจัดวัชพืช และมูลของควายยังเป็นอาหารให้กับพืชและแพลงตอน ซึ่งเป็นอาหารปลา และในส่วนของด้านวัฒนธรรม ควายเป็นศูนย์รวมของความเชื่อ มีพิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับควาย และทางเดินของควาย นอกจากจะสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามยังช่วยป้องกันการเกิดไฟป่าอีกด้วย
“หากพื้นที่ชุ่มน้ําทะเลน้อยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางการเกษตรโลก จะทําให้เกษตรกรและชุมชนได้รับประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยว โอกาสทางการเกษตร การจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะต้องผ่านหลักเกณฑ์ 5 ข้อ ได้แก่ 1) ความมั่นคงด้านอาหาร/ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี 2) ความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร 3) ระบบความรู้/ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีมาแต่ดั้งเดิม 4) วัฒนธรรม ระบบคุณค่า และองค์กรทางสังคม และ 5) ลักษณะภูมิทัศน์/และภูมิทัศน์ทางทะเล” นางสาวรัชดา กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54352 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ประธานฝ่ายไทยร่วมงานฉลอง 45 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - ยูเออี | วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564
รมว.สุชาติ ประธานฝ่ายไทยร่วมงานฉลอง 45 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - ยูเออี
. .
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 เวลา 19.00 น.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
เป็นประธานฝ่ายไทย กล่าวในงานฉลองครบรอบ 45 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมของอาคารแสดงประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปดูไบ ณ Thai Pavilion ในงาน World Expo 2020 โดยมีนายวราวุธ ภู่อภิญญา เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นางปลิดา ร่วมคํา อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน)พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมด้วย
โดยนายสุชาติกล่าวว่า ประเทศไทยและยูเออีสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันมาตั้งแต่ปี 2518 แม้ไทยและยูเออีจะแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือขนาดประเทศและประชากร แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่สองประเทศจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกันได้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ มีพลวัตรในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ ด้านพลังงานและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ผมเชื่อเสมอในพลังของคน ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ และเป็นพื้นฐานที่มั่นคงสําหรับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ยูเออีถือเป็นบ้าน สถานศึกษา ที่สร้างอาชีพ และโอกาสสําหรับคนไทยกว่า 6,000 คน ที่อาศัยอยู่ในยูเออีอย่างร่มเย็นและเป็นสุข ในขณะเดียวกัน ไทยก็เป็นที่ที่คนยูเออีนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวและรักษาพยาบาล โดยก่อนการแพร่ระบาดของโควิด มีคนยูเออีเดินทางไปไทยปีละกว่า 130,000 คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา ไทยได้เปิดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากยูเออีและฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้วโดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งเป็นที่น่าดีใจว่า ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากยูเออีติดลําดับ 1 ใน 5 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมากที่สุด ในนามของประเทศไทย ผมต้องขอขอบคุณนักท่องเที่ยวจากยูเออีที่ยังคิดถึงประเทศไทยและเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลไทยในการรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากยูเออีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ขอชื่นชมผู้นําประเทศยูเออี และคณะผู้จัดงานที่มีวิสัยทัศน์นําความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจากประเทศต่าง ๆ มาแสดงให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมและนําไปปรับใช้ต่อยอดในการพัฒนาประเทศของตนเอง นอกจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว บรรยากาศภายในงานยังมีความคึกคักและมีสีสัน โดยงานเอ็กซ์โปดูไบถือเป็นงานมหกรรมระดับโลกงานแรกที่จัดขึ้นหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งมีผู้เดินทางมาเข้าร่วมเยี่ยมชมจากทั่วทุกมุมโลกแล้วกว่า 5.6 ล้านคน งานเอ็กซ์โปดูไบเป็นเครื่องยืนยันที่แสดงให้เห็นว่าเราสามารถเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามรูปแบบปกติได้ ซึ่งความสําเร็จของการจัดงานครั้งนี้ นอกจากจะเป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลยูเออีแล้ว ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือ ร่วมใจและความมุ่งมั่นของประชาชนชาวยูเออีเองด้วย
“รัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอนําส่งความรักและความปรารถนาดีมายังรัฐบาลและประชาชนยูเออีอีกครั้งหนึ่งเนื่องในโอกาสมงคลฉลองวันสถาปนาประเทศครบ 50 ปี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา และพวกเราจะร่วมมือ ใส่ใจกันพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งระหว่างประชาชนของเราทั้ง 2 ประเทศให้มีความแนบแน่นตลอดไป”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
สําหรับงาน World Expo 2020 เป็นการโฆษณาประเทศและประกาศจุดยืนการพัฒนาว่าต่อจากนี้ไป นานาประเทศจะเดินไปในทางไหน และเป็นอะไรของประชาคมโลก ซึ่งมีประเทศสมาชิกเข้าร่วมงานทั้งหมด 192 ประเทศประเทศไทยได้จัดอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ได้พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future) นําเสนอนโยบายการขับเคลื่อนประเทศที่ร้อยเรียนเรื่องราวผ่านนิทรรศการทั้ง 4 ห้อง ได้แก่ ห้องที่ 1 Thai Mobility จัดแสดงเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จําลองและราชรถจําลอง ให้ความรู้เกี่ยวกับการเดินทางของคนไทยในอดีต ห้องที่ 2 Mobility of Life นําเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน ห้องที่ 3 Mobility of the Future นําเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน 360 องศา เพื่อแสดงภาพในอนาคตของประเทศไทยที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาค และห้องที่ 4 Heart of Mobility นําเสนอภาพยนตร์สั้น บอกเล่าเรื่องราวเสน่ห์ของประเทศไทย ในหลากหลายมิติ ที่สร้างความประทับใจให้ชาวต่างชาติเดินทางมาเยี่ยมเยือน ทําธุรกิจ หรือใช้ชีวิตในประเทศไทย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ประธานฝ่ายไทยร่วมงานฉลอง 45 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - ยูเออี
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564
รมว.สุชาติ ประธานฝ่ายไทยร่วมงานฉลอง 45 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - ยูเออี
. .
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 เวลา 19.00 น.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
เป็นประธานฝ่ายไทย กล่าวในงานฉลองครบรอบ 45 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมของอาคารแสดงประเทศไทยในงานเอ็กซ์โปดูไบ ณ Thai Pavilion ในงาน World Expo 2020 โดยมีนายวราวุธ ภู่อภิญญา เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นางปลิดา ร่วมคํา อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน)พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมด้วย
โดยนายสุชาติกล่าวว่า ประเทศไทยและยูเออีสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันมาตั้งแต่ปี 2518 แม้ไทยและยูเออีจะแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือขนาดประเทศและประชากร แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่สองประเทศจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกันได้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ มีพลวัตรในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ ด้านพลังงานและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ผมเชื่อเสมอในพลังของคน ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ และเป็นพื้นฐานที่มั่นคงสําหรับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ยูเออีถือเป็นบ้าน สถานศึกษา ที่สร้างอาชีพ และโอกาสสําหรับคนไทยกว่า 6,000 คน ที่อาศัยอยู่ในยูเออีอย่างร่มเย็นและเป็นสุข ในขณะเดียวกัน ไทยก็เป็นที่ที่คนยูเออีนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวและรักษาพยาบาล โดยก่อนการแพร่ระบาดของโควิด มีคนยูเออีเดินทางไปไทยปีละกว่า 130,000 คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา ไทยได้เปิดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากยูเออีและฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้วโดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งเป็นที่น่าดีใจว่า ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากยูเออีติดลําดับ 1 ใน 5 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมากที่สุด ในนามของประเทศไทย ผมต้องขอขอบคุณนักท่องเที่ยวจากยูเออีที่ยังคิดถึงประเทศไทยและเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลไทยในการรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากยูเออีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ขอชื่นชมผู้นําประเทศยูเออี และคณะผู้จัดงานที่มีวิสัยทัศน์นําความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจากประเทศต่าง ๆ มาแสดงให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมและนําไปปรับใช้ต่อยอดในการพัฒนาประเทศของตนเอง นอกจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว บรรยากาศภายในงานยังมีความคึกคักและมีสีสัน โดยงานเอ็กซ์โปดูไบถือเป็นงานมหกรรมระดับโลกงานแรกที่จัดขึ้นหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งมีผู้เดินทางมาเข้าร่วมเยี่ยมชมจากทั่วทุกมุมโลกแล้วกว่า 5.6 ล้านคน งานเอ็กซ์โปดูไบเป็นเครื่องยืนยันที่แสดงให้เห็นว่าเราสามารถเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามรูปแบบปกติได้ ซึ่งความสําเร็จของการจัดงานครั้งนี้ นอกจากจะเป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลยูเออีแล้ว ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือ ร่วมใจและความมุ่งมั่นของประชาชนชาวยูเออีเองด้วย
“รัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอนําส่งความรักและความปรารถนาดีมายังรัฐบาลและประชาชนยูเออีอีกครั้งหนึ่งเนื่องในโอกาสมงคลฉลองวันสถาปนาประเทศครบ 50 ปี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา และพวกเราจะร่วมมือ ใส่ใจกันพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งระหว่างประชาชนของเราทั้ง 2 ประเทศให้มีความแนบแน่นตลอดไป”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
สําหรับงาน World Expo 2020 เป็นการโฆษณาประเทศและประกาศจุดยืนการพัฒนาว่าต่อจากนี้ไป นานาประเทศจะเดินไปในทางไหน และเป็นอะไรของประชาคมโลก ซึ่งมีประเทศสมาชิกเข้าร่วมงานทั้งหมด 192 ประเทศประเทศไทยได้จัดอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ได้พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future) นําเสนอนโยบายการขับเคลื่อนประเทศที่ร้อยเรียนเรื่องราวผ่านนิทรรศการทั้ง 4 ห้อง ได้แก่ ห้องที่ 1 Thai Mobility จัดแสดงเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จําลองและราชรถจําลอง ให้ความรู้เกี่ยวกับการเดินทางของคนไทยในอดีต ห้องที่ 2 Mobility of Life นําเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน ห้องที่ 3 Mobility of the Future นําเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน 360 องศา เพื่อแสดงภาพในอนาคตของประเทศไทยที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาค และห้องที่ 4 Heart of Mobility นําเสนอภาพยนตร์สั้น บอกเล่าเรื่องราวเสน่ห์ของประเทศไทย ในหลากหลายมิติ ที่สร้างความประทับใจให้ชาวต่างชาติเดินทางมาเยี่ยมเยือน ทําธุรกิจ หรือใช้ชีวิตในประเทศไทย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49319 |