question_id
int32
1
4k
article_id
int32
665
954k
context
stringlengths
75
87.2k
question
stringlengths
11
135
answers
sequence
3,448
50,638
ฤคเวท ฤคเวท () เป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท แต่งขึ้นเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบทสวดที่วางท่วงทำนองในการสวดไว้อย่างตายตัว กล่าวถึงบทสรรเสริญคุณ อำนาจแห่งเทวะ และประวัติการสร้างโลก รวมถึงหน้าที่ของพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง ซึ่งจะใช้ในพิธีการบรวงสรวงเทพเจ้าต่างๆ ของชาวอารยัน ตามประเพณีของฮินดูแล้ว การแบ่งหมวดหมู่ของคัมภีร์พระเวทนี้ วยาส ( ผู้แต่งมหากาพย์ มหาภารตะ ) เป็นผู้ทำขึ้นโดยรับคำสั่งจากพระพรหมณ์ การจัดรวบรวมบทสวดในคัมภีร์ฤคเวทนี้ เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา มีบทสวดทั้งหมด 1,028 บท เป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้งสี่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเรียกรวมกันว่า "พระเวท" และนับเป็นบทสวดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ เนื้อหาด้านชาติพันธุวิทยาและภูมิศาสตร์ที่ปรากฏในฤคเวทนั้น เป็นหลักฐานแสดงว่าฤคเวทนั้นมีมานานกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาลเนื้อหา เนื้อหา. คัมภีร์ฤคเวท มักแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ลักษณะ ลักษณะที่ 1 คือ แบ่งเป็นมัณฑละ มีด้วยกันทั้งหมด 10 มัณฑละ หรือมณฑล แต่ละมณฑลประกอบด้วยบทสวด หรือสูกตะต่างๆ แต่ละมัณฑละมีจำนวนสูกตะไม่เท่ากัน ตั้งแต่ประมาณ 50 ถึง 200 สูกตะ ในแต่ละสูกตะประกอบด้วยคาถาหรือมันตระจำนวนมากน้อยต่างกันไป นอกจากนี้อาจแบ่งฤคเวทในลักษณะที่ 2 เป็นอัษฎก โดยแบ่งได้เป็น 8 อัษฏก แต่ละอัษฏกประกอบด้วยมันตระ แต่ละมันตระประกอบด้วยวรรค แต่ละวรรคประกอบด้วยฤจะ (หรือคำ) แต่ละฤจนับแยกเป็นอักษระ (หรือ ตัวอักษร) อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปนิยมแบ่งเป็นมัณฑละ โดยมีรายละเอียดดังนี้- มัณฑละที่ 1 มีด้วยกัน 191 สูกตะ 2006 มันตระ เป็นบทสวดสรรเสริญพระอัคนิ พระอินทร์ พระวรุณ พระมิตร เหล่าพระอัศวิน เหล่าพระมรุต พระอุษัส (อุษา) พระสูรยะ, พระฤภุส, พระวายุ, พระพฤหัสบดี, พระวิษณุ, สวรรค์และโลก (ในฐานะเทพบิดร) และวิศเวเทวา (ทวยเทพทั้งปวง) - มัณฑละที่ 2 มีด้วยกัน 43 สูกตะ 492 มันตระ เนื้อหาส่วนใหญ่สรรเสริญพระอัคนิและพระอินทร์ - มัณฑละที่ 3 มีด้วยกัน 62 สูกตะ 617 มันตระ ส่วนใหญ่เป็นบทสวดสรรเสริญพระอัคนิ พระอินทร์ และวิศเวเทวา - มัณฑละที่ 4 มีด้วยกัน 58 สูกตะ 589 มันตระ สรรเสริญเทพเจ้าหลายองค์ นอกจากพระอัคนิ พระอินทร์แล้ว ยังมีพระฤภุส, อัศวิน, พฤหัสบดี วายุ อุษา เป็นต้น - มัณฑละที่ 5 มีด้วยกัน 87 สูกตะ 727 มันตระ สรรเสริญพระอัคนิ พระอินทร์ และวิศเวเทวา รวมทั้งพระมรุต พระมิตร-วรุณ และเหล่าอัศวิน - มัณฑละที่ 6 มีด้วยกัน 75 สูกตะ 765 มันตระ ส่วนใหญ่สรรเสริญพระอัคนิ พระอินทร์ และวิศเวเทวา - มัณฑละที่ 7 มีด้วยกัน 104 สูกตะ 841 มันตระ สรรเสริญเทพ และเทพีสรัสวดี (เทพแห่งแม่น้ำและการเรียนรู้) - มัณฑละที่ 8 มีด้วยกัน 103 สูกตะ 1636 มันตระ สรรเสริญเทพทั้งหลาย - มัณฑละที่ 9 มีด้วยกัน 114 สูกตะ 1108 มันตระ เนื้อหาทั้งหมดกล่าวถึงโสม ปวมาน หรือการทำพิธีด้วยน้ำโสม - มัณฑละที่ 10 มีด้วยกัน 191 สูกตะ 1754 มันตระ นอกจากสรรเสริญเทพเจ้าแล้ว ยังเป็นบทสวดในพิธีสมรส หรืองานศพด้วย. การอ้างถึงฤคเวทนิยมใช้ตัวเลขระบุลำดับที่ของหมวดนั้นๆ เช่น 1.1.1 หมายถึง มัณฑละที่ 1 สูกตะที่ 1 มันตระที่ 1 เป็นต้น,
ฤคเวท เป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวทที่แต่งขึ้นเมื่อใด
{ "answer": [ "3000 ปีก่อนคริสตกาล" ], "answer_begin_position": [ 144 ], "answer_end_position": [ 163 ] }
3,449
35,798
ลมหวน (นวนิยาย) ลมหวน เป็นชื่อนวนิยายของโสภาค สุวรรณ สร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2508 โดยดอกดิน กัญญามาลย์ นำแสดงโดยมิตร ชัยบัญชา, เพชรา เชาวราษฎร์, วิไลวรรณ วัฒนพานิช ล่าสุดถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ฉายทางไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อ พ.ศ. 2549 ผลิตโดย ทีวีซีน นำแสดงโดย อธิชาติ ชุมนานนท์, พรชิตา ณ สงขลา ละครโทรทัศน์ ละครโทรทัศน์. ลมหวน เป็นละครโทรทัศน์แนวดราม่า บทประพันธ์ของ โสภาค สุวรรณ บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต กำกับการแสดงโดย กฤษณ์ ศุกระมงคล ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด ออกอากาศทุกวันศุกร์–อาทิตย์ เวลา 20.30 - 22.30 น. ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นำแสดงโดย อธิชาติ ชุมนานนท์, พรชิตา ณ สงขลา และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มตอนแรกวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2549–15 เมษายน พ.ศ. 2549เรื่องย่อรายชื่อนักแสดงและการสร้าง
นวนิยายของโสภาค สุวรรณ เรื่องลมหวน ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2508" ], "answer_begin_position": [ 177 ], "answer_end_position": [ 181 ] }
3,450
445,584
กัมปาลา กัมปาลา () เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศยูกันดา ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบวิกตอเรีย มีอุตสาหกรรมสิ่งทอและการแปรรูปอาหาร จากข้อมูลปี ค.ศ. 2011 คาดว่ามีประชากรราว 1,659,600 คน
เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศยูกันดามีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "กัมปาลา" ], "answer_begin_position": [ 90 ], "answer_end_position": [ 97 ] }
3,451
530,895
พฤติกรรมวิทยา พฤติกรรมวิทยา () เป็นสาขาวิชาหนึ่งของสัตววิทยา ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์ โดยจะเน้นไปที่การศึกษาพฤติกรรมภายใต้สภาวะตามธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดแบบพฤติกรรมนิยม (behaviorism) ในทางจิตวิทยา ที่จะศึกษาพฤติกรรมต่างๆ โดยมีการวางเงื่อนไข คำว่า ethology เริ่มใช้กันแพร่หลายในปี 1902 โดยนักกีฏวิทยาชาวอเมริกัน วิลเลียม มอร์ตัน วีลเลอร์ (1865-1937) โดยมาจากคำ 2 คำในภาษากรีกคือ ethos ("คุณลักษณะ") และ logos ("การศึกษา")
พฤติกรรมวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของวิชาใด
{ "answer": [ "สัตววิทยา" ], "answer_begin_position": [ 139 ], "answer_end_position": [ 148 ] }
3,452
530,895
พฤติกรรมวิทยา พฤติกรรมวิทยา () เป็นสาขาวิชาหนึ่งของสัตววิทยา ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์ โดยจะเน้นไปที่การศึกษาพฤติกรรมภายใต้สภาวะตามธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดแบบพฤติกรรมนิยม (behaviorism) ในทางจิตวิทยา ที่จะศึกษาพฤติกรรมต่างๆ โดยมีการวางเงื่อนไข คำว่า ethology เริ่มใช้กันแพร่หลายในปี 1902 โดยนักกีฏวิทยาชาวอเมริกัน วิลเลียม มอร์ตัน วีลเลอร์ (1865-1937) โดยมาจากคำ 2 คำในภาษากรีกคือ ethos ("คุณลักษณะ") และ logos ("การศึกษา")
พฤติกรรมวิทยาเป็นการศึกษาเกี่ยวกับอะไร
{ "answer": [ "พฤติกรรมของสัตว์" ], "answer_begin_position": [ 166 ], "answer_end_position": [ 182 ] }
3,453
53,707
อาหม อาหม (; อาโหมะ) หรือ ไทอาหม กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยในรัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย เดิมใช้ภาษาอาหม ในกลุ่มภาษาย่อยไท-พายัพ ซึงเป็นภาษาในกลุ่มภาษากัม-ไท ตระกูลภาษาไท-กะได แต่ชาวอาหมในปัจจุบันนั้นหันไปใช้ภาษาตระกูลอินโด-ยุโรเปียนแล้ว จนเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 21 ชาวอาหมได้เกิดความสนใจในวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน จึงเกิดความพยายามที่จะศึกษาและฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิมมากยิ่งขึ้น ชาวอาหมในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่าชาวไทกลุ่มอื่นที่อพยพมายังอัสสัม ซึ่งในปี ค.ศ. 1990 ชาวอาหมมีจำนวนประชากรราว 2 ล้านคนในรัฐอัสสัม และรัฐอรุณาจัลประเทศ และมีชาวอัสสัมราว 8 ล้านคนที่อ้างว่ามีบรรพบุรุษหรือสืบเชื้อสายมาจากชาวอาหมประวัติ ประวัติ. ราว พ.ศ. 1763 ใกล้เคียงกับสมัยที่ตั้งอาณาจักรสุโขทัย ชาวไทพวกหนึ่ง ชื่อว่า "อาหม" ได้อพยพเข้ามาในดินแดนนี้ โดยข้ามภูเขาปาดไก่ทางเหนือของพม่า ไทพวกนี้มาจากอาณาจักรไทโบราณอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่า "ปง" คือโมกอง (เมืองกอง) ในพม่าทางเหนือ และเริ่มประวัติศาสตร์อาหมเมื่อ พ.ศ. 1796 เมื่อเสือก่าฟ้า ปฐมบรมราชวงศ์อาหมได้วางรากฐานในอาณาจักรของพระองค์ ช่วงแรกของชาวอาหมนั้นอพยพมาตามตำนานกล่าวไว้ว่ามีกษัตริย์ 1 พระองค์ ขุนนาง 8 คน ช้าง 2 เชือก และม้าอีก 300 ตัว ประชากร 9,000 คน รวมทั้งสตรี และเด็ก อาหมเป็นไทพวกเดียวกับไทใหญ่ เมื่อแรกเข้าไป ได้ตั้งภูมิลำเนาลงที่ นามรูป และได้พบชนเจ้าของถิ่นสองข้างข้างหนึ่งคือ ชุติยะซึ่งครองทางตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณสิริ อีกข้างหนึ่งมาจากโมราน ยึดครองพื้นที่แม่น้ำทิขุ และแม่น้ำทิหิง พวกอาหมต้องพิพาทกับพวกโมราน และราว พ.ศ. 1779 อาหมจึงตั้งเมืองหลวงที่อภัยปุระ ต่อมาอีก 20 ปีก็ขยายตัวออกไปตั้งเมืองใหม่ชื่อ เมืองเจ้รายดอย เป็นเมืองหลวงแรกแห่งอาณาจักรอาหม เมื่อย้ายเมืองหลวงไปที่อื่น ก็ยังให้ความสำคัญแก่เมืองเจ้รายดอย พระศพของกษัตริย์จะถูกฝังที่เมืองนี้ เวลาอาหมรบชนะ ก็จะตัดหัวของข้าศึกมาฝังที่เจ้รายดอยพงศาวดาร พงศาวดาร. ชาวไทอาหมเป็นพวกที่รู้หนังสือ จึงมีตำนานพงศาวดารเป็นของตนเอง ตำนานเล่มนี้เรียกว่าบุราณจี (Ahom Buranji อ่านว่า อาหม บุราณจี ) เป็นเอกสารที่ช่วยให้ศึกษาประวัติศาสตร์ของไทอาหมได้ดี และส่วนใหญ่บุราณจีนั้นจะเขียนด้วยภาษา และอักษรอาหม ซึ่งคาดว่าชาวอาหมอ่านไม่ออกตั้งแต่ 200-400 ปีที่แล้ว ในพงศาวดารนี้ก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับนิยายการสร้างโลก ประวัติต้นตระกูลกษัตริย์อาหม ประเพณี และวัฒนธรรม รวมไปถึงพระราชประวัติของกษัตริย์อาหมในแต่ละพระองค์วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา. อาหมเป็นชาวไทที่ไม่ได้รับศาสนาพุทธ เมื่อเสือก่าฟ้านำชาวไทจากเมืองเมาหลวงในรัฐฉานจำนวน 90,000 คน ข้ามช่องเขาปาดไก่มาตั้งอาณาจักรในลุ่มแม่น้ำพรหมบุตรในปี ค.ศ. 1228 และตลอดเวลากว่า 600 ปีที่เป็นเอกราช สังคมอาหมเองก็ไม่ได้รับความเชื่อจากศาสนาพุทธเลย ผีของชาวอาหมเกิดจากธรรมชาติและบรรพบุรุษ โดยอาหมบุราณจีภาคสวรรค์ ได้กล่าวว่า ฟ้า (หรือ ฟ้าตือจึ้ง) เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง เป็นผู้สร้างเลงดอน (หรือ ฟ้าเหนือหัว) ผู้ครองเมืองฟ้า เลงดอนได้ส่งขุนหลวงขุนหลายผู้เป็นหลานลงมาครองเมืองมนุษย์พร้อมกับชาวฟ้าจำนวนหนึ่ง ขุนหลวงขุนหลายจึงเป็นบรรพบุรุษของเสือก่าฟ้า ส่วนชาวฟ้าที่ลงมาด้วยก็เป็นบรรพบุรุษของชาวไท เมื่อขุนหลวงขุนหลายลงมาจากฟ้า ครั้งนั้นบนพื้นดินเองก็มีคนชาติอื่นอยู่แล้ว บนเมืองฟ้าหรือที่ภาษาอาหมเรียกว่า เมืองผี มีเทพหรือผีต่างๆ หลายองค์ ตามที่ปรากฏในอาหมบุราณจี เช่น ฟ้าสางดิน, แสงกำฟ้า (เทพแห่งสายฟ้า), งี่เงาคำ (หรือ ฟ้าบดร่มสางคำ), เจ้าสายฝน, นางแสงดาว, ย่าแสงฟ้า (เทพแห่งปัญญา), แลงแสง, ลาวขรี (เทพแห่งการก่อสร้าง), ขุนเดือน และขุนวัน เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าผีเหล่านี้เป็นธรรมชาติ คือ ฟ้า ดิน แสง เดือน ตะวัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อผีจากธรรมชาติอีกหลายองค์ เช่น สายลม, ผีไฟ, ผีตามทุ่ง, นางอ้ายดอกคำแดง, ผีเถื่อน (ภาษาอาหมเรียก ป่า ว่า เถื่อนหรือ ดง), ผีขุงชั้นหมอก, ผีขุงชั้นขุงเหมือย, ผีดอย ฯลฯ นอกจากนี้ชาวอาหมยังนับถือผีบรรพบุรุษด้วย โดยบุราณจีภาคสวรรค์ได้กล่าวถึง แสงก่อฟ้า กษัตริย์พระองค์หนึ่ง เมื่อสวรรคตไปแล้วกลายเป็นผีเรือนคอยดูแลทุกข์สุขของคนในครอบครัว ความว่า "แสงก่อฟ้า...ตายเป็นด้ำผีเรือนช่วยคุ้ม" ส่วนอาหมบุราณจีภาคพื้นดินได้กล่าวถึง ผีด้ำ ซึ่งตามพจนานุกรมอาหมแปลว่า คนที่ตายไปแล้ว และคำว่า ด้ำเรือน มีความหมายว่า บรรพบุรุษที่ตายไปแล้วกลายเป็นผีเฝ้าเรือน โดยในอาหมบุราณจีภาคพื้นดิน ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า "เจ้าฟ้าจึงมาเมืองมาตักแขก (เคารพบูชา) ผีด้ำที่ว่านี้" และกล่าวถึงกษัตริย์อาหมประกอบพิธีเมด้ำเมผี ชาวอาหมถือว่าบรรพบุรุษที่เหนือเราไปชั้นแรกๆ หรือผู้ที่ตายไปไม่กี่ชั่วอายุคนจะคอยปกป้องครอบครัวญาติพี่น้องที่ยังอยู่ แต่หากตายไปนานมากแล้วก็จะขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นฟ้าไม่ลงมาช่วยเราอีก โดยความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษที่คอบปกป้องดูแลลูกหลานยังมีอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน ที่มีหิ้งบูชาในเรือน โดยบนหิ้งนั้นถือเป็นที่สิงสถิตของผีบรรพบุรุษหลายซับหลายซ้อน หรือหลายชั่วอายุคนจนนับไม่ได้ ชาวอาหมไม่เคยสูญเสียการบูชาบรรพบุรุษ เพียงแต่หันไปนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุสูญเสียสถานะในการปกครองไปจึงกลายเป็นพวกนอกวรรณะ ปัญญาชนชาวอาหมที่เป็นผู้นำในการเลิกนับถือศาสนาฮินดูได้ทำให้พิธีการบูชาบรรพบุรุษเด่นชัดขึ้น พร้อมทั้งมีการจัดพิธีไหว้ผีเป็นประจำ โดยมีการตั้งหลักไฟ ซึ่งเป็นเสาไม้จุดรายรอบปะรำเล็กๆ ไหว้บรรพบุรุษ รวมไปถึงพิธีบูชาบรรพบุรุษที่เรียกว่า เมด้ำเมผี ครั้งใหญ่ที่สุดในเมืองรังคปุระ แต่ชาวอาหมฮินดูบางส่วนอย่างเช่นในหมู่บ้านบอราโจโหกีจึงมีแนวโน้มหันไปนับถือศาสนาพุทธกันมากขึ้นเพื่อลดปัญหาเกี่ยวกับวรรณะ โดยมีนายทนุราม โกกอย เป็นชาวไทอาหมคนแรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ โดยปฏิบัติศาสนกิจกันที่วัดทิสังปานี ในหมู่บ้านทิสังปานี ของชาวไทคำยัง ปัจจุบันชาวอาหมได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูวัฒนธรรมของตนเองขึ้นใหม่ มีความต้องการผู้เชี่ยวชาญทางภาษาชาวไทยให้ความช่วยเหลือทางด้านการฟื้นฟูภาษา เพราะในบรรดาเผ่าไททั้งหลายมีไทยสยามที่มีเสถียรภาพทุกด้าน ทั้งยังมีการเสนอว่าหากใช้ภาษาไทยเป็นแกนกลางในการประสานงานคนไททุกเผ่าเข้าด้วยกัน วัฒนธรรมไทก็จะเป็นเอกภาพมากขึ้น ทั้งนี้อาหมไม่ได้ต้องการความบริสุทธิ์ของภาษา แต่ต้องการให้พัฒนาภาษาไทที่พวกเขาจะกลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน มีการสร้างสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวอาหมคือ งีเงาคำ เทพเจ้าของชาวอาหม มีการกลับมาใช้ศักราชเสือก่าฟ้า การใช้คำว่า เจ้า และ นาง นำหน้านาม การตั้งอนุสาวรีย์หล้าเจ็ด ซึ่งเป็นวีรบุรุษชาวอาหม และบางบ้านก็มีการประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยไว้ด้วย แต่การฟื้นฟูวัฒนธรรมต้องใช้เวลานาน เนื่องจากอัสสัมเป็นดินแดนปิด และรัฐบาลกลางของอินเดียก็ไม่อยากให้อัสสัมติดต่อกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศไทย เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนประเทศอินเดีย อินเดียก็มิได้จัดให้พระองค์เสด็จแวะเยือนชาวไทในอัสสัม นอกจากนี้ชาวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้าไปอัสสัมจะต้องขอใบอนุญาตพิเศษจากรัฐบาลกลางของอินเดียเสียก่อน ถือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูวัฒนธรรมอาหมในปัจจุบันประเพณี ประเพณี. ก่อนได้รับอิทธิพลจากพราหมณ์-ฮินดู ชาวอาหมนับถือผี พิธีกรรมมักปรากฏให้เห็นถึงการบูชาผี, ผีธรรมชาติ และผีบรรพบุรุษ เพราะชาวอาหมเชื่อว่าผีสามารถดลบรรดาลให้ชีวิตเป็นอย่างไรก็ได้ ในภาษาอาหมจะเรียกการบูชาผีว่า เมด้ำเมผี, แขกผี, นอกผี, ไหว้ผีไหว้สาง เป็นต้น โดยในอาหมบุราณจีได้ปรากฏเรื่องเกี่ยวกับผี ในรัชสมัยของเสือเปิงเมืองฟ้า (ครองราชย์ 1663-1669) ที่เสียเมืองเจ้หุงแก่จักรวรรดิโมกุล ว่าเป็นเพราะ "ผีสางให้เป็นดังนี้กอย" โดยการบูชาผีจะมีในทุกพิธีที่สำคัญของชาวอาหมอย่างพิธีราชาภิเษก (เฮ็ดเจ้า หรือ เฮ็ดขุนนั่งเมือง), พิธีแต่งงาน (ปลงสาวปลงชู้), ปีที่ดาวให้โทษต่อเมือง (หลักนีค่ำเมือง) หรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย (ล้มไข้ หรือ หลอนหนาว) โดยในพิธีเรียกขวัญเจ้าฟ้าวันราชาภิเษกทั้งหมดจะเป็นการเรียกผีเฉพาะผีชั้นฟ้าให้ช่วยในการปกครองบ้านเมืองของเจ้าฟ้า เจ้าฟ้าจะอ้างตนเป็นหลานของผีชั้นฟ้า สิ่งของที่ใช้ในการบูชาผี ได้แก่ ข้าว ผัก ดอกไม้ อ้อย หมากพลู ไข่ ไก่ เป็ด หมู และควาย เป็นต้น สำหรับสิ่งมีชีวิตมีการฆ่าภายในพิธีนั้นเลยในบางครั้ง อย่างเช่นในพิธีราชาภิเษกจะมีการฆ่าควาย ส่วนการฆ่าคนสังเวยผีปรากฏในอาหมบุราณจีเพียงครั้งเดียวในรัชสมัยของเสือปาดฟ้า (ครองราชย์ ค.ศ. 1681-1696) กล่าวว่า "สองขานี้ให้ผีหลวง" และอีกตอนหนึ่งว่า "ชื่อมันเลบา ผู้ 1 หัวปาก (หัวร้อย หรือ นายร้อย)... ผู้ 1 พ้อยเสาแก่โล ผู้ 1 นี้สามตัวว่าจำให้ที่ผีใส่เหล็กขื่อแขวนไว้" ขณะที่กรุงศรีอยุธยาเองก็มีการสังเวยคนเช่นกัน ด้วยการใส่หลุมก่อนลงเสาสร้างเมือง การฝังคนตายเป็นประเพณีของชาวอาหม ในอาหมบุราณจีมีการกล่าวถึงการฝังศพ เนื่องจากในรัชสมัยของเสือใหญ่ฟ้าคำเมือง (ครองราชย์ ค.ศ. 1769-1780) ได้เกิดปัญหาเกี่ยวกับพิธีปลงพระศพ ว่าจะฝังหรือเผาพระศพกษัตริ์องค์ก่อน เนื่องจากอิทธิพลของศาสนาฮินดูแพร่เข้ามา ทำให้เกิดเป็นประเพณีใหม่ขึ้น จากคริสต์ศตวรรษที่ 18 หมอหลวงของลัทธิฟ้าหลวงของอาหม 2 คน จึง "นั่งต่างผีเล่ากอย แย้มเมื่อแก่นไข่ฟ้า ลงมาชั่วปู่ชั่วพ่อ ปู่เหลนปู่เถ้า ร่างตายฝังไว้" โดยชิฮาบุดดีน ทาลิส (Shihabuddin Talish) ได้ระบุว่า ศพของเจ้าฟ้าและคนธรรมดา จะถูกฝังและใส่สิ่งของโดยเอาหัวหันไปทางทิศตะวันออก แต่สำหรับเจ้าฟ้าจะมีการฝังภรรยาและคนใช้ไปด้วย พร้อมกับตะเกียงและน้ำมันปริมาณมากและคนถือตะเกียง และเขายังอ้างต่อไปว่า พวกโมกุลที่ขุดที่ฝังพระศพกษัตริย์อาหม 10 แห่ง ค้นพบสมบัติมากมาย โดยชาวอาหมจะเรียกสถานที่ฝังศพว่า ป่าเห้ว หรือ สวนผี ปัจจุบันพวกที่สืบเชื้อสายมาจากชั้นพระและตระกูลบางตระกูลยังคงมีการฝังคนตายอยู่ภาษา ภาษา. ภาษาอาหมถือเป็นภาษาไทยุคเก่า โดย อ.วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับภาษาอาหมและภาษาในจารึกสุโขทัยที่คล้ายคลึงกันมาก และมากกว่าภาษาถิ่นไทในปัจจุบัน ในภาษาอาหมจะไม่มีการใช้คำราชาศัพท์ คำที่ใช้พูดอยู่ก็สามารถกับกษัตริย์หรือเจ้าได้ การแสดงออกถึงความเป็นเจ้านายทางภาษาจึงไม่มีมากนัก เมื่อเสือก่าฟ้าได้นำผู้คนอพยพเข้ามายังอัสสัม ก็พบชาวไทเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่แล้ว โดยในอาหมบุราณจีได้เรียกคนกลุ่มดังกล่าวว่า ผู้เขาอันเก่า และในรัชกาลของเสือก่าฟ้าก็ยังมีการแลกเปลี่ยนทูตระหว่างอาหมกับเมืองเมา จนในรัชสมัยของเสือดังฟ้าทรงปรารภในปี ค.ศ. 1382 ว่านับเวลา 8 ปีแล้วที่ไม่ได้มีสัมพันธ์ทางการทูตกับเมืองเมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อกันระหว่างอาหมกับรัฐไทกลุ่มอื่นตลอดมา แม้แต่ในรัชสมัยของเสือห่มเมืองและเสือคำฟ้า ก็ทรงอภิเษกกับสตรีชาวเมืองกอง ซึ่งเป็นเหตุให้มีชาวไทอพยพเข้ามายังเมืองนุนสุนคำมากขึ้น แต่หลังปี ค.ศ. 1638 เมืองกองได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า การติดต่อจากยุติลง ประกอบการเกิดสงครามกลางเมืองของอาหม รวมทั้งการสูญเสียอำนาจของนักบวชเทวไทกับราชสำนัก ทำให้ภาษาอาหมเริ่มถูกละเลย แม้จะมีชาวไทกลุ่มอื่นที่นำภาษาไท และศาสนาพุทธเข้าไป แต่ชาวอาหมก็มิได้ให้ความสนใจ โดยในรัชกาลของเสือใหญ่ฟ้างำเมือง ได้มีการทะเลาะวิวาทระหว่างเทวไทอาหมกับนักบวชฮินดู เกี่ยวกับการปลงพระศพอดีตกษัตริย์ เนื่องจากประเพณีอาหมเดิมให้มีการฝัง กับประเพณีฮินดูที่ให้มีการเผาพระศพ เซอร์จอร์จ อับราฮัม กรีเออร์สัน (Sir George Abraham Grierson) ได้ระบุว่าภาษาอัสสัมเริ่มเข้ามามีอิทธิพลและเข้ามาแทนที่ภาษาอาหมประมาณต้นศตวรรษที่ 18 จาก ค.ศ. 1720 เป็นต้นมา โดยข้าราชการฮินดูที่มีตำแหน่งทางฮินดูไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอาหม แต่ภาษาอาหมยังถูกใช้เป็นภาษาพูดจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 และชนชั้นพระชาวอาหมหรือเทวไท ยังคงใช้พูดระหว่างกันอีก 50 ปีต่อมา หรือจนถึงประมาณ ค.ศ. 1850 ส่วน S.K. Bhuyan ได้เขียนไว้เมื่อปี ค.ศ. 1930 ได้กล่าวถึงว่าในขณะนั้นมีบัณฑิตนามว่า ราย สาหิบ โคลัป จันทรา พารัว (Rai Sahib Golap Chandra Barua) เพียงคนเดียวที่รู้ภาษาอาหมจริง และไม่มีผู้ที่จะสืบความรู้นั้นได้ในระยะใกล้นั้น โดย Bhuyan ได้พยากรณ์ไว้ว่าอย่างช้าอีก 20 ปีข้างหน้า (คือในปี ค.ศ. 1950) จะไม่มีคนรู้ภาษาอาหมเลย และภาษาของผู้ปกครองอัสสัมจะกลายเป็นภาษาลึกลับที่ไม่มีนักโบราณคดีและนักภาษาผู้ใดจะไขความหมายได้ ปัจจุบันแม้ชาวอาหมจะใช้ภาษาอัสสัมในการพูดและเขียนไปแล้ว แต่เหล่านักบวชและชาวอาหมทั่วไปยังคงใช้ภาษาอาหมในการสวดในพิธีกรรมทางศาสนาแบบดั้งเดิมต่าง ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งปัจจุบันมีเทวไทที่รู้ภาษาอาหมในพิธีกรรมทางศาสนาประมาณ 100-200 คนการฟื้นฟูภาษา การฟื้นฟูภาษา. มีการฟื้นฟูภาษาอาหมโดยขบวนการฟื้นฟูภาษาวัฒนธรรมอาหม โดยมีการตั้งโรงเรียนภาษาไทขึ้นที่หมู่บ้านปัตซากุ เมืองศิวสาคร เมื่อ ดร. บรรจบ พันธุเมธา นักนิรุกติศาสตร์ชาวไทย ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าวในปี ค.ศ. 1955 โรงเรียนดังกล่าวก็ได้ล้มเลิกการสอนไปแล้ว เนื่องจากขาดผู้สอน ในช่วงที่ผ่านมาชนชั้นพระโดยเฉพาะท่านทัมพารุธาร เทวไธ ผู้การ (Dambarudhar Deodhai Phukan, 1912-1993) หมออาวุโสแห่งหมู่บ้านปัตซากุได้เสนอให้ชาวอาหมก่อตั้งสมาคมฟื้นฟูวัฒนธรรมไทขึ้นมา ชื่อ วันออกพับลิกเมืองไท (Ban Ok Pop Lik Mioung Tai) ที่เมืองเธมชี (Dhemaji) เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1981 โดยสมาคมได้รื้อฟื้นโรงเรียนภาษาไทที่บ้านปัตซากุ และอีก 350 หมู่บ้านทั่วรัฐอัสสัม มีการผลักดันให้รัฐอัสสัมเริ่มให้การศึกษาภาษาไทระดับประถมศึกษา โดยมีการจ้างครูผู้สอนภาษาไทจำนวน 200 คน เริ่มในปี ค.ศ. 1993 ที่เมืองเธมชี โดยมีปัญญาชนอาหมคนหนึ่งชื่อ เสือดอยฟ้า เถ้าเมือง (Nagen Bargohain) ได้รวบรวมทำตำราภาษาอาหมเล่มหนึ่งเพื่อใช้เป็นบทเรียน โดยสมาคมดังกล่าวได้ออกสิ่งพิมพ์และหนังสือทางวัฒนธรรมวิชาการอย่างสม่ำเสมอ แต่จุดหมายระยะยาวขององค์กรคือการจัดตั้งรัฐอาหม หรือเมืองนุนสุนคำขึ้นใหม่โดยยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดีย รวมทั้งมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย, รัฐฉานในพม่า และเขตปกครองตนเองเต๋อหงของจีน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งสมาคมวรรณกรรมไทตะวันออก (Eastern Tai Literary Association) ที่เมืองกูวาฮาติ โดยสมคมมุ่งมั่นปฏิบัติให้พัฒนาการเรียน เขียนอ่านภาษาอาหม พร้อมกันนี้ให้สนับสนุนให้ค้นคว้าศึกษาเอกสารโบราณของชาวอาหมอย่างจริงจัง การฟื้นฟูภาษาอาหมนั้นอาศัยสัทวิทยาของภาษาพี่น้อง เช่น ภาษาอ่ายตน และภาษาพ่าเก โดยภาษาดังกล่าวจะถูกเรียกว่า ภาษาไทในอัสสัม เนื่องจากประกอบไปด้วยคำไททุกกลุ่มในรัฐอัสสัม หากการฟื้นฟูดังกล่าวได้ผลภาษาเขียนในรัฐอัสสัมจะใช้อักษรอาหมเป็นหลักแทนอักษรไทอื่นๆ ในรัฐอัสสัม โดยอาศัยพื้นฐานภาษาอ่ายตนในรัฐอัสสัม เนื่องจากใกล้เคียงกับภาษาอาหมมากที่สุด ชาวอาหมอาจอาศัยชาวอ่ายตนในการรื้อฟื้นภาษาคำบรรยายเกี่ยวกับชาวอาหม คำบรรยายเกี่ยวกับชาวอาหม. บุคลิกลักษณะของชาวอาหมนั้น ตามพงศาวดารของยุคราชวงศ์โมกุล แห่งอินเดียในยุคนั้น โดยฟาติยะ อิบริยะ ซึ่งติดตามไปกับกองทัพอิสลามซึ่งรบกับอาหม เมื่อปี พ.ศ. 2200 ได้บรรยายลักษณะของชาวอาหมไว้ว่า "ชาวอาหมมีรูปร่างล่ำสัน ชอบทะเลาะวิวาท กระหายเลือด ปราศจากความเมตตา ชั่วช้า ทรยศ ในเรื่องความโกหกหลอกลวง ไม่มีใครใต้ดวงอาทิตย์จะสู้พวกอาหมได้ สตรีอาหมมีรูปร่างเล็กแบบบาง ผมยาว ผิวละเอียดอ่อนเกลี้ยงเกลา มือเท้าเล็กเรียว ดูไกล ๆ สวย แต่ช่วงขาไม่ได้ส่วนสัด ถ้าดูใกล้ยิ่งน่าเกลียด ชาวอาหมโกนศีรษะ โกนหนวดเครา ภาษาที่พูดคือภาษาพื้นเมืองไทใหญ่" ผู้เขียนตำนานอีกคนหนึ่งนามว่า อาลัมกิรนามะ ก็เขียนไว้ว่า "ชาวอาหมไม่มีศีลธรรม ไม่มีศาสนาประจำชาติ ทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่มีกฎเกณฑ์ เห็นว่าการกระทำของตนถูกต้องเสมอ ลักษณะท่าทางของชาวอาหมส่อให้เห็นพลกำลัง และความทรหดอดทน ซ่อนกิริยา และอารมณ์อันโหดร้ายทารุณเอาไว้ข้างใน ชาวอาหมอยู่เหนือชนชาติอื่นๆในด้านกำลังกาย และความทนทาน เป็นชาติขยันขันแข็ง ชอบสงคราม อาฆาตจองเวร ตลบแตลง และหลอกลวง ปราศจากคุณธรรม ความเมตตากรุณา ความเป็นมิตร ความสุภาพ เมล็ดพืชแห่งความอ่อนโยน และมนุษยธรรมไม่ได้หว่านลงในดินแดนของชนชาตินี้เลย"ชาวอาหมที่มีชื่อเสียงชาวอาหมที่มีชื่อเสียง. - โปรบิน โกกอย (Probin Gogoi) รัฐมนตรีรัฐบาลแห่งรัฐอัสสัม - โจเกนดรา เอ็น พูคาน (Jogendra N. Phukan) นักวิชาการอิสระ และอาจารย์มหาวิทยาลัยกูวาฮาติ - บุษบา โกกอย (Busba Gogoi) นักวิชาการอิสระ และเลขาธิการสมาคม Ban OK Pub Lik Mioung Tai. - นาเกน ฮาซาริกา (Naken Harzarika) นักวิชาการอิสระ - ทนุราม โกกอย ชาวอาหมพุทธคนแรก และผู้นำชาวพุทธอัสสัม
อาหมเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศใด
{ "answer": [ "อินเดีย" ], "answer_begin_position": [ 164 ], "answer_end_position": [ 171 ] }
3,454
263,039
เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ (22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 — ) ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บก.ปส.) และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 ถึงกันยายน พ.ศ. 2555ประวัติ ประวัติ. พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ที่กรุงเทพมหานคร มีชื่อเล่นว่าอ๊อบ เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของพลตำรวจโท เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ กับคุณหญิงพจนีย์ ณ ป้อมเพชร มีพี่น้อง 3 คนคือ พงศ์เพชร ดามาพงศ์ อดีตผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย จังหวัดเชียงราย, พลตำรวจโท นายแพทย์ พีระพงศ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และมีพี่ชายบุญธรรมคนโตอีก 1 คนคือ บรรณพจน์ ดามาพงศ์ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ เคยสมรสกับปาริชาติ ดิษยะศริน น้องสาวของนาวาอากาศเอกวีระยุทธ ภายหลังได้หย่าร้างกัน ปัจจุบันสมรสกับสาวิตรี ดามาพงศ์ (สกุลเดิม รัตนสุวรรณชาติ) ทั้งสองมีบุตรฝาแฝดเป็นชายชื่อ พาทิศ (เอิง) และเป็นหญิงชื่อ พิมพ์พิชญา (ออ)การศึกษา การศึกษา. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 12 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา มีเพื่อนร่วมรุ่น นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รุ่น 12 ที่มีชื่อเสียง คือ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร , พล.ต.ท.สุรสีห์ สุนทรศารทูล อดีต ผบช.ภ.6การรับราชการ การรับราชการ. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้าสู่วงการตำรวจ เริ่มรับราชการเมื่อปี พ.ศ. 2514 ตำแหน่งสำรองพิเศษ สังกัด กก.2ส. ต่อมาได้เป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ในปี พ.ศ. 2517 โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ผ่านการอบรมหลักสูตร นายร้อยตำรวจอบรม รุ่นที่ 16 (นรอ.16) ในตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1 กก.สส.นครบาลเหนือ และได้ดำรงตำแหน่งวนเวียนอยู่เฉพาะในเขตนครบาลเกือบ 10 ปี โดยเป็นสารวัตรสอบสวน สน.จักรวรรดิ สน.ปทุมวัน และสน.ทุ่งมหาเมฆ จนถึงปี พ.ศ. 2523 ได้เป็น สารวัตรปราบปราม สน.นางเลิ้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 จึงได้ออกต่างจังหวัดระยะสั้น ๆ โดยดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จ.ภูเก็ต ไม่ถึง 1 ปีก็กลับเข้านครบาลอีกครั้ง โดยได้ดำรงตำแหน่ง รอง ผกก. 2 ป. ตามด้วย ผกก.(กอ.รมน.) กำลังพล และ ผู้กำกับการตำรวจท่องเที่ยว ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองปราบปราม และรองผู้บัญชาการกองปราบปราม ก่อนจะดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และได้เป็น ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) เมื่อปี พ.ศ. 2543 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มีผลงานโดดเด่นด้านการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการอย่างมาก โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสเป็นอันดับ 5 ก้าวข้ามอาวุโสผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนอื่น ๆ ที่มีอาวุโสสูงกว่าในขณะนั้น 4 คน คือ พล.ต.ท.บุญเพ็ญ บำเพ็ญบุญ, พล.ต.ท.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส, พล.ต.ท.สุเทพ ธรรมรักษ์ และ พล.ต.ท.ณพัฒน์ ศรีหิรัญ และต่อมาได้ครองยศ พล.ต.อ. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเนื่องจากการมีผลงานโดดเด่นในด้านการสืบสวนปราบปรามยาเสพติดจากนโยบายของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ต่อมาหลังการ รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถูกโยกย้ายไปเป็น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านความมั่นคง ในสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากคณะรัฐประหารมองว่าพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับรัฐบาลชุดเก่า ต่อมาหลังจากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน แม้จะเพิ่งกลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2551 แต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถือเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสสูงสุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีคำสั่งศาลปกครองให้นับอาวุโสของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ต่อเนื่องตั้งแต่ได้ดำรงตำแหน่งครั้งแรก ทำให้เป็นผู้หนึ่งที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่จะเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งเมื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ.10 ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อขอความเป็นธรรม โดยยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากตนเป็นรอง ผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุด จึงควรจะได้รับตำแหน่งนี้มากกว่า โดยสาเหตุที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในฐานะที่มีอำนาจหน้าที่เสนอชื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ยอมเสนอพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์นั้นด้วยเหตุที่ว่าพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับขั้วอำนาจทางการเมืองของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้าม ต่อมาในกลางปี พ.ศ. 2554 ขณะที่คณะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ได้ขอลาพักผ่อน ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จากนั้นก็โอน พล.ต.อ.วิเชียร ไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554 คณะรัฐมนตรีจึงตั้ง พล.ต.อ.วิเชียรเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และส่งผลให้พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยังดำรงตำแหน่งอื่นอีกดังต่อไปนี้ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรรมการและประธานกรรมการธรรมาภิบาล บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน)โดยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 คณะกรรมการ บริษัท การบินไทยจำกัด(มหาชน)ได้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริษัท การบินไทยจำกัด(มหาชน)งานการเมือง งานการเมือง. ภายหลังเกษียณอายุราชการแล้ว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555 พร้อมกับศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 อีกจำนวนหนึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2546 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2544 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2542 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
ใครคือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 ถึงกันยายน พ.ศ. 2555
{ "answer": [ "เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" ], "answer_begin_position": [ 127 ], "answer_end_position": [ 147 ] }
3,455
263,039
เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ (22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 — ) ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บก.ปส.) และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 ถึงกันยายน พ.ศ. 2555ประวัติ ประวัติ. พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ที่กรุงเทพมหานคร มีชื่อเล่นว่าอ๊อบ เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของพลตำรวจโท เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ กับคุณหญิงพจนีย์ ณ ป้อมเพชร มีพี่น้อง 3 คนคือ พงศ์เพชร ดามาพงศ์ อดีตผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย จังหวัดเชียงราย, พลตำรวจโท นายแพทย์ พีระพงศ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และมีพี่ชายบุญธรรมคนโตอีก 1 คนคือ บรรณพจน์ ดามาพงศ์ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ เคยสมรสกับปาริชาติ ดิษยะศริน น้องสาวของนาวาอากาศเอกวีระยุทธ ภายหลังได้หย่าร้างกัน ปัจจุบันสมรสกับสาวิตรี ดามาพงศ์ (สกุลเดิม รัตนสุวรรณชาติ) ทั้งสองมีบุตรฝาแฝดเป็นชายชื่อ พาทิศ (เอิง) และเป็นหญิงชื่อ พิมพ์พิชญา (ออ)การศึกษา การศึกษา. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 12 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา มีเพื่อนร่วมรุ่น นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รุ่น 12 ที่มีชื่อเสียง คือ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร , พล.ต.ท.สุรสีห์ สุนทรศารทูล อดีต ผบช.ภ.6การรับราชการ การรับราชการ. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้าสู่วงการตำรวจ เริ่มรับราชการเมื่อปี พ.ศ. 2514 ตำแหน่งสำรองพิเศษ สังกัด กก.2ส. ต่อมาได้เป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ในปี พ.ศ. 2517 โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ผ่านการอบรมหลักสูตร นายร้อยตำรวจอบรม รุ่นที่ 16 (นรอ.16) ในตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1 กก.สส.นครบาลเหนือ และได้ดำรงตำแหน่งวนเวียนอยู่เฉพาะในเขตนครบาลเกือบ 10 ปี โดยเป็นสารวัตรสอบสวน สน.จักรวรรดิ สน.ปทุมวัน และสน.ทุ่งมหาเมฆ จนถึงปี พ.ศ. 2523 ได้เป็น สารวัตรปราบปราม สน.นางเลิ้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 จึงได้ออกต่างจังหวัดระยะสั้น ๆ โดยดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จ.ภูเก็ต ไม่ถึง 1 ปีก็กลับเข้านครบาลอีกครั้ง โดยได้ดำรงตำแหน่ง รอง ผกก. 2 ป. ตามด้วย ผกก.(กอ.รมน.) กำลังพล และ ผู้กำกับการตำรวจท่องเที่ยว ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองปราบปราม และรองผู้บัญชาการกองปราบปราม ก่อนจะดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และได้เป็น ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) เมื่อปี พ.ศ. 2543 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มีผลงานโดดเด่นด้านการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการอย่างมาก โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสเป็นอันดับ 5 ก้าวข้ามอาวุโสผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนอื่น ๆ ที่มีอาวุโสสูงกว่าในขณะนั้น 4 คน คือ พล.ต.ท.บุญเพ็ญ บำเพ็ญบุญ, พล.ต.ท.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส, พล.ต.ท.สุเทพ ธรรมรักษ์ และ พล.ต.ท.ณพัฒน์ ศรีหิรัญ และต่อมาได้ครองยศ พล.ต.อ. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเนื่องจากการมีผลงานโดดเด่นในด้านการสืบสวนปราบปรามยาเสพติดจากนโยบายของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ต่อมาหลังการ รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถูกโยกย้ายไปเป็น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านความมั่นคง ในสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากคณะรัฐประหารมองว่าพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับรัฐบาลชุดเก่า ต่อมาหลังจากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน แม้จะเพิ่งกลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2551 แต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถือเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสสูงสุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีคำสั่งศาลปกครองให้นับอาวุโสของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ต่อเนื่องตั้งแต่ได้ดำรงตำแหน่งครั้งแรก ทำให้เป็นผู้หนึ่งที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่จะเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งเมื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ.10 ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อขอความเป็นธรรม โดยยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากตนเป็นรอง ผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุด จึงควรจะได้รับตำแหน่งนี้มากกว่า โดยสาเหตุที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในฐานะที่มีอำนาจหน้าที่เสนอชื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ยอมเสนอพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์นั้นด้วยเหตุที่ว่าพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับขั้วอำนาจทางการเมืองของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้าม ต่อมาในกลางปี พ.ศ. 2554 ขณะที่คณะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ได้ขอลาพักผ่อน ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จากนั้นก็โอน พล.ต.อ.วิเชียร ไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554 คณะรัฐมนตรีจึงตั้ง พล.ต.อ.วิเชียรเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และส่งผลให้พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยังดำรงตำแหน่งอื่นอีกดังต่อไปนี้ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรรมการและประธานกรรมการธรรมาภิบาล บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน)โดยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 คณะกรรมการ บริษัท การบินไทยจำกัด(มหาชน)ได้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริษัท การบินไทยจำกัด(มหาชน)งานการเมือง งานการเมือง. ภายหลังเกษียณอายุราชการแล้ว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555 พร้อมกับศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 อีกจำนวนหนึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2546 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2544 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2542 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
ภรรยาคนปัจจุบันของพลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "สาวิตรี ดามาพงศ์" ], "answer_begin_position": [ 1007 ], "answer_end_position": [ 1023 ] }
3,456
126,880
อำเภอบางแพ บางแพ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดราชบุรีที่ตั้งและอาณาเขต ที่ตั้งและอาณาเขต. อำเภอบางแพตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้- ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอโพธาราม และอำเภอเมืองนครปฐม (จังหวัดนครปฐม) - ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเมืองนครปฐม อำเภอสามพราน (จังหวัดนครปฐม) และอำเภอบ้านแพ้ว (จังหวัดสมุทรสาคร) - ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอบ้านแพ้ว (จังหวัดสมุทรสาคร) และอำเภอดำเนินสะดวก - ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอโพธารามการแบ่งเขตการปกครองการปกครองส่วนภูมิภาค การแบ่งเขตการปกครอง. การปกครองส่วนภูมิภาค. อำเภอบางแพแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 7 ตำบล 65 หมู่บ้านการปกครองส่วนท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่น. ท้องที่อำเภอบางแพประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 แห่ง ได้แก่- เทศบาลตำบลบางแพ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางแพและตำบลวังเย็นทั้งตำบล - เทศบาลตำบลโพหัก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโพหักทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลหัวโพ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหัวโพทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลวัดแก้ว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลวัดแก้วทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลดอนใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลดอนใหญ่ทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลดอนคา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลดอนคาทั้งตำบล
อำเภอบางแพในจังหวัดราชบุรีแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็นกี่ตำบล
{ "answer": [ "7" ], "answer_begin_position": [ 663 ], "answer_end_position": [ 664 ] }
3,457
337,701
ปวริศา เพ็ญชาติ ปวริศา เพ็ญชาติ เป็นนักร้อง และ ผู้ประกาศข่าวรายการ สีสันบันเทิง ทาง ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐี ร.อ. เศรณี และ ปัญญชลี เพ็ญชาติ เป็นหลานปู่ทวดของอดีตนายกฯ จอมพลถนอม กิตติขจร และเป็นหลานตาของ ศิลปินแห่งชาติ และ นักร้องแผ่นเสียงทองคำ ชรินทร์ นันทนาคร คุณยายคือสาวสังคมไฮโซ สปัน เธียรประสิทธิ์การศึกษาการศึกษา. - อนุบาล จบการศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลเธียรประสิทธิ์ - ประถมศึกษา จบการศึกษาจากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย - มัธยมศึกษาตอนต้น จบการศึกษาจากโรงเรียนสาธิตประสานมิตร - มัธยมศึกษาตอนปลาย จบการศึกษาจาก HARROW YEAR 11-13 - ระดับปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ - ระดับปริญญาโท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคณะ สถาปัตยกรรมศาตร์ สาขา Master of Science in Architecture and Applied Economicsผลงานผลงาน. - งานเพลง - ร่วมร้องเพลง ชรินทร์ & BSO IN CONCERT ด้วยปีกแห่งรัก - เพลงใจเอย - รักฉันนานๆ - คนดีๆ ทำไมไม่รัก ต้นฉบับ ไอซ์ - ศรัณยู วินัยพานิช- ร้องเพลงประกอบละคร - เพลง ทำทุกอย่างเพื่อเธอ ละครเรื่องรักริษยา - เพลง เพื่อเธอ ละครเรื่องกลิ่นแก้วกลางใจ อัลบั้ม เพื่อเธอ Boyd Kosiyapong- ภาพยนตร์ - มะหมา 4 ขาครับ - Sorry ซารังเฮโย เการักที่เกาหลี- มิวสิกวิดีโอ - เพลง หวง ของศิลปิน ปาน ธนพร- นางแบบ - ถ่ายแบบอีกมากมาย- โฆษณา - เครื่องปรับอากาศ เทรน (2551) - นมไทยเดนมาร์ค (2554)- พิธีกรรายการ - จมูกมด ช่อง 7 - สีสันบันเทิงสด ช่อง 3 - สีสันบันเทิง ช่อง 3 และ ช่อง 3 เอชดี ช่อง 33 - Channel 3 Power Team Concert ช่อง 3 และ ช่อง 3 เอชดี ช่อง 33 - ว้าว! แหวน แหวน ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ช่อง 30 - ชิงร้อยชิงล้าน ซันไชน์ เดย์ ช่อง 3 รับเชิญ 3 ครั้ง 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 , 16 กุมภาพันธ์ , 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - ครอบครัวดนตรี Live Concert ช่อง 3 เอสดี ช่อง 28 - ลักซ์ วีคเอ็น ช่อง 3 เอสดี ช่อง 28 - บ้านพระรามสี่ ช่วง (ลักซ์ ทูเดย์) ช่อง 3 แฟมิลี่ ช่อง 13
ปวริศา เพ็ญชาติ เป็นหลานของอดีตนายกรัฐมนตรีคนใด
{ "answer": [ "จอมพลถนอม กิตติขจร" ], "answer_begin_position": [ 280 ], "answer_end_position": [ 298 ] }
3,458
183,790
แหยม ยโสธร แหยม ยโสธร เป็นภาพยนตร์ไทย เป็นภาพยนตร์รักย้อนยุค โดยมีฉากคือจังหวัดจังหวัดยโสธร สร้างโดย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ดำเนินงานสร้างโดย บาแรมยู และ บั้งไฟฟิล์ม อำนวยการสร้างโดย สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ควบคุมงานสร้างโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว, สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์ บทภาพยนตร์และกำกับภาพยนตร์โดย หม่ำ จ๊กมก ออกฉายเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2548 ความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่บทสนทนาเป็นภาษาไทยถิ่นอีสาน และมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาไทย นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง แหยมยโสธร แม้จะเป็นภาพยนตร์ที่ใช้เงินลงทุนไม่มากแต่ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นหนังตลกทำเงินเรื่องหนึ่งซึ่งมีรายได้สูงถึง 99.14 ล้านบาทเรื่องย่อนักแสดงนักแสดง. - หม่ำ จ๊กมก รับบท แหยม - นงนุช สมบูรณ์ รับบท เจ้ย - ชัยพันธ์ นินกง รับบท ทอง - เยาวลักษณ์ ตุ้มบุญ รับบท สร้อย - เทียมใจ วงษ์คำเหลา รับบท ดอกท้อ(เสียชีวิต) - อนุพงษ์ วงษ์คำเหลา รับบท ช้างยิ้ม - อนุวัฒน์ ทาระพันธ์ รับบท ยอดชาย - ชาญชัย เจ้าฝ้าย รับบท รัก - วรวิทย์ จันทรานิตย์ รับบท ยม - สายสิน วงษ์คำเหลา รับบท กำนันพอเจตน์ - สุดา บัวหงษา รับบท นัยนา - สันต์ ไชยมาตร รับบท มรรคนายก - ต่อน แก้วหาญนาท รับบท ตาเงิน (พ่อของทอง) - สมพงษ์ ไกรธีรางกูล รับบท หลวงพ่อ
ภาพยนตร์ไทยเรื่องแหยม ยโสธร สร้างโดยบริษัทใด
{ "answer": [ "สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล" ], "answer_begin_position": [ 186 ], "answer_end_position": [ 215 ] }
3,459
183,790
แหยม ยโสธร แหยม ยโสธร เป็นภาพยนตร์ไทย เป็นภาพยนตร์รักย้อนยุค โดยมีฉากคือจังหวัดจังหวัดยโสธร สร้างโดย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ดำเนินงานสร้างโดย บาแรมยู และ บั้งไฟฟิล์ม อำนวยการสร้างโดย สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ควบคุมงานสร้างโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว, สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์ บทภาพยนตร์และกำกับภาพยนตร์โดย หม่ำ จ๊กมก ออกฉายเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2548 ความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่บทสนทนาเป็นภาษาไทยถิ่นอีสาน และมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาไทย นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง แหยมยโสธร แม้จะเป็นภาพยนตร์ที่ใช้เงินลงทุนไม่มากแต่ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นหนังตลกทำเงินเรื่องหนึ่งซึ่งมีรายได้สูงถึง 99.14 ล้านบาทเรื่องย่อนักแสดงนักแสดง. - หม่ำ จ๊กมก รับบท แหยม - นงนุช สมบูรณ์ รับบท เจ้ย - ชัยพันธ์ นินกง รับบท ทอง - เยาวลักษณ์ ตุ้มบุญ รับบท สร้อย - เทียมใจ วงษ์คำเหลา รับบท ดอกท้อ(เสียชีวิต) - อนุพงษ์ วงษ์คำเหลา รับบท ช้างยิ้ม - อนุวัฒน์ ทาระพันธ์ รับบท ยอดชาย - ชาญชัย เจ้าฝ้าย รับบท รัก - วรวิทย์ จันทรานิตย์ รับบท ยม - สายสิน วงษ์คำเหลา รับบท กำนันพอเจตน์ - สุดา บัวหงษา รับบท นัยนา - สันต์ ไชยมาตร รับบท มรรคนายก - ต่อน แก้วหาญนาท รับบท ตาเงิน (พ่อของทอง) - สมพงษ์ ไกรธีรางกูล รับบท หลวงพ่อ
ผู้ใดรับบทเป็น แหยม ในภาพยนตร์ไทยเรื่องแหยม ยโสธร
{ "answer": [ "หม่ำ จ๊กมก" ], "answer_begin_position": [ 702 ], "answer_end_position": [ 712 ] }
3,460
508,767
ปองพล กุลชัยรัตนา ปองพล กุลชัยรัตนา เกิดวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2531 เป็นนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย ผู้ซึ่งได้รับเหรียญทองในซีเกมส์ครั้งที่ 24 และ 25 รวมถึงได้รับเหรียญทองแดงในกีฬามหาวิทยาลัยโลก และเป็นผู้ครองแชมป์รายการยิงปืนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2554 ปัจจุบัน ปองพลเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพประวัติ ประวัติ. ปองพล กุลชัยรัตนา เป็นบุตรชายของวรพล กุลชัยรัตนา ซึ่งเป็นนักกีฬายิงปืนเช่นดียวกัน ปองพลเริ่มฝึกยิงปืนในช่วงที่มีอายุได้ 11 ปีจากการสนับสนุนโดยพ่อของเขาเอง ต่อมาเขาได้มีโอกาสเข้าแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติในนามทีมนนทบุรี และได้รับเหรียญทองแดงจากการแข่งขันดังกล่าว ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปองพลเข้าแข่งขันรายการไทยแลนด์โอเพ่นชูตติ้งแชมเปี้ยนชิพส์ 2008 โดยเขาได้รับเหรียญทองจากประเภทบุคคลปืนสั้นมาตรฐาน และประเภททีม เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปองพลเข้าแข่งขันกีฬายิงปืนชิงชนะเลิศแห่งเอเชียอาคเนย์หรือซีซ่า ครั้งที่ 33 ซึ่งเขาได้เหรียญทองจากประเภททีมปืนสั้นมาตรฐาน จากนั้น ในเดือนธันวาคม ปองพลเข้าแข่งขันซีเกมส์ 2009 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยเขาได้รับเหรียญทองจากประเภทปืนสั้นยิงช้า 50 เมตรบุคคล ด้วยคะแนนรวม 648 คะแนน, เหรียญทองแดงประเภทปืนสั้นยิงช้าทีมชาย และเหรียญทองแดงในประเภทปืนสั้นยิงเร็วชาย เดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ปองพลเข้าแข่งขันเพื่อรับการคัดเลือกนักกีฬาทีมชาติไทยในเอเชียนเกมส์ 2010 โดยในประเภทปืนสั้นยิงช้าชาย เขาได้อันดับ 1 ด้วย 551 (-8x) คะแนน ซึ่งขึ้นนำนักกีฬาทีมชาติรุ่นพี่อย่างจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม ที่เป็นอันดับ 2 ของการคัดตัว สำหรับการคัดตัวในประเภทปืนสั้นชนวนกลาง ปองพลได้อันดับ 1 ด้วยคะแนนรวมที่ 582 (-12x) คะแนน และในเดือนพฤษภาคม ได้มีการคัดตัวประเภทปืนสั้นอัดลมชาย ซึ่งปองพลได้อันดับ 1 ด้วยคะแนนรวมที่ 1,731 คะแนน ส่วนในเดือนตุลาคม ปองพลเข้าแข่งขันกีฬายิงปืนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2553 โดยเขาได้รับรางวัลเหรียญทองในประเภทปืนสั้นชนวนกลางด้วยคะแนนรวม 580 (-18x) คะแนน เดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ปองพลได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันยิงปืนชิงชนะเลิศแห่งเอเชียอาคเนย์หรือซีซ่า ครั้งที่ 35 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ทั้งในประเภทปืนสั้นยิงช้าบุคคล และปืนสั้นอัดลมชายบุคคล เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปองพลเข้าแข่งขันรายการกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 39 เขาได้รับเหรียญทองในประเภทปืนสั้นยิงช้าบุคคลชาย และปืนสั้นยิงช้าทีมชาย จากนั้น ในเดือนธันวาคมของปีเดียวกันนี้ ปองพลเข้าแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 41 ให้แก่ทีมนนทบุรี และได้รับเหรียญทองแดงจากการแข่งปืนสั้นยิงช้าทีมชาย เดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ปองพลเข้าแข่งขันรายการกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 40 ซึ่งเขาได้รับรางวัลเหรียญทองในประเภทปืนสั้นอัดลมบุคคลชาย และปืนสั้นอัดลมทีมชาย
นักกีฬายิงปืนทีมชาติไทยคนใดที่ได้รับเหรียญทองในซีเกมส์ครั้งที่ 24 และ 25
{ "answer": [ "ปองพล กุลชัยรัตนา" ], "answer_begin_position": [ 110 ], "answer_end_position": [ 127 ] }
3,461
508,767
ปองพล กุลชัยรัตนา ปองพล กุลชัยรัตนา เกิดวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2531 เป็นนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย ผู้ซึ่งได้รับเหรียญทองในซีเกมส์ครั้งที่ 24 และ 25 รวมถึงได้รับเหรียญทองแดงในกีฬามหาวิทยาลัยโลก และเป็นผู้ครองแชมป์รายการยิงปืนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2554 ปัจจุบัน ปองพลเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพประวัติ ประวัติ. ปองพล กุลชัยรัตนา เป็นบุตรชายของวรพล กุลชัยรัตนา ซึ่งเป็นนักกีฬายิงปืนเช่นดียวกัน ปองพลเริ่มฝึกยิงปืนในช่วงที่มีอายุได้ 11 ปีจากการสนับสนุนโดยพ่อของเขาเอง ต่อมาเขาได้มีโอกาสเข้าแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติในนามทีมนนทบุรี และได้รับเหรียญทองแดงจากการแข่งขันดังกล่าว ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปองพลเข้าแข่งขันรายการไทยแลนด์โอเพ่นชูตติ้งแชมเปี้ยนชิพส์ 2008 โดยเขาได้รับเหรียญทองจากประเภทบุคคลปืนสั้นมาตรฐาน และประเภททีม เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปองพลเข้าแข่งขันกีฬายิงปืนชิงชนะเลิศแห่งเอเชียอาคเนย์หรือซีซ่า ครั้งที่ 33 ซึ่งเขาได้เหรียญทองจากประเภททีมปืนสั้นมาตรฐาน จากนั้น ในเดือนธันวาคม ปองพลเข้าแข่งขันซีเกมส์ 2009 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยเขาได้รับเหรียญทองจากประเภทปืนสั้นยิงช้า 50 เมตรบุคคล ด้วยคะแนนรวม 648 คะแนน, เหรียญทองแดงประเภทปืนสั้นยิงช้าทีมชาย และเหรียญทองแดงในประเภทปืนสั้นยิงเร็วชาย เดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ปองพลเข้าแข่งขันเพื่อรับการคัดเลือกนักกีฬาทีมชาติไทยในเอเชียนเกมส์ 2010 โดยในประเภทปืนสั้นยิงช้าชาย เขาได้อันดับ 1 ด้วย 551 (-8x) คะแนน ซึ่งขึ้นนำนักกีฬาทีมชาติรุ่นพี่อย่างจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม ที่เป็นอันดับ 2 ของการคัดตัว สำหรับการคัดตัวในประเภทปืนสั้นชนวนกลาง ปองพลได้อันดับ 1 ด้วยคะแนนรวมที่ 582 (-12x) คะแนน และในเดือนพฤษภาคม ได้มีการคัดตัวประเภทปืนสั้นอัดลมชาย ซึ่งปองพลได้อันดับ 1 ด้วยคะแนนรวมที่ 1,731 คะแนน ส่วนในเดือนตุลาคม ปองพลเข้าแข่งขันกีฬายิงปืนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2553 โดยเขาได้รับรางวัลเหรียญทองในประเภทปืนสั้นชนวนกลางด้วยคะแนนรวม 580 (-18x) คะแนน เดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ปองพลได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันยิงปืนชิงชนะเลิศแห่งเอเชียอาคเนย์หรือซีซ่า ครั้งที่ 35 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ทั้งในประเภทปืนสั้นยิงช้าบุคคล และปืนสั้นอัดลมชายบุคคล เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปองพลเข้าแข่งขันรายการกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 39 เขาได้รับเหรียญทองในประเภทปืนสั้นยิงช้าบุคคลชาย และปืนสั้นยิงช้าทีมชาย จากนั้น ในเดือนธันวาคมของปีเดียวกันนี้ ปองพลเข้าแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 41 ให้แก่ทีมนนทบุรี และได้รับเหรียญทองแดงจากการแข่งปืนสั้นยิงช้าทีมชาย เดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ปองพลเข้าแข่งขันรายการกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 40 ซึ่งเขาได้รับรางวัลเหรียญทองในประเภทปืนสั้นอัดลมบุคคลชาย และปืนสั้นอัดลมทีมชาย
ปองพล กุลชัยรัตนา เริ่มฝึกยิงปืนตั้งแต่อายุเท่าไร
{ "answer": [ "11" ], "answer_begin_position": [ 560 ], "answer_end_position": [ 562 ] }
3,462
752,753
พิทาวาสแตติน พิทาวาสแตติน (Pitavastatin; โดยทั่วไปอยู่ในรูปแบบเกลือแคลเซียม) เป็นยาในกลุ่มยาลดไขมันในกระแสเลือดกลุ่มสแตติน ซึ่งวางขายในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อการค้า ลิวาโล (Livalo)  ซึ่งพิทาวาสแตตินนี้มีกลไกการออกฤทธิ์เช่นเดียวกันกับยากลุ่มสแตตินชนิดอื่นๆ คือ ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ HMG-CoA reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์ตัวเร่งปฏิกิริยาตัวแรกในขั้นตอนของกระบวนการการสร้างคอเลสเตอรอล นอกจากนี้พิทาวาสแตตินยังถูกใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยป้องกันไม่ให้เกิดการแตกหรือฉีกขาดของคราบไขมันที่เกาะอยู่บนผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดกั้นตามเส้นเลือด และทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ในที่สุด พิทาวาสแตตินมีจำหน่ายครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 จากนั้นมีการขยายฐานการตลาดออกไปในประเทศเกาหลีใต้และอินเดียในเวลาต่อมาไม่นานนัก โดยคาดว่ายาชนิดนี้อาจจะได้รับการรับรองให้มีการใช้ในประเทศต่างๆนอกเหนือจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน สำหรับในสหรัฐอเมริกานั้น พิทาวาสแตตินได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration; FDA) ในปี ค.ศ. 2009 โดยมีบริษัท โควะ ฟาร์มาซิวติคอลส์ (Kowa Pharmaceuticals) เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การผลิตและจัดจำหน่ายยาพิทาวาสแตตินในสหรัฐอเมริกาข้อบ่งใช้ ข้อบ่งใช้. เช่นเดียวกันกับยากลุ่มสแตตินชนิดอื่นๆ พิทาวาสแตตินมีข้อบ่งใช้สำหรับภาวะที่มีระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดสูง (hypercholesterolaemia) และใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) ในปี ค.ศ. 2009 การศึกษาทางคลินิกที่มีชื่อว่า "LIVES" ซึ่งทำการศึกษาในผู้ป่วยที่ได้รับพิทาวาสแตตินมากถึง 20,000 คน เพื่อประเมินถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาดังกล่าวหลังจากการวางตลาด โดยติดตามเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 104 สัปดาห์ พบว่า พิทาวาสแตตินมีผลเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นสูง (High density lipoprotein cholesterol; HDL-C) และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride; TG) ในกระแสเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีระดับ HDL-C ต่ำกว่า 400 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งจะมีระดับ HDL-C เพิ่มขึ้นได้มากถึง 24.6% จากค่า HDL-C พื้นฐานเดิมของผู้ป่วย และมีการลดลงของ TG เฉลี่ย 19.9% จากค่า TG พื้นฐานเดิมของผู้ป่วย นอกจากนี้แล้ว ยังพบว่าพิทาวาสแตตินมีความสัมพันธ์กับการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ (Low density lipoprotein cholesterol; LDL-C) ในกระแสเลือดลงได้มากถึง 29.1% จากค่า LDL-C พื้นฐานเดิมของผู้ป่วย หลังจากระยะเวลา 4 สัปดาห์นับจากเริ่มการรักษา โดยระดับ HDL-C ที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถพบการเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยที่เปลี่ยนจากสแตตินชนิดอื่นมาเป็นพิทาวาสแตติน สอดคล้องกับการศึกษาเชิงสังเกตที่มีชื่อว่า CIRCLE observational study ซึ่งทำการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยากลุ่มสแตตินชนิดต่างๆ ทำการศึกษาในผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นจำนวน 743 คน ในช่วง ค.ศ. 2001-2008 โดยติดตามผู้ป่วยที่ได้รับยาพิทาวาสแตตินเป็นระยะเวลา 70 เดือน พบว่ายาดังกล่าวสามารถเพิ่มระดับ HDL-C ได้มากกว่าอะโทวาสแตติน และเป็นยากลุ่มสแตตินเพียงชนิดเดียวที่สามารถเพิ่มระดับ HDL-C ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยาสแตติน ส่วนผลการป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นพบว่าพิทาวาสแตตินมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันการเกิดอุบัติการณ์ดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบกับยากลุ่มสแตตินชนิดอื่นๆ  ส่วนผลของพิทาวาสแตตินต่อระดับน้ำตาลในเลือดนั้นอาจส่งผลดีต่อการควบคุมระดับในเลือดของผู้ป่วย ดังนั้นพิทาวาสแตตินจึงดูเหมือนว่ามีความเหมาะสมที่จะใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคทางเมทาบอลิค อย่างเช่น โรคเบาหวาน ร่วมกับมีระดับ LDL-C ที่สูงแต่มีระดับ HDL-C ในเลือดต่ำ โดยผลการวิเคราะห์แบบกลุ่มย่อยของการศึกษา  "LIVES" ที่ได้กล่าวไปดังข้างต้นพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ใช้พิทาวาสแตตินเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมีการลดลงของระดับ HbA1C และมีการเพิ่มขึ้นของ eGFR อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายเรื้อรังร่วมด้วยอาการไม่พึงประสงค์ อาการไม่พึงประสงค์. อาการไม่พึงประสงค์ทั่วไปที่มีความสัมพันธ์กับการใช้ยากลุ่มสแตติน เช่น ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, อาเจียน, ผลการตรวจเอนไซม์ตับผิดปกติ และเกิดตะคริวได้ เช่นเดียวกันกับพิทาวาสแตตินที่เกิดอาการข้างเคียงเหล่านี้ได้เช่นกัน และเนื่องจากพิทาวาสแตตินนั้นละลายในน้ำได้ดีซึ่งแตกต่างไปจากยาในกลุ่มสแตตินชนิดอื่นซึ่งส่วนใหญ่มักละลายในไขมันได้ดี ทำให้ดูเหมือนพิทาวาสแตตินว่าจะมีอาการข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อน้อยกว่ายาชนิดอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน มีการศึกษาทางคลินิกที่ผ่านมาค้นพบว่าโคเอนไซม์คิวเท็น (coenzyme Q) ในผู้ที่ใช้พิทาวาสแตตินนั้นไม่ได้ลดลงมากเท่ากับผู้ที่ใช้ยาอื่นในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งการลดลงของโคเอนไซม์คิวเท็นดังข้างต้นนั้นมักมีความสัมพันธ์กับการเกิดอาการข้างเคียงทางกล้ามเนื้อในกลุ่มผู้ที่ใช้ยาสแตตินในระยะยาว  ในทางตรงกันข้าม พิทาวาสแตตินนั้นดูเหมือนว่าจะมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้ดีขึ้นได้ ซึ่งแตกต่างจากยาสแตตินชนิดอื่นๆ นอกจากนี้แล้ว ยังพบรายงานการเกิดภาวะกรดยูริกในกระแสเลือดสูง (Hyperuricemia) ในผู้ที่ใช้พิทาวาสแตตินอีกด้วยการเปลี่ยนแปลงยาในร่างกาย และการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา การเปลี่ยนแปลงยาในร่างกาย และการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา. ยากลุ่มสแตตินโดยส่วนใหญ่นั้นมักถูกเปลี่ยนแปลงในร่างกายโดยกลุ่มเอนไซม์ Cytochrome P450 ที่ตับ โดยแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดของยา และเนื่องด้วยยาชนิดอื่นส่วนใหญ่ก็มักเกิดถูกเปลี่ยนแปลงโดยกลุ่มเอนไซม์ดังกล่าวในร่างกายเช่นกัน ดังนั้นจึงทำให้ยากลุ่มสแตตินนี้สามารถเกิดอันตรกิริยาระหว่างยากับยาชนิดอื่นๆได้มาก รวมไปถึงการเกิดอันตรกิริยากับอาหารบางชนิด เช่น grapefruit juice แต่พิทาวาสแตตินมีข้อแตกต่างไปจากยาสแตตินชนิดอื่น คือ ยาดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์ CYP2C9 เป็นหลัก ขณะที่สแตตินชนิดอื่นนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ CYP3A4 เป็นหลัก (เอนไซม์ CYP3A4 ที่ตับนั้นทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงยาหลายชนิด ซึ่งมากกว่า 80% ของยาที่มีในปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายโดยเอนไซม์นี้) ทำให้พิทาวาสแตตินมีโอกาสที่จะเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาได้น้อยกว่ายาอื่นในกลุ่มเดียวกัน ดังนั้นพิทาวาสแตตินอาจมีความสำคัญในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคหลายชนิด ซึ่งต้องรับประทานยาหลายชนิดตามไปด้วย (การรับประทานยาหลายชนิดร่วมกัน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยามากขึ้น)ประวัติการค้นพบ ประวัติการค้นพบ. พิทาวาสแตติน (หรือที่รู้จักกันก่อนหน้านี้ในชื่อ ไอทาวาสแตติน (itavastatin), ไอทาบาวาสแตติน (itabavastin), นิสวาสแตติน (nisvastatin), เอ็นเค-104 (NK-104) หรือ เอ็นเคเอส-104 (NKS-104) ถูกค้นพบในประเทศญี่ปุ่นโดยบริษัท นิสสัน เคมิคอล อินดัสทรีส์ (Nissan Chemical Industries) และต่อมาถูกพัฒนาโดยบริษัทยาในโตเกียวที่มีชื่อว่า โควะ ฟาร์มาซูติคอลส์ (Kowa Pharmaceuticals) พิทาวาสแตตินได้รับการรับรองให้ใช้ในสหรัฐอเมริกาโดยองค์การและยาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2009 ภายใต้ชื่อการค้า ลิวาโล (Livalo) และได้รับการรับรองจาก องค์การควบคุมยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Medicines and Healthcare products Regulatory Agency: MHRA) ของสหราชอาณาจักรในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2010
พิทาวาสแตติน เป็นยาที่ช่วยในเรื่องใด
{ "answer": [ "ลดไขมันในกระแสเลือด" ], "answer_begin_position": [ 179 ], "answer_end_position": [ 198 ] }
3,463
103,187
ซิทามิ ซิทามิ หรือ ชิทามิ () เป็นซอฟต์แวร์เสรีโอเพนซอร์สประเภทเว็บเซิร์ฟเวอร์และเอฟทีพีเซิร์ฟเวอร์ พัฒนาโดยบริษัทอิมาทิกซ์ (iMatix Corporation) ประสิทธิภาพในการทำงานถึงจะไม่เร็วเท่าเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุด แต่ตัวซอฟต์แวร์นั้นมีขนาดเล็กมาก (ไม่เกิน 2 เมกะไบต์) และใช้ทรัพยากรระบบน้อย ซิทามิรองรับการทำงานบนเว็บแอปพลิเคชันที่เขียนด้วยภาษาซีจีไอ อาทิ ภาษาพีเอชพี และยังมีส่วนต่อประสานกับผู้ใช้บนเว็บเพจที่ช่วยสามารถจัดการตั้งค่าซอฟต์แวร์ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้อีกทางหนึ่ง ซิทามิสามารถทำงานได้บนวินโดวส์ ลินุกซ์ และระบบปฏิบัติการอื่นที่คล้ายยูนิกซ์ เช่น โอเพนวีเอ็มเอส โอเอส/2 เป็นต้น สำหรับรุ่นเชิงพาณิชย์ของซิทามิรองรับการใช้งานเอสเอสแอลได้ด้วยประวัติ ประวัติ. ซิทามิเปิดตัวเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1996 เพื่อเป็นการสาธิตเทคโนโลยี "SMT" ที่ใช้สำหรับสร้างเซิร์ฟเวอร์โพรโทคอล ซึ่งเป็นแรงดึงดูดให้ผู้คนที่มองหาเว็บเซิร์ฟเวอร์พร้อมกับเอฟทีพีเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อทำงานบนวินโดวส์ แต่รุ่นล่าสุดของซิทามิยังคงอยู่ที่ 2.5 เบตา ตั้งแต่ ค.ศ. 1999 และมีการถกเถียงกันว่าขณะนี้มีรุ่นที่ 3.0 แล้วแต่ยังไม่เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ชื่อของ Xitami เป็นการสะกดตัวอักษรกลับด้านกับชื่อบริษัท iMatix และอักษร X ที่อยู่ต้นคำสามารถอ่านออกเสียงได้เป็น /z/ หรือ /ʃ/ หรือ /ks/ ก็ได้
ซิทามิเป็นซอฟต์แวร์เสรีโอเพนซอร์สประเภทเว็บเซิร์ฟเวอร์และเอฟทีพีเซิร์ฟเวอร์ที่พัฒนาโดยบริษัทใด
{ "answer": [ "บริษัทอิมาทิกซ์" ], "answer_begin_position": [ 188 ], "answer_end_position": [ 203 ] }
3,464
783,877
สายซะงะมิ สายซะงะมิ () เป็นเส้นทางรถไฟในจังหวัดคะนะงะวะ ประเทศญี่ปุ่น บริหารงานโดยบริษัทรถไฟญี่ปุ่นตะวันออก เส้นทางเริ่มต้นจากสถานีรถไฟฮะชิโมะโตะ เมืองซะงะมิฮะระ วิ่งขนานกับแม่น้ำซะงะมิ สิ้นสุดที่สถานีรถไฟชิงะซะกิ เมืองชิงะซะกิ รวมระยะทาง 33.3 กิโลเมตรขบวนรถไฟ ขบวนรถไฟ. รถไฟทุกขบวนให้บริการโดย 205-500 ซีรีส์ 4 ตู้ EMUs.สถานีรถไฟสถานีรถไฟ. - ทุกสถานีตั้งอยู่ในจังหวัดคะนะงะวะ. - รถไฟทุกขบวนหยุดทุกสถานี
รถไฟสายซะงะมิ ในประเทศญี่ปุ่น มีระยะทางรวมกี่กิโลเมตร
{ "answer": [ "33.3" ], "answer_begin_position": [ 323 ], "answer_end_position": [ 327 ] }
3,465
728,560
ประชาธิป มุสิกพงศ์ ประชาธิป มุสิกพงศ์ (6 เมษายน พ.ศ. 2527 – 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง และอดีตมือกีตาร์ ของวงดนตรีสควีซ แอนิมอล และเป็นบุตรชายคนที่สอง ของวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นักการเมืองชาวไทยประวัติ ประวัติ. ประชาธิป เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2527 เป็นบุตรคนที่สอง ในจำนวนบุตรชายทั้งสามคน ของวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นักการเมืองชาวไทย และประธานคนแรกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ และศรีวิไล (สกุลเดิม: ประสุตานนท์) อดีตนักแสดงภาพยนตร์ไทย ประชาธิปเคยกล่าวถึงที่มาของชื่อตนว่า มีที่มาจาก ประชาธิปไตย ซึ่งผู้เป็นบิดาตั้งให้ โดยถือเป็นการปลูกฝังอุดมการณ์ที่วีระกานต์เชื่อมั่น ให้กับบุตรไว้ตั้งแต่ยังเด็ก ประชาธิป จบการศึกษาระดับชั้นประถม ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ก่อนที่บิดามารดาจะส่งไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ กระทั่งจบการศึกษาระดับมัธยม จากนั้นเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา เกี่ยวกับเทคโนโลยีดนตรี ต่อมาหันไปศึกษาการออกแบบกราฟิก (Graphic design) ที่มหาวิทยาลัยมิดเดิลเส็กซ์ (Middlesex University) กรุงลอนดอน กระทั่งจบการศึกษาในสาขานี้ ก่อนกลับมาพักอาศัยในประเทศไทย หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษประมาณ 10 ปีสู่วงการเพลง สู่วงการเพลง. ประชาธิป เริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่อายุ 8 ขวบ โดยมีวงดนตรีโมเดิร์นด็อกเป็นแรงบันดาลใจ จากนั้นเขาก็เริ่มแกะเพลงของศิลปินอื่น ๆ อาทิ โยคีเพลย์บอย, สี่เต่าเธอ, ซิลลี่ ฟูลส์ เป็นต้น นอกจากนี้ เขายังมีความสามารถ เล่นเบสและกลอง หลังจากนั้น สมัยที่เป็นนักเรียนอังกฤษกับเพื่อน ๆ เขาเล่นดนตรีอย่างจริงจัง และร่วมเล่นกีตาร์ ให้กับวงบีเควัน (BK1) ในอัลบั้มที-ฮ็อป (T-HOP) ในสังกัดเบเกอรี่มิวสิค และร่วมออกทัวร์คอนเสิร์ตกับวง ในช่วงปี พ.ศ. 2547 เมื่อ พ.ศ. 2550 วีรพัฒน์ มุสิกพงศ์ (แชมป์) พี่ชายของประชาธิป ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับวิน ศิริวงศ์ แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน เนื่องจากทั้งประชาธิปและวิน มีความสนใจแนวดนตรีลักษณะเดียวกัน พวกเขาจึงร่วมกันออกซิงเกิลเพลง อาจยังไม่สาย กับ ฉันไม่เหงา โดยเมื่อบันทึกเสร็จ ก็นำออกวางจำหน่าย ในงานแฟตเฟสติวัลครั้งที่ 4 พร้อมทั้งส่งตัวอย่างเพลง (demo) ให้กับแฟตเรดิโอ และนำซีดีเพลงไปเสนอกับค่ายเพลงต่าง ๆ จนกระทั่งค่ายสไปซีดิสก์ให้ความสนใจร่วมงานชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ประชาธิป คบหาแบบคนรัก กับพรปวีณ์ นีระสิงห์ (เฟย์) นักร้องสาว ซึ่งเป็นสมาชิกวงเฟย์ ฟาง แก้ว เขาเคยให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2552 ว่าไม่ได้คุยเรื่องการเมืองกับทางบ้านมากนัก เนื่องจากเขามิได้สนใจการเมือง ส่วนตัวเขาเอง มีบุคลิกเงียบขรึม พูดน้อยการเสียชีวิต การเสียชีวิต. เมื่อเวลาประมาณ 22:00 น. ของวันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ตำรวจนครบาลทองหล่อรับแจ้ง มีคนพลัดตกจากอาคารเสียชีวิต บริเวณคอนโดมิเนียม ภายในถนนทองหล่อ ซอย 5 จึงนำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบศพของประชาธิป ในสภาพนอนคว่ำหน้าจมกองเลือด ตรวจสอบร่างกายพบกะโหลกศีรษะแตก เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ พลตำรวจโท ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงการตรวจสอบห้องพักของผู้ตาย พบว่าประตูล็อกจากภายในห้อง และไม่พบร่องรอยการต่อสู้ หรือรื้อค้นทรัพย์สิน ที่บริเวณริมระเบียง มีเบียร์กระป๋องที่เปิดแล้ว และมีจดหมายที่เขียนด้วยลายมือผู้ตายถึงแฟนสาว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมเก็บไว้เป็นหลักฐาน มีข้อความว่า โดยคาดว่าการเสียชีวิตของประชาธิป มาจากปัญหาความรักที่ถูกแฟนทิ้ง ส่วนวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ผู้เป็นบิดา ซึ่งเดินทางมาดูเหตุการณ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า บุตรชายของตนพักอาศัยอยู่ที่ห้องตามลำพัง มีเพื่อนและครอบครัวไปหาบ้าง ก่อนเกิดช่วงประมาณ 21:00 น. ประชาธิปยังโทรศัพท์คุยกับศรีวิไล ผู้เป็นมารดาว่า ตนเกิดปัญหาทะเลาะวิวาทอย่างรุนแรงกับแฟนสาว วีระกานต์ซึ่งนั่งอยู่ด้วย จึงบอกต่อลูกชายไปในโทรศัพท์ว่า ให้ค่อย ๆ คิด หากไม่มีทางออกจริง ๆ ก็ให้กลับบ้าน ตนพร้อมจะให้คำปรึกษา แต่ลูกชายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา อนึ่ง เมื่อวันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558 ค่ายเพลงสไปซีดิสก์ ต้นสังกัดของวงสควีซ แอนิมอล ดำเนินการจัดคอนเสิร์ต เลิฟยู'ทิลไอดาย (Love You 'till I die) เพื่อรำลึกถึงประชาธิป ที่วอยซ์สเปซ ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมีศิลปินมาร่วมงานอย่างคับคั่งรางวัลรางวัล. - Cleo’s Most Eligible Bachelors 2007 สาขา Screamผลงานเพลงอัลบั้มเต็มผลงานเพลง. อัลบั้มเต็ม. - อัลบั้ม อาจยังไม่สาย (พ.ศ. 2550) - อัลบั้ม ไม่มีที่มา (พ.ศ. 2554)อัลบั้มโปรเจกต์พิเศษอัลบั้มโปรเจกต์พิเศษ. - Inversoul (พ.ศ. 2550) - Inversoul EP2 (พ.ศ. 2550)
ใครคือบิดาของประชาธิป มุสิกพงศ์ นักร้อง นักแต่งเพลง และอดีตมือกีตาร์ ของวงดนตรีสควีซ แอนิมอล
{ "answer": [ "วีระกานต์ มุสิกพงศ์" ], "answer_begin_position": [ 266 ], "answer_end_position": [ 285 ] }
3,466
171,324
ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์ ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์ (เดิมชื่อ นัฏฐิกา หรือ ณัฏฐิกา) หรือ น้ำผึ้ง เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2521 เป็น นักแสดงชาวไทยและอดีตผู้ประกาศข่าวประวัติ ประวัติ. ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์ หรือ น้ำผึ้ง เดิมมีชื่อจริงว่า นัฏฐิกา หรือ ณัฏฐิกา เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2521 ที่โรงพยาบาลเปาโล เป็นบุตรสาวของนายวิชิต ธรรมปรีดานันท์ซึ่งทำงานประจำเกี่ยวกับกฎหมาย กับนางเสรีรัตน์ ธรรมปรีดานันท์ น้ำผึ้งมีพี่น้องทั้งหมดห้าคน โดยเธอเป็นบุตรคนที่สาม เธอมีปู่เป็นชาวจีนที่อพยพมายังประเทศไทย ส่วนมารดาของเธอมีเชื้อสายลาวหลวงพระบาง ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอุดมศึกษาลาดพร้าว และในระดับปริญญาตรี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลผลงานภาพยนตร์ผลงานละครละครเทิดพระเกียรติผลงาน. ละครเทิดพระเกียรติ. - 2542 ละครเทิดพระเกียรติชุดใต้แสงตะวัน ตอน ความฝันของญาดา ช่อง 7 - 2555 รักไม่สิ้นแผ่นดินแม่ ภาพยนตร์เทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ จากชีวิตจริง ของ ผู้ประสพภัยสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่อง 5ผลงานละครสั้นผลงานละครสั้น. - 2538 ละครสั้น ปากกาทอง เรื่อง พระเอกเรื่องนี้ชื่ออ้ายเล็ก ช่อง 7 - 2557 ละครสั้น บันทึกกรรม ตอน เซอร์ไพรส์ ช่อง 3พิธีกรพิธีกร. - ระเบิดเถิดเทิง (แขกรับเชิญ 1 พฤศจิกายน 2539) ช่อง 5 - ชิงร้อยชิงล้าน ซันไชน์ เดย์ (รับเชิญ 3 มีนาคม , 26 กรกฎาคม 2556) ช่อง 3 - ชิงร้อยชิงล้าน ว้าว ว้าว ว้าว (ละครสามช่า นักแสดงรับเชิญ 5 กรกฎาคม 2558) ช่องเวิร์คพอยท์มิวสิกวิดีโอมิวสิกวิดีโอ. - เพลง "โจรกลับใจ" อัลบั้มสินเจริญลายดอก ของ สินเจริญ บราเธอร์ส (2551)ภาพยนตร์โฆษณาภาพยนตร์โฆษณา. - ผลิตภัณฑ์ "Faris Brillantez" โดย Faris by naris - ผลิตภัณฑ์ Mistine commercial โดย Mistine - Catalog Friday - เที่ยวไทยหัวใจใหม่พรีเซ็นเตอร์พรีเซ็นเตอร์. - ทูตความงามของ Faris by naris - Slimming Plus Institution บริหารงานโดย แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์รายการเพลงรายการเพลง. - แข่งขันร้องเพลงในรายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ซีซั่นที่ 2 ภายใต้ หน้ากาก Devil Group Aรางวัลเขียนหนังสือรางวัล. เขียนหนังสือ. - [30.06.2549] คำตอบ - การเดินทางของนางเอกนอกคอก
น้ำผึ้ง ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์ มีพี่น้องกี่คน
{ "answer": [ "ห้า" ], "answer_begin_position": [ 534 ], "answer_end_position": [ 537 ] }
3,467
780,185
ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา (JIA) () เป็นสนามบินนานาชาติในอำเภอเซดาติ รีเจนซี่ซิโดอาร์โจ จังหวัดชวาตะวันออก เป็นหนึ่งในสนามบินหลักของประเทศอินโดนีเซีย อยู่ห่างจากตัวเมืองสุราบายา 12 กิโลเมตร (8 ไมล์) ดำเนินการโดยบริษัทอังกาซา ปุระ ส่วนชื่อสนามบินมาจากอดีตนายกรัฐมนตรีอินโดนีเซีย จูอันดา การตาวิดยายา ผู้ริเริ่มการพัฒนาสนามบินแห่งนี้ ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา เป็นหนึ่งในท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดในประเทศ ค.ศ. 2010 สนามบินมีสถิติผู้โดยสาร 11 ล้านคน บางชั่วโมงมีเที่ยวบินถึง 40-45 เที่ยวบิน ในปี ค.ศ. 2013 สนามบินมีสถิติเที่ยวบิน 400 เที่ยวต่อวัน ปัจจุบัน เป็นฐานการบินหลักของสายการบินซิติลิงก์, การูดาอินโดนีเซีย, อินโดนีเซียแอร์เอเชีย, ไลอ้อนแอร์ และศรีวิชวาแอร์ เช่นเดียวกันกับท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา ในปี ค.ศ. 2014 ได้รับการจัดอันดับเป็นสนามบินที่มีคุณภาพการให้บริการดีที่สุดในโลก โดยได้อันดับที่ 10 จาก 79 สนามบินในกลุ่มที่มีผู้โดยสาร 5-15 ล้านคนต่อปี และในต้นปี ค.ศ. 2015 ได้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 7ประวัติ ประวัติ. เปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1964 ในฐานะฐานทัพอากาศนาวี แทนที่ฐานทัพเดิมซึ่งอยู่ที่โมร็อกเรมบังกัน ใกล้ท่าเรือตันจุงเปรัก ต่อมาได้กลายเป็นสนามบินพาณิชย์ และในวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1990 ได้พัฒนาเป็นสนามบินนานาชาติ อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1987 เคยมีเที่ยวบินไปยังสิงคโปร์, ฮ่องกง, ไทเป และมะนิลาสถิติอาคารผู้โดยสาร อาคารผู้โดยสาร. มี 2 อาคาร ได้แก่ อาคาร 1 รองรับเที่ยวบินภายในประเทศทั้งหมด ยกเว้นเที่ยวบินของสายการบินการูดาอินโดนีเซียและอินโดนีเซียแอร์เอเชีย, อาคาร 2 รองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด รวมไปถึงเที่ยวบินภายในประเทศของสายการบินการูดาอินโดนีเซียและอินโดนีเซียแอร์เอเชียด้วยสมุดภาพ
ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดาเป็นหนึ่งในสนามบินหลักของประเทศใด
{ "answer": [ "อินโดนีเซีย" ], "answer_begin_position": [ 266 ], "answer_end_position": [ 277 ] }
3,468
780,185
ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา (JIA) () เป็นสนามบินนานาชาติในอำเภอเซดาติ รีเจนซี่ซิโดอาร์โจ จังหวัดชวาตะวันออก เป็นหนึ่งในสนามบินหลักของประเทศอินโดนีเซีย อยู่ห่างจากตัวเมืองสุราบายา 12 กิโลเมตร (8 ไมล์) ดำเนินการโดยบริษัทอังกาซา ปุระ ส่วนชื่อสนามบินมาจากอดีตนายกรัฐมนตรีอินโดนีเซีย จูอันดา การตาวิดยายา ผู้ริเริ่มการพัฒนาสนามบินแห่งนี้ ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา เป็นหนึ่งในท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดในประเทศ ค.ศ. 2010 สนามบินมีสถิติผู้โดยสาร 11 ล้านคน บางชั่วโมงมีเที่ยวบินถึง 40-45 เที่ยวบิน ในปี ค.ศ. 2013 สนามบินมีสถิติเที่ยวบิน 400 เที่ยวต่อวัน ปัจจุบัน เป็นฐานการบินหลักของสายการบินซิติลิงก์, การูดาอินโดนีเซีย, อินโดนีเซียแอร์เอเชีย, ไลอ้อนแอร์ และศรีวิชวาแอร์ เช่นเดียวกันกับท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา ในปี ค.ศ. 2014 ได้รับการจัดอันดับเป็นสนามบินที่มีคุณภาพการให้บริการดีที่สุดในโลก โดยได้อันดับที่ 10 จาก 79 สนามบินในกลุ่มที่มีผู้โดยสาร 5-15 ล้านคนต่อปี และในต้นปี ค.ศ. 2015 ได้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 7ประวัติ ประวัติ. เปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1964 ในฐานะฐานทัพอากาศนาวี แทนที่ฐานทัพเดิมซึ่งอยู่ที่โมร็อกเรมบังกัน ใกล้ท่าเรือตันจุงเปรัก ต่อมาได้กลายเป็นสนามบินพาณิชย์ และในวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1990 ได้พัฒนาเป็นสนามบินนานาชาติ อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1987 เคยมีเที่ยวบินไปยังสิงคโปร์, ฮ่องกง, ไทเป และมะนิลาสถิติอาคารผู้โดยสาร อาคารผู้โดยสาร. มี 2 อาคาร ได้แก่ อาคาร 1 รองรับเที่ยวบินภายในประเทศทั้งหมด ยกเว้นเที่ยวบินของสายการบินการูดาอินโดนีเซียและอินโดนีเซียแอร์เอเชีย, อาคาร 2 รองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด รวมไปถึงเที่ยวบินภายในประเทศของสายการบินการูดาอินโดนีเซียและอินโดนีเซียแอร์เอเชียด้วยสมุดภาพ
ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา อยู่ห่างจากตัวเมืองสุราบายากี่กิโลเมตร
{ "answer": [ "12" ], "answer_begin_position": [ 306 ], "answer_end_position": [ 308 ] }
3,469
912,997
อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี () หรือที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า สวนสมเด็จย่า เป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน ฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีเนื้อที่ทั้งหมด 4 ไร่ โดยมีสถานที่สำคัญใกล้เคียง คือ วัดอนงคารามและโรงเรียนสตรีวุทฒิศึกษา โดยสถานที่แห่งนี้ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของบ้านของพระชนกชูและพระชนนีคำ พระชนกและพระชนนีในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นสถานที่ประสูติและดำรงพระชนม์ชีพในช่วงทรงพระเยาว์ของพระองค์ท่าน ปัจจุบันอุทยานนี้เปิดดำเนินการเป็นสวนสาธารณะชุมชนและพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ในแง่มุมประวัติศาสตร์ชุมชน ตลอดจนการเฉลิมพระเกียรติ โดยเป็นพื้นที่อนุรักษ์กลุ่มอาคารเก่า มีพระบรมราชานุสาวรีย์ทองแดงในพระอิริยาบถประทับนั่งของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีตรงทางเข้า, บ้านจำลองเมื่อครั้งทรงพระเยาว์, ศาลาทรงแปดเหลี่ยม มีจารึกแสดงถึงประวัติความเป็นมา และยังมีประติมากรรมนูนต่ำแสดงถึงพระราชกรณียกิจในการเสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ, การดำเนินงานของแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทร์บรมราชชนี (พอ.สว.) การจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เป็นต้น อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2540 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานระเบียงภาพ
อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีนิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่าอะไร
{ "answer": [ "สวนสมเด็จย่า" ], "answer_begin_position": [ 265 ], "answer_end_position": [ 277 ] }
3,470
912,997
อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี () หรือที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า สวนสมเด็จย่า เป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน ฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีเนื้อที่ทั้งหมด 4 ไร่ โดยมีสถานที่สำคัญใกล้เคียง คือ วัดอนงคารามและโรงเรียนสตรีวุทฒิศึกษา โดยสถานที่แห่งนี้ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของบ้านของพระชนกชูและพระชนนีคำ พระชนกและพระชนนีในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นสถานที่ประสูติและดำรงพระชนม์ชีพในช่วงทรงพระเยาว์ของพระองค์ท่าน ปัจจุบันอุทยานนี้เปิดดำเนินการเป็นสวนสาธารณะชุมชนและพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ในแง่มุมประวัติศาสตร์ชุมชน ตลอดจนการเฉลิมพระเกียรติ โดยเป็นพื้นที่อนุรักษ์กลุ่มอาคารเก่า มีพระบรมราชานุสาวรีย์ทองแดงในพระอิริยาบถประทับนั่งของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีตรงทางเข้า, บ้านจำลองเมื่อครั้งทรงพระเยาว์, ศาลาทรงแปดเหลี่ยม มีจารึกแสดงถึงประวัติความเป็นมา และยังมีประติมากรรมนูนต่ำแสดงถึงพระราชกรณียกิจในการเสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ, การดำเนินงานของแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทร์บรมราชชนี (พอ.สว.) การจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เป็นต้น อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2540 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานระเบียงภาพ
อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2540" ], "answer_begin_position": [ 1554 ], "answer_end_position": [ 1558 ] }
3,471
774,304
สรัลชนา อภิสมัยมงคล สรัลชนา อภิสมัยมงคล ชื่อเล่น อ้าย เป็นนักแสดงหญิงชาวไทย มีผลงานมาจากเรื่อง สุดแค้นแสนรัก โดยรับบทเป็น รพีพรรณ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ที่ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ปัจจุบันกำลังศึกษาที่ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังเคยเข้าประกวด Young Model Contest 2013 โดยได้รับรางวัล รองอันดับ 1 และ รางวัลพิเศษอีก 1 รางวัล Miss B-ING Bodylineผลงานพิธีกรผลงาน. พิธีกร. - #TEAMGIRL (7 เมษายน 2561 - ปัจจุบัน)เพลงเพลง. - ให้มันน่า Kiss หน่อย - Ost.Kiss Me Again จูบให้ได้ถ้านายแน่จริงละครโทรทัศน์ซีรีส์ซิทคอม
นักแสดงคนใดที่รับบทเป็น รพีพรรณ ในละครไทยเรื่องสุดแค้นแสนรัก
{ "answer": [ "สรัลชนา อภิสมัยมงคล" ], "answer_begin_position": [ 114 ], "answer_end_position": [ 133 ] }
3,472
246,228
นิโคลัส เพฟเนอร์ นิโคลัส เพฟเนอร์ หรือ นิโคลัส เบิร์นฮาร์ด ลีออน เพฟเนอร์ () (30 มกราคม ค.ศ. 1902 – 18 สิงหาคม ค.ศ. 1983) นิโคลัส เพฟเนอร์เป็นนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวอังกฤษที่เกิดในเยอรมนี เพฟเนอร์มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสถาปัตยกรรม งานชิ้นสำคัญที่สุดและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคืองานเขียน “คู่มือสถาปัตยกรรมของเพฟเนอร์” (The Pevsner Architectural Guides) รวมทั้งหมด 46 เล่มที่เขียนและพิมพ์ระหว่างปี ค.ศ. 1951 ถึงปี ค.ศ. 1974 ที่เป็นงานเขียนที่มีเนื้อหาครอบคลุมสถาปัตยกรรมของหมู่เกาะบริติช
นิโคลัส เพฟเนอร์ เป็นนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวอังกฤษที่เกิดในประเทศใด
{ "answer": [ "เยอรมนี" ], "answer_begin_position": [ 285 ], "answer_end_position": [ 292 ] }
3,473
246,228
นิโคลัส เพฟเนอร์ นิโคลัส เพฟเนอร์ หรือ นิโคลัส เบิร์นฮาร์ด ลีออน เพฟเนอร์ () (30 มกราคม ค.ศ. 1902 – 18 สิงหาคม ค.ศ. 1983) นิโคลัส เพฟเนอร์เป็นนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวอังกฤษที่เกิดในเยอรมนี เพฟเนอร์มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสถาปัตยกรรม งานชิ้นสำคัญที่สุดและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคืองานเขียน “คู่มือสถาปัตยกรรมของเพฟเนอร์” (The Pevsner Architectural Guides) รวมทั้งหมด 46 เล่มที่เขียนและพิมพ์ระหว่างปี ค.ศ. 1951 ถึงปี ค.ศ. 1974 ที่เป็นงานเขียนที่มีเนื้อหาครอบคลุมสถาปัตยกรรมของหมู่เกาะบริติช
ใครคือผู้เขียน คู่มือสถาปัตยกรรมของเพฟเนอร์ หรือ The Pevsner Architectural Guides
{ "answer": [ "นิโคลัส เพฟเนอร์" ], "answer_begin_position": [ 108 ], "answer_end_position": [ 124 ] }
3,474
70,134
เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์แข ในรัชกาลที่ 5 เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์แข เป็นเจ้าจอมมารดาคนแรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2390 หม่อมราชวงศ์แข พึ่งบุญ เป็นธิดาของหม่อมนก ณ อยุธยา ซึ่งเดิมเป็น "หม่อมเจ้าชายนก พึ่งบุญ" พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงรักษ์รณเรศ (ซึ่งต้องพระราชอาญาถูกประหารชีวิต และถอดพระยศเป็น "หม่อมไกรสร" ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระโอรสและพระธิดาจึงพลอยถูกถอดยศจากเจ้าลงมาเป็นสามัญชน และเรียกหากันว่า "หม่อม" นำหน้านามต่อมา ส่วนพระนัดดาชั้นหม่อมราชวงศ์ รวมไปถึงพระปนัดดาชั้นหม่อมหลวงนั้นไม่นับเป็นเจ้านายในราชวงศ์ แต่เป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ จึงยังคงใช้คำนำหน้านามได้อย่างเดิม หม่อมราชวงศ์แข พึ่งบุญ นั้นรับราชการเป็นพระพี่เลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะมีพระชนมายุเพียง 14-15 พรรษา และดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ" และได้ประสูติพระราชธิดาพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ- หม่อมเจ้าหญิงผ่อง ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย แรม 8 ค่ำ ปีเถาะ ตรงกับวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2410 ณ วังกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว จึงมีพระยศเป็น "พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าผ่องประไพ" เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีเจ้าจอมพระองค์แรกตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทั้งยังเป็นพระพี่เลี้ยงผู้มีอายุมากกว่าพระองค์ จึงเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกริ้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ความว่า เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์แข ในรัชกาลที่ 5 พำนักในพระบรมมหาราชวังตราบจนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคอติสาร เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 สิริอายุได้ 78 ปีวงศ์ตระกูล
ใครคือเจ้าจอมมารดาคนแรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
{ "answer": [ "เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์แข" ], "answer_begin_position": [ 154 ], "answer_end_position": [ 180 ] }
3,475
148,414
วัดช้างล้อม (อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย) วัดช้างล้อม เป็นโบราณสถานสำคัญ ตั้งอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มีเจดีย์ทรงลังกาที่ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีช้างปูนปั้นเต็มตัวล้อมรอบ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน รวม 39 เชือก หมายถึง โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ซึ่งเป็นธรรมอันเป็นเครื่องหมายการตรัสรู้ ประกอบกับวิมุตติ 2 ประการสถานที่ตั้ง สถานที่ตั้ง. ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองเกือบกึ่งกลางตัวเมืองศรีสัชนาลัย บริเวณที่ราบด้านเชิงเขาพนมเพลิงด้านทิศใต้ ในแนวเดียวกันกับวัดเจดีย์เจ็ดแถวประวัติ ประวัติ. นักวิชาการสันนิษฐานว่า วัดช้างล้อมนี้น่าจะเป็นวัดเดียวกันกับที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่กล่าวไว้ว่าในปี พ.ศ. 1829 พ่อขุนรามคำแหงทรงให้ขุดเอาพระธาตุขึ้นมาทำบูชา และฝังลงในกลางเมืองศรีสัชนาลัยก่อนก่อพระเจดีย์ทับลงไปสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. โบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ประธานทรงลังกาตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยมีซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ ประตูด้านหน้าและประตูด้านหลังเป็นทางเข้าออกก่อเป็นกำแพงศิลาแลงหนามีการเล่นระดับที่ซุ้มประตูอย่างสวยงาม สำหรับประตูด้านข้างก่อเรียงอิฐศิลาแลงปิดไว้เป็นประตูตัน เจดีย์ประธานทรงลังกาขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกันหลายชั้น มีทางเดินเป็นบันไดขึ้นไปยังชั้นบน โดยรอบเจดีย์มีช้างปูนปั้นเต็มตัวประดับโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 9 เชือก (ยกเว้นด้านหนึ่งซึ่งเป็นบันไดทางขึ้นมีเพียง 8 เชือก) และที่มุมมีช้างขนาดใหญ่ประดับอีก 4 เชือก รวมเป็น 39 เชือก ช้างเชือกใหญ่ที่อยู่มุมเจดีย์เป็นช้างทรงเครื่องมีลวดลายปูนปั้นประดับที่คอ และข้อเท้าสวยงามกว่าช้างที่ฐานสี่เหลี่ยม ระหว่างช้างปูนปั้นที่ฐานนั้นจะมีเสาประทีปศิลาแลงสลับเป็นระยะ ด้านหน้าช้างแต่ละเชือกจะมีพุ่มดอกบัวตูมปูนปั้นวางตั้งอยู่ ปัจจุบันช้างปูนปั้นได้ผุผังไปเป็นส่วนใหญ่ เหลือที่เห็นเป็นรูปหัวช้างอยู่จำนวนไม่กี่เชือก แต่ยังคงแสดงออกถึงความงดงามของประติมากรรมสมัยสุโขทัยอย่างเต็มที่ ช้างปูนปั้นที่วัดช้างล้อมในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยมีลักษณะเด่นกว่าช้างปูนปั้นที่วัดอื่นๆ คือ ยืนเต็มตัวแยกออกจากผนัง มีขนาดสูงใหญ่เทียบเท่าหรือใหญ่กว่าช้างจริง เบื้องเจดีย์ประธานมีบันได 2 ชั้นขึ้นสู่ลานประทักษิณ เหนือฐานประทักษิณมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 20 ซุ้ม โดยส่วนใหญ่ได้ผุผังไปเกือบหมด ยังเหลือที่สมบูรณ์เพียงไม่กี่องค์ เหนือบริเวณองค์ระฆังขึ้นไปเป็นบัลลังก์ก้านฉัตรประดับด้วยพระรูปพระสาวกปางลีลาปูนปั้นแบบนูนต่ำจำนวน 17 องค์ นอกจากนั้นวัดช้างล้อมยังมีวิหารที่อยู่ด้านหน้าเจดีย์ประธาน นอกนั้นเป็นวิหารขนาดเล็ก 2 หลัง และเจดีย์รายอีก 2 องค์
วัดช้างล้อม ตั้งอยู่ที่อำเภอใดในจังหวัดสุโขทัย
{ "answer": [ "อำเภอศรีสัชนาลัย" ], "answer_begin_position": [ 236 ], "answer_end_position": [ 252 ] }
3,476
484,479
กิตติคุณ แจ่มสุวรรณ กิตติคุณ แจ่มสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2527 เป็นนักฟุตบอลไทย เกิดที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ใน ไทยพรีเมียร์ลีก ตำแหน่ง ผู้รักษาประตูเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - ไทยพรีเมียร์ลีก 2554 ชนะเลิศกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด - ไทยคม เอฟเอคัพ 2554 ชนะเลิศกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
กิตติคุณ แจ่มสุวรรณ เป็นนักฟุตบอลที่เล่นตำแหน่งอะไร
{ "answer": [ "ผู้รักษาประตู" ], "answer_begin_position": [ 289 ], "answer_end_position": [ 302 ] }
3,477
124,551
กกอียิปต์ กกอียิปต์ หรือ พาไพรัส ()เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง ที่เติบโตในพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำไนล์ลักษณะ ลักษณะ. กกอียิปต์จัดอยู่ในกลุ่มไม้ล้มลุกหลายฤดู ส่วนของลำต้นอยู่ใต้ดิน ลักษณะภายนอกดูคล้ายกกลังกา แต่จะสูงและใหญ่กว่า ลำต้นตรงและขึ้นเป็นกอ ลำต้นส่วนที่โผล่ขึ้นพ้นผิวดินยาวประมาณ 1.2 - 2.40 เมตร ส่วนปลายของลำต้นมีริ้วรูปร่างกลมยาวออกจากส่วนปลายของลำต้นประมาณ 12 - 24 เซนติเมตร ในหนึ่งต้นมีประมาณ 50 - 100 เส้น ออกดอกเป็นช่อ มีสีน้ำตาลแดงประโยชน์ ประโยชน์. เนื้อต้นไม้ มีลักษณะชุ่มน้ำ และ เหนียวมีความสามารถในการตีเป็นเส้นและเชื่อมต่อด้วยยางของมันแอง สมัยโบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยโบราณนำมาทำเป็นกระดาษ จะนำมาตากทำเป็นกระดาษและสานเป็นหลังคาบ้านและประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้อื่น ๆ กกอียิปต์มีสรรพคุณทางยาต่างๆ เช่นใบและดอก แก้อาเจียน ถ่ายพิษไข้ ยาระบายอ่อน ๆ ลำต้น นำมาตีด้วยไม้ นำน้ำยางมาสมานแผลโดยใช้ หรือนำลำต้นที่ตีเป็นเส้น มาดามกับโคลนเพื่อเป็นการเข้าเฝือกไม้ประดับ ไม้ประดับ. ปัจจุบันนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ กกอียิปต์เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชื้นแฉะ ความต้องการแสงระดับปานกลาง ขยายพันธุ์โดยการแตกหน่อ
กกอียิปต์ เป็นพืชน้ำที่เติบโตในพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำใด
{ "answer": [ "แม่น้ำไนล์" ], "answer_begin_position": [ 167 ], "answer_end_position": [ 177 ] }
3,478
124,551
กกอียิปต์ กกอียิปต์ หรือ พาไพรัส ()เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง ที่เติบโตในพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำไนล์ลักษณะ ลักษณะ. กกอียิปต์จัดอยู่ในกลุ่มไม้ล้มลุกหลายฤดู ส่วนของลำต้นอยู่ใต้ดิน ลักษณะภายนอกดูคล้ายกกลังกา แต่จะสูงและใหญ่กว่า ลำต้นตรงและขึ้นเป็นกอ ลำต้นส่วนที่โผล่ขึ้นพ้นผิวดินยาวประมาณ 1.2 - 2.40 เมตร ส่วนปลายของลำต้นมีริ้วรูปร่างกลมยาวออกจากส่วนปลายของลำต้นประมาณ 12 - 24 เซนติเมตร ในหนึ่งต้นมีประมาณ 50 - 100 เส้น ออกดอกเป็นช่อ มีสีน้ำตาลแดงประโยชน์ ประโยชน์. เนื้อต้นไม้ มีลักษณะชุ่มน้ำ และ เหนียวมีความสามารถในการตีเป็นเส้นและเชื่อมต่อด้วยยางของมันแอง สมัยโบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยโบราณนำมาทำเป็นกระดาษ จะนำมาตากทำเป็นกระดาษและสานเป็นหลังคาบ้านและประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้อื่น ๆ กกอียิปต์มีสรรพคุณทางยาต่างๆ เช่นใบและดอก แก้อาเจียน ถ่ายพิษไข้ ยาระบายอ่อน ๆ ลำต้น นำมาตีด้วยไม้ นำน้ำยางมาสมานแผลโดยใช้ หรือนำลำต้นที่ตีเป็นเส้น มาดามกับโคลนเพื่อเป็นการเข้าเฝือกไม้ประดับ ไม้ประดับ. ปัจจุบันนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ กกอียิปต์เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชื้นแฉะ ความต้องการแสงระดับปานกลาง ขยายพันธุ์โดยการแตกหน่อ
ดอกของต้นกกอียิปต์มีสีอะไร
{ "answer": [ "น้ำตาลแดง" ], "answer_begin_position": [ 512 ], "answer_end_position": [ 521 ] }
3,479
207,565
กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 ใช้ชื่อในการแข่งขันว่า "อุตรดิตถ์เกมส์" ระหว่างวันที่ 20-31 มีนาคม พ.ศ. 2554คำขวัญการแข่งขัน คำขวัญการแข่งขัน. มิตรภาพและน้ำใจ คือ หลักชัยแห่งการกีฬาสัญลักษณ์การแข่งขันสัญลักษณ์การแข่งขัน. 1. รูปลายเส้นพระยาพิชัยดาบหัก หมายถึง สิ่งที่ชาวเมืองอุตรดิตถ์เคารพสักการะนับถือกราบไหว้ และบูชาอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวเมืองอุตรดิตถ์ และแสดงถึงความเป็นนักสู้ 2. เลข 27 ออกแบบตะหวัดเป็นลายเส้น สีม่วงและสีส้ม ซึ่งเป็นสีของจังหวัดอุตรดิตถ์ หมายถึง การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 3. เส้นพลิ้ว 2 เส้นเกี่ยวตะวัติ หมายถึง เกลียวแห่งความรัก ความสามัคคีในหมู่นักกีฬาอันแสดงประสานสัมผัส ถึงการพัฒนา และส่งเสริมเยาวชนให้มีสุขภาพแข็งแรงเปรียบเสมือนพลังที่ขับเคลื่อนให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าต่อไป 4. สัญลักษณ์การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงปรัชญาการดำเนินงานของการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของคนและกีฬาต่าง ๆ อย่างแท้จริง สีแดง ขาว น้ำเงิน สื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจ ร่วมพลังของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งนักกีฬาและเจ้าหน้าที่รัฐบาลและเอกชนสัญลักษณ์นำโชคการแข่งขัน สัญลักษณ์นำโชคการแข่งขัน. มาสคอตกีฬาครั้งนี้คือพระยาพิชัยดาบหักถือคบเพลิงชื่อ จ้อยการแข่งขันระดับภาคการแข่งขันระดับภาค. - การแข่งขันคัดภาค 1 ณ จังหวัด ปทุมธานี กำหนดการแข่งขัน 4-13 พฤศจิกายน 2553 - การแข่งขันคัดภาค 2 ณ จังหวัด พระนครศรีอยุธยา กำหนดการแข่งขัน 30 ตุลาคม - 8 พฤศจิกายน 2553 - การแข่งขันคัดภาค 3 ณ จังหวัด อุบลราชธานี กำหนดการแข่งขัน 21-30 ตุลาคม 2553 - การแข่งขันคัดภาค 4 ณ จังหวัด นครศรีธรรมราช กำหนดการแข่งขัน 16-25 ตุลาคม 2553 - การแข่งขันคัดภาค 5 ณ จังหวัด เชียงราย กำหนดการแข่งขัน 19-28 พฤศจิกายน 2553 http://www.chiangraigames.com/ชนิดกีฬา ชนิดกีฬา. กีฬาในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 27 อุตรดิตถ์เกมส์ ทั้งสิ้น 35 ชนิด- กรีฑา - กอล์ฟ - กาบัดดี้ - กีฬาลีลาศ - กีฬาเครื่องบินเล็กบังคับวิทยุ - คริกเก็ต - คาราเต้โด - จักรยาน - ตะกร้อ - เทควันโด - เทนนิส - เทเบิลเทนนิส - เน็ตบอล (กีฬาสาธิต) - บาสเกตบอล - บริดจ์ - แบดมินตัน- เปตอง - ฟันดาบ - ฟุตบอล - มวยปล้ำ - มวยไทยสมัครเล่น - มวยสากลสมัครเล่น - ยกน้ำหนัก - ยิงปืน - ยิมนาสติก - ยูโด - รักบี้ฟุตบอล - เรือพาย - วอลเลย์บอล - ว่ายน้ำ - วูซู - สนุกเกอร์ - หมากล้อม - ฮอกกี้ - แฮนด์บอลตารางการแข่งขันเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์สำคัญ. - ครั้งแรกของจังหวัดอุตรดิตถ์ ในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ กีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 27 อุตรดิตถ์เกมส์ - ครั้งแรกของการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติที่มีหมู่บ้านนักกีฬาและลานวัฒนธรรม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก (หน่วยรักษาความปลอดภัย ศูนย์อาหาร มินิมาร์ท ศูนย์หนังสือ ศูนย์ออกกำลังกาย อินทราเน็ตคาเฟ่ มินิเทียเตอร์ คาราโอเกะ และเวทีรำวงย้อนยุค มีจักรยานยืมเทียวฟรี ๔๐๐ คัน นวดแผนไทย และศูนย์จำหน่ายของที่ระลึก สินค้าOTOP) และกิจกรรมตลอดการจัดการแข่งขัน - ชนิดกีฬาในการแข่งขันมากที่สุดในการจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ จำนวน 34 ชนิดกีฬา (คริกเก็ต ฟันดาบสากล บริดจ์ ) 1 กีฬาสาธิต (เน็ตบอล) - ชิงเหรียญทองมากที่สุดในการจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ จำนวน 514 เหรียญ หมายเหตุ- คริกเก็ต เป็นกีฬาสาธิตในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 26 มะขามหวานเกมส์ และบรรจุเข้าแข่งขันครั้งแรกในกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 27 อุตรดิตถ์เกมส์ - ฟันดาบสากล บรรจุเข้าแข่งขันครั้งแรกในกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 27 อุตรดิตถ์เกมส์ - บริดจ์ บรรจุเข้าแข่งขันครั้งแรกในกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 27 อุตรดิตถ์เกมส์ - เน็ตบอล เป็นกีฬาสาธิตในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 27 อุตรดิตถ์เกมส์
กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 ที่จัดขึ้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีชื่องานอย่างเป็นทางการว่าอะไร
{ "answer": [ "อุตรดิตถ์เกมส์" ], "answer_begin_position": [ 279 ], "answer_end_position": [ 293 ] }
3,480
458,336
เทเลพาที (อัลบั้ม) เทเลพาที () เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 5 ของ โยคีเพลย์บอย วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2552 ภายใต้สังกัด Plenty Music ในเครืออาร์เอส และในอัลบั้มนี้โยคีเพลย์บอยก็ได้กลับมาทำงานในรูปแบบวงดนตรีอีกครั้ง หลังจากที่เหลือ โป้-ปิยะ ศาสตรวาหา เพียงคนเดียวตั้งแต่อัลบั้ม ซูเปอร์สวิงกิง เป็นต้นมารายชื่อเพลงรายชื่อเพลง. - ทุกเพลงแต่งเนื้อร้องและทำนองโดย ปิยะ ศาสตรวาหา / เรียบเรียงโดย โยคีเพลย์บอย 2. ในเพลงหนึ่ง 3. ถ้าบนฟ้ามีดาวเป็นร้อยเป็นพัน 4. ต่อให้ต้องบอกในใจ 5. ใกล้กับไกล 6. ภาพเธอ 7. คนเดียว 8. Every Day, Every Nightรายละเอียดอัลบั้มรายละเอียดอัลบั้ม. - โปรดิวเซอร์ - Yokee Playboy - สตูดิโอบันทึกเสียง - Big Hits Studio - มิกซ์ และ มาสเตอริ่ง - วิจักร ชานเมือง ที่ Big Hits Studio - วิศวกรเสียง - วิจักร ชานเมือง, ณัฐนันท์ สังขะทรัพย์, ชลธิชา ยศพล - Yokee Playboy - ปิยะ ศาสตรวาหา - ร้องนำ, กีตาร์ - เปาซี มามะ - กีตาร์ไฟฟ้า, กีตาร์โปร่ง - ฆ้อง มงคล - คีย์บอร์ด, ฟลุต - อดุลย์ รัชดาภิสิทธิ์ - กีตาร์ไฟฟ้า - อาณัติ ทองก้อน - เบส - พิทยา ศิริสวัสดิ์ - กลอง - นักดนตรีรับเชิญ - สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ - โปรแกรม (เพลง ภาพเธอ)
ผลงานเพลงชุดที่ 5 ของโยคีเพลย์บอย มีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "เทเลพาที" ], "answer_begin_position": [ 112 ], "answer_end_position": [ 120 ] }
3,481
344,888
ลิงแสม ลิงแสม () เป็นลิงชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macaca fascicularis จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae)ลักษณะ ลักษณะ. จัดเป็นลิงขนาดกลาง มีขนตามลำตัวสีน้ำตาล หางยาวกว่าความยาวของลำตัว ขนตรงกลางหัวมีลักษณะตั้งแหลมชี้ขึ้น ขนใต้ท้องสีขาว โดยสีขนจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ฤดูกาล และถิ่นที่อยู่อาศัย ขนาดความยาวลำตัวและหัวประมาณ 48.5 – 55 เซนติเมตร ความยาวหาง 44 – 54 ซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 3.5 – 6.5 กิโลกรัมการแพร่กระจายพันธุ์ การแพร่กระจายพันธุ์. มีการแพร่กระจายพันธุ์ที่ค่อนข้างกว้าง โดยพบตั้งแต่ประเทศอินเดีย, พม่า, ไทย, คาบสมุทรมลายู, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียว, เกาะลูซอน และเกาะมินดาเนา ของฟิลิปปินส์, ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม ทำให้มีชนิดย่อยมากถึง 10 ชนิด (ดูในตาราง)นิเวศวิทยาและพฤติกรรม นิเวศวิทยาและพฤติกรรม. เป็นลิงอีกชนิดหนึ่งที่พบได้แทบทุกภูมิประเทศ ทั้งในป่าชายเลนใกล้ทะเล โดยลิงฝูงที่อาศัยในที่นี่จะว่ายน้ำและดำน้ำเก่ง เคยมีรายงานว่าสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร หากินสัตว์ทะเลขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น กุ้ง, ปู หรือ หอย แต่บางครั้งก็พบอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นและพื้นที่สูงประมาณ 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล หรือพื้นที่เกษตรกรรมด้วยซึ่งมันมักจะทำลายผลิตผลทางการเกษตร ลิงแสมพยายามจะปรับตัวให้สามารถอยู่ในพื้นที่บริเวณขอบนอกของป่า มากกว่าอยู่ในป่าลึก และสามารถปรับตัวในเข้ากับมนุษย์ได้ในบางโอกาส ดั่งที่มักพบเห็นทั่วไปตามเมืองใหญ่ อาทิ ศาลพระกาฬ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี หรือ ศาลเจ้าแม่เขาสามมุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เป็นต้น ซึ่งมักจะอยู่เป็นฝูงใหญ่ อาจมีสมาชิกในฝูงได้ถึง 200 ตัว โตเต็มที่เมื่อมีอายุได้ราว 3-4 ปี ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกที่มีอายุน้อยจะเกาะติดแม่เสมอ และจัดเป็นลิงอีกชนิดหนึ่งที่หากเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก ก็สามารถนำมาฝึกหัดให้เชื่องได้เหมือนลิงกัง (M. nemestrina)สถานะ สถานะ. ในประเทศไทย ลิงแสมจัดเป็นลิงชนิดที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด สามารถพบได้แม้กระทั่งในเขตกรุงเทพมหานคร มีสถานะตามกฎหมายเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
ลิงที่อาศัยอยู่ที่ศาลพระกาฬ ในจังหวัดลพบุรี เป็นลิงพันธุ์ใด
{ "answer": [ "ลิงแสม" ], "answer_begin_position": [ 88 ], "answer_end_position": [ 94 ] }
3,483
466,109
วนิษา เรซ วนิษา เรซ (หนูดี) เป็นบุตรสาวคุณชุมศรี รักษ์วนิชพงศ์ เจ้าของโรงเรียนวนิษา จบระดับปริญญาตรี ในสาขาครอบครัวศึกษา Family Studies มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ คอลเลจพาร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้ปิดหลักสูตรดังกล่าวไปแล้ว หนูดีจบปริญญาโทครุศาสตร์ (Master of Education) ในหลักสูตร จิตใจ สมอง และการศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา และเป็นจุดขายที่หนูดีใช้นำเสนอเพื่อประชาสัมพันธ์หนังสือและโรงเรียนของเธออยู่เสมอๆ เช่นเดียวกับนักวิทยศาสตร์และนักการศึกษาจำนวนมากที่พูดกันมานับพันปี หนูดีนำเสนอเรื่องที่ว่าคนทั่วไปก็สร้างและฝึกฝนให้ตนเป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน และได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้" แต่กลับมิได้มีการอ้างอิงงานวิจัยที่ผ่านมาแต่อย่างใดในหนังสือของเธอ หนูดีเป็น คอลัมนิสต์ หนังสือบันทึกคุณแม่ และหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ จัดรายการวิทยุ “ชั่วโมงเศรษฐกิจ” ทางสถานีวิทยุจุฬา และ และ “ข้อคิดชีวิตนี้” ทาง อสมท. (100.5) เคยร่วมแข่งในรายการอัจฉริยะข้ามคืน เป็นผู้ชนะ ล้านที่ 15 ของรายการ ภาพที่หนูดีสื่อสารกับคนทั่วไปมักจะทำให้เข้าใจผิดว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง หรือจบด้านสมองโดยตรงมา แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะหลักสูตร Mind, Brain, and Education เป็นการสอนเกี่ยวกับความเข้าใจในการใช้สติปัญญา และสมองในการเรียนรู้เท่านั้น ในทางครุศาสตร์เท่านั้น โดยผู้ที่จบทางปริญญาตรีด้านสังคมศาสตร์หรือครุศาสตร์ส่วนใหญ่ก็สามารถสมัครเข้าเรียนได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านจิตวิทยามาก่อน
วนิษา เรซ มีชื่อเล่นว่าอะไร
{ "answer": [ "หนูดี" ], "answer_begin_position": [ 105 ], "answer_end_position": [ 110 ] }
3,484
466,109
วนิษา เรซ วนิษา เรซ (หนูดี) เป็นบุตรสาวคุณชุมศรี รักษ์วนิชพงศ์ เจ้าของโรงเรียนวนิษา จบระดับปริญญาตรี ในสาขาครอบครัวศึกษา Family Studies มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ คอลเลจพาร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้ปิดหลักสูตรดังกล่าวไปแล้ว หนูดีจบปริญญาโทครุศาสตร์ (Master of Education) ในหลักสูตร จิตใจ สมอง และการศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา และเป็นจุดขายที่หนูดีใช้นำเสนอเพื่อประชาสัมพันธ์หนังสือและโรงเรียนของเธออยู่เสมอๆ เช่นเดียวกับนักวิทยศาสตร์และนักการศึกษาจำนวนมากที่พูดกันมานับพันปี หนูดีนำเสนอเรื่องที่ว่าคนทั่วไปก็สร้างและฝึกฝนให้ตนเป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน และได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้" แต่กลับมิได้มีการอ้างอิงงานวิจัยที่ผ่านมาแต่อย่างใดในหนังสือของเธอ หนูดีเป็น คอลัมนิสต์ หนังสือบันทึกคุณแม่ และหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ จัดรายการวิทยุ “ชั่วโมงเศรษฐกิจ” ทางสถานีวิทยุจุฬา และ และ “ข้อคิดชีวิตนี้” ทาง อสมท. (100.5) เคยร่วมแข่งในรายการอัจฉริยะข้ามคืน เป็นผู้ชนะ ล้านที่ 15 ของรายการ ภาพที่หนูดีสื่อสารกับคนทั่วไปมักจะทำให้เข้าใจผิดว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง หรือจบด้านสมองโดยตรงมา แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะหลักสูตร Mind, Brain, and Education เป็นการสอนเกี่ยวกับความเข้าใจในการใช้สติปัญญา และสมองในการเรียนรู้เท่านั้น ในทางครุศาสตร์เท่านั้น โดยผู้ที่จบทางปริญญาตรีด้านสังคมศาสตร์หรือครุศาสตร์ส่วนใหญ่ก็สามารถสมัครเข้าเรียนได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านจิตวิทยามาก่อน
ใครเป็นผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า อัจฉริยะสร้างได้
{ "answer": [ "วนิษา เรซ" ], "answer_begin_position": [ 94 ], "answer_end_position": [ 103 ] }
3,485
175,618
เตียนห้อง เตียนห้อง (; ) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก เสนาธิการของอ้วนเสี้ยว มีความคิดความอ่านดี แต่เลือกนายผิด ในช่วงที่โจโฉยกทัพกำลังมาตีเล่าปี่ที่ชีจิ๋ว เล่าปี่ส่งจดหมายถึงอ้วนเสี้ยวให้ช่วยตีฮูโต๋เพื่อทำให้โจโฉห่วงหน้าพะวงหลัง แต่อ้วนเสี้ยวอ้างว่าอ้วนซงบุตรคนเล็กของตนป่วยไม่มีจิตใจจะทำสงคราม เตียนห้องพยายามชี้ข้อดีของการบุกตี แต่อ้วนเสี้ยวไม่ฟัง ต่อมา อ้วนเสี้ยวคิดยกทัพตีโจโฉ เตียนห้องมาห้ามแล้วว่าครั้งก่อนที่ฮูโต๋ว่างเปล่ากลับไม่เข้าตี มาตีเมื่อโจโฉมีกำลังพร้อมสรรพต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน อ้วนเสี้ยวโกรธกล่าวหาว่าเตียนห้องพูดทำลายขวัญกองทัพ แล้วให้นำตัวไปขัง ต่อมา อ้วนเสี้ยวพ่ายแพ้โจโฉราบคาบในศึกกัวต๋อสมดังคาดของเตียนห้อง อ้วนเสี้ยวคิดถ้าปล่อยเตียนห้องออกจากห้องขัง เตียนห้องต้องเยาะเย้ยตนแน่ จึงส่งคนไปสังหารเตียนห้อง แต่เตียนห้องรู้ชะตาตนเองดี จึงได้ปลิดชีวิตตนเองไปก่อนหน้านี้แล้ว
เตียนห้องเป็นตัวละครในวรรณกรรมเรื่องสามก๊กที่เป็นเสนาธิการของใคร
{ "answer": [ "อ้วนเสี้ยว" ], "answer_begin_position": [ 212 ], "answer_end_position": [ 222 ] }
3,486
39,688
กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ (; มาจากภาษาละติน musculus "หนูตัวเล็ก" ) เป็นเนื้อเยื่อที่หดตัวได้ในร่างกาย เปลี่ยนแปลงมาจากเมโซเดิร์ม (mesoderm) ของชั้นเนื้อเยื่อในตัวอ่อน และเป็นระบบหนึ่งของร่างกายที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกาย แบ่งออกเป็นกล้ามเนื้อโครงร่าง (skeletal muscle) , กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) , และกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) ทำหน้าที่หดตัวเพื่อให้เกิดแรงและทำให้เกิดการเคลื่อนที่ (motion) รวมถึงการเคลื่อนที่และการหดตัวของอวัยวะภายใน กล้ามเนื้อจำนวนมากหดตัวได้นอกอำนาจจิตใจ และจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น การบีบตัวของหัวใจ หรือการบีบรูด (peristalsis) ทำให้เกิดการผลักดันอาหารเข้าไปภายในทางเดินอาหาร การหดตัวของกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจมีประโยชน์ในการเคลื่อนที่ของร่างกาย และสามารถควบคุมการหดตัวได้ เช่นการกลอกตา หรือการหดตัวของกล้ามเนื้อควอดริเซ็บ (quadriceps muscle) ที่ต้นขา ใยกล้ามเนื้อ (muscle fiber) ที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจแบ่งกว้างๆ ได้เป็น 2 ประเภทคือ กล้ามเนื้อ fast twitch และกล้ามเนื้อ slow twitch กล้ามเนื้อ slow twitch สามารถหดตัวได้เป็นระยะเวลานานแต่ให้แรงน้อย ในขณะที่กล้ามเนื้อ fast twitch สามารถหดตัวได้รวดเร็วและให้แรงมาก แต่ล้าได้ง่ายกายวิภาคศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์. กล้ามเนื้อส่วนใหญ่ประกอบด้วยเซลล์กล้ามเนื้อ ภายในเซลล์มีไมโอไฟบริล (myofibril) ซึ่งภายในมีซาร์โคเมียร์ (sarcomere) ประกอบด้วยแอกติน (actin) และไมโอซิน (myosin) ใยกล้ามเนื้อแต่ละเส้นล้อมรอบด้วยเอนโดไมเซียม (endomysium) หรือเยื่อหุ้มใยกล้ามเนื้อ ใยกล้ามเนื้อหลายๆ เส้นรวมกันโดยมีเพอริไมเซียม (perimysium) กลายเป็นมัดๆ เรียกว่าฟาสซิเคิล (fascicle) มัดกล้ามเนื้อดังกล่าวจะรวมตัวกันกลายเป็นกล้ามเนื้อซึ่งอยู่ภายในเยื่อหุ้มที่เรียกว่าเอพิไมเซียม (epimysium) หรือ เยื่อหุ้มมัดกล้ามเนื้อ Muscle spindle จะอยู่ภายในกล้ามเนื้อและส่งกระแสประสาทรับความรู้สึกกลับมาที่ระบบประสาทกลาง (central nervous system) กล้ามเนื้อโครงร่างเป็นกล้ามเนื้อที่ยึดติดอยู่กับเนื้อเยื่อกระดูก (skeletal muscle) ซึ่งแตกต่างจากกล้ามเนื้อหัวใจหรือกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อโครงร่างจะเรียงตัวอยู่แยกจากกัน เช่นในกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ เบรกิไอ กล้ามเนื้อประเภทนี้จะมีเอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) ที่ยึดกับปุ่มนูนหรือปุ่มยื่นของกระดูก ในทางตรงกันข้าม กล้ามเนื้อเรียบจะพบได้หลายขนาดในอวัยวะเกือบทุกชนิด เช่นในผิวหนัง (ทำหน้าที่ทำให้ขนลุก) ไปจนถึงหลอดเลือด (blood vessel) และทางเดินอาหาร (digestive tract) (ทำหน้าที่ควบคุมขนาดของช่องในทางเดินอาหารและการบีบรูด (peristalsis)) กล้ามเนื้อหัวใจเป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่พบในหัวใจ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกล้ามเนื้อโครงร่างทั้งส่วนประกอบและการทำงาน ประกอบด้วยไมโอไฟบริลและซาร์โคเมียร์ กล้ามเนื้อหัวใจแตกต่างจากกล้ามเนื้อโครงร่างในทางกายวิภาคคือมีการแตกแขนงของกล้ามเนื้อเพื่อติดต่อกับใยกล้ามเนื้ออื่นๆ ผ่านแผ่นอินเตอร์คาเลต (intercalated disc) และสร้างเป็นซินไซเทียม (syncytium) ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยกล้ามเนื้อโครงร่างประมาณ 639 มัด จำนวนใยกล้ามเนื้อไม่สามารถเพิ่มได้จากการออกกำลังกายอย่างที่เข้าใจกัน แต่เซลล์กล้ามเนื้อจะมีขนาดโตขึ้น ใยกล้ามเนื้อมีขีดจำกัดในการเติบโต ถ้ากล้ามเนื้อขยายขนาดมากเกินไปเรียกว่า ภาวะอวัยวะโตเกิน (Organ hypertrophy) และอาจเกิด การเจริญเกิน หรือการงอกเกิน (hyperplasia)ประเภท ประเภท. กล้ามเนื้อสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่1. กล้ามเนื้อโครงร่าง (Skeletal Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ (Voluntary) สามารถควบคุมได้ ยึดติดกับกระดูก (bone) โดยเอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) ทำหน้าที่เคลื่อนไหวโครงกระดูกเพื่อการเคลื่อนที่ของร่างกายและเพื่อรักษาท่าทาง (posture) ของร่างกาย การควบคุมการคงท่าทางของร่างกายอาศัยรีเฟล็กซ์ (reflex) ที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ เมื่อขยายเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อลายดูจะพบว่า มีลักษณะเป็นลาย โดยทั่วไปร่างกายผู้ชายประกอบด้วยกล้ามเนื้อโครงร่าง 40-50% ส่วนผู้หญิงจะประกอบด้วยกล้ามเนื้อโครงร่าง 30-40% 2. กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ (Involuntary) ไม่สามารถควบคุมได้ พบดาดอยู่ที่ผนังของอวัยวะภายใน (Viseral Organ) เช่น หลอดอาหาร (esophagus) , กระเพาะอาหาร (stomach) , ลำไส้ (intestine) , หลอดลม (bronchi) , มดลูก (uterus) , ท่อปัสสาวะ (urethra) , กระเพาะปัสสาวะ (bladder) , และหลอดเลือด (blood vessel) 3. กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่นอกอำนาจจิตใจเช่นกัน แต่เป็นกล้ามเนื้อชนิดพิเศษที่พบเฉพาะในหัวใจ เป็นกล้ามเนื้อที่บีบตัวให้หัวใจเต้น กล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อโครงร่างจัดเป็นกล้ามเนื้อลาย (striated muscle) เพราะว่ามีซาร์โคเมียร์ (sarcomere) และเส้นใยจัดเรียงอยู่ในมัดกล้ามเนื้อ (bundle) อย่างเป็นระเบียบซึ่งไม่พบในกล้ามเนื้อเรียบ ใยกล้ามเนื้อโครงร่างจะเรียงตัวขนานกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ในมัดกล้ามเนื้อ แต่กล้ามเนื้อหัวใจมีการแตกสาขา (branching) ในมุมที่แตกต่างกัน กล้ามเนื้อลายสามารถหดตัวและคลายตัวได้รวดเร็ว (contracts and relaxes in short, intense bursts) ในขณะที่กล้ามเนื้อเรียบหดตัวได้น้อยและช้า (sustains longer or even near-permanent contractions) กล้ามเนื้อโครงร่างแบ่งออกได้เป็นประเภทย่อยๆ หลายประเภท- Type I, slow oxidative, slow twitch, หรือ "red" muscle มีหลอดเลือดฝอย (capillary) จำนวนมาก ภายในเซลล์ประกอบด้วยไมโทคอนเดรีย (mitochondria) และไมโอโกลบิน (myoglobin) ทำให้กล้ามเนื้อมีสีแดง กล้ามเนื้อนี้สามารถขนส่งออกซิเจนได้มากและมีเมตาบอลิซึมแบบใช้ออกซิเจน (aerobic metabolism) - Type II หรือ fast twitch muscle แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามความเร็วในการหดตัว:- Type IIa คล้ายกับกล้ามเนื้อ slow twitch คือมีการหายใจแบบใช้ออกซิเจน มีไมโทคอนเดรียจำนวนมากและหลอดเลือดฝอย ทำให้มีสีแดง - Type IIx (หรือเรียกอีกอย่างว่า type IId) มีไมโทคอนเดรียและไมโอโกลบินอยู่หนาแน่นน้อยกว่า เป็นกล้ามเนื้อที่หดตัวเร็วที่สุด (the fastest muscle) ในร่างกายมนุษย์ สามารถหดตัวได้รวดเร็วกว่าและแรงมากกว่ากล้ามเนื้อที่หายใจแบบใช้ออกซิเจน (oxidative muscle) แต่หดตัวได้ไม่นาน มีการหายใจโดยไม่ใช้ออกซิเจนอย่างรวดเร็ว (anaerobic burst) ก่อนที่กล้ามเนื้อจะหดตัว ซึ่งทำให้เกิดความเมื่อยล้าจากการเกิดกรดแลกติก (lactic acid) ในตำราบางเล่มอาจเรียกกล้ามเนื้อชนิดนี้ในมนุษย์ว่า type IIB - Type IIb เป็นกล้ามเนื้อที่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic) ใช้พลังงานจากกระบวนการไกลโคไลซิส (glycolysis) เรียกอีกอย่างว่า "white" muscle มีไมโทคอนเดรียและไมโอโกลบินเบาบางกว่า กล้ามเนื้อประเภทนี้พบเป็นกล้ามเนื้อ fast twitch ในสัตว์ขนาดเล็กเช่นสัตว์ฟันแทะ (rodent) ทำให้กล้ามเนื้อของสัตว์เหล่านั้นมีสีค่อนข้างซีดจางสรีรวิทยา สรีรวิทยา. แม้ว่ากล้ามเนื้อทั้งสามชนิด (กล้ามเนื้อโครงร่าง, กล้ามเนื้อเรียบ และกล้ามเนื้อหัวใจ) จะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่การหดตัวของกล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อทั้งสามชนิดก็มีความคล้ายคลึงกัน โดยเกิดจากการเคลื่อนที่ของแอกติน (actin) และไมโอซิน (myosin) ในกล้ามเนื้อโครงร่าง การหดตัวเกิดมาจากกระแสประสาทที่ส่งผ่านมาจากเส้นประสาท ซึ่งมักจะมาจากเซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron) การหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อเรียบถูกกระตุ้นโดยเซลล์คุมจังหวะ (pacemaker cell) ภายในซึ่งจะหดตัวอย่างเป็นจังหวะ และกระจายการหดตัวไปยังเซลล์กล้ามเนื้อข้างเคียง กล้ามเนื้อโครงร่างทั้งหมดและกล้ามเนื้อเรียบหลายชนิดถูกกระตุ้นโดยสารสื่อประสาท (neurotransmitter) เช่น อะเซติลโคลีน (acetylcholine) การหดตัวของกล้ามเนื้อจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก เซลล์กล้ามเนื้อทุกเซลล์ผลิตโมเลกุลอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) หรือ ATP ซึ่งให้พลังงานในการเคลื่อนที่ส่วนหัวของไมโอซิน (myosin) กล้ามเนื้อจะเก็บสะสม ATP ในรูปของครีเอตินฟอสเฟต (creatine phosphate) ซึ่งสร้างขึ้นมาจาก ATP เมื่อกล้ามเนื้อต้องการพลังงานในการหดตัว ครีเอตินฟอสเฟตสามารถผลิต ATP กลับคืนมาได้ กล้ามเนื้อสามารถเก็บกลูโคส (glucose) ไว้ในรูปของไกลโคเจน (glycogen) เช่นกัน ไกลโคเจนสามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อที่มีกำลังมากและนานขึ้น ในเซลล์กล้ามเนื้อโครงร่าง โมเลกุลกลูโคส 1 โมเลกุลสามารถถูกสลายโดยกระบวนการไกลโคไลซิส (glycolysis) ซึ่งทำให้ได้ ATP 2 โมเลกุลและกรดแลกติก 2 โมเลกุล นอกจากนั้นภายในเซลล์กล้ามเนื้อยังสามารถเก็บไขมันซึ่งจะถูกใช้ไประหว่างการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน (aerobic exercise) การหายใจแบบใช้ออกซิเจนจะผลิต ATP ได้เป็นเวลานานกว่า ให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด และผลิต ATP ได้จำนวนมากกว่าการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนแม้จะต้องผ่านกระบวนการทางชีวเคมีมากกว่า ในทางตรงกันข้าม กล้ามเนื้อหัวใจสามารถสลายสารอาหารโมเลกุลใหญ่ (macronutrients) เช่นโปรตีน กลูโคส ไขมัน ได้ทันทีและให้ ATP ออกมาเป็นจำนวนมาก หัวใจและตับสามารถใช้พลังงานจากกรดแลกติกซึ่งผลิตขึ้นมาและหลั่งออกจากกล้ามเนื้อโครงร่างระหว่างการออกกำลังกายการควบคุมของระบบประสาทเส้นประสาทนำออก การควบคุมของระบบประสาท. เส้นประสาทนำออก. ใยประสาทนำออก (Efferent nerve fiber) ของระบบประสาทนอกส่วนกลาง (peripheral nervous system) ทำหน้าที่นำคำสั่งไปยังกล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ และทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เส้นประสาท (nerve) ทำหน้าที่นำคำสั่งทั้งนอกอำนาจจิตใจและในอำนาจจิตใจจากสมอง ทั้งกล้ามเนื้อในชั้นลึก กล้ามเนื้อในชั้นตื้น กล้ามเนื้อใบหน้า และกล้ามเนื้อภายในต่างถูกควบคุมโดยส่วนต่างๆ ของ primary motor cortex ของสมอง ซึ่งอยู่หน้าร่องกลาง (central sulcus) ของสมองซึ่งแบ่ง frontal lobes และ parietal lobes นอกจากนั้น กล้ามเนื้อยังรับคำสั่งจากเส้นประสาทรีเฟล็กซ์ (reflexive nerve) ซึ่งไม่ต้องส่งกระแสประสาทผ่านสมอง ดังนั้นสัญญาณจากใยประสาทนำเข้าจึงไม่ต้องไปถึงสมองแต่สามารถเชื่อมต่อตรงเข้าไปยังใยประสาทนำออกภายในไขสันหลัง อย่างไรก็ตามการหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใหญ่เป็นความจงใจ (volitional) และเกิดจากการประมวลผลจากความสัมพันธ์ของบริเวณต่างๆ ภายในสมองเส้นประสาทนำเข้า เส้นประสาทนำเข้า. ใยประสาทนำเข้า (Afferent nerve fiber) ของระบบประสาทนอกส่วนกลางทำหน้าที่นำกระแสประสาทรับความรู้สึกไปยังสมอง โดยมักมาจากอวัยวะรับสัมผัส เช่น ผิวหนัง ภายในกล้ามเนื้อจะมีส่วนที่เรียกว่า muscle spindle ที่รับรู้ความตึงและความยาวของกล้ามเนื้อ และส่งสัญญาณดังกล่าวไปยังระบบประสาทกลาง (central nervous system) เพื่อช่วยในการคงรูปร่างท่าทางของร่างกายและตำแหน่งของข้อต่อ ความรู้สึกของตำแหน่งร่างกายที่วางตัวในที่ว่างเรียกว่า การรับรู้อากัปกิริยา (proprioception) การรับรู้อากัปกิริยาเป็นความตระหนักของร่างกายที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวว่าตำแหน่งต่างๆ ของร่างกายตั้งอยู่ที่บริเวณใด ณ ขณะนั้น ซึ่งสามารถสาธิตให้เห็นได้โดยการให้ผู้ถูกทดสอบยืนหรือนั่งนิ่งๆ ให้ผู้อื่นปิดตาของผู้ถูกทดสอบและยกแขนของผู้ถูกทดสอบขึ้นและหมุนรอบตัว หากผู้ถูกทดสอบมีการรับรู้อากัปกิริยาที่เป็นปกติ เขาจะทราบได้ว่าขณะนั้นมือของเขาอยู่ที่ตำแหน่งใด ตำแหน่งต่างๆ ภายในสมองมีความเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวและตำแหน่งร่างกายกับการรับรู้อากัปกิริยาบทบาทในด้านสุขภาพและโรคการออกกำลังกาย บทบาทในด้านสุขภาพและโรค. การออกกำลังกาย. การออกกำลังกายเป็นวิธีการในการพัฒนาทักษะการสั่งการ (motor skills), ความฟิตของร่างกาย, ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก และการทำงานของข้อต่อ การออกกำลังกายสามารถส่งผลไปยังกล้ามเนื้อ, เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน, กระดูก และเส้นประสาทที่กระตุ้นกล้ามเนื้อนั้น การออกกำลังกายหลายประเภทมีการใช้กล้ามเนื้อในส่วนหนึ่งมากกว่าอีกส่วนหนึ่ง ในการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic exercise) กล้ามเนื้อนั้นจะออกกำลังเป็นระยะเวลานานในระดับที่ต่ำกว่าความสามารถในการหดตัวสูงสุด (maximum contraction strength) ของกล้ามเนื้อนั้นๆ (เช่นในการวิ่งมาราธอน) การออกกำลังกายประเภทนี้จะอาศัยระบบการหายใจแบบใช้ออกซิเจน ใช้ใยกล้ามเนื้อประเภท type I (หรือ slow-twitch), เผาผลาญสารอาหารจากทั้งไขมัน, โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ได้พลังงาน ใช้ออกซิเจนจำนวนมากและผลิตกรดแลกติก (lactic acid) ในปริมาณน้อย ในการออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic exercise) จะมีการหดตัวของกล้ามเนื้อในระยะเวลารวดเร็ว และหดตัวได้แรงจนเข้าใกล้ความสามารถในการหดตัวสูงสุดของกล้ามเนื้อนั้นๆ ตัวอย่างของการออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน เช่น การยกน้ำหนักหรือการวิ่งในระยะสั้นแบบเต็มฝีเท้า การออกกำลังกายแบบนี้จะใช้ใยกล้ามเนื้อประเภท type II (หรือ fast-twitch) อาศัยพลังงานจาก ATP หรือกลูโคส แต่ใช้ออกซิเจน ไขมัน และโปรตีนในปริมาณน้อย ผลิตกรดแลกติกออกมาเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถออกกำลังกายได้นานเท่าการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน
ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยกล้ามเนื้อกี่มัด
{ "answer": [ "639" ], "answer_begin_position": [ 2715 ], "answer_end_position": [ 2718 ] }
3,487
39,688
กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ (; มาจากภาษาละติน musculus "หนูตัวเล็ก" ) เป็นเนื้อเยื่อที่หดตัวได้ในร่างกาย เปลี่ยนแปลงมาจากเมโซเดิร์ม (mesoderm) ของชั้นเนื้อเยื่อในตัวอ่อน และเป็นระบบหนึ่งของร่างกายที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกาย แบ่งออกเป็นกล้ามเนื้อโครงร่าง (skeletal muscle) , กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) , และกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) ทำหน้าที่หดตัวเพื่อให้เกิดแรงและทำให้เกิดการเคลื่อนที่ (motion) รวมถึงการเคลื่อนที่และการหดตัวของอวัยวะภายใน กล้ามเนื้อจำนวนมากหดตัวได้นอกอำนาจจิตใจ และจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น การบีบตัวของหัวใจ หรือการบีบรูด (peristalsis) ทำให้เกิดการผลักดันอาหารเข้าไปภายในทางเดินอาหาร การหดตัวของกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจมีประโยชน์ในการเคลื่อนที่ของร่างกาย และสามารถควบคุมการหดตัวได้ เช่นการกลอกตา หรือการหดตัวของกล้ามเนื้อควอดริเซ็บ (quadriceps muscle) ที่ต้นขา ใยกล้ามเนื้อ (muscle fiber) ที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจแบ่งกว้างๆ ได้เป็น 2 ประเภทคือ กล้ามเนื้อ fast twitch และกล้ามเนื้อ slow twitch กล้ามเนื้อ slow twitch สามารถหดตัวได้เป็นระยะเวลานานแต่ให้แรงน้อย ในขณะที่กล้ามเนื้อ fast twitch สามารถหดตัวได้รวดเร็วและให้แรงมาก แต่ล้าได้ง่ายกายวิภาคศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์. กล้ามเนื้อส่วนใหญ่ประกอบด้วยเซลล์กล้ามเนื้อ ภายในเซลล์มีไมโอไฟบริล (myofibril) ซึ่งภายในมีซาร์โคเมียร์ (sarcomere) ประกอบด้วยแอกติน (actin) และไมโอซิน (myosin) ใยกล้ามเนื้อแต่ละเส้นล้อมรอบด้วยเอนโดไมเซียม (endomysium) หรือเยื่อหุ้มใยกล้ามเนื้อ ใยกล้ามเนื้อหลายๆ เส้นรวมกันโดยมีเพอริไมเซียม (perimysium) กลายเป็นมัดๆ เรียกว่าฟาสซิเคิล (fascicle) มัดกล้ามเนื้อดังกล่าวจะรวมตัวกันกลายเป็นกล้ามเนื้อซึ่งอยู่ภายในเยื่อหุ้มที่เรียกว่าเอพิไมเซียม (epimysium) หรือ เยื่อหุ้มมัดกล้ามเนื้อ Muscle spindle จะอยู่ภายในกล้ามเนื้อและส่งกระแสประสาทรับความรู้สึกกลับมาที่ระบบประสาทกลาง (central nervous system) กล้ามเนื้อโครงร่างเป็นกล้ามเนื้อที่ยึดติดอยู่กับเนื้อเยื่อกระดูก (skeletal muscle) ซึ่งแตกต่างจากกล้ามเนื้อหัวใจหรือกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อโครงร่างจะเรียงตัวอยู่แยกจากกัน เช่นในกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ เบรกิไอ กล้ามเนื้อประเภทนี้จะมีเอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) ที่ยึดกับปุ่มนูนหรือปุ่มยื่นของกระดูก ในทางตรงกันข้าม กล้ามเนื้อเรียบจะพบได้หลายขนาดในอวัยวะเกือบทุกชนิด เช่นในผิวหนัง (ทำหน้าที่ทำให้ขนลุก) ไปจนถึงหลอดเลือด (blood vessel) และทางเดินอาหาร (digestive tract) (ทำหน้าที่ควบคุมขนาดของช่องในทางเดินอาหารและการบีบรูด (peristalsis)) กล้ามเนื้อหัวใจเป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่พบในหัวใจ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกล้ามเนื้อโครงร่างทั้งส่วนประกอบและการทำงาน ประกอบด้วยไมโอไฟบริลและซาร์โคเมียร์ กล้ามเนื้อหัวใจแตกต่างจากกล้ามเนื้อโครงร่างในทางกายวิภาคคือมีการแตกแขนงของกล้ามเนื้อเพื่อติดต่อกับใยกล้ามเนื้ออื่นๆ ผ่านแผ่นอินเตอร์คาเลต (intercalated disc) และสร้างเป็นซินไซเทียม (syncytium) ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยกล้ามเนื้อโครงร่างประมาณ 639 มัด จำนวนใยกล้ามเนื้อไม่สามารถเพิ่มได้จากการออกกำลังกายอย่างที่เข้าใจกัน แต่เซลล์กล้ามเนื้อจะมีขนาดโตขึ้น ใยกล้ามเนื้อมีขีดจำกัดในการเติบโต ถ้ากล้ามเนื้อขยายขนาดมากเกินไปเรียกว่า ภาวะอวัยวะโตเกิน (Organ hypertrophy) และอาจเกิด การเจริญเกิน หรือการงอกเกิน (hyperplasia)ประเภท ประเภท. กล้ามเนื้อสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่1. กล้ามเนื้อโครงร่าง (Skeletal Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ (Voluntary) สามารถควบคุมได้ ยึดติดกับกระดูก (bone) โดยเอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) ทำหน้าที่เคลื่อนไหวโครงกระดูกเพื่อการเคลื่อนที่ของร่างกายและเพื่อรักษาท่าทาง (posture) ของร่างกาย การควบคุมการคงท่าทางของร่างกายอาศัยรีเฟล็กซ์ (reflex) ที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ เมื่อขยายเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อลายดูจะพบว่า มีลักษณะเป็นลาย โดยทั่วไปร่างกายผู้ชายประกอบด้วยกล้ามเนื้อโครงร่าง 40-50% ส่วนผู้หญิงจะประกอบด้วยกล้ามเนื้อโครงร่าง 30-40% 2. กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ (Involuntary) ไม่สามารถควบคุมได้ พบดาดอยู่ที่ผนังของอวัยวะภายใน (Viseral Organ) เช่น หลอดอาหาร (esophagus) , กระเพาะอาหาร (stomach) , ลำไส้ (intestine) , หลอดลม (bronchi) , มดลูก (uterus) , ท่อปัสสาวะ (urethra) , กระเพาะปัสสาวะ (bladder) , และหลอดเลือด (blood vessel) 3. กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่นอกอำนาจจิตใจเช่นกัน แต่เป็นกล้ามเนื้อชนิดพิเศษที่พบเฉพาะในหัวใจ เป็นกล้ามเนื้อที่บีบตัวให้หัวใจเต้น กล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อโครงร่างจัดเป็นกล้ามเนื้อลาย (striated muscle) เพราะว่ามีซาร์โคเมียร์ (sarcomere) และเส้นใยจัดเรียงอยู่ในมัดกล้ามเนื้อ (bundle) อย่างเป็นระเบียบซึ่งไม่พบในกล้ามเนื้อเรียบ ใยกล้ามเนื้อโครงร่างจะเรียงตัวขนานกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ในมัดกล้ามเนื้อ แต่กล้ามเนื้อหัวใจมีการแตกสาขา (branching) ในมุมที่แตกต่างกัน กล้ามเนื้อลายสามารถหดตัวและคลายตัวได้รวดเร็ว (contracts and relaxes in short, intense bursts) ในขณะที่กล้ามเนื้อเรียบหดตัวได้น้อยและช้า (sustains longer or even near-permanent contractions) กล้ามเนื้อโครงร่างแบ่งออกได้เป็นประเภทย่อยๆ หลายประเภท- Type I, slow oxidative, slow twitch, หรือ "red" muscle มีหลอดเลือดฝอย (capillary) จำนวนมาก ภายในเซลล์ประกอบด้วยไมโทคอนเดรีย (mitochondria) และไมโอโกลบิน (myoglobin) ทำให้กล้ามเนื้อมีสีแดง กล้ามเนื้อนี้สามารถขนส่งออกซิเจนได้มากและมีเมตาบอลิซึมแบบใช้ออกซิเจน (aerobic metabolism) - Type II หรือ fast twitch muscle แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามความเร็วในการหดตัว:- Type IIa คล้ายกับกล้ามเนื้อ slow twitch คือมีการหายใจแบบใช้ออกซิเจน มีไมโทคอนเดรียจำนวนมากและหลอดเลือดฝอย ทำให้มีสีแดง - Type IIx (หรือเรียกอีกอย่างว่า type IId) มีไมโทคอนเดรียและไมโอโกลบินอยู่หนาแน่นน้อยกว่า เป็นกล้ามเนื้อที่หดตัวเร็วที่สุด (the fastest muscle) ในร่างกายมนุษย์ สามารถหดตัวได้รวดเร็วกว่าและแรงมากกว่ากล้ามเนื้อที่หายใจแบบใช้ออกซิเจน (oxidative muscle) แต่หดตัวได้ไม่นาน มีการหายใจโดยไม่ใช้ออกซิเจนอย่างรวดเร็ว (anaerobic burst) ก่อนที่กล้ามเนื้อจะหดตัว ซึ่งทำให้เกิดความเมื่อยล้าจากการเกิดกรดแลกติก (lactic acid) ในตำราบางเล่มอาจเรียกกล้ามเนื้อชนิดนี้ในมนุษย์ว่า type IIB - Type IIb เป็นกล้ามเนื้อที่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic) ใช้พลังงานจากกระบวนการไกลโคไลซิส (glycolysis) เรียกอีกอย่างว่า "white" muscle มีไมโทคอนเดรียและไมโอโกลบินเบาบางกว่า กล้ามเนื้อประเภทนี้พบเป็นกล้ามเนื้อ fast twitch ในสัตว์ขนาดเล็กเช่นสัตว์ฟันแทะ (rodent) ทำให้กล้ามเนื้อของสัตว์เหล่านั้นมีสีค่อนข้างซีดจางสรีรวิทยา สรีรวิทยา. แม้ว่ากล้ามเนื้อทั้งสามชนิด (กล้ามเนื้อโครงร่าง, กล้ามเนื้อเรียบ และกล้ามเนื้อหัวใจ) จะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่การหดตัวของกล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อทั้งสามชนิดก็มีความคล้ายคลึงกัน โดยเกิดจากการเคลื่อนที่ของแอกติน (actin) และไมโอซิน (myosin) ในกล้ามเนื้อโครงร่าง การหดตัวเกิดมาจากกระแสประสาทที่ส่งผ่านมาจากเส้นประสาท ซึ่งมักจะมาจากเซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron) การหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อเรียบถูกกระตุ้นโดยเซลล์คุมจังหวะ (pacemaker cell) ภายในซึ่งจะหดตัวอย่างเป็นจังหวะ และกระจายการหดตัวไปยังเซลล์กล้ามเนื้อข้างเคียง กล้ามเนื้อโครงร่างทั้งหมดและกล้ามเนื้อเรียบหลายชนิดถูกกระตุ้นโดยสารสื่อประสาท (neurotransmitter) เช่น อะเซติลโคลีน (acetylcholine) การหดตัวของกล้ามเนื้อจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก เซลล์กล้ามเนื้อทุกเซลล์ผลิตโมเลกุลอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) หรือ ATP ซึ่งให้พลังงานในการเคลื่อนที่ส่วนหัวของไมโอซิน (myosin) กล้ามเนื้อจะเก็บสะสม ATP ในรูปของครีเอตินฟอสเฟต (creatine phosphate) ซึ่งสร้างขึ้นมาจาก ATP เมื่อกล้ามเนื้อต้องการพลังงานในการหดตัว ครีเอตินฟอสเฟตสามารถผลิต ATP กลับคืนมาได้ กล้ามเนื้อสามารถเก็บกลูโคส (glucose) ไว้ในรูปของไกลโคเจน (glycogen) เช่นกัน ไกลโคเจนสามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อที่มีกำลังมากและนานขึ้น ในเซลล์กล้ามเนื้อโครงร่าง โมเลกุลกลูโคส 1 โมเลกุลสามารถถูกสลายโดยกระบวนการไกลโคไลซิส (glycolysis) ซึ่งทำให้ได้ ATP 2 โมเลกุลและกรดแลกติก 2 โมเลกุล นอกจากนั้นภายในเซลล์กล้ามเนื้อยังสามารถเก็บไขมันซึ่งจะถูกใช้ไประหว่างการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน (aerobic exercise) การหายใจแบบใช้ออกซิเจนจะผลิต ATP ได้เป็นเวลานานกว่า ให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด และผลิต ATP ได้จำนวนมากกว่าการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนแม้จะต้องผ่านกระบวนการทางชีวเคมีมากกว่า ในทางตรงกันข้าม กล้ามเนื้อหัวใจสามารถสลายสารอาหารโมเลกุลใหญ่ (macronutrients) เช่นโปรตีน กลูโคส ไขมัน ได้ทันทีและให้ ATP ออกมาเป็นจำนวนมาก หัวใจและตับสามารถใช้พลังงานจากกรดแลกติกซึ่งผลิตขึ้นมาและหลั่งออกจากกล้ามเนื้อโครงร่างระหว่างการออกกำลังกายการควบคุมของระบบประสาทเส้นประสาทนำออก การควบคุมของระบบประสาท. เส้นประสาทนำออก. ใยประสาทนำออก (Efferent nerve fiber) ของระบบประสาทนอกส่วนกลาง (peripheral nervous system) ทำหน้าที่นำคำสั่งไปยังกล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ และทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เส้นประสาท (nerve) ทำหน้าที่นำคำสั่งทั้งนอกอำนาจจิตใจและในอำนาจจิตใจจากสมอง ทั้งกล้ามเนื้อในชั้นลึก กล้ามเนื้อในชั้นตื้น กล้ามเนื้อใบหน้า และกล้ามเนื้อภายในต่างถูกควบคุมโดยส่วนต่างๆ ของ primary motor cortex ของสมอง ซึ่งอยู่หน้าร่องกลาง (central sulcus) ของสมองซึ่งแบ่ง frontal lobes และ parietal lobes นอกจากนั้น กล้ามเนื้อยังรับคำสั่งจากเส้นประสาทรีเฟล็กซ์ (reflexive nerve) ซึ่งไม่ต้องส่งกระแสประสาทผ่านสมอง ดังนั้นสัญญาณจากใยประสาทนำเข้าจึงไม่ต้องไปถึงสมองแต่สามารถเชื่อมต่อตรงเข้าไปยังใยประสาทนำออกภายในไขสันหลัง อย่างไรก็ตามการหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใหญ่เป็นความจงใจ (volitional) และเกิดจากการประมวลผลจากความสัมพันธ์ของบริเวณต่างๆ ภายในสมองเส้นประสาทนำเข้า เส้นประสาทนำเข้า. ใยประสาทนำเข้า (Afferent nerve fiber) ของระบบประสาทนอกส่วนกลางทำหน้าที่นำกระแสประสาทรับความรู้สึกไปยังสมอง โดยมักมาจากอวัยวะรับสัมผัส เช่น ผิวหนัง ภายในกล้ามเนื้อจะมีส่วนที่เรียกว่า muscle spindle ที่รับรู้ความตึงและความยาวของกล้ามเนื้อ และส่งสัญญาณดังกล่าวไปยังระบบประสาทกลาง (central nervous system) เพื่อช่วยในการคงรูปร่างท่าทางของร่างกายและตำแหน่งของข้อต่อ ความรู้สึกของตำแหน่งร่างกายที่วางตัวในที่ว่างเรียกว่า การรับรู้อากัปกิริยา (proprioception) การรับรู้อากัปกิริยาเป็นความตระหนักของร่างกายที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวว่าตำแหน่งต่างๆ ของร่างกายตั้งอยู่ที่บริเวณใด ณ ขณะนั้น ซึ่งสามารถสาธิตให้เห็นได้โดยการให้ผู้ถูกทดสอบยืนหรือนั่งนิ่งๆ ให้ผู้อื่นปิดตาของผู้ถูกทดสอบและยกแขนของผู้ถูกทดสอบขึ้นและหมุนรอบตัว หากผู้ถูกทดสอบมีการรับรู้อากัปกิริยาที่เป็นปกติ เขาจะทราบได้ว่าขณะนั้นมือของเขาอยู่ที่ตำแหน่งใด ตำแหน่งต่างๆ ภายในสมองมีความเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวและตำแหน่งร่างกายกับการรับรู้อากัปกิริยาบทบาทในด้านสุขภาพและโรคการออกกำลังกาย บทบาทในด้านสุขภาพและโรค. การออกกำลังกาย. การออกกำลังกายเป็นวิธีการในการพัฒนาทักษะการสั่งการ (motor skills), ความฟิตของร่างกาย, ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก และการทำงานของข้อต่อ การออกกำลังกายสามารถส่งผลไปยังกล้ามเนื้อ, เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน, กระดูก และเส้นประสาทที่กระตุ้นกล้ามเนื้อนั้น การออกกำลังกายหลายประเภทมีการใช้กล้ามเนื้อในส่วนหนึ่งมากกว่าอีกส่วนหนึ่ง ในการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic exercise) กล้ามเนื้อนั้นจะออกกำลังเป็นระยะเวลานานในระดับที่ต่ำกว่าความสามารถในการหดตัวสูงสุด (maximum contraction strength) ของกล้ามเนื้อนั้นๆ (เช่นในการวิ่งมาราธอน) การออกกำลังกายประเภทนี้จะอาศัยระบบการหายใจแบบใช้ออกซิเจน ใช้ใยกล้ามเนื้อประเภท type I (หรือ slow-twitch), เผาผลาญสารอาหารจากทั้งไขมัน, โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ได้พลังงาน ใช้ออกซิเจนจำนวนมากและผลิตกรดแลกติก (lactic acid) ในปริมาณน้อย ในการออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic exercise) จะมีการหดตัวของกล้ามเนื้อในระยะเวลารวดเร็ว และหดตัวได้แรงจนเข้าใกล้ความสามารถในการหดตัวสูงสุดของกล้ามเนื้อนั้นๆ ตัวอย่างของการออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน เช่น การยกน้ำหนักหรือการวิ่งในระยะสั้นแบบเต็มฝีเท้า การออกกำลังกายแบบนี้จะใช้ใยกล้ามเนื้อประเภท type II (หรือ fast-twitch) อาศัยพลังงานจาก ATP หรือกลูโคส แต่ใช้ออกซิเจน ไขมัน และโปรตีนในปริมาณน้อย ผลิตกรดแลกติกออกมาเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถออกกำลังกายได้นานเท่าการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน
ภาษาอังกฤษของกล้ามเนื้อหัวใจคืออะไร
{ "answer": [ "cardiac muscle" ], "answer_begin_position": [ 419 ], "answer_end_position": [ 433 ] }
3,488
884,146
วลีรัตน์ สีนวลจันทร์ วลีรัตน์ สีนวลจันทร์ (ชื่อเล่น :ครีม) หรือที่รู้จักกันในนาม ครีม อาร์สยาม เป็นนักร้องแนวเพลงลูกทุ่งชาวไทย สังกัดค่ายอาร์ สยามประวัติ ประวัติ. วลีรัตน์ สีนวลจันทร์ หรือ ครีม อาร์สยาม เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นนักร้องแนวเพลงลูกทุ่ง สังกัดค่าย อาร์ สยามสาวน้อยร่างเล็กแต่พลังเสียงสุดยอด เธอก้าวมาจากโครงการประกวดดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ ผ่านเวทีประกวดร้องเพลงมาหลากหลายเวทีและแต่ละเวทีก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาแล้วทั้งนั้น นอกจากเป็นนักร้องประกวดแล้วเธอยังเป็นนางเอกลิเกประจำคณะของคุณพ่อเธอด้วย ทำให้เธอมีประสบการณ์ได้ฝึกฝนการร้องเพลงหน้าเวทีอยู่ตลอดเวลา และในที่สุดความพยายาม ความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอก็ทำให้เธอได้เป็นนักร้องอย่างที่ใฝ่ฝันได้มีโอกาสทำงานเพลงร่วมกับเพื่อนๆในอัลบั้ม “หัวใจไต่ฝัน” เธอนั้นมีแก้วเสียงที่ดี สามารถร้องเพลงแนวลูกทุ่งแท้ๆ ใครที่ได้ฟังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียงเธอหวานไพเราะสุดๆ ผลงานเพลงที่ผ่านมาจะเป็นเพลงช้า ฟังซึ้งๆ อย่างเพลง “สองรุมหนึ่ง” ซึ่งเพลงนี้เองทำให้เธอได้รับรางวัล นักร้องลูกทุ่งหญิงยอดเยี่ยม จาก คมชัดลึกอะวอร์ดส ครั้งที่ 9 ปี 2555 กลับมาครั้งนี้เธอขอแบบสนุกๆ มันส์ ๆ ให้แฟนๆ ได้ขยับแข้งขยับขากันบ้างกับเพลง “ปล่อยเลยตามเลย” เพลงใหม่ในสไตล์ของเธอลูกทุ่งแท้ๆการศึกษาการศึกษา. - วิทยาลัยนาฎศิลปสุพรรณบุรี - มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาผลงานเพลงผลงานเพลง. - ใครจะไม่เจ็บ - สองรุมหนึ่ง - รางวัลจากฟ้า - ปล่อยเลยตามเลย - ถ้าจะลองเป็นของคนอื่น
ครีม อาร์สยาม มีชื่อจริงว่าอะไร
{ "answer": [ "วลีรัตน์ สีนวลจันทร์" ], "answer_begin_position": [ 116 ], "answer_end_position": [ 136 ] }
3,489
884,146
วลีรัตน์ สีนวลจันทร์ วลีรัตน์ สีนวลจันทร์ (ชื่อเล่น :ครีม) หรือที่รู้จักกันในนาม ครีม อาร์สยาม เป็นนักร้องแนวเพลงลูกทุ่งชาวไทย สังกัดค่ายอาร์ สยามประวัติ ประวัติ. วลีรัตน์ สีนวลจันทร์ หรือ ครีม อาร์สยาม เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นนักร้องแนวเพลงลูกทุ่ง สังกัดค่าย อาร์ สยามสาวน้อยร่างเล็กแต่พลังเสียงสุดยอด เธอก้าวมาจากโครงการประกวดดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ ผ่านเวทีประกวดร้องเพลงมาหลากหลายเวทีและแต่ละเวทีก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาแล้วทั้งนั้น นอกจากเป็นนักร้องประกวดแล้วเธอยังเป็นนางเอกลิเกประจำคณะของคุณพ่อเธอด้วย ทำให้เธอมีประสบการณ์ได้ฝึกฝนการร้องเพลงหน้าเวทีอยู่ตลอดเวลา และในที่สุดความพยายาม ความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอก็ทำให้เธอได้เป็นนักร้องอย่างที่ใฝ่ฝันได้มีโอกาสทำงานเพลงร่วมกับเพื่อนๆในอัลบั้ม “หัวใจไต่ฝัน” เธอนั้นมีแก้วเสียงที่ดี สามารถร้องเพลงแนวลูกทุ่งแท้ๆ ใครที่ได้ฟังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียงเธอหวานไพเราะสุดๆ ผลงานเพลงที่ผ่านมาจะเป็นเพลงช้า ฟังซึ้งๆ อย่างเพลง “สองรุมหนึ่ง” ซึ่งเพลงนี้เองทำให้เธอได้รับรางวัล นักร้องลูกทุ่งหญิงยอดเยี่ยม จาก คมชัดลึกอะวอร์ดส ครั้งที่ 9 ปี 2555 กลับมาครั้งนี้เธอขอแบบสนุกๆ มันส์ ๆ ให้แฟนๆ ได้ขยับแข้งขยับขากันบ้างกับเพลง “ปล่อยเลยตามเลย” เพลงใหม่ในสไตล์ของเธอลูกทุ่งแท้ๆการศึกษาการศึกษา. - วิทยาลัยนาฎศิลปสุพรรณบุรี - มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาผลงานเพลงผลงานเพลง. - ใครจะไม่เจ็บ - สองรุมหนึ่ง - รางวัลจากฟ้า - ปล่อยเลยตามเลย - ถ้าจะลองเป็นของคนอื่น
ครีม อาร์สยาม เป็นคนจังหวัดอะไร
{ "answer": [ "สุพรรณบุรี" ], "answer_begin_position": [ 350 ], "answer_end_position": [ 360 ] }
3,490
602,443
สิริยา นฤนาท สิริยา นฤนาท มีชื่อจริงว่า โชติมา จิตรีขันธ์ (ชื่อเล่น: นก) เป็นนักแสดงชาวไทย และเป็นทายาทของอดีตพระเอกลือชัย นฤนาท พระเอกตุ๊กตาทองคนแรกของเมืองไทย กับคุณเครือมาศ สร้อยคีรี มีน้องสาวร่วมมารดา ชื่ออรุโณทัย จิตรีขันธ์ (น้อง) ซึ่งอยู่ในวงการเช่นกัน เริ่มเข้าสู่วงการด้วยวัยเพียง 15 ปี จากการแสดงภาพยนตร์เรื่อง 100 เสน่หา คู่กับ สรพงศ์ ชาตรี เมื่อปี พ.ศ. 2527 หลังจากนั้นก็แสดงภาพยนตร์อยู่เรื่อยๆ เช่น อภินิหารน้ำมันพราย, เฮฮาเมียนาวี, รักผ่านส่ง และ นักล่าสลาตัน เป็นต้น โดยรับบทเป็นตัวเอกของเรื่องอีกด้วย หลังจากนั้นก็ได้มาแสดงละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 มีผลงานละครโทรทัศน์มากมาย แต่ในบทละครที่ได้รับนั้นส่วนมากจะเป็นคนใช้ แต่คุณนกก็สร้างสีสันให้กับละครในหลายๆเรื่องด้วยกัน อาทิ มาหยารัศมี และ สาวน้อยในตะเกียงแก้ว เป็นต้นผลงานละครโทรทัศน์ผลงาน. ละครโทรทัศน์. - สวรรค์เบี่ยง (2531/ช่อง 7) - หมูแดง (2536/ช่อง 7) - ผ้าทอง (2537/ช่อง 7) - ดาวพระศุกร์ (ปี 2537 / รับเชิญ) ช่อง 7 - บัวสีน้ำเงิน (ละครสั้นปากกาทองมินิซีรีส์) (2537/ช่อง 7) - ปราสาทสีขาว (2538/ช่อง 7) - คือหัตถาครองพิภพ รับบท ดา (2538/ช่อง 7) - ญาติกา (2539/ช่อง 7) - ด้วยแรงอธิษฐาน (2539/ช่อง 7) - สามอนงค์ (ปี 2539/ช่อง 5) - ทัดดาว บุษยา (2540/ช่อง 7) - อยากเกิดใหม่ ใกล้ๆบ้านเธอ (2540/ช่อง 3) - พลังรัก (2541/ช่อง 7) - อีสา-รวีช่วงโชติ (2541/ช่อง 7) - รักเต็มร้อย (ปี 2542/ช่อง 7) - ข้ามสีทันดร (ปี 2542/ช่อง 7) - นางสิบสอง (ปี 2543/ช่อง 7) - แค่เอื้อม (ปี 2543/ช่อง 7) - เพชรรุ้งไฟ (ปี 2543/ช่อง 7) - กว่าจะรู้เดียงสา (ปี 2543 / รับเชิญ) ช่อง 7 - คมพยาบาท (ปี 2544 / รับเชิญ) ช่อง 7 - ทัณฑ์กามเทพ (2544/ข้อง 7) - นางแมวป่า (2544/ข้อง 7) - สาวน้อยในตะเกียงแก้ว (2545/ช่อง 7) - เปรตวัดสุทัศน์ (2546/ช่อง 7) - นะหน้าทอง (2546/ช่อง 7) - สะใภ้ซ่าส์ แม่ย่าเฮี้ยน (2547/ช่อง 7) - แหวนทองเหลือง (2547/ช่อง 7) - ฟ้ากระจ่างดาว (2548/ช่อง 7) - ด้วยแรงแห่งรัก (2549/ช่อง 7) - ขิงก็รา ข่าก็แรง (2549/ช่อง 7) - สุภาพบุรุษซาตาน (2551/ช่อง 7) - ดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง (2553/ช่อง 7) - โบ๊เบ๊ (2554/ช่อง 7) - มาหยารัศมี (2555/ช่อง 7) - คุณพ่อจำเป็น (2555/ช่อง 7) - ดอกโศก (2555/ช่อง 5) - เปรตวัดสุทัศน์ (2555/ช่อง จ๊ะทิงจา ชาแนล) - ภาพอาถรรพ์ (2556/ช่อง 5) - แม่ค้า 2556/ช่อง 7) - คือหัตถาครองพิภพ (2556 /ช่อง 7) - อีสา-รวีช่วงโชติ (2556 - 2557 /ช่อง 5) - เล่ห์นางหงส์ (2557/ช่อง 7) - ยอพระกลิ่น (2557/ช่อง 7) - เพลงรักเพลงลำ (2558/ช่อง 7) - บ้านทรายทอง (2558/ช่อง 7) - เรือนร้อยรัก (2559/ช่องวัน) - แต่ปางก่อน (2560/ช่องวัน) - น้ำเซาะทราย (2560/ช่อง 7)ละครสั้นละครสั้น. - 2551 ฟ้ามีตา ตอน ชายชราที่กลางทุ่ง - 2554 ฟ้ามีตา ตอน เฮี้ยน - 2556 ฟ้ามีตา ตอน หล่อนชื่ออรุณศรี - 2557 ฟ้ามีตา ตอน เกิดเป็นหญิง - 2558 ฟ้ามีตา ตอน ซอยเดียวกันภาพยนตร์ภาพยนตร์. - ภาพยนตร์ "100 เสน่หา" (2527) คู่กับ สรพงศ์ ชาตรี - ภาพยนตร์ "อภินิหารน้ำมันพราย" (2527) - ภาพยนตร์ "เฮฮาเมียนาวี" (2527) คู่กับ ลิขิต เอกมงคล - ภาพยนตร์ "นักล่าสลาตัน" (2528) คู่กับ สรพงศ์ ชาตรี - ภาพยนตร์ "รักผ่อนส่ง" (2528) คู่กับ ทนงศักดิ์ ศุภการ
สิริยา นฤนาท มีชื่อจริงว่าอะไร
{ "answer": [ "โชติมา จิตรีขันธ์" ], "answer_begin_position": [ 127 ], "answer_end_position": [ 144 ] }
3,491
602,443
สิริยา นฤนาท สิริยา นฤนาท มีชื่อจริงว่า โชติมา จิตรีขันธ์ (ชื่อเล่น: นก) เป็นนักแสดงชาวไทย และเป็นทายาทของอดีตพระเอกลือชัย นฤนาท พระเอกตุ๊กตาทองคนแรกของเมืองไทย กับคุณเครือมาศ สร้อยคีรี มีน้องสาวร่วมมารดา ชื่ออรุโณทัย จิตรีขันธ์ (น้อง) ซึ่งอยู่ในวงการเช่นกัน เริ่มเข้าสู่วงการด้วยวัยเพียง 15 ปี จากการแสดงภาพยนตร์เรื่อง 100 เสน่หา คู่กับ สรพงศ์ ชาตรี เมื่อปี พ.ศ. 2527 หลังจากนั้นก็แสดงภาพยนตร์อยู่เรื่อยๆ เช่น อภินิหารน้ำมันพราย, เฮฮาเมียนาวี, รักผ่านส่ง และ นักล่าสลาตัน เป็นต้น โดยรับบทเป็นตัวเอกของเรื่องอีกด้วย หลังจากนั้นก็ได้มาแสดงละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 มีผลงานละครโทรทัศน์มากมาย แต่ในบทละครที่ได้รับนั้นส่วนมากจะเป็นคนใช้ แต่คุณนกก็สร้างสีสันให้กับละครในหลายๆเรื่องด้วยกัน อาทิ มาหยารัศมี และ สาวน้อยในตะเกียงแก้ว เป็นต้นผลงานละครโทรทัศน์ผลงาน. ละครโทรทัศน์. - สวรรค์เบี่ยง (2531/ช่อง 7) - หมูแดง (2536/ช่อง 7) - ผ้าทอง (2537/ช่อง 7) - ดาวพระศุกร์ (ปี 2537 / รับเชิญ) ช่อง 7 - บัวสีน้ำเงิน (ละครสั้นปากกาทองมินิซีรีส์) (2537/ช่อง 7) - ปราสาทสีขาว (2538/ช่อง 7) - คือหัตถาครองพิภพ รับบท ดา (2538/ช่อง 7) - ญาติกา (2539/ช่อง 7) - ด้วยแรงอธิษฐาน (2539/ช่อง 7) - สามอนงค์ (ปี 2539/ช่อง 5) - ทัดดาว บุษยา (2540/ช่อง 7) - อยากเกิดใหม่ ใกล้ๆบ้านเธอ (2540/ช่อง 3) - พลังรัก (2541/ช่อง 7) - อีสา-รวีช่วงโชติ (2541/ช่อง 7) - รักเต็มร้อย (ปี 2542/ช่อง 7) - ข้ามสีทันดร (ปี 2542/ช่อง 7) - นางสิบสอง (ปี 2543/ช่อง 7) - แค่เอื้อม (ปี 2543/ช่อง 7) - เพชรรุ้งไฟ (ปี 2543/ช่อง 7) - กว่าจะรู้เดียงสา (ปี 2543 / รับเชิญ) ช่อง 7 - คมพยาบาท (ปี 2544 / รับเชิญ) ช่อง 7 - ทัณฑ์กามเทพ (2544/ข้อง 7) - นางแมวป่า (2544/ข้อง 7) - สาวน้อยในตะเกียงแก้ว (2545/ช่อง 7) - เปรตวัดสุทัศน์ (2546/ช่อง 7) - นะหน้าทอง (2546/ช่อง 7) - สะใภ้ซ่าส์ แม่ย่าเฮี้ยน (2547/ช่อง 7) - แหวนทองเหลือง (2547/ช่อง 7) - ฟ้ากระจ่างดาว (2548/ช่อง 7) - ด้วยแรงแห่งรัก (2549/ช่อง 7) - ขิงก็รา ข่าก็แรง (2549/ช่อง 7) - สุภาพบุรุษซาตาน (2551/ช่อง 7) - ดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง (2553/ช่อง 7) - โบ๊เบ๊ (2554/ช่อง 7) - มาหยารัศมี (2555/ช่อง 7) - คุณพ่อจำเป็น (2555/ช่อง 7) - ดอกโศก (2555/ช่อง 5) - เปรตวัดสุทัศน์ (2555/ช่อง จ๊ะทิงจา ชาแนล) - ภาพอาถรรพ์ (2556/ช่อง 5) - แม่ค้า 2556/ช่อง 7) - คือหัตถาครองพิภพ (2556 /ช่อง 7) - อีสา-รวีช่วงโชติ (2556 - 2557 /ช่อง 5) - เล่ห์นางหงส์ (2557/ช่อง 7) - ยอพระกลิ่น (2557/ช่อง 7) - เพลงรักเพลงลำ (2558/ช่อง 7) - บ้านทรายทอง (2558/ช่อง 7) - เรือนร้อยรัก (2559/ช่องวัน) - แต่ปางก่อน (2560/ช่องวัน) - น้ำเซาะทราย (2560/ช่อง 7)ละครสั้นละครสั้น. - 2551 ฟ้ามีตา ตอน ชายชราที่กลางทุ่ง - 2554 ฟ้ามีตา ตอน เฮี้ยน - 2556 ฟ้ามีตา ตอน หล่อนชื่ออรุณศรี - 2557 ฟ้ามีตา ตอน เกิดเป็นหญิง - 2558 ฟ้ามีตา ตอน ซอยเดียวกันภาพยนตร์ภาพยนตร์. - ภาพยนตร์ "100 เสน่หา" (2527) คู่กับ สรพงศ์ ชาตรี - ภาพยนตร์ "อภินิหารน้ำมันพราย" (2527) - ภาพยนตร์ "เฮฮาเมียนาวี" (2527) คู่กับ ลิขิต เอกมงคล - ภาพยนตร์ "นักล่าสลาตัน" (2528) คู่กับ สรพงศ์ ชาตรี - ภาพยนตร์ "รักผ่อนส่ง" (2528) คู่กับ ทนงศักดิ์ ศุภการ
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่สิริยา นฤนาท แสดงมีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "100 เสน่หา" ], "answer_begin_position": [ 407 ], "answer_end_position": [ 417 ] }
3,492
22,551
กรดซัลฟิวริก กรดกำมะถัน หรือ กรดซัลฟิวริก () มีสูตรเคมีว่า HSO เป็นกรดแร่ (mineral acid) แก่ ละลายได้ในน้ำในทุกความเข้มข้น ค้นพบโดย จาเบียร์ เฮย์ยัน (Jabir Ibn Hayyan) นักเคมีชาวอาหรับ พบว่ากรดซัลฟิวริกมีประโยชน์มากมายและเป็นสารเคมีที่มีการผลิตมากที่สุด รองจากน้ำ ในปี ค.ศ. 2001 ทั่วโลกผลิตรวมกันประมาณ 165 ล้านตัน ซึ่งมูลค่าประมาณ 320,000 ล้านบาท (8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ประโยชน์ของกรดกำมะถันได้แก่ ใช้ในการผลิตปุ๋ย กระบวนการผลิตแร่ การสังเคราะห์เคมี การกำจัดน้ำเสีย ใช้เป็นสารละลายอิเล็กทรอไลต์ในแบตเตอรี่และกระบวนการกลั่นน้ำมัน กรดกำมะถันมีชื่อเดิมคือ "Zayt al-Zaj" หรือ "ออยล์ออฟวิตริออล" (oil of vitriol)คุณสมบัติทางฟิสิกส์ คุณสมบัติทางฟิสิกส์. ถึงแม้ว่าเราสามารถผลิตกรดซัลฟิวริกความเข้มข้น 100% แต่จะมีการสูญเสีย SO ที่จุดเดือดทำให้กรดที่ได้เหลือความเข้มข้นประมาณ 98.3% กรดความเข้มข้น 98% มีเสถียรภาพมากในการเก็บรักษา รูปแบบผลิตภัณฑ์นี้ของกรดจะถูกเรียกว่า กรดซัลฟิวริก เข้มข้น ("concentrated" sulfuric acid) ผลิตภัณฑ์ของ กรดซัลฟิวริก ที่ความเข้มข้นอื่นมีดังนี้:- 33.5%, เรียก กรดแบตเตอรี่ (battery acid) ใช้ใน แบตเตอรี่ประเภทตะกั่ว-กรด - 62.18%, เรียก แชมเบอร์ (chamber) หรือ กรดปุ๋ย (fertilizer acid) - 77.67%, เรียก โทเวอร์ (tower) หรือ กรดโกลเวอร์ (Glover acid) - 98%, เรียก กรดซัลฟิวริก เข้มข้น (concentrated)
สูตรเคมีของกรดกำมะถันคืออะไร
{ "answer": [ "HSO" ], "answer_begin_position": [ 144 ], "answer_end_position": [ 147 ] }
3,493
539,082
สู่นรกภูมิ สู่นรกภูมิ () เป็นนวนิยายแนวลึกลับ/ระทึกขวัญ เขียนโดยแดน บราวน์ โดยอยู่ในลำดับที่ 4 ในชุด โรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์วิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ฉบับภาษาอังกฤษวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 โดยสำนักพิมพ์ดับเบิลเดย์เรื่องย่อ เรื่องย่อ. สถานที่อันมืดมนที่สุดในนรก สงวนไว้สำหรับผู้ที่ธำรงความเป็นกลางในโมงยามแห่งวิกฤตทางศีลธรรม "โรเบิร์ต แลงดอน" ศาสตราจารย์วิชาสัญลักษณ์วิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตื่นขึ้นในโรงพยาบาลตอนกลางดึก ในสภาพสับสนงุนงงและได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ เขาจำสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 36 ชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้เลย รวมทั้งเรื่องที่ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร... หรือที่มาของวัตถุประหลาดน่ากลัว ที่แพทย์พบซ่อนอยู่ท่ามกลางข้าวของของเขา จากนั้นโลกของแลงดอนแปรเปลี่ยนเป็นความสับสนอลหม่านอย่างรวดเร็ว เขาต้องพยายามหนีเอาชีวิตรอดในฟลอเรนซ์กับหญิงสาวผู้เข้มแข็งนาม 'เซียนนา บรูคส์' ซึ่งช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างชาญฉลาด ในเวลาไม่นานแลงดอนก็ตระหนักว่าเขาครอบครองรหัสชุดหนึ่ง ที่สร้างขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่ง ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่หมกมุ่นกับเรื่องจุดจบของโลกพอๆ กับคลั่งไคล้วรรณกรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยมีการเขียนขึ้นมา นั่นคือ "อินเฟร์โน" ภาคหนึ่งของ "เดอะดิไวน์คอเมดี้" ของ ดันเต อาลีกีเอรี แลงดอนต้องเดินทางไปทั่วฟลอเรนซ์ เวนิส และท้ายสุดไปยังนครอันเป็นที่บรรจบของโลกตะวันออกกับตะวันตก เพื่อพยายามกอบกู้โลกให้พ้นจากหายนภัยฝีมือนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้น ก่อนที่จะสายเกินไป...ตัวละครตัวละคร. - โรเบิร์ต แลงดอน: ศาสตราจารย์ด้านประติมานวิทยาและสัญลักษณ์วิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด - เซียนนา บรูคส์: แพทย์หญิง - แบร์ตรองด์ โซบริสต์: พันธุวิศวกร - เอลิซาเบธ ซินสกี: ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก - คริสตอฟ บรูเดอร์: หัวหน้าทีม SRS (เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหภาพยุโรป) - ประธาน: ประธานเดอะคอนซอร์เทียม - วาเยนทา: เจ้าหน้าที่ของเดอะคอนซอร์เทียม - โจนาทาน เฟอร์ริส: เจ้าหน้าที่ของเดอะคอนซอร์เทียม - ลอเรนซ์ โนว์ลตัน: ผู้อำนวยความสะดวกของเดอะคอนซอร์เทียม - อิญาซิโอ บูโซนี: ผู้อำนวยการของมหาวิหารฟลอเรนซ์ - มาร์ตา อัลวาเรซ: เจ้าหน้าที่ของปาลาซโซเวกคิโอ ในฟลอเรนซ์ - เอตโตเร วิโย: ภัณฑารักษ์ของมหาวิหารซันมาร์โก ในเวนิส - มีร์ซาท: มัคคุเทศก์ของฮายาโซฟีอา ในอิสตันบูลการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์. ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 ทางโซนีพิคเจอร์ส (Sony Pictures Entertainment) ได้ประกาศว่าจะดัดแปลงนวนิยายเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ กำกับโดยรอน ฮาวเวิร์ด (ผู้กำกับ รหัสลับระทึกโลก และ เทวากับซาตาน) เขียนบทโดยเดวิด เคปป์ และจะได้ทอม แฮงค์ กลับมารับบทเป็นศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน โดยมีกำหนดฉายในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558 แต่ต่อมาเลื่อนวันฉายเป็นวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559
นวนิยายเรื่องสู่นรกภูมิของแดน บราวน์ ฉบับภาษาอังกฤษ วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2556" ], "answer_begin_position": [ 308 ], "answer_end_position": [ 312 ] }
3,494
323,875
สตีเวน โตเกลัง สตีเวน โทเกลัง () นักมวยสากลชาวอินโดนีเซีย สถิติการชก 10 ครั้ง ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 7ประวัติ ประวัติ. โทเกลังขึ้นชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 แพ้น็อค ฟ้าประกอบ รักเกียรติยิม ยก 4 ที่ประเทศไทย จากนั้น ไปชกแพ้น็อคเจอร์รี่ พีญาโลซ่า ที่ฟิลิปปินส์ แล้วแพ้น็อคเอเดรียน คัสเปรี่ ที่อินโดนีเซีย จากนั้น โทเกลังหยุดชกไป 6 ปี กลับมาชกอีกครั้งก็ขึ้นชกชิงแชมป์ ABCO รุ่นซูเปอร์แบนตัมเวทที่ว่างเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2544 แพ้น็อค เวทย์ ศักดิ์เมืองแกลง ยก 5 โทเกลังขึ้นชกที่อินโดนีเซียอีก 5 ครั้ง ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2 ซึ่งเป็นการเสมอกับนรสิงห์ เกียรติประสานชัย จากนั้น โทเกลังมาชิงแชมป์ PABA รุ่นซูเปอร์แบนตัมเวทเมื่อ 29 เมษายน พ.ศ. 2547 แพ้น็อค สมศักดิ์ สิงห์ชัชวาล ยก 2 จากนั้นก็ไม่ได้ขึ้นชกมวยอีกเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์ ABCO รุ่นซูเปอร์แบนตัมเวทเมื่อ 19 กันยายน 2544 แพ้น็อค เวทย์ ศักดิ์เมืองแกลง ยก 5 - ชิงแชมป์ PABA รุ่นซูเปอร์แบนตัมเวทเมื่อ 29 เมษายน 2547 แพ้น็อค สมศักดิ์ สิงห์ชัชวาลย์ ยก 2
สตีเวน โทเกลัง ขึ้นชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2537" ], "answer_begin_position": [ 259 ], "answer_end_position": [ 263 ] }
3,495
66,416
แมงมุมลายตัวนั้น แมงมุมลายตัวนั้น เป็นเพลงสำหรับเด็ก สันนิษฐานว่าแปลมาจากเพลงภาษาอังกฤษ "Itsy Bitsy Spider" เพลง "แมงมุมลาย" นี้ ได้ยินครั้งแรกในโรงเรียนอนุบาลในช่วงปี 2517 ครูอนุบาลในโรงเรียนอนุบาลสอนนักเรียนให้ร้องตามเนื้อเพลงเนื้อเพลงอีกแบบ
เพลงแมงมุมลายตัวนั้น แปลมาจากเพลงภาษาอังกฤษเพลงใด
{ "answer": [ "Itsy Bitsy Spider" ], "answer_begin_position": [ 178 ], "answer_end_position": [ 195 ] }
3,496
894,493
ชาลส์ เทซ รัสเซลล์ ชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์ เกิดเมื่อวันที่16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2395 เสียชีวิตเมื่อวันที่31 ตุลาคม พ.ศ.2459 เขาเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์นิกายพยานพระยะโฮวา และเขาเป็นผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องการสร้างอีกด้วยประวัติ ประวัติ. ชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์ เกิดเมื่อวันที่16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2395 ในวัยเด็กเขาได้ไปที่คริสตจักรของเซเว่นเดย์แอดเวนทิสต์ เขาได้ฟังคำสอนของคริสตจักรนั้นจนเขามีอายุได้20ปีและเขาไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับคำสอนของคริสตจักร เขาจึงแยกตัวออกมาจากคริสตจักรนั้น และก่อตั้งกลุ่มของเขาเอง ซึ่งในขณะนั้นมีชื่อว่า หอสังเกตการณ์แห่งซีโอน และได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มองค์กรของเขาเป็น หอสังเกตการณ์ หรือ ว็อชทาวเวอร์ และต่อมาเขาได้เป็นประธานกลุ่ม และใช้เงินพัฒนาองค์กรมาจากการค้าขายผ้าของเขาและพ่อของเขา และต่อมาจึงเติบโตเป็นองค์กร พยานพระยะโฮวาคำทำนายของชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์ คำทำนายของชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์. รัสเซลล์เคยทำนายไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2457 (ค.ศ.1914) พระเยซูจะปกครองโลกในฐานะกษัตริย์ และจะเหวี่ยงซาตานลงมาในโลกใบนี้ รัสเซลล์ทำนายโดยใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลในพระธรรมดาเนียลตอนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงพระสุบิน(ฝัน)ว่ามีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งและต้นไม้นั้นถูกโค่น และเป็นตออยู่7ปี และต้นไม้นั้นก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ซึ่งความหมายของความฝันนั้นคือ ต้นไม้ใหญ่หมายถึง กษัตริย์อิสราเอลที่ปกครองประชาชนของพระเจ้า ต้นไม้ถูกโค่นหมายถึง กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายและการปกครองของกษัตริย์อิสราเอลสิ้นสุดลง ต้นไม้ถูกทิ้งให้เป็นตอ7ปีหมายถึง อีก2520ปีจะมีการปกครองเริ่มขึ้นใหม่ 2520ปีมาจากพระธรรมวิวรณ์บทที่12 ข้อที่6 และข้อที่14 บอกไว้ว่าเวลา3ปีครึ่ง เท่ากับ1260วัน ระยะเวลา7ปีจึงเท่ากับ2520วัน จากกฏของคำพยากรณ์ของคัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ว่าให้1วันแทน1ปี ในหนังสือเอเสเคียลบทที่4 ข้อที่6 ช่วงที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงพระสุบินเท่ากับ607 ปี ก่อนคริสตศักราช เมื่อนำไปรวมกับ2520ปีแล้ว ก็จะเท่ากับค.ศ.1914 (ไม่มีค.ศ.0)นั่นเองมรณกรรมของชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์ มรณกรรมของชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์. ชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์มีสุขภาพที่แย่มากในปีพ.ศ.2459 และต่อมาเขาได้ป่วยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและเป็นโรคชราและเสียชีวิตในวันที่31 ตุลาคม พ.ศ.2459 ในวัย 64ปี
ใครคือผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์นิกายพยานพระยะโฮวา
{ "answer": [ "ชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์" ], "answer_begin_position": [ 112 ], "answer_end_position": [ 132 ] }
3,497
2,918
ประเทศเลบานอน เลบานอน (; ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐเลบานอน (; ) เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และถือเป็นหนึ่งใน 15 ดินแดนที่ประกอบเป็น "แหล่งกำเนิดแห่งมนุษยชาติ" () เลบานอนมีพรมแดนติดกับประเทศซีเรียและประเทศอิสราเอล พรมแดนที่ติดกับประเทศอิสราเอลได้รับการรับรองจากองค์การสหประชาชาติแล้ว แต่พื้นที่บางส่วน เรียกว่า "ชีบาฟาร์ม" () ตั้งอยู่ในที่ราบสูงโกลันยังคงครอบครองโดยอิสราเอล ซึ่งอ้างว่าเป็นพื้นที่ของซีเรีย กองทัพต่อต้านอ้างว่า "ชีบาฟาร์ม" เป็นพื้นที่ของเลบานอน และในบางโอกาสก็โจมตีที่มั่นของอิสราเอลภายในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ ซีเรียบำรุงรักษากองทัพที่มีทหารประมาณ 14,000 นายในเลบานอน ชาวเลบานอนที่สนับสนุนเลบานอนอ้างว่าเป็นการอยู่อย่างถูกต้องเนืองจากรัฐบาลเลบานอนได้ขอไว้ ตอนเริ่มสงครามกลางเมืองเมื่อ พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ผู้ที่ไม่เห็นด้วยอ้างว่า การอยู่ของซีเรียเป็นประหนึ่งการยึดครองโดยอำนาจต่างชาติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. เลบานอนอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 1943 หลังจากนั้น เลบานอนได้พัฒนาประเทศจนสามารถรักษาความเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การเงินศิลปะและวัฒนธรรมของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นับตั้งแต่อดีตไว้ได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงปี ค.ศ. 1975 – 1991 เลบานอนตกอยู่ภายใต้ภาวะสงครามกลางเมือง มีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอาหรับและกลุ่มคริสเตียนในเลบานอน ในที่สุด ทุกฝ่ายสามารถหาข้อยุติและร่วมกันพัฒนาฟื้นฟูประเทศหลังจากภาวะสงครามกลางเมืองอีกครั้ง ซีเรียเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อเลบานอนมากที่สุด โดยเฉพาะด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ โดยซีเรียได้ส่งกองกำลังรักษาความสงบอยู่ในเลบานอนประมาณ 30,000 คน และจากความสัมพันธ์ที่แนบแน่นดังกล่าว ทำให้กรณีพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างซีเรีย เลบานอนกับอิสราเอลไม่มีความคืบหน้าการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. เลบานอนมีระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขบริหาร บริหาร. ฝ่ายบริหารประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี 16 นาย มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. รัฐสภาแห่งชาติ (National Assembly) มีสมาชิก 128 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี (ประธานรัฐสภาแห่งชาติควรเป็นมุสลิมนิกาย Shi’a)ตุลาการ ตุลาการ. ฝ่ายตุลาการมี 4 ศาล ได้แก่ ศาลที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับพลเรือนและการพาณิชย์ 3 ศาล และศาลที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับคดีอาญาอีก 1 ศาลการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เลบานอนแบ่งเป็น 6 เขตผู้ว่า หรือ มุฮาฟาซอต (mohafazat, เอกพจน์ มุฮาฟาเซาะห์ - mohafazah) ซึ่งแบ่งเป็นเขตย่อยลงไปอีก 25 เขต หรือ อักฎิยะห์ (Aqdya, เอกพจน์ - กอฎออ์ []) , และแบ่งเป็นเทศบาลต่าง ๆ ที่รวมหลายเมืองหรือหมู่บ้าน (เมืองหลวงของเขตผู้ว่าจะเป็นตัวเอน) เขตผู้ว่าเบรุต (Beirut Governorate) :- เบรุต เขตผู้ว่าภูเขาเลบานอน (Governorate of Mount Lebanon) :- บาบดา (Baabda) (บาบดา [Baabda]) - อเลย์ (Aley) (อเลย์ [Aley]) - เมตน์ (Metn) (จเดเดห์ [Jdeideh]) - เคเซอร์วัน (Keserwan) (จูนิเยะห์ [Jounieh]) - ชูฟ (Chouf) (เบเตดดีน [Beiteddine]) - จเบล (Jbeil) (บิบลอส [Byblos]) เขตผู้ว่าเลบานอนเหนือ (Governorate of North Lebanon) :- ตรีโปลี (Tripoli) (ตรีโปลี [Tripoli]) - อัคคาร์ (Akkar) (ฮัลบา [Halba]) - ซการ์ตา (Zgharta) (ซการ์ตา [Zgharta] / เอห์เดน [Ehden]) - บชาร์ริ (Bsharri) (บชาร์ริ [Bsharri]) - บาตรูน (Batroun) (บาตรูน [Batroun]) - คูรา (Koura) (อัมยูน [Amyoun]) - มานเยห์-ดานน์เยห์ (Manyeh-Dannyeh) (มานเยห์ [Manyeh] / เซร์ดดานน์เยห์ [Seirddanyeh]) เขตผู้ว่าเบกา (Governorate of Beqaa) :- ซาห์เลห์ (Zahleh) (ซาห์เลห์ [Zahleh]) - บะอัลเบค (Baalbek) (บะอัลเบค [Baalbek]) - เฮอร์เมล (Hermel) (เฮอร์เมล [Hermel]) - ราชายา (Rashaya) (ราชายา [Rashaya]) - เบกาตะวันตก (Western Beqaa) (เจบเจนนีน [Jebjennine]/ ซากบีน [Saghbine]) เขตผู้ว่าเลบานอนใต้ (Governorate of South Lebanon) :- ซีดอนหรือไซดา (Sidon, Saida) (ซีดอน [Sidon]) - เจซซีน (Jezzine) (เจซซีน [Jezzine]) - ไทร์ (Tyre) (ไทร์ [Tyre]) เขตผู้ว่านาบาตีเยะห์ (Governorate of Nabatyeh) :- นาบาตีเยะห์ (Nabatyeh) (นาบาตเยห์ [Nabatyeh]) - มาร์เจยูน (Marjeyoun) (มาร์เจยูน [Marjeyoun]) - ฮัสบายา (Hasbaya) (ฮัสบายา [Hasbaya]) - เบนต์จเบล (Beintjbeil) (เบนต์จเบล [Beintjbeil])กองทัพประชากร ประชากร. ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับศาสนา ศาสนา. ศาสนาอิสลามร้อยละ 54 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 40.5
ประเทศเลบานอนอยู่ในภูมิภาคใด
{ "answer": [ "เอเชียตะวันตกเฉียงใต้" ], "answer_begin_position": [ 179 ], "answer_end_position": [ 200 ] }
3,498
2,918
ประเทศเลบานอน เลบานอน (; ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐเลบานอน (; ) เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และถือเป็นหนึ่งใน 15 ดินแดนที่ประกอบเป็น "แหล่งกำเนิดแห่งมนุษยชาติ" () เลบานอนมีพรมแดนติดกับประเทศซีเรียและประเทศอิสราเอล พรมแดนที่ติดกับประเทศอิสราเอลได้รับการรับรองจากองค์การสหประชาชาติแล้ว แต่พื้นที่บางส่วน เรียกว่า "ชีบาฟาร์ม" () ตั้งอยู่ในที่ราบสูงโกลันยังคงครอบครองโดยอิสราเอล ซึ่งอ้างว่าเป็นพื้นที่ของซีเรีย กองทัพต่อต้านอ้างว่า "ชีบาฟาร์ม" เป็นพื้นที่ของเลบานอน และในบางโอกาสก็โจมตีที่มั่นของอิสราเอลภายในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ ซีเรียบำรุงรักษากองทัพที่มีทหารประมาณ 14,000 นายในเลบานอน ชาวเลบานอนที่สนับสนุนเลบานอนอ้างว่าเป็นการอยู่อย่างถูกต้องเนืองจากรัฐบาลเลบานอนได้ขอไว้ ตอนเริ่มสงครามกลางเมืองเมื่อ พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ผู้ที่ไม่เห็นด้วยอ้างว่า การอยู่ของซีเรียเป็นประหนึ่งการยึดครองโดยอำนาจต่างชาติประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. เลบานอนอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 1943 หลังจากนั้น เลบานอนได้พัฒนาประเทศจนสามารถรักษาความเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การเงินศิลปะและวัฒนธรรมของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นับตั้งแต่อดีตไว้ได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงปี ค.ศ. 1975 – 1991 เลบานอนตกอยู่ภายใต้ภาวะสงครามกลางเมือง มีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอาหรับและกลุ่มคริสเตียนในเลบานอน ในที่สุด ทุกฝ่ายสามารถหาข้อยุติและร่วมกันพัฒนาฟื้นฟูประเทศหลังจากภาวะสงครามกลางเมืองอีกครั้ง ซีเรียเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อเลบานอนมากที่สุด โดยเฉพาะด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ โดยซีเรียได้ส่งกองกำลังรักษาความสงบอยู่ในเลบานอนประมาณ 30,000 คน และจากความสัมพันธ์ที่แนบแน่นดังกล่าว ทำให้กรณีพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างซีเรีย เลบานอนกับอิสราเอลไม่มีความคืบหน้าการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. เลบานอนมีระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขบริหาร บริหาร. ฝ่ายบริหารประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี 16 นาย มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. รัฐสภาแห่งชาติ (National Assembly) มีสมาชิก 128 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี (ประธานรัฐสภาแห่งชาติควรเป็นมุสลิมนิกาย Shi’a)ตุลาการ ตุลาการ. ฝ่ายตุลาการมี 4 ศาล ได้แก่ ศาลที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับพลเรือนและการพาณิชย์ 3 ศาล และศาลที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับคดีอาญาอีก 1 ศาลการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เลบานอนแบ่งเป็น 6 เขตผู้ว่า หรือ มุฮาฟาซอต (mohafazat, เอกพจน์ มุฮาฟาเซาะห์ - mohafazah) ซึ่งแบ่งเป็นเขตย่อยลงไปอีก 25 เขต หรือ อักฎิยะห์ (Aqdya, เอกพจน์ - กอฎออ์ []) , และแบ่งเป็นเทศบาลต่าง ๆ ที่รวมหลายเมืองหรือหมู่บ้าน (เมืองหลวงของเขตผู้ว่าจะเป็นตัวเอน) เขตผู้ว่าเบรุต (Beirut Governorate) :- เบรุต เขตผู้ว่าภูเขาเลบานอน (Governorate of Mount Lebanon) :- บาบดา (Baabda) (บาบดา [Baabda]) - อเลย์ (Aley) (อเลย์ [Aley]) - เมตน์ (Metn) (จเดเดห์ [Jdeideh]) - เคเซอร์วัน (Keserwan) (จูนิเยะห์ [Jounieh]) - ชูฟ (Chouf) (เบเตดดีน [Beiteddine]) - จเบล (Jbeil) (บิบลอส [Byblos]) เขตผู้ว่าเลบานอนเหนือ (Governorate of North Lebanon) :- ตรีโปลี (Tripoli) (ตรีโปลี [Tripoli]) - อัคคาร์ (Akkar) (ฮัลบา [Halba]) - ซการ์ตา (Zgharta) (ซการ์ตา [Zgharta] / เอห์เดน [Ehden]) - บชาร์ริ (Bsharri) (บชาร์ริ [Bsharri]) - บาตรูน (Batroun) (บาตรูน [Batroun]) - คูรา (Koura) (อัมยูน [Amyoun]) - มานเยห์-ดานน์เยห์ (Manyeh-Dannyeh) (มานเยห์ [Manyeh] / เซร์ดดานน์เยห์ [Seirddanyeh]) เขตผู้ว่าเบกา (Governorate of Beqaa) :- ซาห์เลห์ (Zahleh) (ซาห์เลห์ [Zahleh]) - บะอัลเบค (Baalbek) (บะอัลเบค [Baalbek]) - เฮอร์เมล (Hermel) (เฮอร์เมล [Hermel]) - ราชายา (Rashaya) (ราชายา [Rashaya]) - เบกาตะวันตก (Western Beqaa) (เจบเจนนีน [Jebjennine]/ ซากบีน [Saghbine]) เขตผู้ว่าเลบานอนใต้ (Governorate of South Lebanon) :- ซีดอนหรือไซดา (Sidon, Saida) (ซีดอน [Sidon]) - เจซซีน (Jezzine) (เจซซีน [Jezzine]) - ไทร์ (Tyre) (ไทร์ [Tyre]) เขตผู้ว่านาบาตีเยะห์ (Governorate of Nabatyeh) :- นาบาตีเยะห์ (Nabatyeh) (นาบาตเยห์ [Nabatyeh]) - มาร์เจยูน (Marjeyoun) (มาร์เจยูน [Marjeyoun]) - ฮัสบายา (Hasbaya) (ฮัสบายา [Hasbaya]) - เบนต์จเบล (Beintjbeil) (เบนต์จเบล [Beintjbeil])กองทัพประชากร ประชากร. ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับศาสนา ศาสนา. ศาสนาอิสลามร้อยละ 54 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 40.5
ประเทศเลบานอนเคยอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศใด
{ "answer": [ "ฝรั่งเศส" ], "answer_begin_position": [ 1001 ], "answer_end_position": [ 1009 ] }
3,499
222,670
อีเห็นข้างลาย อีเห็นข้างลาย หรือ อีเห็นธรรมดา หรือ มูสังหอม ในภาษาใต้ (; ) เป็นอีเห็นขนาดเล็ก สีขนตามลำตัวเป็นสีเทาเข้มจนเกือบดำ ยกเว้นบริเวณรอบจมูก หู ขา และปลายหางมีสีดำมีลายสีขาวพาดขวางบริเวณหน้าผาก หลังมีจุดเล็ก ๆ สีดำเรียงตัวเป็นแนวยาว 3 เส้น จากไหล่ถึงโคนหาง หางมีความยาวพอ ๆ กับลำตัว ขนปลายหางบางตัวอาจมีสีขาว มีต่อมน้ำมันและจะส่งกลิ่นออกมาเมื่อเวลาตกใจ ซึ่งต่อมน้ำมันนี้จะแตกต่างจากชะมดหรืออีเห็นชนิดอื่น ๆ ตัวเมียมีเต้านม 3 คู่ มีความยาวลำตัวและหัว 43–71 เซนติเมตร ความยาวหาง 40.6–66 เซนติเมตร น้ำหนัก 2–5 กิโลกรัม อีเห็นข้างลายมีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมาก โดยพบตั้งแต่รัฐชัมมูและกัศมีร์ และภาคใต้ของอินเดีย, ศรีลังกา, เนปาล, รัฐสิกขิม, ภูฏาน, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, เกาะซูลาเวซี และหมู่เกาะซุนดาน้อย และมีชนิดย่อยมากถึง 30 ชนิด (ดูในตาราง) มีพฤติกรรมมักอาศัยและหากินตามลำพัง สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ ตั้งแต่ ป่าดิบชื้น, ป่าดิบแล้ง ไปจนถึงชายป่าที่ใกล้กับพื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น สัตว์ขนาดเล็กจำพวกแมลง และน้ำหวานของเกสรดอกไม้ ออกหากินในเวลากลางคืน นอนหลับในเวลากลางวัน ใช้เวลาส่วนมากตามพื้นดินและจะใช้เวลาน้อยมากอยู่บนต้นไม้ ออกลูกครั้งละ 2–4 ตัว โดยจะเลี้ยงลูกอ่อนไว้ตามโพรงไม้หรือโพรงหิน อีเห็นข้างลายไม่ได้ถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2546 ปัจจุบันทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้มีโครงการในการเพาะเลี้ยงอีเห็นข้างลาย เพื่อผลิต "กาแฟขี้ชะมด" ซึ่งเป็นกาแฟที่ได้จากมูลของอีเห็นข้างลาย มีราคาซื้อขายที่สูงมาก และในการเพาะเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ในการนี้ที่จังหวัดตรังโดยเอกชนด้วย
สวนสัตว์เชียงใหม่มีโครงการเพาะเลี้ยงอีเห็นข้างลายเพื่อผลิตอะไร
{ "answer": [ "กาแฟขี้ชะมด" ], "answer_begin_position": [ 1510 ], "answer_end_position": [ 1521 ] }
3,500
222,670
อีเห็นข้างลาย อีเห็นข้างลาย หรือ อีเห็นธรรมดา หรือ มูสังหอม ในภาษาใต้ (; ) เป็นอีเห็นขนาดเล็ก สีขนตามลำตัวเป็นสีเทาเข้มจนเกือบดำ ยกเว้นบริเวณรอบจมูก หู ขา และปลายหางมีสีดำมีลายสีขาวพาดขวางบริเวณหน้าผาก หลังมีจุดเล็ก ๆ สีดำเรียงตัวเป็นแนวยาว 3 เส้น จากไหล่ถึงโคนหาง หางมีความยาวพอ ๆ กับลำตัว ขนปลายหางบางตัวอาจมีสีขาว มีต่อมน้ำมันและจะส่งกลิ่นออกมาเมื่อเวลาตกใจ ซึ่งต่อมน้ำมันนี้จะแตกต่างจากชะมดหรืออีเห็นชนิดอื่น ๆ ตัวเมียมีเต้านม 3 คู่ มีความยาวลำตัวและหัว 43–71 เซนติเมตร ความยาวหาง 40.6–66 เซนติเมตร น้ำหนัก 2–5 กิโลกรัม อีเห็นข้างลายมีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมาก โดยพบตั้งแต่รัฐชัมมูและกัศมีร์ และภาคใต้ของอินเดีย, ศรีลังกา, เนปาล, รัฐสิกขิม, ภูฏาน, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, เกาะซูลาเวซี และหมู่เกาะซุนดาน้อย และมีชนิดย่อยมากถึง 30 ชนิด (ดูในตาราง) มีพฤติกรรมมักอาศัยและหากินตามลำพัง สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ ตั้งแต่ ป่าดิบชื้น, ป่าดิบแล้ง ไปจนถึงชายป่าที่ใกล้กับพื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น สัตว์ขนาดเล็กจำพวกแมลง และน้ำหวานของเกสรดอกไม้ ออกหากินในเวลากลางคืน นอนหลับในเวลากลางวัน ใช้เวลาส่วนมากตามพื้นดินและจะใช้เวลาน้อยมากอยู่บนต้นไม้ ออกลูกครั้งละ 2–4 ตัว โดยจะเลี้ยงลูกอ่อนไว้ตามโพรงไม้หรือโพรงหิน อีเห็นข้างลายไม่ได้ถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2546 ปัจจุบันทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้มีโครงการในการเพาะเลี้ยงอีเห็นข้างลาย เพื่อผลิต "กาแฟขี้ชะมด" ซึ่งเป็นกาแฟที่ได้จากมูลของอีเห็นข้างลาย มีราคาซื้อขายที่สูงมาก และในการเพาะเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ในการนี้ที่จังหวัดตรังโดยเอกชนด้วย
ในภาษาใต้เรียกอีเห็นข้างลายว่าอะไร
{ "answer": [ "มูสังหอม" ], "answer_begin_position": [ 139 ], "answer_end_position": [ 147 ] }
3,501
19,824
ประเทศยูกันดา ยูกันดา () หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐยูกันดา () เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออก มีอาณาเขตทางตะวันออกจดประเทศเคนยา ทางเหนือจดประเทศซูดานใต้ ทางตะวันตกจดสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ซาอีร์เดิม) ทางตะวันตกเฉียงใต้จดประเทศรวันดา และทางใต้จดประเทศแทนซาเนีย ทางใต้ของประเทศรวมถึงบางส่วนของทะเลสาบวิกตอเรีย ซึ่งมีพรมแดนติดกับเคนยาและแทนซาเนียด้วย ยูกันดาได้ชื่อมาจากอาณาจักรบูกันดาซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมทางใต้ของประเทศ รวมถึงเมืองหลวง กัมปาลา นอกจากนี้ยังมีอาณาจักรอื่นคือ อาณาจักรโตโร อาณาจักรบุนโยโร-กิตารา อาณาจักรบูโซกา อาณาจักรอันโกเล อาณาจักรรเวนซูรูรู เมืองหลวงเก่าของประเทศนี้คือเอนเทบบี อันเป็นที่ตั้งของสนามบินแห่งชาติยูกันดาด้วยภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์อาณานิคมสหราชอาณาจักร ประวัติศาสตร์. อาณานิคมสหราชอาณาจักร. ยูกันดาตกเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษตั้งแต่ปี 2436 (ค.ศ. 1893) จากข้อตกลงระหว่างกษัตริย์แห่ง Buganda ซึ่งเป็นเผ่าที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดกับรัฐบาลอังกฤษ หลังจากการเป็นรัฐอารักขาของอังกฤษ อิทธิพลทางเศรษฐกิจของชนผิวขาวจากเคนยาซึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ในยูกันดาเริ่มขยายตัวมากขึ้น ทำให้กลุ่มผู้นำ Buganda ไม่พอใจและระแวงว่าคนเหล่านี้จะมีอำนาจครอบงำทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เมื่อมีการเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งสหพันธรัฐแอฟริกาตะวันออก (East African Federation : EAF) ซึ่งเป็นรัฐเอกราชใหม่ที่จะรวมอดีตอาณานิคมอังกฤษในแอฟริกาตะวันออกเข้าด้วยกัน ผู้นำ Buganda จึงคัดค้านข้อเสนอนี้ และต้องการที่จะแยกตัวออกเป็นประเทศเอกราชต่างหาก เพราะเกรงว่าชนผิวขาวในเคนยาจะมีอิทธิพลเหนือยูกันดา ข้อเรียกร้องดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งกับนักการเมืองจากเผ่าอื่น ซึ่งต้องการให้ยูกันดาได้รับเอกราชแล้วรวมตัวกันเป็นรัฐเดียว ผู้นำที่สำคัญ ได้แก่ นาย Milton Obote หัวหน้าพรรค (Uganda People's Congress : UPC) ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ยูกันดาได้รับเอกราช เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2505 (ค.ศ. 1962) และนาย Obote ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีความวุ่นวายทางการเมือง ความวุ่นวายทางการเมือง. รัฐธรรมนูญฉบับแรกกำหนดให้ยูกันดาเป็นสหพันธรัฐ มีลักษณะพิเศษ คือ ประกอบด้วยอาณาจักรต่าง ๆ โดยอาณาจักรที่สำคัญที่สุด คือ Buganda ต่อมาในปี 2510 (ค.ศ. 1967) นาย Obote ได้ยึดอำนาจตั้งตนเป็นประธานาธิบดี พร้อมกับยกเลิกการปกครองแบบสหพันธรัฐ อย่างไรก็ดี นาย Obote เป็นประธานาธิบดีได้เพียง 4 ปีเศษ ก็ถูกพลตรี อีดี้ อามิน ทำรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2515 (ค.ศ. 1972) ประธานาธิบดีอีดี้ อามิน ปกครองประเทศแบบเผด็จการ มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง รวมทั้งได้ประกาศสงครามเศรษฐกิจยึดทรัพย์สินของเอกชนเป็นของรัฐประมาณ 3,500 ธุรกิจ มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขับไล่ชาวเอเชียประมาณ 75,000 คน ทำให้คนงานซึ่งทำงานในสาขาพาณิชย์และอุตสาหกรรมว่างงานจำนวนมาก เศรษฐกิจของยูกันดา (ซึ่งหลังได้รับเอกราช เคยเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางของแอฟริกาตะวันออก) เริ่มตกต่ำ ผลผลิตลดลงร้อยละ 16 เกิดภาวะเงินเฟ้อ ต่อมาในปี 2522 (ค.ศ. 1979) กลุ่มต่อต้านโดยความช่วยเหลือของกองทัพประชาชนแทนซาเนียที่สามารถโค่นล้มอำนาจประธานาธิบดีอีดี้ อามิน ได้สำเร็จ นาย Obote กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งโดยชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2523 (ค.ศ. 1980) แต่ความขัดแย้งระหว่างเผ่าที่ดำรงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เผ่า Acholi ซึ่งอยู่ทางเหนือ ไม่พอใจต่อการที่นาย Obote ให้ตำแหน่งสำคัญกับคนในเผ่าอื่นจึงทำให้พลโท Tito Okello ซึ่งเป็นคนเผ่า Acholi ก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2528 (ค.ศ. 1985) คณะทหารที่ปกครองประเทศได้กวาดล้างศัตรูทางการเมืองอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนไม่พอใจและหันไปสนับสนุนขบวนการต่อต้านแห่งชาติ (National Resistance Movement : NRM) ซึ่งมีนาย Yoweri Museveni เป็นผู้นำ นาย Museveni เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของประธานาธิบดี Obote ระหว่างปี 2510-2515 (ค.ศ. 1967-1972) และหลบหนีไปแทนซาเนียในช่วงที่ประธานาธิบดี Amin ก่อการรัฐประหาร และได้ก่อตั้งขบวนการ NRM ขึ้น ขบวนการ NRM สามารถยึดอำนาจจากรัฐบาลของพลโท Okello ได้ เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2529 (ค.ศ. 1986) และนาย Museveni เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลจากพรรคต่าง ๆ รัฐบาลประกาศว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 3-5 ปีข้างหน้า และอนุญาตให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ยังคงอยู่ได้แต่ให้ระงับกิจกรรมชั่วคราวรัฐบาลของประธานาธิบดี Museveni มีเป้าหมายอันดับแรก คือ การสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในชาติและฟื้นฟูการปกครองด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากผู้แทนหลายฝ่าย เนื่องจากยูกันดามีขบวนการหลายกลุ่มและแตกแยกสู้รบกันเป็นเวลา 20 ปี ทำให้บ้านเมืองถูกทำลายและเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะตกต่ำ รัฐบาลประกอบด้วยสมาชิกจากขบวนการต่อต้านแห่งชาติ (NRM), Uganda Patriotic Movement, Democratic Party, Uganda People's Congress, Conservative Party และขบวนการกองโจรเล็ก ๆ 2 องค์การ รัฐบาลทหารชั่วคราวได้ปกครองประเทศตั้งแต่ปี 2529 (ค.ศ. 1986) รับผิดชอบในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สภา National Resistance Council ประกอบด้วยสมาชิก 268 คน ซึ่งนำโดยประธาน คือ ประธานาธิบดีเดิมขบวนการ NRM ประกาศว่าจะปกครองประเทศเพียง 4 ปี แต่ในเดือนตุลาคม 2532 (ค.ศ. 1989) เนื่องจากสภาวะสงครามทางตอนเหนือและตะวันออกของประเทศ ทำให้รัฐบาลต้องขอเวลาอีก 5 ปี เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และการขอยืดอายุรัฐบาลประธานาธิบดี Museveni เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เพราะเห็นว่าไม่มีใครที่จะปกครองประเทศแทนประธานาธิบดี Museveni ได้ รัฐบาลได้รับความนิยมจากประชาชนในด้านความปลอดภัย เศรษฐกิจเสรีและนำความสงบสุขสู่ยูกันดา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2539 (ค.ศ. 1996) ประธานาธิบดี Museveni ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง มีวาระ 5 ปี และสมาชิกของขบวนการ NRM ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนที่นั่ง 276 ที่นั่ง จึงทำให้ขบวนการ NRM มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันยูกันดากำลังประสบกับปัญหาความขัดแย้งทางตอนเหนือของประเทศ โดยปัญหาดังกล่าวเริ่มต้นในปี 2530 (ค.ศ. 1987) เนื่องมาจากมีการจัดตั้งกลุ่มกบฏ Lord Resistance Army (LRA) นำโดยนาย Joseph Kony ซึ่งมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มรัฐบาลยูกันดาเพื่อก่อตั้งรัฐบาล Theocratic ซึ่งเป็นระบบการปกครองที่ยึดถือพระเจ้าหรือเทพเจ้าเป็นหลัก ถึงแม้ว่า LRA ไม่ได้เป็นภัยคุกคามสำหรับรัฐบาลยูกันดาก็ตาม แต่ก็ได้ก่อความไม่สงบทางตอนเหนือของยูกันดาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลให้ปัจจุบันมีชาวยูกันดาซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือจำนวนมากต้องประสบปัญหาความยากจน ขาดแคลนอาหาร มีอัตราการตายของเด็กสูง มีจำนวนผู้พลัดถิ่นสูง นอกจากนี้ เมื่อปลายปี 2547 (ค.ศ. 2004) ได้มีรายงานด้วยว่า LRA ได้ใช้กำลังกดขี่ทางเพศต่อเด็ก รวมทั้งยังมีเด็กอีกจำนวน 16,000 - 26,000 คน ถูกใช้งานเป็นทหาร (Child Soldiers) ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 (ค.ศ. 2006) ประธานาธิบดี Museveni ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัยหนึ่ง ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 59.3 โดยมีวาระในการดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปีการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. การปกครองแบบสาธารณรัฐ (Republic) มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาล รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2538 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2548บริหาร บริหาร. ประกอบด้วยประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขของรัฐและผู้นำรัฐบาล ส่วนนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ในการช่วยเหลือประธานาธิบดีในการดูแลคณะรัฐมนตรีนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบรัฐสภาของยูกันดาเป็นระบบสภาเดียว มีสมาชิกรัฐสภา จำนวน 276 คน โดยเป็นสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง 214 คน ที่เหลือ 62 คน มาจากการเสนอชื่อของประธานาธิบดีที่จัดสรรที่นั่งให้แก่บุคคลสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ได้แก่ สตรี 39 คน นายทหาร 10 คน คนพิการ 5 คน เยาวชน 5 คน และผู้แทนจากภาคแรงงาน 5 คน โดยสมาชิกรัฐสภาอยู่ในตำแหน่งคราวละ 5 ปีตุลาการ ตุลาการ. ประกอบด้วยศาลอุทธรณ์และศาลสูง โดยประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งผู้พิพากษาทั้งสองศาลการบังคับใช้กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย. เมื่อปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลได้นำระบบกฎหมายที่มีรากฐานมาจากกฎหมายจารีตประเพณีอังกฤษและกฎหมายธรรมเนียมปฏิบัติกลับมาใช้การต่างประเทศเครือจักรภพแห่งประชาชาติองค์กรระหว่างประเทศในทวีปแอฟริกา การต่างประเทศ. องค์กรระหว่างประเทศในทวีปแอฟริกา. ภายหลังได้รับเอกราชในปี 2510 สามประเทศในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของอังกฤษ ได้แก่ ยูกันดา เคนยา และแทนซาเนียได้ร่วมกันจัดตั้ง EAST AFRICAN COMMUNITY (EAC) แต่ก็ต้องล้มเลิกไปในปี 2520 เนื่องจากความขัดแย้งกันทางการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2536 กลุ่ม EAC ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกเมื่อทั้ง 3 ประเทศร่วมลงนามในการจัดตั้ง EAC ขึ้นอีกครั้ง ยูกันดาเป็นสมาชิกสหประชาชาติและองค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติและเข้าเป็นสมาชิกองค์การเอกภาพแอฟริกา (Organization of African Unity - OAU) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2533 ประธานาธิบดี Museveni ได้รับเลือกเป็นประธาน OAU เป็นเวลาหนึ่ง และสมาชิกในกลุ่ม PTA (Preferential Trade Area for East and Southern Africa) เมื่อเดือนธันวาคม 2530 มีการประชุมประเทศในกลุ่ม PTA ที่กรุงกัมปาลา มีมติให้ประเทศสมาชิกลดภาษีศุลกากรลงร้อยละ 10 ทุก ๆ 2 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2530 ถึงเดือนตุลาคม 2539 นอกจากนี้ ยูกันดายังเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ด้วย ยูกันดาได้ประโยชน์ทางการค้าระหว่างประเทศภายใต้ LOME CONVENTION ซึ่งเป็นข้อตกลงทางการค้าและความช่วยเหลือระหว่าง EU และแอฟริกา แคริบเบียน และแปซิฟิก โดยสินค้าเข้าบางชนิดในประเทศกลุ่ม EU จะได้รับการยกเว้นภาษี นอกจากนี้ ยังได้รับความช่วยเหลือด้านการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การสูญเสียจากการที่ราคาสินค้าตกต่ำและเพื่อกิจการด้านเหมืองแร่ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2536 ยูกันดาและประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกและได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาตลาดร่วมแห่งภูมิภาครัฐแอฟริกาตะวันออกและใต้ (Common Market for Eastern and Southern African States : COMESA) ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ : เนื่องจากเป็นประเทศที่ประสบภาวะสงครามกลางเมืองเป็นเวลานาน ยูกันดาจึงต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี Museveni แถลงว่า รัฐบาลยูกันดายินดีที่จะยอมรับความช่วยเหลือจากต่างชาติในด้านที่จำเป็นและสำคัญทางเศรษฐกิจเท่านั้น เช่น ในด้านการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2530 ประเทศผู้ให้ต่าง ๆ ได้ให้เงินช่วยเหลือแก่ยูกันดามากขึ้น โดยประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ยูกันดาที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ออสเตรีย เป็นต้น นอกจากนี้ ยูกันดายังได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) 76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการนำเข้าสินค้าจำเป็นจำนวน 20.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ยูกันดามากที่สุดในภูมิภาค SUB-SAHARA เดนมาร์ก (12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ญี่ปุ่นได้ให้เงินช่วยเหลือ 4.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ ยูกันดาในการลดภาระหนี้สินในการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ ปิโตรเลียม เครื่องมือก่อสร้างถนน อุปกรณ์ไฟฟ้า รถประจำทาง เครื่องจักรกล เครื่องรับโทรทัศน์ วิทยุ อุปกรณ์โทรคมนาคม ฯลฯ จากการเยือนยูกันดาของประธานาธิบดี Clinton ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม 2541 นั้นประธานาธิบดี Clinton ได้ประกาศให้ความช่วยเหลือแก่ยูกันดาในด้านการศึกษา โภชนาการ สาธารณสุขและด้านแรงงานแก่ประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา รวมมูลค่า 198.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การประกาศให้ความช่วยเหลือดังกล่าวที่ประเทศยูกันดา นับว่าสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญแก่ยูกันดามากขึ้น นอกจากนี้ ยูกันดายังมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในภูมิภาค (Great Lakes) รวมถึงการส่งเสริมการค้า การลงทุนระหว่างกัน และได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Entebbe Summit for Peace and Prosperity ขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2541 โดยประธานาธิบดี Clinton ได้เข้าร่วมการประชุมพร้อมกับผู้นำสูงสุดและผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ประธานาธิบดี Museveni แห่งยูกันดา ประธานาธิบดี Danial arap Moi แห่งเคนยา ประธานาธิบดี Benjamin W. Mkapa แห่งแทนซาเนีย ประธานาธิบดี Pasteur Bizimungu แห่งรวันดา ประธานาธิบดี Laurent Kabila แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก นายกรัฐมนตรี Meles Zenawi แห่งเอธิโอเปีย นาย Murerwa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของซิมบับเว ซึ่งผู้นำและผู้แทนประเทศต่าง ๆ ได้ร่วมลงนามในแถลงการณ์การประชุม Kampala Summit Communigue ด้วยกองทัพการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศยูกันดาแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 ภูมิภาค โดยแบ่งย่อยออกเป็น 6 อาณาจักร โดยแต่ละอาณาจักรแบ่งย่อยออกเป็น 111 เขต โดยแต่ละเขตแบ่งย่อยออกเป็น 146 มณฑล แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 69 เขต ได้แก่ Adjumani, Amolatar, Amuria, Apac, Arua, Budaka, Bugiri, Bundibugyo, Bushenyi, Busia, Butaleja, Gulu, Hoima, Ibanda, Iganga, Jinja, Kaabong, Kabale, Kabarole, Kaberamaido, Kabingo, Kalangala, Kaliro, Kampala, Kamuli, Kamwenge, Kanungu, Kapchorwa, Kasese, Katakwi, Kayunga, Kibale, Kiboga, Kiruhura, Kisoro, Kitgum, Koboko, Kotido, Kumi, Kyenjojo, Lira, Luwero, Masaka, Masindi, Mayuge, Mbale, Mbarara, Moroto, Moyo, Mpigi, Mubende, Mukono, Manafwa, Mityana, Nakapiripirit, Nakaseke, Nakasongola, Nebbi, Ntungamo, Pader, Pallisa, Rakai, Rukungiri, Sembabule, Sironko, Soroti, Tororo, Wakiso, Yumbeเศรษฐกิจโครงสร้างการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขการศึกษาประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. บากันดา 16.9% บานยาโคล 9.5% บาโซกา 8.4% บาคีกา 6.9% อิเตโซ 6.4% ลันกี 6.1% อโคลี 4.7% บากิซู 4.6% ลักบารา 4.2% บันโยโร 2.7% และอื่นๆ 29.6% (สัมมะโนประชากร พ.ศ. 2545)ภาษา ภาษา. ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ Luganda, Kiswahili, Luo, Lunyoro -Lutoro และ Bantu เป็นภาษาท้องถิ่นศาสนา ศาสนา. ประชากรยูกันดานับถือศาสนาคริสต์ ประมาณ 84% นับถือศาสนาอิสลาม 12% และศาสนาอื่นๆอีก 4%วัฒนธรรมสถาปัตยกรรมดนตรีอาหารสื่อมวลชนวันหยุดกีฬาฟุตบอลกรีฑามวยสากล
ประเทศยูกันดาอยู่ในภูมิภาคไหน
{ "answer": [ "แอฟริกาตะวันออก" ], "answer_begin_position": [ 161 ], "answer_end_position": [ 176 ] }
3,502
12,481
มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต (; ชื่อย่อ: มรส. - RSU) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 20 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ยังถูกจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ดีที่สุด ลำดับที่ 1 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2528 เปิดสอนหลากหลายหลักสูตร ทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก โดยเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีจำนวนศาสตราจารย์มากเป็นลำดับต้นๆของประเทศไทย และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีจำนวนศิลปินดาราศึกษาอยู่เป็นจำนวนมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประวัติ ประวัติ. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 นายประสิทธิ์ อุไรรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา จำกัด ผู้ดำเนินกิจการโรงพยาบาลพญาไทในขณะนั้น พร้อมด้วย พลเอกพร ธนะภูมิ และ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้ยื่นความประสงค์ เพื่อขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา ระดับวิทยาลัย ต่อทบวงมหาวิทยาลัย (ปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) คณะผู้ก่อตั้งวิทยาลัย ได้เลือกที่ดินบริเวณตำบลคูคตในขณะนั้น อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ทุ่งรังสิต" เป็นสถานที่ก่อตั้ง จึงได้นำมงคลนาม รังสิต อันเนื่องมาจากพระนามของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาตั้งเป็นชื่อของวิทยาลัย ซึ่งเดิมเคยระบุชื่อวิทยาลัยที่จะก่อตั้งไว้ว่า วิทยาลัยปิ่นเกล้า ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาลัยรังสิต ในเวลาต่อมา ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2528 ทบวงมหาวิทยาลัย ออกประกาศจัดตั้ง วิทยาลัยรังสิต (Rangsit College) ลงนามโดย นายปรีดา พัฒนถาบุตร รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยในขณะนั้น และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 102 ตอนที่ 28 ก ฉบับพิเศษ หน้า 5 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2528 โดยเป็นไปตามที่ระบุใน ใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่ 2/2528 วิทยาลัยรังสิต ตั้งอยู่ภายในโครงการหมู่บ้านเมืองเอก บนถนนเอกประจิม ตำบลหลักหก อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่ 10 ไร่ ห่างจากท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร เริ่มเปิดการเรียนการสอนครั้งแรก เมื่อปีการศึกษา 2529 ในคณะพยาบาลศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจ โดยมีนักศึกษารุ่นแรก จำนวน 478 คน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2532 ทบวงมหาวิทยาลัย ออกประกาศอนุญาตให้นายประสิทธิ์ โอนกิจการวิทยาลัยรังสิต ให้เป็นสิทธิการบริหารงานของ บริษัท ประสิทธิ์รัตน์ จำกัด โดยให้ถือว่าบริษัทดังกล่าว เป็นเสมือนผู้รับใบอนุญาตของวิทยาลัย และเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 ทบวงมหาวิทยาลัย ออกประกาศอนุญาตให้วิทยาลัยรังสิต เปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยรังสิต ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว ลงนามโดย นายทวิช กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยในขณะนั้น และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 107 ตอนที่ 164 ง หน้า 7213 เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2533 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีสถาปนามหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อเวลา 15.00 น. วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยรังสิต โอกาสนี้ ทรงเยี่ยมชมอาคารหอสมุดของมหาวิทยาลัยด้วย แต่ทางมหาวิทยาลัยยังคงจัด พิธีรำลึกการสถาปนามหาวิทยาลัย ในวันที่ 25 มกราคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันจัดตั้งวิทยาลัยรังสิต มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต พระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อนุญาตให้มหาวิทยาลัยรังสิต จำลองพระอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เพื่อประดิษฐาน ณ บริเวณหน้าอาคารวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และคณะทันตแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งได้รับอนุญาตให้อัญเชิญพระนาม รังสิตประยูรศักดิ์ เป็นชื่ออาคาร เนื่องจากทรงมีบทบาท ในการพัฒนาการแพทย์และการสาธารณสุขไทย เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณสู่นักศึกษาและอนุชนรุ่นหลังสืบไป เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานนามแก่อาคารอเนกประสงค์ ซึ่งเป็นที่ทำการวิทยาลัยนานาชาติ และคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการของมหาวิทยาลัย ซึ่งจัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 50 พรรษาว่า รัตนคุณากร อันหมายถึง อาคารซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความดีอันทรงค่า ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารดังกล่าว ในวันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553 พร้อมทั้งทอดพระเนตรกิจการของมหาวิทยาลัยรังสิต ในโอกาสการสถาปนาครบรอบ 25 ปีด้วยสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย. - พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย - พระศรีศาสดา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง 4 ศอก คืบ 8 นิ้ว สูง 5 ศอก คืบ 1 นิ้ว พระรัศมียาว 1 ศอก คืบ 1 นิ้ว ที่นายประสิทธิ์ อุไรรัตน์ จัดสร้างขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมศรัทธา และเป็นที่เคารพสักการะ ของคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนมณฑปพระศรีศาสดา ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางของมหาวิทยาลัย เป็นมณฑปทรงจตุรมุขสี่ทิศ ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีอย่างงดงาม ตามแบบแผนสถาปัตยกรรมไทย- เครื่องหมายมหาวิทยาลัย - ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553 มีรูปแบบที่สื่อสะท้อนถึงปรัชญาของมหาวิทยาลัย ในอันที่จะสนองต่อวัตถุประสงค์ ของการสร้างสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีความเป็นเลิศทางวิชาการ ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ความใส่ใจกับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ผนวกเข้ากับคุณธรรมและจิตสำนักอันดีงาม เพื่อสรรค์สร้างความเจริญก้าวหน้าแก่ประเทศชาติ เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่สาดส่องพรายแสงแห่งปัญญา นำมรรคาเยาวชนสู่สภาวะรู้แจ้งในธรรม เพื่อเป็นพลังสร้างสรรค์สังคมธรรมาธิปไตย ที่ถือธรรมเป็นใหญ่ ยึดความถูกต้องเป็นหลัก ซึ่งมีองค์ประกอบคือ- โลกุตระ หมายถึง จุดมุ่งหมายอันสูงส่งของมวลมนุษย์ คือการบรรลุสภาวะแห่งความรู้แจ้งในธรรม โดยมีปัญญาเป็นแสงส่องทางสู่การบรรลุธรรมสูงสุด - ดวงอาทิตย์ หมายถึง ดาวฤกษ์ที่ให้แสงสว่างส่องลงมายังผืนโลก เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ สรรพสัตว์ พืชพันธุ์ธัญญาหาร และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล- อนึ่ง ระหว่างปี พ.ศ. 2528-2553 เครื่องหมายของมหาวิทยาลัย เป็นการรวมวัตถุสัญลักษณ์ แทนวัตถุประสงค์ ที่จะสร้างสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีความเป็นเลิศทางวิชาการ ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า แก่สังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มสามเหลี่ยมปริซึม หมายถึง ประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่รวมกันเป็นสังคม, ฟันเฟือง หมายถึง พลังแห่งวิทยาการ และเทคโนโลยีทุกแขนง, ดวงอาทิตย์ส่องแสง หมายถึง อำนาจ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรือง, ช่อชัยพฤกษ์ หมายถึง พลังแห่งคุณธรรม และสามัคคีธรรม และ ปิ่น หมายถึง เป้าหมายอันดีงาม สูงสุดของสังคม- ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย - มีสองชนิดคือ แก้วเจ้าจอม และ พะยอม- แก้วเจ้าจอม - พะยอม (ชื่อพื้นเมือง: กะยอม ขะยอม ขะยอมดง พะยอมดง แคน เชียง เซี่ยว พะยอม พะยอมทอง ยางหยวก) เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูงประมาณ 15-40 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับรูป ขอบขนาดกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร ยาว 8-12 เซนติเมตร ขอบใบเป็นคลื่น ออกช่อดอกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ผลแห้งรูปกระสวย มีปีกยาว 3 ปีก ปีกสั้น 2 ปีก ตามตำรายาไทย ใช้เปลือกและต้น เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องเดิน และลำไส้อักเสบ สารออกฤทธิ์ในพะยอมคือแทนนิน ดอกเข้ายาหอมบำรุงหัวใจ และลดไข้ นอกจากนี้ ยังใช้เปลือกและต้นเป็นสารกันบูดด้วย- สัตว์สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย - เสือบทเพลงประจำสถาบันบทเพลงประจำสถาบัน. - เพลงตะวันรุ่งทุ่งรังสิต คำร้อง เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ทำนอง รังสิต จงญานสิทโธเพลงอื่นๆที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆของมหาวิทยาลัยเพลงอื่นๆที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆของมหาวิทยาลัย. - เพลงลาแล้วลาบานเย็นฟ้า - เพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยรังสิต - เพลงมนต์รังสิต - เพลงศรีรังสิต - เพลง R S U บลูบานเย็น - เพลงรักรังสิต - เพลงฟ้าฝันบานเย็นคณะ วิทยาลัยและสถาบัน คณะ วิทยาลัยและสถาบัน. ปัจจุบันมหาวิทยาลัยรังสิต มีหลักสูตรที่เปิดดำเนินการรวม 135 สาขาวิชา โดยจำแนกเป็นระดับปริญญาตรี 91 สาขาวิขา ระดับปริญญาโท 35 สาขาวิชา และระดับปริญญาเอก 8 สาขาวิชา ประกาศนียบัตรบัณฑิต 1 สาขาวิชา ใน 21 คณะ 8 วิทยาลัย 4 สถาบัน ทั้งนี้ ยังเปิดสอนในระดับอนุบาล ประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต และโรงเรียนนานาชาติ บริติช ภูเก็ตคณะคณะ. - คณะรังสีเทคนิค - คณะทันตแพทยศาสตร์ - คณะพยาบาลศาสตร์ - คณะเทคนิคการแพทย์ - คณะกายภาพบำบัด - คณะทัศนมาตรศาสตร์ - คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ - คณะเทคโนโลยีชีวภาพ - คณะวิทยาศาสตร์ - คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ - คณะศิลปะและการออกแบบ- คณะดิจิทัลอาร์ต - คณะศิลปศาสตร์ - คณะนิติศาสตร์ - คณะศึกษาศาสตร์ - คณะบริหารธุรกิจ - คณะบัญชี - คณะเศรษฐศาสตร์ - บัณฑิตวิทยาลัย - RSU Cyber Universityวิทยาลัยวิทยาลัย. - วิทยาลัยแพทยศาสตร์ - วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ - วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก - วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ - วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร​ - วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม - วิทยาลัยรัฐกิจ- วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ - วิทยาลัยดนตรี - วิทยาลัยนานาชาติ - วิทยาลัยนานาชาติจีน - วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ - วิทยาลัยนวัตกรรมเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ และอาหารสถาบันสถาบัน. - สถาบันการทูตและการต่างประเทศ - สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ - สถาบันอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม - สถาบันการบิน - สถาบันภาษาอังกฤษสภามหาวิทยาลัยรายนามอธิการบดีกลุ่มบริษัทอาร์เอสยู กลุ่มบริษัทอาร์เอสยู. มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ต่อยอดจากความเข้มแข็งด้านวิชาการจากคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยรังสิต มาเป็นกลุ่มบริษัท อาร์ เอส ยู ซึ่งประกอบด้วย- RSU Healthcare ศูนย์บริการสุขภาพ มุ่งให้เป็นธุรกิจบริการสุขภาพแบบครบวงจร โดยเปิดบริการเป็นศูนย์การแพทย์ 3 ศูนย์ ได้แก่- ศูนย์สุขภาพ (RSU Medical Center) ให้บริการตรวจสุขภาพทั้งในและนอกสถานที่ รับตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็นเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ เอกซเรย์ปอด - ศูนย์จักษุ (RSU Eye Medical Center) จัดตั้งขึ้นภายใต้แนวความคิดที่เป็นศูนย์ดูแลทางด้านดวงตาที่ได้มาตรฐานสากล ทั้งทางด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ - ศูนย์ทันตกรรมครบวงจร (RSU Dental Center) ให้บริการแบบครบวงจร คือการให้บริการทุกสาขาตามมาตรฐานสากลที่ปฏิบัติกันโดยเริ่มจากพื้นฐาน เช่น อุดฟัน ถอนฟัน ใส่ฟัน จัดฟัน ฯลฯ - RSU Vision Center ศูนย์สายตา เป็นศูนย์สายตาแห่งแรกของประเทศไทยที่มีห้องแล็บสายตา พร้อมด้วยอุปกรณ์ในการวัดสายตาที่ทันสมัยและครบครันสามารถวัดสายตาได้ทุก ประเภท - RSU Medical Care ศูนย์ความงามและสุขภาพ เป็นโมเดลต้นแบบ เพื่อให้นักศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำเอาไปใช้เป็นโมเดลระบบการ จัดการสุขภาพ โดยนักศึกษาคณะการแพทย์แผนตะวันออกจะได้เข้ามาฝึกปฏิบัติงาน ส่วนนักศึกษาที่จบไปแล้วก็สามารถที่จะเข้ามาเรียนรู้และนำประสบการณ์ตรงนี้ ไปเป็นต้นแบบได้ - RSU Art & Design ศูนย์การออกแบบระดับสากล เปิดดำเนินการขึ้นเพื่อรองรับกับแผนพัฒนาวิชาการด้านการวิจัย ส่งเสริม และสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานวิชาการและสิ่งประดิษฐ์ของมหาวิทยาลัยรังสิต โดยจะเน้นศักยภาพความพร้อมในการสร้างสรรค์การออกแบบรวมทั้งเทคโนโลยีในการ ออกแบบที่ก้าวหน้า ผสมผสานกับแนวคิดและงานวิจัยมาสู่การทำงานในเชิงธุรกิจ - RSU Consumer Care ประกอบกิจการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าที่เป็นยาที่ใช้ภายนอก ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องสำอาง - RSU Development ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ - RSU Innovation Products ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากข้าวมอลต์ - RSU Medical Resort & Spa ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาล ผดุงครรภ์ รับรักษาคนไข้แผนปัจจุบัน แผนไทย - RSU Travel Consultant บริษัทนำเที่ยวแบบครบวงจรครั้งนี้ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่ เปิดดำเนินการ โดยจะให้บริการครอบคลุมในทุกรูปแบบด้านการท่องเที่ยว - RSU Professional Development ประกอบกิจการฝึกอบรมและสัมมนาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การบริหารงานธุรกิจ ภาษีอากร รายละเอียดเพิ่มเติม เว็บไซต์ RSU Healthcareบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยรังสิตบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยรังสิต. - พัชราภา ไชยเชื้อ (นักแสดง) - อารยา เอ ฮาร์เก็ต (นักแสดง) - กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า (นักร้อง, นักแสดง) - กรณ์ภัสสร ด้วยเศียรเกล้า (นักร้อง, นักแสดง) - ณเดชน์ คูกิมิยะ (นักแสดง) - ธันวา สุริยจักร (นักแสดง) - ปริญ สุภารัตน์ (นักแสดง) - กฤชกนก สวยสด นักร้อง - สุวนันท์ คงยิ่ง (นักแสดง) - ศุภชัย ศรีวิจิตร (ผู้จัดการนักแสดง) - ณัฐวุฒิ สกิดใจ (นักแสดง) - วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ (นักแสดง) - กานต์ กุลานุพงศ์ (นักร้อง) - ปวีณา ตันฑ์ศรีสุโรจน์ (นักแสดง) - ศุภักษร ไชยมงคล (นักแสดง) - สาวิกา ไชยเดช (นักแสดง) - ณัฐหทัย แสงเพชร (ฝ้าย แอนไฟน์) (นักร้อง) - วรินทร ปัญหกาญจน์ (นักแสดง, นักร้อง) - จิรายุ ตั้งศรีสุข (นักแสดง) - ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล (นักแสดง) - เศรษฐพงศ์ เพียงพอ (นักร้อง, นักแสดง) - นนทนันท์ อัญชุลีประดิษฐ์ (นักร้อง, นักแสดง) - ธวัช พรรัตนประเสริฐ (นักแสดง) - ณัฐชา นวลแจ่ม (นักแสดง) - รัตนาภรณ์ กลิ่นกุหลาบหิรัญ (นักแสดง, นางงาม) - ภัทราพร หวัง (นางงาม) - ปรภัสสร ดิศย์ดำรง (นางงาม) - ดาวิกา โฮร์เน่ (นักแสดง) - อภิษฎา เครือคงคา (นักแสดง) - อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ (นักแสดง) - ธัญยกันต์ ธนกิตติ์ธนานนท์ (นักแสดง) - อธิชาติ ชุมนานนท์ (นักแสดง) - คุณาธิป ปิ่นประดับ (นักแสดง) - นิศาชล สิ่วไธสง (นักแสดง, นักร้อง) - ภัทรานิษฐ์ วิริยะบำรุงกิจ (นักแสดง) - สิมิลัน สะกุณชะลายา (นักแสดง) - ชาญชัย กายสิทธิ์ (ผู้ประกาศข่าว) - วารุณี ซื่อสัตย์สกุลชัย (ผู้สื่อข่าว) - วิรากานต์ เสณีตันติกุล (นักแสดง) - อดิศร อรรถกฤษณ์ (นักแสดง , นักร้อง) - ปนัดดา วงศ์ผู้ดี (นักแสดง) - เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ (นักแสดง) - กรรณาภรณ์ พวงทอง (นักแสดง) - พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ (นักแสดง) - เศรษฐพงศ์ เพียงพอ (นักแสดง , นักร้อง) - พรภัสร์ชนก มิตรชัย (นักแสดงลิเก)
มหาวิทยาลัยรังสิตก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2528" ], "answer_begin_position": [ 331 ], "answer_end_position": [ 335 ] }
3,503
12,481
มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต (; ชื่อย่อ: มรส. - RSU) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 20 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ยังถูกจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ดีที่สุด ลำดับที่ 1 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2528 เปิดสอนหลากหลายหลักสูตร ทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก โดยเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีจำนวนศาสตราจารย์มากเป็นลำดับต้นๆของประเทศไทย และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีจำนวนศิลปินดาราศึกษาอยู่เป็นจำนวนมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประวัติ ประวัติ. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 นายประสิทธิ์ อุไรรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา จำกัด ผู้ดำเนินกิจการโรงพยาบาลพญาไทในขณะนั้น พร้อมด้วย พลเอกพร ธนะภูมิ และ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้ยื่นความประสงค์ เพื่อขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา ระดับวิทยาลัย ต่อทบวงมหาวิทยาลัย (ปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) คณะผู้ก่อตั้งวิทยาลัย ได้เลือกที่ดินบริเวณตำบลคูคตในขณะนั้น อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ทุ่งรังสิต" เป็นสถานที่ก่อตั้ง จึงได้นำมงคลนาม รังสิต อันเนื่องมาจากพระนามของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาตั้งเป็นชื่อของวิทยาลัย ซึ่งเดิมเคยระบุชื่อวิทยาลัยที่จะก่อตั้งไว้ว่า วิทยาลัยปิ่นเกล้า ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาลัยรังสิต ในเวลาต่อมา ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2528 ทบวงมหาวิทยาลัย ออกประกาศจัดตั้ง วิทยาลัยรังสิต (Rangsit College) ลงนามโดย นายปรีดา พัฒนถาบุตร รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยในขณะนั้น และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 102 ตอนที่ 28 ก ฉบับพิเศษ หน้า 5 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2528 โดยเป็นไปตามที่ระบุใน ใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่ 2/2528 วิทยาลัยรังสิต ตั้งอยู่ภายในโครงการหมู่บ้านเมืองเอก บนถนนเอกประจิม ตำบลหลักหก อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่ 10 ไร่ ห่างจากท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร เริ่มเปิดการเรียนการสอนครั้งแรก เมื่อปีการศึกษา 2529 ในคณะพยาบาลศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจ โดยมีนักศึกษารุ่นแรก จำนวน 478 คน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2532 ทบวงมหาวิทยาลัย ออกประกาศอนุญาตให้นายประสิทธิ์ โอนกิจการวิทยาลัยรังสิต ให้เป็นสิทธิการบริหารงานของ บริษัท ประสิทธิ์รัตน์ จำกัด โดยให้ถือว่าบริษัทดังกล่าว เป็นเสมือนผู้รับใบอนุญาตของวิทยาลัย และเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 ทบวงมหาวิทยาลัย ออกประกาศอนุญาตให้วิทยาลัยรังสิต เปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยรังสิต ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว ลงนามโดย นายทวิช กลิ่นประทุม รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยในขณะนั้น และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 107 ตอนที่ 164 ง หน้า 7213 เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2533 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีสถาปนามหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อเวลา 15.00 น. วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยรังสิต โอกาสนี้ ทรงเยี่ยมชมอาคารหอสมุดของมหาวิทยาลัยด้วย แต่ทางมหาวิทยาลัยยังคงจัด พิธีรำลึกการสถาปนามหาวิทยาลัย ในวันที่ 25 มกราคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันจัดตั้งวิทยาลัยรังสิต มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต พระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อนุญาตให้มหาวิทยาลัยรังสิต จำลองพระอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เพื่อประดิษฐาน ณ บริเวณหน้าอาคารวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และคณะทันตแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งได้รับอนุญาตให้อัญเชิญพระนาม รังสิตประยูรศักดิ์ เป็นชื่ออาคาร เนื่องจากทรงมีบทบาท ในการพัฒนาการแพทย์และการสาธารณสุขไทย เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณสู่นักศึกษาและอนุชนรุ่นหลังสืบไป เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานนามแก่อาคารอเนกประสงค์ ซึ่งเป็นที่ทำการวิทยาลัยนานาชาติ และคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการของมหาวิทยาลัย ซึ่งจัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 50 พรรษาว่า รัตนคุณากร อันหมายถึง อาคารซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความดีอันทรงค่า ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารดังกล่าว ในวันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553 พร้อมทั้งทอดพระเนตรกิจการของมหาวิทยาลัยรังสิต ในโอกาสการสถาปนาครบรอบ 25 ปีด้วยสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย. - พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย - พระศรีศาสดา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง 4 ศอก คืบ 8 นิ้ว สูง 5 ศอก คืบ 1 นิ้ว พระรัศมียาว 1 ศอก คืบ 1 นิ้ว ที่นายประสิทธิ์ อุไรรัตน์ จัดสร้างขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมศรัทธา และเป็นที่เคารพสักการะ ของคณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนมณฑปพระศรีศาสดา ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางของมหาวิทยาลัย เป็นมณฑปทรงจตุรมุขสี่ทิศ ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีอย่างงดงาม ตามแบบแผนสถาปัตยกรรมไทย- เครื่องหมายมหาวิทยาลัย - ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553 มีรูปแบบที่สื่อสะท้อนถึงปรัชญาของมหาวิทยาลัย ในอันที่จะสนองต่อวัตถุประสงค์ ของการสร้างสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีความเป็นเลิศทางวิชาการ ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ความใส่ใจกับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ผนวกเข้ากับคุณธรรมและจิตสำนักอันดีงาม เพื่อสรรค์สร้างความเจริญก้าวหน้าแก่ประเทศชาติ เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่สาดส่องพรายแสงแห่งปัญญา นำมรรคาเยาวชนสู่สภาวะรู้แจ้งในธรรม เพื่อเป็นพลังสร้างสรรค์สังคมธรรมาธิปไตย ที่ถือธรรมเป็นใหญ่ ยึดความถูกต้องเป็นหลัก ซึ่งมีองค์ประกอบคือ- โลกุตระ หมายถึง จุดมุ่งหมายอันสูงส่งของมวลมนุษย์ คือการบรรลุสภาวะแห่งความรู้แจ้งในธรรม โดยมีปัญญาเป็นแสงส่องทางสู่การบรรลุธรรมสูงสุด - ดวงอาทิตย์ หมายถึง ดาวฤกษ์ที่ให้แสงสว่างส่องลงมายังผืนโลก เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ สรรพสัตว์ พืชพันธุ์ธัญญาหาร และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล- อนึ่ง ระหว่างปี พ.ศ. 2528-2553 เครื่องหมายของมหาวิทยาลัย เป็นการรวมวัตถุสัญลักษณ์ แทนวัตถุประสงค์ ที่จะสร้างสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีความเป็นเลิศทางวิชาการ ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า แก่สังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มสามเหลี่ยมปริซึม หมายถึง ประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่รวมกันเป็นสังคม, ฟันเฟือง หมายถึง พลังแห่งวิทยาการ และเทคโนโลยีทุกแขนง, ดวงอาทิตย์ส่องแสง หมายถึง อำนาจ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรือง, ช่อชัยพฤกษ์ หมายถึง พลังแห่งคุณธรรม และสามัคคีธรรม และ ปิ่น หมายถึง เป้าหมายอันดีงาม สูงสุดของสังคม- ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย - มีสองชนิดคือ แก้วเจ้าจอม และ พะยอม- แก้วเจ้าจอม - พะยอม (ชื่อพื้นเมือง: กะยอม ขะยอม ขะยอมดง พะยอมดง แคน เชียง เซี่ยว พะยอม พะยอมทอง ยางหยวก) เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูงประมาณ 15-40 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับรูป ขอบขนาดกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร ยาว 8-12 เซนติเมตร ขอบใบเป็นคลื่น ออกช่อดอกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ผลแห้งรูปกระสวย มีปีกยาว 3 ปีก ปีกสั้น 2 ปีก ตามตำรายาไทย ใช้เปลือกและต้น เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องเดิน และลำไส้อักเสบ สารออกฤทธิ์ในพะยอมคือแทนนิน ดอกเข้ายาหอมบำรุงหัวใจ และลดไข้ นอกจากนี้ ยังใช้เปลือกและต้นเป็นสารกันบูดด้วย- สัตว์สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย - เสือบทเพลงประจำสถาบันบทเพลงประจำสถาบัน. - เพลงตะวันรุ่งทุ่งรังสิต คำร้อง เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ทำนอง รังสิต จงญานสิทโธเพลงอื่นๆที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆของมหาวิทยาลัยเพลงอื่นๆที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆของมหาวิทยาลัย. - เพลงลาแล้วลาบานเย็นฟ้า - เพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยรังสิต - เพลงมนต์รังสิต - เพลงศรีรังสิต - เพลง R S U บลูบานเย็น - เพลงรักรังสิต - เพลงฟ้าฝันบานเย็นคณะ วิทยาลัยและสถาบัน คณะ วิทยาลัยและสถาบัน. ปัจจุบันมหาวิทยาลัยรังสิต มีหลักสูตรที่เปิดดำเนินการรวม 135 สาขาวิชา โดยจำแนกเป็นระดับปริญญาตรี 91 สาขาวิขา ระดับปริญญาโท 35 สาขาวิชา และระดับปริญญาเอก 8 สาขาวิชา ประกาศนียบัตรบัณฑิต 1 สาขาวิชา ใน 21 คณะ 8 วิทยาลัย 4 สถาบัน ทั้งนี้ ยังเปิดสอนในระดับอนุบาล ประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต และโรงเรียนนานาชาติ บริติช ภูเก็ตคณะคณะ. - คณะรังสีเทคนิค - คณะทันตแพทยศาสตร์ - คณะพยาบาลศาสตร์ - คณะเทคนิคการแพทย์ - คณะกายภาพบำบัด - คณะทัศนมาตรศาสตร์ - คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ - คณะเทคโนโลยีชีวภาพ - คณะวิทยาศาสตร์ - คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ - คณะศิลปะและการออกแบบ- คณะดิจิทัลอาร์ต - คณะศิลปศาสตร์ - คณะนิติศาสตร์ - คณะศึกษาศาสตร์ - คณะบริหารธุรกิจ - คณะบัญชี - คณะเศรษฐศาสตร์ - บัณฑิตวิทยาลัย - RSU Cyber Universityวิทยาลัยวิทยาลัย. - วิทยาลัยแพทยศาสตร์ - วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ - วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก - วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ - วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร​ - วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม - วิทยาลัยรัฐกิจ- วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ - วิทยาลัยดนตรี - วิทยาลัยนานาชาติ - วิทยาลัยนานาชาติจีน - วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ - วิทยาลัยนวัตกรรมเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ และอาหารสถาบันสถาบัน. - สถาบันการทูตและการต่างประเทศ - สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ - สถาบันอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม - สถาบันการบิน - สถาบันภาษาอังกฤษสภามหาวิทยาลัยรายนามอธิการบดีกลุ่มบริษัทอาร์เอสยู กลุ่มบริษัทอาร์เอสยู. มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ต่อยอดจากความเข้มแข็งด้านวิชาการจากคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยรังสิต มาเป็นกลุ่มบริษัท อาร์ เอส ยู ซึ่งประกอบด้วย- RSU Healthcare ศูนย์บริการสุขภาพ มุ่งให้เป็นธุรกิจบริการสุขภาพแบบครบวงจร โดยเปิดบริการเป็นศูนย์การแพทย์ 3 ศูนย์ ได้แก่- ศูนย์สุขภาพ (RSU Medical Center) ให้บริการตรวจสุขภาพทั้งในและนอกสถานที่ รับตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็นเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ เอกซเรย์ปอด - ศูนย์จักษุ (RSU Eye Medical Center) จัดตั้งขึ้นภายใต้แนวความคิดที่เป็นศูนย์ดูแลทางด้านดวงตาที่ได้มาตรฐานสากล ทั้งทางด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ - ศูนย์ทันตกรรมครบวงจร (RSU Dental Center) ให้บริการแบบครบวงจร คือการให้บริการทุกสาขาตามมาตรฐานสากลที่ปฏิบัติกันโดยเริ่มจากพื้นฐาน เช่น อุดฟัน ถอนฟัน ใส่ฟัน จัดฟัน ฯลฯ - RSU Vision Center ศูนย์สายตา เป็นศูนย์สายตาแห่งแรกของประเทศไทยที่มีห้องแล็บสายตา พร้อมด้วยอุปกรณ์ในการวัดสายตาที่ทันสมัยและครบครันสามารถวัดสายตาได้ทุก ประเภท - RSU Medical Care ศูนย์ความงามและสุขภาพ เป็นโมเดลต้นแบบ เพื่อให้นักศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำเอาไปใช้เป็นโมเดลระบบการ จัดการสุขภาพ โดยนักศึกษาคณะการแพทย์แผนตะวันออกจะได้เข้ามาฝึกปฏิบัติงาน ส่วนนักศึกษาที่จบไปแล้วก็สามารถที่จะเข้ามาเรียนรู้และนำประสบการณ์ตรงนี้ ไปเป็นต้นแบบได้ - RSU Art & Design ศูนย์การออกแบบระดับสากล เปิดดำเนินการขึ้นเพื่อรองรับกับแผนพัฒนาวิชาการด้านการวิจัย ส่งเสริม และสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานวิชาการและสิ่งประดิษฐ์ของมหาวิทยาลัยรังสิต โดยจะเน้นศักยภาพความพร้อมในการสร้างสรรค์การออกแบบรวมทั้งเทคโนโลยีในการ ออกแบบที่ก้าวหน้า ผสมผสานกับแนวคิดและงานวิจัยมาสู่การทำงานในเชิงธุรกิจ - RSU Consumer Care ประกอบกิจการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าที่เป็นยาที่ใช้ภายนอก ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องสำอาง - RSU Development ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ - RSU Innovation Products ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากข้าวมอลต์ - RSU Medical Resort & Spa ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาล ผดุงครรภ์ รับรักษาคนไข้แผนปัจจุบัน แผนไทย - RSU Travel Consultant บริษัทนำเที่ยวแบบครบวงจรครั้งนี้ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่ เปิดดำเนินการ โดยจะให้บริการครอบคลุมในทุกรูปแบบด้านการท่องเที่ยว - RSU Professional Development ประกอบกิจการฝึกอบรมและสัมมนาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การบริหารงานธุรกิจ ภาษีอากร รายละเอียดเพิ่มเติม เว็บไซต์ RSU Healthcareบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยรังสิตบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยรังสิต. - พัชราภา ไชยเชื้อ (นักแสดง) - อารยา เอ ฮาร์เก็ต (นักแสดง) - กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า (นักร้อง, นักแสดง) - กรณ์ภัสสร ด้วยเศียรเกล้า (นักร้อง, นักแสดง) - ณเดชน์ คูกิมิยะ (นักแสดง) - ธันวา สุริยจักร (นักแสดง) - ปริญ สุภารัตน์ (นักแสดง) - กฤชกนก สวยสด นักร้อง - สุวนันท์ คงยิ่ง (นักแสดง) - ศุภชัย ศรีวิจิตร (ผู้จัดการนักแสดง) - ณัฐวุฒิ สกิดใจ (นักแสดง) - วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ (นักแสดง) - กานต์ กุลานุพงศ์ (นักร้อง) - ปวีณา ตันฑ์ศรีสุโรจน์ (นักแสดง) - ศุภักษร ไชยมงคล (นักแสดง) - สาวิกา ไชยเดช (นักแสดง) - ณัฐหทัย แสงเพชร (ฝ้าย แอนไฟน์) (นักร้อง) - วรินทร ปัญหกาญจน์ (นักแสดง, นักร้อง) - จิรายุ ตั้งศรีสุข (นักแสดง) - ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล (นักแสดง) - เศรษฐพงศ์ เพียงพอ (นักร้อง, นักแสดง) - นนทนันท์ อัญชุลีประดิษฐ์ (นักร้อง, นักแสดง) - ธวัช พรรัตนประเสริฐ (นักแสดง) - ณัฐชา นวลแจ่ม (นักแสดง) - รัตนาภรณ์ กลิ่นกุหลาบหิรัญ (นักแสดง, นางงาม) - ภัทราพร หวัง (นางงาม) - ปรภัสสร ดิศย์ดำรง (นางงาม) - ดาวิกา โฮร์เน่ (นักแสดง) - อภิษฎา เครือคงคา (นักแสดง) - อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ (นักแสดง) - ธัญยกันต์ ธนกิตติ์ธนานนท์ (นักแสดง) - อธิชาติ ชุมนานนท์ (นักแสดง) - คุณาธิป ปิ่นประดับ (นักแสดง) - นิศาชล สิ่วไธสง (นักแสดง, นักร้อง) - ภัทรานิษฐ์ วิริยะบำรุงกิจ (นักแสดง) - สิมิลัน สะกุณชะลายา (นักแสดง) - ชาญชัย กายสิทธิ์ (ผู้ประกาศข่าว) - วารุณี ซื่อสัตย์สกุลชัย (ผู้สื่อข่าว) - วิรากานต์ เสณีตันติกุล (นักแสดง) - อดิศร อรรถกฤษณ์ (นักแสดง , นักร้อง) - ปนัดดา วงศ์ผู้ดี (นักแสดง) - เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ (นักแสดง) - กรรณาภรณ์ พวงทอง (นักแสดง) - พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ (นักแสดง) - เศรษฐพงศ์ เพียงพอ (นักแสดง , นักร้อง) - พรภัสร์ชนก มิตรชัย (นักแสดงลิเก)
พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัยรังสิตมีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "พระศรีศาสดา" ], "answer_begin_position": [ 4150 ], "answer_end_position": [ 4161 ] }
3,504
457,477
เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร จ่าอากาศเอก เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2541 จนถึง พ.ศ. 2559 และอดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลชายทีมชาติไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2526-2541ประวัติ ประวัติ. โค้ชอ๊อตเกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2509 ที่จังหวัดนครราชสีมา จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ภาควิชาพลศึกษา เริ่มเล่นวอลเลย์บอลครั้งแรก เมื่ออายุ 14 ปี โดยมีคุณพ่อ คือ ไสว รัชตเกรียงไกร อดีตนักวอลเลย์บอลของนครราชสีมา เป็นคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และด้วยความที่มีคุณพ่อเป็นนักวอลเลย์บอล จึงทำให้โค้ชอ๊อต เดินตามรอยได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มติดทีมชาติชุดใหญ่เมื่ออายุ 17 ปี จนกระทั่งโค้ชอ๊อต อายุ 19 ปี ก็ได้เป็นหนึ่งใน 12 ขุนพลลุยศึกซีเกมส์ 1985 (พ.ศ. 2528) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยก่อนหน้าการแข่งขัน โค้ชอ๊อตถูกฝึกอย่างหนัก นอกจากซ้อมตามโปรแกรมแล้ว ยังถูกซ้อมแบบเฉพาะตัวอีกด้วย ซึ่งจุดประสงค์ที่โค้ชอ๊อดถูกซ้อมหนักเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้สามารถรับมือกับศึกใหญ่ได้ และการฝึกซ้อมอย่างหนักครั้งนี้ ก็ถือว่าได้ผล เพราะทีมวอลเลย์บอลชายไทยสามารถคว้าเหรียญทองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี และเป็นครั้งแรกที่เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ได้รับรางวัลสูงสุดในฐานะผู้เล่นทีมชาติ หลังจากผ่านซีเกมส์ครั้งนี้มาได้ โค้ชอ๊อตก็ติดทีมวอลเลย์บอลชายมาโดยตลอด สามารถคว้าเหรียญทองซีเกมส์ได้อีก 1 สมัยในปี 1995 (พ.ศ. 2538), เหรียญเงิน 3 สมัย ในปี 1991 (พ.ศ. 2534), 1993 (พ.ศ. 2536) และ 1997 (พ.ศ. 2540) และเหรียญทองแดง 2 สมัย ในปี 1987 (พ.ศ. 2530), 1989 (พ.ศ. 2532) นอกจากนี้ โค้ชอ๊อดยังได้แข่งขันในรายการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากซีเกมส์อีกด้วย อาทิ เอเชียนเกมส์ 1990 (พ.ศ. 2533), 1994 (พ.ศ. 2537) และ 1998 (พ.ศ. 2541) และการปิดฉากชีวิตนักวอลเลย์บอลด้วยการนำทีมชายไปแข่งขันชิงแชมป์โลก ปี 1998 ได้สำเร็จ ในฐานะตัวแทนทวีปเอเชีย นอกจากนี้ โค้ชอ๊อดยังได้แข่งขันในรายการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากซีเกมส์อีกด้วย อาทิ เอเชียนเกมส์ 1990 (พ.ศ. 2533), 1994 (พ.ศ. 2537) และ 1998 (พ.ศ. 2541) และการปิดฉากชีวิตนักวอลเลย์บอลด้วยการนำทีมชายไปแข่งขันชิงแชมป์โลก ปี 1998 ได้สำเร็จ ในฐานะตัวแทนทวีปเอเชีย ด้านงานผู้ฝึกสอน โค้ชอ๊อดเคยคุมทีมวอลเลย์บอลชายมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในช่วงที่เป็นนิสิต หลังจากนั้นก็ทำทีมวอลเลย์บอลชายอีกหลายทีม ก่อนที่จะมาเริ่มต้นเปิดตำนานทีมวอลเลย์บอลหญิงยุคดรีมทีม 2001 โดยมีจุดมุ่งหมายสร้างทีมวอลเลย์บอลหญิงชุดเล็ก เพื่อดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ ทดแทนรุ่นพี่ตัวสำคัญ เช่น ปริม อินทวงศ์, มาลินี คงทัน, บุษบรรณ พระแสงแก้ว, แอนณา ไภยจินดา ฯลฯ ที่เตรียมตัวจะปลดระวางไปตามวัยในอีกไม่นานนัก สำหรับโครงการนี้ จะคัดดาวเด่นที่มีแววพอปั้นได้ อายุประมาณ 15-17 ปี มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันที่ จ.ยะลา และฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วง ภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ติด 1-4 ของเอเชีย หรือสามารถต่อสู้กับทีมระดับโลกได้อย่างใกล้เคียง และทีมนักตบสาวยุวชนไทยดรีมทีมชุดนี้ นำโดยนราพร ผงทอง, ปิยมาศ ค่อยจะโป๊ะ ฯลฯ ก็ประเดิมคว้าอันดับ 4 ของเอเชียได้ในปี 2540 ต่อมาไปคว้ารองแชมป์ถางลอง คัพที่เวียดนาม และกลับมาคว้าอันดับ 5 ศึกยุวชนหญิงชิงแชมป์โลก ซึ่งถือว่าเป็นอันดับที่ดีที่สุดเท่าที่เคยร่วมการแข่งขันมา หลังจากนั้น โค้ชอ๊อตก็ได้รับงานผู้ฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลหญิงชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2541 พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์พาทีมเข้าไปเล่นรายการเวิลด์แชมเปียนชิพสำเร็จ ก่อนที่จะจบอันดับที่ 15 ต่อมาในปี 2543 โค้ชอ๊อดก็พาทีมไทยไปลุยศึกเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ได้เป็นครั้งแรก และหลังจากนั้นไทยก็เป็นทีมขาประจำที่ได้ลุยศึกเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ มาโดยตลอด ยกเว้นปี 2007 (พ.ศ. 2550) เนื่องจากไทยเป็นเจ้าภาพกีฬามหาวิทยาลัยโลก หลังจากโค้ชอ๊อตได้รับงานคุมทีมชุดใหญ่ ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยก็พัฒนาขึ้นจนประสบความสำเร็จภายในระยะเวลาไม่นาน เพราะหลังจากโค้ชอ๊อดรับงานเพียงแค่ 3 ปี ก็สามารถพาทีมคว้าเหรียญทองแดงรายการชิงแชมป์เอเชียได้ในปี 2001 (พ.ศ. 2544) ต่อด้วยเหรียญทองแดงในปี 2007 ส่วนความสำเร็จระดับสูงสุด โค้ชอ๊อดต้องใช้เวลาถึง 11 ปีในการสานฝันที่เป็นจริง ด้วยการล้มทีมชาติจีนได้ 3-1 เซต ในศึกชิงแชมป์เอเชียเมื่อปี 2009 (พ.ศ. 2552) ที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพ คว้าแชมป์เอเชียมาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2555 สามารถพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์รายการเอเชียน คัพ 2012 ที่ประเทศคาซัคสถานได้ ด้วยการชนะทีมชาติจีน 3-1 เซต และในปีเดียวกันนี้ ทีมวอลเลย์บอลสาวไทยก็สามารถคว้าแชมป์เอเชีย ได้เป็นสมัยที่สอง ในรอบ 4 ปี โดยชนะทีมชาติญี่ปุ่นในรอบชิง 3-0 เซตผลงาน ผลงาน. พ.ศ. 2540 ได้รับงานโค้ชเป็นครั้งแรก โดยคุมทีมยุวชนหญิง ซึ่งปีนั้นไทยได้เป็นเจ้าภาพ และคว้าอันดับที่ 5 มาครอง พ.ศ. 2541 ได้ขึ้นมาเป็นผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติชุดใหญ่ และสร้างประวัติศาสตร์พาทีมเข้าไปเล่นรายการเวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพ ที่ญี่ปุ่น และได้อันดับที่ 15 พ.ศ. 2543 สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติได้ให้ไทยเป็นทีมวอลเลย์บอลที่มีพัฒนาการยอดเยี่ยมเป็นอันดับที่ 2 ของโลก พาทีมหญิงชุดมหาวิทยาลัยโลก คว้าอันดับที่ 3 ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกที่จีน และพาทีมผ่านเข้าแข่งขัน รายการเวิลด์กรังปรี เป็น 1-8 ทีมได้สำเร็จ (ปีนั้น ใช้ระบบ 8 ทีม) พ.ศ. 2552 พาทีมวอลเลย์บอลหญิงคว้าแชมป์ชิงแชมป์เอเชีย ครั้งที่ 15 โดยการโค่นจีน ซึ่งอยู่ในอันดับ 4 ของโลก ในขณะนั้นได้สำเร็จ พ.ศ. 2554 พาทีมหญิงไทย คว้าอันดับ 6 เวิลด์กรังปรี ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และคว้าอันดับ 4 ในรายการชิงแชมป์เอเชีย พ.ศ. 2555 พาทีมหญิงไทย คว้าอันดับ 4 เวิลด์กรังปรี ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และคว้าอันดับ 1 ในรายการชิงแชมป์เอเชียนคัพ พ.ศ. 2556 พาทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย คว้าแชมป์วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2013 โดยการชนะทีมชาติญี่ปุ่นซึ่งเป็นทีมอันดับ 3 ของโลก และเจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิกครั้งที่ 30 ไป 3-0 เซตชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ด้านชีวิตส่วนตัว เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ไม่มีครอบครัวและไม่มีลูกตลอดช่วง 16 ปีของการทำหน้าที่การเป็นผู้ฝึกสอน แต่ปลายปี พ.ศ. 2557 เกียรติพงษ์ ได้ออกมาประกาศว่าตนจะสมรสกับ เฝิง คุน อดีตนักวอลเลย์บอล ตำแหน่งมือเซ็ตทีมชาติจีนชุดโอลิมปิกปี 2004 หลังจากคบหากัน 4 ปี โดยจะเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 4 ธันวาคม และจะมีงานเลี้ยงฉลองวันที่ 6 ธันวาคมปีเดียวกันนั้นผลงานในระดับอาชีพในฐานะผู้ฝึกสอนรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - ในฐานะนักกีฬาวอลเลย์บอลชายทีมชาติไทย - พ.ศ. 2530 - เหรียญทองแดง ซีเกมส์ 1987 ประเทศอินโดนีเซีย- ในฐานะผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย - วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - รางวัลผู้ฝึกสอนนักกีฬาสมัครเล่นดีเด่น วันกีฬาแห่งชาติ 2555 ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมากเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2556 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.) - พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นจตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)ผลงานอื่นผลงานอื่น. - โค้ชอ๊อต เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ได้ออกหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คส์เล่มแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556 ใช้ชื่อหนังสือว่า โค้ชอ๊อต
จ่าอากาศเอก เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร เคยเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยประเภทใด
{ "answer": [ "วอลเลย์บอล" ], "answer_begin_position": [ 246 ], "answer_end_position": [ 256 ] }
3,505
457,477
เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร จ่าอากาศเอก เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2541 จนถึง พ.ศ. 2559 และอดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลชายทีมชาติไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2526-2541ประวัติ ประวัติ. โค้ชอ๊อตเกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2509 ที่จังหวัดนครราชสีมา จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ภาควิชาพลศึกษา เริ่มเล่นวอลเลย์บอลครั้งแรก เมื่ออายุ 14 ปี โดยมีคุณพ่อ คือ ไสว รัชตเกรียงไกร อดีตนักวอลเลย์บอลของนครราชสีมา เป็นคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และด้วยความที่มีคุณพ่อเป็นนักวอลเลย์บอล จึงทำให้โค้ชอ๊อต เดินตามรอยได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มติดทีมชาติชุดใหญ่เมื่ออายุ 17 ปี จนกระทั่งโค้ชอ๊อต อายุ 19 ปี ก็ได้เป็นหนึ่งใน 12 ขุนพลลุยศึกซีเกมส์ 1985 (พ.ศ. 2528) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยก่อนหน้าการแข่งขัน โค้ชอ๊อตถูกฝึกอย่างหนัก นอกจากซ้อมตามโปรแกรมแล้ว ยังถูกซ้อมแบบเฉพาะตัวอีกด้วย ซึ่งจุดประสงค์ที่โค้ชอ๊อดถูกซ้อมหนักเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้สามารถรับมือกับศึกใหญ่ได้ และการฝึกซ้อมอย่างหนักครั้งนี้ ก็ถือว่าได้ผล เพราะทีมวอลเลย์บอลชายไทยสามารถคว้าเหรียญทองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี และเป็นครั้งแรกที่เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ได้รับรางวัลสูงสุดในฐานะผู้เล่นทีมชาติ หลังจากผ่านซีเกมส์ครั้งนี้มาได้ โค้ชอ๊อตก็ติดทีมวอลเลย์บอลชายมาโดยตลอด สามารถคว้าเหรียญทองซีเกมส์ได้อีก 1 สมัยในปี 1995 (พ.ศ. 2538), เหรียญเงิน 3 สมัย ในปี 1991 (พ.ศ. 2534), 1993 (พ.ศ. 2536) และ 1997 (พ.ศ. 2540) และเหรียญทองแดง 2 สมัย ในปี 1987 (พ.ศ. 2530), 1989 (พ.ศ. 2532) นอกจากนี้ โค้ชอ๊อดยังได้แข่งขันในรายการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากซีเกมส์อีกด้วย อาทิ เอเชียนเกมส์ 1990 (พ.ศ. 2533), 1994 (พ.ศ. 2537) และ 1998 (พ.ศ. 2541) และการปิดฉากชีวิตนักวอลเลย์บอลด้วยการนำทีมชายไปแข่งขันชิงแชมป์โลก ปี 1998 ได้สำเร็จ ในฐานะตัวแทนทวีปเอเชีย นอกจากนี้ โค้ชอ๊อดยังได้แข่งขันในรายการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากซีเกมส์อีกด้วย อาทิ เอเชียนเกมส์ 1990 (พ.ศ. 2533), 1994 (พ.ศ. 2537) และ 1998 (พ.ศ. 2541) และการปิดฉากชีวิตนักวอลเลย์บอลด้วยการนำทีมชายไปแข่งขันชิงแชมป์โลก ปี 1998 ได้สำเร็จ ในฐานะตัวแทนทวีปเอเชีย ด้านงานผู้ฝึกสอน โค้ชอ๊อดเคยคุมทีมวอลเลย์บอลชายมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในช่วงที่เป็นนิสิต หลังจากนั้นก็ทำทีมวอลเลย์บอลชายอีกหลายทีม ก่อนที่จะมาเริ่มต้นเปิดตำนานทีมวอลเลย์บอลหญิงยุคดรีมทีม 2001 โดยมีจุดมุ่งหมายสร้างทีมวอลเลย์บอลหญิงชุดเล็ก เพื่อดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ ทดแทนรุ่นพี่ตัวสำคัญ เช่น ปริม อินทวงศ์, มาลินี คงทัน, บุษบรรณ พระแสงแก้ว, แอนณา ไภยจินดา ฯลฯ ที่เตรียมตัวจะปลดระวางไปตามวัยในอีกไม่นานนัก สำหรับโครงการนี้ จะคัดดาวเด่นที่มีแววพอปั้นได้ อายุประมาณ 15-17 ปี มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันที่ จ.ยะลา และฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วง ภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ติด 1-4 ของเอเชีย หรือสามารถต่อสู้กับทีมระดับโลกได้อย่างใกล้เคียง และทีมนักตบสาวยุวชนไทยดรีมทีมชุดนี้ นำโดยนราพร ผงทอง, ปิยมาศ ค่อยจะโป๊ะ ฯลฯ ก็ประเดิมคว้าอันดับ 4 ของเอเชียได้ในปี 2540 ต่อมาไปคว้ารองแชมป์ถางลอง คัพที่เวียดนาม และกลับมาคว้าอันดับ 5 ศึกยุวชนหญิงชิงแชมป์โลก ซึ่งถือว่าเป็นอันดับที่ดีที่สุดเท่าที่เคยร่วมการแข่งขันมา หลังจากนั้น โค้ชอ๊อตก็ได้รับงานผู้ฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลหญิงชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2541 พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์พาทีมเข้าไปเล่นรายการเวิลด์แชมเปียนชิพสำเร็จ ก่อนที่จะจบอันดับที่ 15 ต่อมาในปี 2543 โค้ชอ๊อดก็พาทีมไทยไปลุยศึกเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ได้เป็นครั้งแรก และหลังจากนั้นไทยก็เป็นทีมขาประจำที่ได้ลุยศึกเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ มาโดยตลอด ยกเว้นปี 2007 (พ.ศ. 2550) เนื่องจากไทยเป็นเจ้าภาพกีฬามหาวิทยาลัยโลก หลังจากโค้ชอ๊อตได้รับงานคุมทีมชุดใหญ่ ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยก็พัฒนาขึ้นจนประสบความสำเร็จภายในระยะเวลาไม่นาน เพราะหลังจากโค้ชอ๊อดรับงานเพียงแค่ 3 ปี ก็สามารถพาทีมคว้าเหรียญทองแดงรายการชิงแชมป์เอเชียได้ในปี 2001 (พ.ศ. 2544) ต่อด้วยเหรียญทองแดงในปี 2007 ส่วนความสำเร็จระดับสูงสุด โค้ชอ๊อดต้องใช้เวลาถึง 11 ปีในการสานฝันที่เป็นจริง ด้วยการล้มทีมชาติจีนได้ 3-1 เซต ในศึกชิงแชมป์เอเชียเมื่อปี 2009 (พ.ศ. 2552) ที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพ คว้าแชมป์เอเชียมาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2555 สามารถพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์รายการเอเชียน คัพ 2012 ที่ประเทศคาซัคสถานได้ ด้วยการชนะทีมชาติจีน 3-1 เซต และในปีเดียวกันนี้ ทีมวอลเลย์บอลสาวไทยก็สามารถคว้าแชมป์เอเชีย ได้เป็นสมัยที่สอง ในรอบ 4 ปี โดยชนะทีมชาติญี่ปุ่นในรอบชิง 3-0 เซตผลงาน ผลงาน. พ.ศ. 2540 ได้รับงานโค้ชเป็นครั้งแรก โดยคุมทีมยุวชนหญิง ซึ่งปีนั้นไทยได้เป็นเจ้าภาพ และคว้าอันดับที่ 5 มาครอง พ.ศ. 2541 ได้ขึ้นมาเป็นผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติชุดใหญ่ และสร้างประวัติศาสตร์พาทีมเข้าไปเล่นรายการเวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพ ที่ญี่ปุ่น และได้อันดับที่ 15 พ.ศ. 2543 สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติได้ให้ไทยเป็นทีมวอลเลย์บอลที่มีพัฒนาการยอดเยี่ยมเป็นอันดับที่ 2 ของโลก พาทีมหญิงชุดมหาวิทยาลัยโลก คว้าอันดับที่ 3 ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกที่จีน และพาทีมผ่านเข้าแข่งขัน รายการเวิลด์กรังปรี เป็น 1-8 ทีมได้สำเร็จ (ปีนั้น ใช้ระบบ 8 ทีม) พ.ศ. 2552 พาทีมวอลเลย์บอลหญิงคว้าแชมป์ชิงแชมป์เอเชีย ครั้งที่ 15 โดยการโค่นจีน ซึ่งอยู่ในอันดับ 4 ของโลก ในขณะนั้นได้สำเร็จ พ.ศ. 2554 พาทีมหญิงไทย คว้าอันดับ 6 เวิลด์กรังปรี ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และคว้าอันดับ 4 ในรายการชิงแชมป์เอเชีย พ.ศ. 2555 พาทีมหญิงไทย คว้าอันดับ 4 เวิลด์กรังปรี ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และคว้าอันดับ 1 ในรายการชิงแชมป์เอเชียนคัพ พ.ศ. 2556 พาทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย คว้าแชมป์วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2013 โดยการชนะทีมชาติญี่ปุ่นซึ่งเป็นทีมอันดับ 3 ของโลก และเจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิกครั้งที่ 30 ไป 3-0 เซตชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ด้านชีวิตส่วนตัว เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ไม่มีครอบครัวและไม่มีลูกตลอดช่วง 16 ปีของการทำหน้าที่การเป็นผู้ฝึกสอน แต่ปลายปี พ.ศ. 2557 เกียรติพงษ์ ได้ออกมาประกาศว่าตนจะสมรสกับ เฝิง คุน อดีตนักวอลเลย์บอล ตำแหน่งมือเซ็ตทีมชาติจีนชุดโอลิมปิกปี 2004 หลังจากคบหากัน 4 ปี โดยจะเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 4 ธันวาคม และจะมีงานเลี้ยงฉลองวันที่ 6 ธันวาคมปีเดียวกันนั้นผลงานในระดับอาชีพในฐานะผู้ฝึกสอนรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - ในฐานะนักกีฬาวอลเลย์บอลชายทีมชาติไทย - พ.ศ. 2530 - เหรียญทองแดง ซีเกมส์ 1987 ประเทศอินโดนีเซีย- ในฐานะผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย - วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - รางวัลผู้ฝึกสอนนักกีฬาสมัครเล่นดีเด่น วันกีฬาแห่งชาติ 2555 ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมากเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2556 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.) - พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นจตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)ผลงานอื่นผลงานอื่น. - โค้ชอ๊อต เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ได้ออกหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คส์เล่มแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556 ใช้ชื่อหนังสือว่า โค้ชอ๊อต
จ่าอากาศเอก เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร เริ่มเล่นวอลเลย์บอลครั้งแรกตอนอายุเท่าไร
{ "answer": [ "14" ], "answer_begin_position": [ 482 ], "answer_end_position": [ 484 ] }
3,506
309,936
มีดโบวี มีดโบวี่ () มีดโบวี่กำเนิดมาจากการออกแบบของ Rezin P. Bowie ถูกออกแบบมาสำหรับ ล่าสัตว์ และต่อสู้ โดยมีลักษณะคล้ายมีดทำครัว ส่วนมีดโบวี่ที่เราคุ้นเคย (S Guard Bowie) เป็นแบบของ James "Jim" Bowie ซึ่งโด่งดังมาจากสงครามอลาโม (Alamo war)
ใครคือผู้ออกแบบมีดโบวี่
{ "answer": [ "Rezin P. Bowie" ], "answer_begin_position": [ 134 ], "answer_end_position": [ 148 ] }
3,507
101,378
ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2550 ฟ้ารุ่งมีความสามารถในการเล่นเปียโนและเคยเป็นครูสอนเปียโนที่ รร.ดนตรีสยามกลการ ปัจจุบันฟ้ารุ่งได้เล่นละคร เดินแบบ ถ่ายแบบ เป็นพิธีกร เปิดโรงเรียน Tiara School of Style and Personality และได้ทำธุรกิจโมเดลลิ่งร่วมกับ Andrian Zahariev แฟนหนุ่มนายแบบลูกครึ่งบัลแกเรีย-รัสเซียประวัติประวัติ. - ชื่อ-สกุล : ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม - ชื่อเล่น : กวาง - วันเกิด : 6 เมษายน พ.ศ. 2530 - ส่วนสูง : 179 ซม. - น้ำหนัก : 55 กก. - สัดส่วน : 33-24-33 - การศึกษา : ปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสากล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการทั่วไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี- ปัจจุบัน : นางแบบ , นักแสดง - บิดาชื่อ : ฟาร์เลย์ ยุติธรรม รองผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดปทุมธานี - มารดาชื่อ : ประยูรศรี ยุติธรรม นางสาวลำปางปี พ.ศ. 2525การประกวดนางงามการประกวดนางงาม. - เข้าประกวด มิสทีนไทยแลนด์ ปี พ.ศ. 2546 ช่วงอยู่ประมาณ ม.4 ผ่านเข้ารอบ 12 คนสุดท้าย - เข้าประกวดและได้ตำแหน่ง มิสยูลีก ปี พ.ศ. 2548 ตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 - เข้าประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปี พ.ศ. 2550 สามารถคว้ามงกุฎมาครองได้ - เข้าประกวดนางงามจักรวาล 2007 ณ ประเทศเม็กซิโก ได้เข้ารอบ 15 คนสุดท้ายผลงานละครโฆษณาโฆษณา. - โฆษณา สก็อตคอลลาเจนE - โฆษณา Miss Universe Thailand 2012รางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - มิสยูลีกปี 2005 - มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2550 - ผ่านเข้ารอบ 15 คนสุดท้ายในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2007 - สุดยอดนางงามไทย 2007 จาก www.Bloggang.com
ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2550 มีชื่อเล่นว่าอะไร
{ "answer": [ "กวาง" ], "answer_begin_position": [ 482 ], "answer_end_position": [ 486 ] }
3,508
214,952
นักบุญเซบาสเตียน (ราฟาเอล) นักบุญเซบาสเตียน (ภาษาอังกฤษ: St. Sebastian) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยราฟาเอลจิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลีที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่อัคคาดิเมียคาร์รารา, เบอร์กาโมในประเทศอิตาลี ราฟาเอลเขียนภาพ “นักบุญเซบาสเตียน” ระหว่างปี ค.ศ. 1501 ถึงปี ค.ศ. 1502 เป็นงานเขียนอีกมุมหนึ่งของการวางแบบแบบเปรูจิโน และใช้สีที่ใสที่เป็นลักษณะของฟรานเชสโค ฟรังเคียที่ผสมผสานกันในลักษณะที่ทราบได้ว่าเป็นงานของราฟาเอล ความสามารถในการวางองค์ประกอบของภาพที่ชัดเจนและสมดุลกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของงานของราฟาเอลรวมทั้งการทำให้ภาพมีความรู้สึกสงบราบรื่น ในรูปนักบุญเซบาสเตียนถือศรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการมรณะสักขีของพระองค์ระหว่างนิ้วมือที่เพรียวงาม ทรงสวมเสื้อคลุมสีแดงและเสื้อปักทองพร้อมด้วยผมยาวประบ่าที่จัดไว้ ไม่มีสิ่งใดในภาพที่แสดงถึงความทารุณที่จะมาถึง ลักษณะนี้เป็นเอกลักษณ์ของงานที่ไม่ลงชื่อที่ได้รับการบ่งว่าเป็นงานสมัยแรกๆของราฟาเอล การใช้เครื่องตกแต่งที่สวยงามและอารมณ์คำนึงทำให้นึกถึงงานของเปรูจิโน
นักบุญเซบาสเตียนเป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยจิตรกรสมัยเรอเนซองส์ชาวอิตาลีคนใด
{ "answer": [ "ราฟาเอล" ], "answer_begin_position": [ 204 ], "answer_end_position": [ 211 ] }
3,509
275,310
หอดูดาวท้องฟ้าซีกใต้แห่งยุโรป หอดูดาวท้องฟ้าซีกใต้แห่งยุโรป (; ESO) มีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า European Organization for Astronomical Research in the Southern Hemisphere หรือ องค์การแห่งยุโรปเพื่อการวิจัยทางดาราศาสตร์ในท้องฟ้าซีกใต้ เป็นองค์กรวิจัยนานาชาติสำหรับการศึกษาด้านดาราศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป 14 ประเทศ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1962 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมัน ส่วนอุปกรณ์สังเกตการณ์เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ที่ประเทศชิลี โดยใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้นักดาราศาสตร์จากยุโรปสามารถศึกษาท้องฟ้าซีกใต้ได้ มีชื่อเสียงจากกล้องโทรทรรศน์ที่ใหญ่ที่สุดและก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เช่น กล้องโทรทรรศน์นิวเทคโนโลยี (New Technology Telescope; NTT) ซึ่งเป็นกล้องรุ่นแรกที่บุกเบิกเทคโนโลยี active optics และกล้องโทรทรรศน์ VLT (Very Large Telescope) ประกอบด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาด 8 เมตรจำนวน 4 ชุด และกล้องประกอบขนาด 1.8 เมตรอีกจำนวน 4 ชุด อุปกรณ์ทันสมัยจำนวนมากที่หอดูดาวแห่งนี้ได้ช่วยเหลือการค้นพบทางดาราศาสตร์ครั้งสำคัญๆ หลายครั้ง และช่วยสร้างรายการวัตถุทางดาราศาสตร์จำนวนมาก การค้นพบเมื่อไม่นานมานี้รวมถึงการค้นพบ แสงวาบรังสีแกมมาที่อยู่ไกลที่สุด และการค้นพบหลักฐานการมีอยู่ของหลุมดำที่บริเวณใจกลางทางช้างเผือกของเรา ในปี ค.ศ. 2004 กล้องโทรทรรศน์ VLT ได้ช่วยให้นักดาราศาสตร์จับภาพถ่ายแรกของดาวเคราะห์นอกระบบ 2M1207b ที่โคจรรอบดาวแคระน้ำตาลดวงหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป 173 ปีแสง นอกจากนี้อุปกรณ์ HARPS ยังได้ช่วยเหลือการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบอีกเป็นจำนวนมาก รวมถึงการค้นพบ กลีส 581 ซี ซึ่งโคจรรอบดาวแคระแดง กล้องโทรทรรศน์ VLT ยังช่วยในการค้นพบดาราจักรที่ไกลที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยรู้จัก คือ Abell 1835 IR1916อุปกรณ์สังเกตการณ์ อุปกรณ์สังเกตการณ์. อุปกรณ์สังเกตการณ์เกือบทั้งหมดของ ESO ตั้งอยู่ที่ประเทศชิลี เนื่องจากต้องการมองเห็นท้องฟ้าซีกใต้อย่างชัดเจน โดยตั้งอยู่ในทะเลทราย Atacama อันเป็นหนึ่งในสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดบนโลก มีหอดูดาวทั้งสิ้น 3 แห่งคือ ที่ลาซีญา (La Silla) พารานัล (Paranal) และ Llano de ChajnantorลาซีญาพารานัลLlano de Chajnantorประเทศสมาชิก
หอดูดาวท้องฟ้าซีกใต้แห่งยุโรปได้รับการสนับสนุนจากประเทศในทวีปยุโรปกี่ประเทศ
{ "answer": [ "14" ], "answer_begin_position": [ 435 ], "answer_end_position": [ 437 ] }
3,510
675,946
พุดผา พุดผา หรือสีดาดง ข่อยดาน ข่อยหิน เป็นพืชในสกุลพุด อยู่ในวงศ์ Rubiaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก พบใกล้ชายหาด ใบเดี่ยว ดอกเดี่ยว กลิ่นหอมแรง ผลกลมเกลี้ยง ปลายผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม กระจายพันธ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ใช้เป็นไม้ประดับ พบครั้งแรกที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีโดย D.J. Collins ชื่อสปีชีส์ตั้งเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ หน้า 140
ต้นพุดผาถูกพบครั้งแรกที่จังหวัดใดในประเทศไทย
{ "answer": [ "ชลบุรี" ], "answer_begin_position": [ 404 ], "answer_end_position": [ 410 ] }
3,511
232,759
คัมเบรีย คัมเบรีย () เป็นมณฑลในอังกฤษในสหราชอาณาจักร ที่มีฐานะเป็นมณฑลภูมิศาสตร์ และมณฑลนอกเมโทรโพลิตัน คัมเบรีย ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษที่มีเขตแดนทางด้านตะวันตกติดกับทะเลไอริช ทางด้านไต้ติดกับมณฑลแลงคาสเชอร์, ทรงตะวันออกเฉียงไต้ติดกับมณฑลนอร์ธยอร์คเชอร์, ทางตะวันออกติดกับมณฑลเดอแรม และมณฑลนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ และมณฑลดัมฟรีส์และกาลลเวย์ของสกอตแลนด์ทางด้านเหนือ คัมเบรียแบ่งการปกครองเป็นหกแขวง: บาร์โรว์อินเฟอร์เนสส์, เซาท์เลคแลนด์, โคพแลนด์, อัลเลอร์เดล, อีเด็น และนครคาร์ไลล์โดยมีคาร์ไลล์เป็นเมืองหลวงของมณฑล คัมเบรียมีเนื้อที่ 6768 ตารางกิโลเมตร และในปี ค.ศ. 2007 มีประชาชนรวมทั้งสิ้นประมาณ 497000 คน ถัวเฉลี่ย 73 คนต่อหนึ่งตารางกิโลเมตร คัมเบรียเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติเลคดิสทริคต์ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความสวยงามทางธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษ ดินแดนส่วนใหญ่เป็นของมณฑลชนบท
มณฑลในอังกฤษที่มีชื่อว่าคัมเบรียมีเขตแดนทางด้านตะวันตกติดกับอะไร
{ "answer": [ "ทะเลไอริช" ], "answer_begin_position": [ 267 ], "answer_end_position": [ 276 ] }
3,512
441,454
สังข์รดน้ำ สังข์รดน้ำ (; ) เป็นหอยทะเลฝาเดี่ยวชนิดหนึ่ง ในวงศ์หอยสังข์มงคล (Turbinellidae) จัดเป็นหอยขนาดใหญ่ มีเปลือกหนา รูปเปลือกค่อนข้างป้อม วงเกลียวตัวกลม ส่วนปลายมีร่องยาวปานกลาง ส่วนยอดเตี้ย ช่องเปลือกรูปรี ขอบด้านในมีสัน 3-4 อัน ผิวชั้นนอกสุดสีน้ำตาล เป็นชั้นที่บางและหลุดล่อนง่าย และมักจะหลุดออกเมื่อหอยตาย เปลือกชั้นรองลงไปเป็นส่วนที่มีความหนาและแข็ง ค่อนข้างเรียบ มีสีขาวนวลหรือสีขาวอมชมพู พบกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะมหาสมุทรอินเดียทางตอนใต้ของประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกาเท่านั้น อาศัยอยู่ตามพื้นน้ำที่เป็นพื้นทราย กินหนอนตัวแบนและแพลงก์ตอนเป็นอาหาร สังข์รดน้ำ โดยปกติแล้วจะมีเปลือกเวียนทางซ้าย (อุตราวรรต) ตามเข็มนาฬิกา แต่มีบางตัวที่เวียนไปทางด้านขวา (ทักษิณาวรรต) ซึ่งพบได้น้อยมาก ซึ่งหอยลักษณะนี้ตามคติของศาสนาฮินดูจะถือเป็นมงคล (ตามคติของพราหมณ์-ฮินดู ขวา=ซ้าย, ซ้าย=ขวา ในแบบสากล) ด้วยถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ และเป็นหอยที่อยู่ในพระกรของพระวิษณุ จึงนำมาใช้ในงานมงคลต่าง ๆ ที่มีพิธีการ เช่น การรดน้ำในพิธีแต่งงาน โดยเชื่อว่าจะเป็นสิริมงคล หรือใช้เป่าโดยต้องตัดส่วนปลายของเปลือกหรือก้นหอยออก ใช้ในงานพระราชพิธี รวมถึงงานสมโภชและงานพิธีมงคลอื่น ๆ รวมถึงมีการนำไปใช้ทำเป็นเครื่องประดับต่าง ๆ ด้วยการนำเปลือกหอยไปล้างทำความสะอาดและผ่านการเจียระไนด้วยการฝาน, ตัด, เจาะ หรือแกะสลักในแบบต่าง ๆ ทั้งเป็นกำไลข้อมือ, ปิ่นปักผม หรือของประดับตบแต่งเพื่อความสวยงาม เป็นต้น โดยเชื่อว่าชาวทิเบตเป็นคนกลุ่มแรกที่นำมาใช้ในพิธีกรรมก่อนที่จะแผ่ขยายมาสู่ความเชื่อในศาสนาฮินดู
ผิวชั้นนอกสุดของสังข์รดน้ำมีสีอะไร
{ "answer": [ "น้ำตาล" ], "answer_begin_position": [ 336 ], "answer_end_position": [ 342 ] }
3,513
497,544
อำพันทะเล อำพันทะเล หรือ อำพันขี้ปลา หรือ อำพันทอง หรือ ขี้วาฬ (; การออกเสียง หรือ , , Ambre gris, หมายถึง "อำพันสีเทา") เป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับอำพัน เป็นสิ่งที่ได้มาจากทะเลและมหาสมุทร โดยเป็นผลิตผลจากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ คือ วาฬ ชนิด วาฬสเปิร์ม มีลักษณะเด่น คือ มีกลิ่นหอม ในยุคโบราณชาวตะวันตกเชื่อว่า อำพันทะเลเกิดจากวาฬกลืนน้ำสีดำจากแม่น้ำสีดำแถบตะวันออกกลางที่มีกลิ่นหอม ชาวเปอร์เซียเรียกว่า "อันบาร์" (Anbar) เมื่อแพร่หลายไปยังยุโรป ชาวฝรั่งเศสจึงเรียกว่า "Amber gris" ที่หมายถึง "อำพันสีเทา" เพื่อแยกแยะจากอำพันอย่างอื่นทั่วไป อำพันทะเล เป็นผลิตผลที่มาจากการสำรอกหรือการขับถ่ายของวาฬสเปิร์ม มีลักษณะเป็นของแข็งซึ่งเป็นก้อนไขมันมีหลายเฉดสีตั้งแต่สีเทาหรือสีดำ ไปจนถึงสีโทนอ่อนอย่้าง สีส้มหรือสีขาวคล้ายหินอ่อน ที่พบเฉพาะในลำไส้ของวาฬสเปิร์ม มีส่วนประกอบของคลอเรสเตอรอลและไขมันร้อยละ 80, สารเบนโซอิก และแอลกอฮอล์เชิงซ้อนทำให้มีกลิ่นหอม โดยวาฬสเปิร์มจะกินสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกหมึกเป็นอาหารหลัก แต่จะกินเข้าไปโดยไม่มีการเคี้ยวอย่างละเอียดสัตว์บก แต่จะใช้วิธีการกลืนเข้าไปทั้งตัวแล้วไปย่อยสลายในกระเพาะ แต่คลอเรสเตอรอลของหมึกไม่อาจจะย่อยได้ง่าย ประกอบกับหมึกมีปากที่แข็งระคายเนื้อเยื่อของวาฬ คลอเรสเตอรอลดังกล่าวจึงไปสะสมเป็นก้อนอยู่ในลำไส้ของวาฬ ซึ่งขณะอยู่ในลำไส้ของวาฬ จะไม่มีกลิ่นหอม แต่จะมีกลิ่นเหม็นเหมือนสิ่งขับถ่ายทั่วไป และมีลักษณะเป็นก้อนสีดำมีความนิ่ม แต่เมื่อวาฬได้ขับถ่ายออกมาแล้วได้เกิดปฏิกิริยากับสายลมและแสงแดด นานนับปี โดยล่องลอยอยู่ในทะเล ด้วยค่าความถ่วงจำเพาะที่มีน้อยกว่าน้ำทะเลจึงมีคุณสมบัติทางเคมีเปลี่ยนไป ทำให้มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขาว, น้ำตาล, เทา หรือดำ ตามระยะเวลาในการทำปฏิกิริยา ละลายที่อุณหภูมิมากกว่า 62 องศาเซลเซียส แต่ด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสจะระเหยเป็นไอ อำพันทะเล นับเป็นของมีค่า ราคาแพง และหาได้ยากยิ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีประโยชน์ในการทำเป็นหัวน้ำหอมและเครื่องสำอาง หรือนำไปแต่งกลิ่นในอาหารหรือไวน์ สำหรับตำราสมุนไพรไทยใช้ทำยาได้ ทำให้มีราคาซื้อขายกิโลกรัมละหลายหมื่นบาท วิธีการหาอำพันทะเล กระทำได้ 2 แบบ คือ รอให้ลอยมาติดตามชายฝั่งหรือล่องเรือออกไปหากลางทะเล และออกล่าวาฬ แล้วผ่าท้องหาจากลำไส้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการล่าวาฬ ซึ่งปัจจุบันมีการคุ้มครองตามกฎหมายสากลภาพคุณสมบัติทางเคมี
ลักษณะเด่นของอำพันทะเลคืออะไร
{ "answer": [ "มีกลิ่นหอม" ], "answer_begin_position": [ 371 ], "answer_end_position": [ 381 ] }
3,514
497,544
อำพันทะเล อำพันทะเล หรือ อำพันขี้ปลา หรือ อำพันทอง หรือ ขี้วาฬ (; การออกเสียง หรือ , , Ambre gris, หมายถึง "อำพันสีเทา") เป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับอำพัน เป็นสิ่งที่ได้มาจากทะเลและมหาสมุทร โดยเป็นผลิตผลจากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ คือ วาฬ ชนิด วาฬสเปิร์ม มีลักษณะเด่น คือ มีกลิ่นหอม ในยุคโบราณชาวตะวันตกเชื่อว่า อำพันทะเลเกิดจากวาฬกลืนน้ำสีดำจากแม่น้ำสีดำแถบตะวันออกกลางที่มีกลิ่นหอม ชาวเปอร์เซียเรียกว่า "อันบาร์" (Anbar) เมื่อแพร่หลายไปยังยุโรป ชาวฝรั่งเศสจึงเรียกว่า "Amber gris" ที่หมายถึง "อำพันสีเทา" เพื่อแยกแยะจากอำพันอย่างอื่นทั่วไป อำพันทะเล เป็นผลิตผลที่มาจากการสำรอกหรือการขับถ่ายของวาฬสเปิร์ม มีลักษณะเป็นของแข็งซึ่งเป็นก้อนไขมันมีหลายเฉดสีตั้งแต่สีเทาหรือสีดำ ไปจนถึงสีโทนอ่อนอย่้าง สีส้มหรือสีขาวคล้ายหินอ่อน ที่พบเฉพาะในลำไส้ของวาฬสเปิร์ม มีส่วนประกอบของคลอเรสเตอรอลและไขมันร้อยละ 80, สารเบนโซอิก และแอลกอฮอล์เชิงซ้อนทำให้มีกลิ่นหอม โดยวาฬสเปิร์มจะกินสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกหมึกเป็นอาหารหลัก แต่จะกินเข้าไปโดยไม่มีการเคี้ยวอย่างละเอียดสัตว์บก แต่จะใช้วิธีการกลืนเข้าไปทั้งตัวแล้วไปย่อยสลายในกระเพาะ แต่คลอเรสเตอรอลของหมึกไม่อาจจะย่อยได้ง่าย ประกอบกับหมึกมีปากที่แข็งระคายเนื้อเยื่อของวาฬ คลอเรสเตอรอลดังกล่าวจึงไปสะสมเป็นก้อนอยู่ในลำไส้ของวาฬ ซึ่งขณะอยู่ในลำไส้ของวาฬ จะไม่มีกลิ่นหอม แต่จะมีกลิ่นเหม็นเหมือนสิ่งขับถ่ายทั่วไป และมีลักษณะเป็นก้อนสีดำมีความนิ่ม แต่เมื่อวาฬได้ขับถ่ายออกมาแล้วได้เกิดปฏิกิริยากับสายลมและแสงแดด นานนับปี โดยล่องลอยอยู่ในทะเล ด้วยค่าความถ่วงจำเพาะที่มีน้อยกว่าน้ำทะเลจึงมีคุณสมบัติทางเคมีเปลี่ยนไป ทำให้มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขาว, น้ำตาล, เทา หรือดำ ตามระยะเวลาในการทำปฏิกิริยา ละลายที่อุณหภูมิมากกว่า 62 องศาเซลเซียส แต่ด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสจะระเหยเป็นไอ อำพันทะเล นับเป็นของมีค่า ราคาแพง และหาได้ยากยิ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีประโยชน์ในการทำเป็นหัวน้ำหอมและเครื่องสำอาง หรือนำไปแต่งกลิ่นในอาหารหรือไวน์ สำหรับตำราสมุนไพรไทยใช้ทำยาได้ ทำให้มีราคาซื้อขายกิโลกรัมละหลายหมื่นบาท วิธีการหาอำพันทะเล กระทำได้ 2 แบบ คือ รอให้ลอยมาติดตามชายฝั่งหรือล่องเรือออกไปหากลางทะเล และออกล่าวาฬ แล้วผ่าท้องหาจากลำไส้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการล่าวาฬ ซึ่งปัจจุบันมีการคุ้มครองตามกฎหมายสากลภาพคุณสมบัติทางเคมี
ชาวเปอร์เซียเรียกอำพันทะเลว่าอะไร
{ "answer": [ "อันบาร์" ], "answer_begin_position": [ 505 ], "answer_end_position": [ 512 ] }
3,515
780,648
ลีกาวัน (ประเทศอินโดนีเซีย) ลีกาวัน () เป็นลีกฟุตบอลระดับที่สูงที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย บริหารจัดการโดย พีทีลีกาอินโดนีเซีย ก่อนหน้านั้นเคยมีอินโดนีเซียพรีเมียร์ลีก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011-2013 ต่อมาได้ยุบลีกรวมกัน และเปลี่ยนชื่อเป็น อินโดนีเซียซูเปอร์ลีก ผู้สนับสนุนปัจจุบันคือ คิวเอ็นบีกรุ๊ป ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015-2017สโมสรในฤดูกาลปัจจุบันรายชื่อทีมชนะเลิศในแต่ละฤดูกาลสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอันดับผู้ทำประตูสูงสุดผู้สนับสนุนผู้สนับสนุน. - 2008–2012: จารัม - 2013–2023: บีวีสปอร์ต - 2015–2017: คิวเอ็นบีกรุ๊ปอื่น ๆอื่น ๆ. - 2015: แบงก์ปาปัว (เฉพาะรางวัลประจำเดือน)การถ่ายทอดสดการถ่ายทอดสด. - 2008–2013: วีวากรุ๊ป - 2014: วีวากรุ๊ป และ เอ็มเอ็นซีกรุ๊ป - 2015–: เน็ตทีวี, แม็ตทริกการูดา, บิ๊กทีวี, โดมิกาโด และ เอ็มเอ็นซีกรุ๊ป
ลีกฟุตบอลระดับที่สูงที่สุดของประเทศอินโดนีเซียมีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "ลีกาวัน" ], "answer_begin_position": [ 130 ], "answer_end_position": [ 137 ] }
3,516
642,833
จี-ช็อค จี-ช็อค () เป็นยี่ห้อของนาฬิกาที่ผลิตโดยคาสิโอ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเรื่องของความทนทานต่อการกระเทือน (เช่น การชนอย่างรุนแรง และ การสั่นสะเทือนอย่างหนัก) ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากแรงสั่นสะเทือนจากแรงโน้มถ่วงของโลก นาฬิการุ่นนี้ถูกออกแบบเพื่อการกีฬา การทหาร และกิจกรรมผจญภัย และเกือบทั้งหมดของทุกรุ่นของ G-Shock จะมีฟังก์ชันของ นาฬิกาจับเวลา นับเวลาถอยหลัง ไฟส่องสว่าง และ กันน้ำได้ประวัติ ประวัติ. นาฬิกา จี-ช็อค รุ่นแรกถือกำเนิดขึ้นในปี 1983 ซึ่งเป็นรุ่น Casio DW-5000C ถูกออกแบบโดย Kikuo Ibe ซึ่งเป็นวิศวกรของ Casio ภายในแนวคิดที่ชื่อว่า “Triple 10 “ คิอ แบตเตอรี่ที่สามารถรองรับการใช้งานได้นานถึง 10ปี กันน้ำที่มีระดับแรงกดได้ 10 บาร์ และสามารถทนต่อแรงกระแทกจากการตกจากที่สูงได้ถึง 10 เมตร ซึ่งได้มีการทดสอบการกับนาฬิการต้นแบบทั้ง 200 ตัว โดยการปล่อยจากหลังที่สูง หรือในหน้าต่างเรื่องราวที่สาม โดยการออกแบบฟังก์ชันที่ทนต่อการกระเทือนมีชั้นป้องกันถึง 10 ชั้นในการปกป้องกลไกลของระบบ Quartz ของนาฬิกา ซึ่งองค์ประกอบหลักภายนอกจะเป็นยางยูรีเทนซึ่งเป็นตัวกันกระแทกและป้องกันตัวเรือนนาฬิกาที่เป็นโลหะ สแตนเลส หน้าปัดนาฬิกาที่เป็นกระจก น็อตสแตนเลสที่ขันเค้ากับตัวนาฬิกา และแนวคิดในเรื่อง “Floating Module” ซึ่งเป็นกลไกของระบบ Quartz ในการลอยตัวอย่างอิสระในยูรีเทนโฟม ด้วยปุ่มกดภายนอก และ LCD ที่เชื่อมกับสายเคเบิลที่มีความยื่ดหยุ่น กับปุ่มกดที่ติดกับเรือนนาฬิกาแทนที่จะเป็นที่ตัว Quartz นาฬิกา จี-ช็อค ถูกวางจำหนายในเดือนเมษายน ปี 1983 ซึ่งเป็นการยึดครองตลาดด้านการกีฬาและสันทนาการที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับนาฬิกาเรื่อนใหญ่ที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่เป็นประโยชน์ ในไม่กี่ปีถัดมา Casio ได้มีวางจำหน่ายนาฬิการุ่นใหม่อีกมากมายในทุกๆปี Baby-G เป็นรุ่นที่วางจำหน่ายในปี 1991 ซึ่งความนิยมในนาฬิกา G-Shock เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงศดวรรษที่ 1990 ในปี 1998 นาฬิกา จี-ช็อค 19 ล้านเรือนได้ถูกส่งไปขายทั่วโลก และเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก เห็นได้จากมีการวางจำหน่ายถึง 200 รุ่นในเวลาเพียงแค่หนึงปีปัจจุบัน ปัจจุบัน. ได้มีการพิจารณาการขยายสายการผลิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและปัจจุบัน ซึ่งได้รวมการเชื่อมกับนาฬิกาอะตอม และระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ไว้ในรุ่นล่าสุด นาฬิกา จี-ช็อค ชุด Cockpit ได้ถูกกำหนดให้เป็นนาฬิกาจับเวลาในสนามแข่งนิสโม อย่างเป็นทางการ นาฬิกา จี-ช็อค รุ่นใหม่หลายรุ่นมีสายเป็นโลหะ (เหล็ก หรือ ไทเทเนียม) และ เข็มนาฬิกาที่ถูกออกแบบอย่างหรูหรา ทุกๆสองปี (รุ่นสำหรับ ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน และ รุ่นสำหรับ ฤดูฝน/ฤดูหนาว) จะมีการวางจำหน่ายรุ่นทั่วไป ส่วนรุ่นพิเศษที่มีจำนวนจำกัดจะมีการวางจำหน่ายบ่อยครั้งตลอดปี เหมือนกับนาฬิกา Swatch จี-ช็อค กลายเป็นของสะสมสำหรับหลายคน ซึ่งรุ่นที่ผุ้คนหากันมากที่สุดหลังจากที่มีการผลิดคือรุ่น Frogman รุ่นพิเศษที่มีจำนวนจำกัดเช่น Brazilian Men in Yellow สฟแ Helios และ Black Spots ก็เป็นรุ่นที่มีความต้องการสูง Casio ยังร่วมกันผลิตนาฬิการุ่นต่าง โดยร่วมกับผู้นำสินค้าแฟชั่นที่เป็นที่นิยมเช่น A Bathing Ape (Bape) Stussy Xlarge, KIKS TYO Nano Universe, Levi's Lifted Research Group รวมถึง Coca Cola Pulp68 Skateshop Lucky Strike และ Marlboro. จี-ช็อค เป็นที่นิยมในหมู่นักปีนเขา นักดับเพลิง หน่วยกู้ชีพ ตำรวจ นักบินอวกาศ ผู้กำกับภาพยนตร์ (Tony Scott ได้ถูกถ่ายภาพขณะส่วนนาฬิกา จี-ช็อค รุ่น GW-3000B เช่นเดียวกับรอน ฮาวเวิร์ด และ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา) และ ทหาร อดีตหน่วยรบพิเศษ Andy McNab ได้พูดถึงลักษณะของตัวละครในนวนิยายชื่อ Nick Stone มีความเชื่อมั่นในนาฬิกา จี-ช็อค อย่างไร และตามที่ระบุในหนังสือ Blackhawk Down ของ Mark Bowden ว่า ทหารพลร่ม สวมนาฬิกา จี-ช็อค ระหว่างการสู้รบ ในช่วง 3 และ 4 ตุลาคม 1993 ซึ่งหลังจากนั้นนาฬิกา จี-ช็อค เป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มหน่วยรบพิเศษ ทั้งทหารอเมริกัน และ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ กองกำลัง NATO อันเนื่องมาจากการทดสอบจริงจากสมรภูมิสงคราม รุ่น DW-5600C DW-5600E DW-5900 DW-6600 DW-6900 เป็นที่มีคุณสมบัติในการเดินทางท่องอวกาศกับนาซา ในปี 2012 Casio ได้จำหน่ายรุ่น GB-6900 ซึ่ง จี-ช็อค ที่รวมฺฟังก์ชันการใช้งานบลูทูธ ซึ่ง Casio อ้างว่าแบตเตอรี่ CR2032 เพียงหนึ่งก้อนมีอายุการใช้งานถึงสองปี
จี-ช็อค เป็นยี่ห้อของนาฬิกาที่ผลิตโดยบริษัทใด
{ "answer": [ "คาสิโอ" ], "answer_begin_position": [ 130 ], "answer_end_position": [ 136 ] }
3,517
642,833
จี-ช็อค จี-ช็อค () เป็นยี่ห้อของนาฬิกาที่ผลิตโดยคาสิโอ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเรื่องของความทนทานต่อการกระเทือน (เช่น การชนอย่างรุนแรง และ การสั่นสะเทือนอย่างหนัก) ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากแรงสั่นสะเทือนจากแรงโน้มถ่วงของโลก นาฬิการุ่นนี้ถูกออกแบบเพื่อการกีฬา การทหาร และกิจกรรมผจญภัย และเกือบทั้งหมดของทุกรุ่นของ G-Shock จะมีฟังก์ชันของ นาฬิกาจับเวลา นับเวลาถอยหลัง ไฟส่องสว่าง และ กันน้ำได้ประวัติ ประวัติ. นาฬิกา จี-ช็อค รุ่นแรกถือกำเนิดขึ้นในปี 1983 ซึ่งเป็นรุ่น Casio DW-5000C ถูกออกแบบโดย Kikuo Ibe ซึ่งเป็นวิศวกรของ Casio ภายในแนวคิดที่ชื่อว่า “Triple 10 “ คิอ แบตเตอรี่ที่สามารถรองรับการใช้งานได้นานถึง 10ปี กันน้ำที่มีระดับแรงกดได้ 10 บาร์ และสามารถทนต่อแรงกระแทกจากการตกจากที่สูงได้ถึง 10 เมตร ซึ่งได้มีการทดสอบการกับนาฬิการต้นแบบทั้ง 200 ตัว โดยการปล่อยจากหลังที่สูง หรือในหน้าต่างเรื่องราวที่สาม โดยการออกแบบฟังก์ชันที่ทนต่อการกระเทือนมีชั้นป้องกันถึง 10 ชั้นในการปกป้องกลไกลของระบบ Quartz ของนาฬิกา ซึ่งองค์ประกอบหลักภายนอกจะเป็นยางยูรีเทนซึ่งเป็นตัวกันกระแทกและป้องกันตัวเรือนนาฬิกาที่เป็นโลหะ สแตนเลส หน้าปัดนาฬิกาที่เป็นกระจก น็อตสแตนเลสที่ขันเค้ากับตัวนาฬิกา และแนวคิดในเรื่อง “Floating Module” ซึ่งเป็นกลไกของระบบ Quartz ในการลอยตัวอย่างอิสระในยูรีเทนโฟม ด้วยปุ่มกดภายนอก และ LCD ที่เชื่อมกับสายเคเบิลที่มีความยื่ดหยุ่น กับปุ่มกดที่ติดกับเรือนนาฬิกาแทนที่จะเป็นที่ตัว Quartz นาฬิกา จี-ช็อค ถูกวางจำหนายในเดือนเมษายน ปี 1983 ซึ่งเป็นการยึดครองตลาดด้านการกีฬาและสันทนาการที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับนาฬิกาเรื่อนใหญ่ที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่เป็นประโยชน์ ในไม่กี่ปีถัดมา Casio ได้มีวางจำหน่ายนาฬิการุ่นใหม่อีกมากมายในทุกๆปี Baby-G เป็นรุ่นที่วางจำหน่ายในปี 1991 ซึ่งความนิยมในนาฬิกา G-Shock เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงศดวรรษที่ 1990 ในปี 1998 นาฬิกา จี-ช็อค 19 ล้านเรือนได้ถูกส่งไปขายทั่วโลก และเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก เห็นได้จากมีการวางจำหน่ายถึง 200 รุ่นในเวลาเพียงแค่หนึงปีปัจจุบัน ปัจจุบัน. ได้มีการพิจารณาการขยายสายการผลิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและปัจจุบัน ซึ่งได้รวมการเชื่อมกับนาฬิกาอะตอม และระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ไว้ในรุ่นล่าสุด นาฬิกา จี-ช็อค ชุด Cockpit ได้ถูกกำหนดให้เป็นนาฬิกาจับเวลาในสนามแข่งนิสโม อย่างเป็นทางการ นาฬิกา จี-ช็อค รุ่นใหม่หลายรุ่นมีสายเป็นโลหะ (เหล็ก หรือ ไทเทเนียม) และ เข็มนาฬิกาที่ถูกออกแบบอย่างหรูหรา ทุกๆสองปี (รุ่นสำหรับ ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน และ รุ่นสำหรับ ฤดูฝน/ฤดูหนาว) จะมีการวางจำหน่ายรุ่นทั่วไป ส่วนรุ่นพิเศษที่มีจำนวนจำกัดจะมีการวางจำหน่ายบ่อยครั้งตลอดปี เหมือนกับนาฬิกา Swatch จี-ช็อค กลายเป็นของสะสมสำหรับหลายคน ซึ่งรุ่นที่ผุ้คนหากันมากที่สุดหลังจากที่มีการผลิดคือรุ่น Frogman รุ่นพิเศษที่มีจำนวนจำกัดเช่น Brazilian Men in Yellow สฟแ Helios และ Black Spots ก็เป็นรุ่นที่มีความต้องการสูง Casio ยังร่วมกันผลิตนาฬิการุ่นต่าง โดยร่วมกับผู้นำสินค้าแฟชั่นที่เป็นที่นิยมเช่น A Bathing Ape (Bape) Stussy Xlarge, KIKS TYO Nano Universe, Levi's Lifted Research Group รวมถึง Coca Cola Pulp68 Skateshop Lucky Strike และ Marlboro. จี-ช็อค เป็นที่นิยมในหมู่นักปีนเขา นักดับเพลิง หน่วยกู้ชีพ ตำรวจ นักบินอวกาศ ผู้กำกับภาพยนตร์ (Tony Scott ได้ถูกถ่ายภาพขณะส่วนนาฬิกา จี-ช็อค รุ่น GW-3000B เช่นเดียวกับรอน ฮาวเวิร์ด และ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา) และ ทหาร อดีตหน่วยรบพิเศษ Andy McNab ได้พูดถึงลักษณะของตัวละครในนวนิยายชื่อ Nick Stone มีความเชื่อมั่นในนาฬิกา จี-ช็อค อย่างไร และตามที่ระบุในหนังสือ Blackhawk Down ของ Mark Bowden ว่า ทหารพลร่ม สวมนาฬิกา จี-ช็อค ระหว่างการสู้รบ ในช่วง 3 และ 4 ตุลาคม 1993 ซึ่งหลังจากนั้นนาฬิกา จี-ช็อค เป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มหน่วยรบพิเศษ ทั้งทหารอเมริกัน และ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ กองกำลัง NATO อันเนื่องมาจากการทดสอบจริงจากสมรภูมิสงคราม รุ่น DW-5600C DW-5600E DW-5900 DW-6600 DW-6900 เป็นที่มีคุณสมบัติในการเดินทางท่องอวกาศกับนาซา ในปี 2012 Casio ได้จำหน่ายรุ่น GB-6900 ซึ่ง จี-ช็อค ที่รวมฺฟังก์ชันการใช้งานบลูทูธ ซึ่ง Casio อ้างว่าแบตเตอรี่ CR2032 เพียงหนึ่งก้อนมีอายุการใช้งานถึงสองปี
นาฬิกายี่ห้อจี-ช็อครุ่นแรกถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ.ใด
{ "answer": [ "1983" ], "answer_begin_position": [ 534 ], "answer_end_position": [ 538 ] }
3,518
104,958
ตำแหน่งผู้เล่นฟุตบอล ในกีฬาฟุตบอล หนึ่งทีมมีผู้เล่น 11 คน เป็นมีผู้รักษาประตู 1 คน และผู้เล่นตำแหน่งอื่นอีก 10 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่ทำหน้าที่ป้องกัน (กองหลัง) ผู้อยู่แดนกลาง (กองกลาง) และผู้บุก (กองหน้า) แล้วแต่ระบบแผนที่ใช้ โดยตำแหน่งเหล่านั้นจะบ่งบอกถึงหน้าที่และพื้นที่ในการเล่นของตำแหน่งนั้น ๆ ด้วย โดยตอนแรกจะมีแค่ตำแหน่งกองหน้า (forwards), ฮาล์ฟแบ็ก (half-backs) และทรีควอเตอร์แบ็ก (three-quarter-backs) ช่วงแรกที่มีชื่ออย่างนี้เพราะว่า สมัยนั้นเป็นช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบบ 2–3–5 เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง การป้องกันจะมีฟุลแบ็กที่รู้จักกันในชื่อกองหลังฝั่งซ้ายและกองหลังฝั่งขวา แดนกลางจะมีเลฟต์ฮาล์ฟ (left-half), เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ (centre-half) และไรต์ฮาล์ฟ (right-half) และในแนวบุกจะเป็นเอาต์ไซด์เลฟต์ (outside-left), อินไซด์เลฟต์ (inside-Left), กองหน้าตรงกลาง (centre-forward), อินไซด์ไรต์ (inside-right) และเอาต์ไซด์ไรต์ (outside-right) หลังจากนั้นรูปแบบระบบก็พัฒนาไปจนมีชื่อตำแหน่งมากมาย อย่างเมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 คำว่า "ฮาล์ฟแบ็ก" ได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า "กองกลาง" กับตำแหน่งที่เล่นในแดนกลางทั้งกลางสนามและริมเส้น กองกลางตัวกลางได้ถูกพัฒนาขึ้นอีกกลายเป็นกองกลางตัวบุกและกองกลางตัวรับ ในเกมสมัยใหม่ ตำแหน่งในฟุตบอลได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเหมือนรักบี้หรืออเมริกันฟุตบอล ถึงอย่างนั้นนักเตะส่วนใหญ่มักเล่นในตำแหน่งเดิมตลอดการค้าแข้งของพวกเขา เพราะในแต่ล่ะตำแหน่งนั้นใช้ทักษะและความสามารถทางร่างกายไม่เหมือนกัน แต่ก็มีนักฟุตบอลบางพวกที่เล่นได้หลายตำแหน่ง ซึ่งถึงเรียกว่า "นักเตะสารพัดประโยชน์" (utility players) ถึงกระนั้นก็ยังมีกลวิธีโททัลฟุตบอลที่วางตำแหน่งนักเตะอย่างหลวม ๆ ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างเช่นโยฮัน ไกรฟฟ์ ที่สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งยกเว้นผู้รักษาประตูผู้รักษาประตู ผู้รักษาประตู. ผู้รักษาประตู (goalkeeper) เป็นตำแหน่งที่ป้องกันมากที่สุดในบรรดาหลายตำแหน่ง หน้าที่หลักก็คือการไม่ให้อีกทีมได้แต้มโดยการรับ การปัด หรือการชกบอลจากการยิง การโหม่ง หรือจากลูกที่ไขว้เข้ามา ตำแหน่งนี้ไม่เหมือนตำแหน่งอื่นในทีมตรงที่ส่วนใหญ่ตำแหน่งนี้มักใช้เวลาอยู่บริเวณกรอบเขตโทษ ผลคือทำให้ผู้รักษาประตูเห็นตำแหน่งที่ดีของสนามหรือจากลูกตั้งเตะ ผู้รักษาประตูเป็นผู้เล่นคนเดียวที่สามารถใช้มือกับลูกฟุตบอลได้ แต่ใช้ได้ในกรอบเขตโทษตัวเองเท่านั้น ตำแหน่งผู้รักษาประตูนี้ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญและยากในการป้องกันอีกด้วยกองหลัง กองหลัง. กองหลัง (defender) จะอยู่ด้านหลังของกองกลาง และหน้าที่หลักของพวกเขาก็คือสนับสนุนทีมและป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายทำประตูได้ ปกติพวกเขาจะอยู่เพียงครึ่งสนามในฝั่งพวกเขาเพื่อป้องกัน กองหลังตัวสูงจะไปอยู่แดนหน้า บริเวณจุดโทษของอีกฝ่ายเมื่อมีลูกเตะมุม หรือลูกฟรีคิก เพื่อเขาจะโหม่งเข้าประตูอีกฝ่ายได้กองหลังตัวกลาง กองหลังตัวกลาง. กองหลังตัวกลาง (centre-back) หรือที่ในอดีตเรียกว่าเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ หน้าที่ของพวกเขาคือการหยุดผู้เล่นอีกฝ่าย (โดยเฉพาะศูนย์)จากการทำประตู และนำลูกบอลออกจากเขตโทษ ตำแหน่งนี้เล่นอยู่ตรงกลางของแผงหลังตามชื่อ ทีมส่วนใหญ่มักจะใช้ 2 คน การยืนตำแหน่งจะยืนหน้าผู้รักษาประตู ทั้งสองเป็นหัวใจหลักในแนวรับ ทั้งการคุมพื้นที่และการประกบตัวต่อตัว กองหลังตัวกลางมักจะสูง แข็งแกร่ง และต้องมีความสามารถการกระโดดสูง การโหม่งดี และการแย่งลูกได้ดี กองหลังตัวกลางที่ประสบความสำเร็จต้องมีสมาธิ อ่านเกมได้อย่างยอดเยี่ยม และมีความกล้าหาญและเด็ดขาดในการแย่งลูกจากอีกฝ่ายที่จะผ่านไปทำประตู บางครั้งโดยเฉพาะลีกล่าง ๆ กองหลังตัวกลางยังขาดมีสมาธิในการควบคุมบอลและส่งบอลไม่ดี ทำได้เพียงแค่ปลอดภัยไว้ก่อน ถึงอย่างนั้น สำหรับกองหลังตัวกลางขอเพียงแค่มีทักษะฟุตบอลขั้นพื้นฐานเพื่อรูปแบบการเล่นที่เน้นการครองบอลเท่านั้นก็พอ ตำแหน่งนี้บางครั้งจะถูกเรียกว่าเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เดิมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบบแผน 2–3–5 เป็นที่นิยม แถมสามคนจะถูกเรียกว่าฮาล์ฟแบ็ก เมื่อระบบแผนพัฒนาต่อมา ผู้เล่นตรงกลางทั้งสามนี้ (เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ) ได้ย้ายมาตำแหน่งป้องกันมากขึ้น ปัจจุบันยังมีคนเรียกชื่อเหล่านี้อยู่สวีปเปอร์ สวีปเปอร์. สวีปเปอร์ (sweeper) หรือ ลีเบโร () เป็นตำแหน่งที่แตกมาจากกองหลังตัวกลางอีกที หรือเป็นตำแหน่งที่มีกองหลังตัวกลางสามคน ซึ่งเป็นตำแหน่งระหว่างกองหลังตัวกลางทั้งสอง ชื่อนี้มาจากวลี "sweeps up" ในการขจัดบอลที่อีกฝ่ายเลี้ยงฝ่าแนวรับมาได้ ตำแหน่งพวกเขานั้นมีความเป็นอิสระมากกว่าแผงหลังซึ่งคอยประกบอีกฝ่ายที่ถูกกำหนดขึ้น ตำแหน่งสวีปเปอร์จำเป็นต้องมีทักษะอ่านเกมได้ยิ่งกว่ากองหลังตัวกลาง ในปัจจุบันมีกฎล้ำหน้าซึ่งมักใช้แนวนับในการจับอีกฝ่ายล้ำหน้า ทำให้ตำแหน่งนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมในปัจจุบันฟุลแบ็ก ฟุลแบ็ก. แบ็กซ้าย (left-back) และ แบ็กขวา (right-back) หรือที่ปกติจะเรียก ฟุลแบ็ก (full-back) จะประจำตำแหน่งที่ด้านข้างของกองหลังตัวกลาง เพื่อป้องกันการบุกจากริมเส้น และบ่อยครั้งที่ต้องไปหยุดการบุกของตำแหน่งปีกฝ่ายตรงข้ามที่พยายามผ่าน หรือโยนบอลเข้าเขตโทษ ตามปกติลูกเตะมุมหรือลูกฟรีคิก ฟุลแบ็กจะไม่ขึ้นไปช่วยแนวหน้า แต่อาจอยู่ประมาณเส้นครึ่งสนาม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแผนของแนวรับนั้น ๆ ด้วย ในเกมสมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะให้ฟุลแบ็ก (วิงแบ็ก) มีบทบาทในการบุกด้วย แต่พวกนั้นจะไม่ถูกเรียกว่าแบ็กขวาหรือแบ็กซ้าย เดิมฟุลแบ็กเป็นแนวรับสุดท้ายของทีม แต่เมื่อเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟได้ถอยร่นลงมากลายเป็นตำแหน่ง "กองหลังตัวกลาง" ฟุลแบ็กได้ถูกย้ายมาริมเส้นกลายเป็นแบ็กขวาและแบ็กซ้ายวิงแบ็ก วิงแบ็ก. วิงแบ็ก (wing-back) หรือฟุลแบ็กตัวบุก คือกองหลังที่เน้นในการบุก ชื่อตำแหน่งนี้มาจากปีก (winger) และฟุลแบ็กผสมกัน ปกติตำแหน่งนี้จะใช้ในแผน 3–5–2 จึงถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแดนกลางในจังหวะการบุก หรือบางทีก็ใช้ในแผน 5–3–2 แต่คำว่าวิงแบ็กไม่ค่อยได้ใช้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเล่นแผน 4–3–3 หรือ 4–2–3–1 ผู้เล่นวิงแบ็กจำเป็นต้องใช้พลกำลังอย่างมากในฟุตบอลสมัยใหม่ วิงแบ็กมักจะเล่นบนสนามมากกว่าฟุลแบ็กทั่วไปโดยเฉพาะกับทีมที่ไม่มีผู้เล่นปีก วิงแบ็กต้องการความอึดเป็นพิเศษในการวิ่งขึ้นไปแนวรุกและลงมาตั้งรับกองกลาง กองกลาง. กองกลาง (midfielder) เดิมทีเรียกว่าฮาล์ฟแบ็ก ตำแหน่งนี้จะเล่นอยู่ระหว่างศูนย์หน้าและกองหลัง หน้าที่หลักของตำแหน่งนี้คือครองบอล และรับบอลจากกองหลัง แล้วขึ้นไปส่งให้กองหน้า พร้อมกับไล่บอลจากผู้เล่นอีกฝ่าย ส่วนใหญ่ในทีมต้องมีกองกลางตัวกลาง (central midfielder) อย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อหยุดเกมบุกของอีกฝ่าย นอกจากนั้นก็มีการทำประตู ไม่ก็ขึ้นไปบุกและลงมาตั้งรับตามหน้าที่ที่ได้รับ กองกลางนั้นต้องเล่นเกือบทั่วสนาม เมื่อถึงคราวรับ พวกเขาจะลงมาช่วยตั้งรับ เมื่อจะบุกก็ไปช่วยกองหน้าในการบุก พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เริ่มเล่นในจังหวะการบุกของทีมกองกลางตัวกลาง กองกลางตัวกลาง. กองกลางตัวกลาง (centre midfielder) มีหน้าที่เชื่อมเกมระหว่างกองหลังและกองหน้า กองกลางตัวกลางนั้นมีหน้าที่มากมาย ตั้งแต่ช่วยทีมบุกในจังหวะการบุก และเมื่อเสียบอลให้อีกฝ่าย พวกเขาต้องพยายามแย่งมันมาก่อนจะถึงแนวหลัง เมื่อแนวหลังหรือพวกเขาได้ลูกบอลอีกครั้ง ตำแหน่งนี้จะเป็นคนที่เริ่มบุกก่อน บางครั้งตำแหน่งนี้จะได้รับชื่อว่า "ตัวทำเกม" (playmaker) บางครั้งตำแหน่งนี้ต้องไปอยู่แนวป้องกันเมื่อถูกบุกมาก ๆ หรือจังหวะเตะมุมของอีกฝ่าย กองกลางตัวกลางบางครั้งก็ต้องยุ่งอยู่กับจังหวะเกมอยู่ตลอดเวลาจนเรียกได้ว่าเป็น "ห้องเครื่องของทีม" (the engine room of the team) เมื่อเวลาผ่านไป กองกลางตัวกลางก็ได้รับการพัฒนาเป็นกองกลางตัวบุกและกองกลางตัวรับ ซึ่งทั้งสองตำแหน่งนี้จะอธิบายไว้ด้านล่างของกองกลางตัวกลางนี้ บางทีอาจวางตำแหน่งทั้งสามไว้ด้วยกัน หรืออาจให้กองกลางไปไว้ด้านกว้างหรือริมเส้นด้วยกองกลางตัวรับ กองกลางตัวรับ. กองกลางตัวรับ (defensive midfielder) เป็นกองกลางที่ประจำที่ก่อนกองหลัง มีบทบาทในการป้องกัน เมื่อไม่มีการบุก กองกลางตัวรับจะรีบถอยมาตั้งรับ และแย่งลูกบอลจากทีมฝ่ายตรงข้าม แม้หน้าที่หลักจะเป็นป้องกัน แต่ก็มีกองกลางบางคนที่ทำหน้าที่เป็นตัวทำเกมในแนวลึกหรือตัวทำเกมตัวต่ำ (deep-lying playmaker) ซึ่งสามารถกำหนดจังหวะเกมได้จากตำแหน่งที่อยู่ท้ายด้วยการผ่านบอล กองกลางตัวรับต้องการการยืนตำแหน่งที่ดี การขยันไล่บอล มีความสามารถในการสกัดบอล และต้องคาดการณ์ผู้เล่นและลูกบอลได้ดี นอกจากนี้ยังต้องการทักษะการส่งบอล และการครองบอลภายใต้ความกดดันได้ดี แต่ที่สำคัญที่สุดคือความอึด เพราะตำแหน่งนี้ต้องวิ่งไปทั่วสนามตลอดการค้าแข้ง ในสโมสรชั้นนำ กองกลางอาจวิ่งเกือบ 12 กิโลเมตร ตลอดเกม ส่วนตัวทำเกมตัวต่ำต้องการการสัมผัสบอลแรกในสถานการณ์กดดัน และทักษะส่งไกลไปอีกครึ่งสนามอย่างแม่นยำเพื่อให้เพื่อนบุกกองกลางตัวรุก กองกลางตัวรุก. กองกลางตัวรุก (attacking midfielder) คือกองกลางที่อยู่สูงกว่าปกติ แต่จะไม่เกินศูนย์หน้า เป็นผู้เล่นช่วยทีมในจังหวะบุก หน้าที่ของตำแหน่งนี้คือการสร้างโอกาสทำประตูด้วยวิสัยทัศน์ที่เหนือชั้นและทักษะของพวกเขา คนที่จะเล่นกองกลางตัวรุกต้องมีความชำนาญในการส่งบอล และที่สำคัญกว่านั้นก็คือการอ่านการเคลื่อนไหวของกองหลังเพื่อส่งบอลไปให้ศูนย์หน้าทำประตู บางครั้งตำแหน่งกองกลางตัวรุกถูกเรียกว่า "เตรกวาร์ติสตา" () ซึ่งรู้จักกันดีในการยิงประตูจากระยะไกล และการกล้าที่จะผ่านบอล แต่กองกลางตัวรุกไม่ใช่ว่าเป็นเตรกวาร์ติสตา เพราะเตรกวาร์ติสตาต้องเป็นกองกลางตัวรุกที่สร้างสรรค์การบุกที่หลากหลายในการทำประตู พวกเขามักจะเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นประจำทีม ดังนั้นทีมมักจะให้เขาเป็นตัวฟรี เพื่อค่อยสร้างสรรค์สถานการณ์ในจังหวะบุกกองกลางด้านกว้าง กองกลางด้านกว้าง. กองกลางด้านกว้าง (wide midfielder) หรือ กองกลางตัวริมเส้น (side midfielder) ตำแหน่งในอดีตคือไรต์ฮาล์ฟและเลฟต์ฮาล์ฟ หรืออีกชื่อคือวิงฮาล์ฟ (wing-half) เป็นตำแหน่งที่ประจำการทางซ้ายและขวาของตำแหน่งเซ็นเตอร์กองกลาง พวกเขาบางครั้งก็ถูกเรียกว่า "ปีก" (winger) เนื่องจากแผนสมัยใหม่ได้เอากองหน้าริมเส้นเลื่อนมาเล่นในตำแหน่งกองกลางด้านกว้าง ทำให้ยังมีการใช้คำว่าปีกอยู่กองหน้า กองหน้า. กองหน้า (forward, striker) เป็นตำแหน่งของผู้เล่นฟุตบอลที่เล่นอยู่บริเวณหน้าประตูอีกฝ่าย หน้าที่หลักของกองหน้าก็คือทำประตู หรือสร้างโอกาสให้ผู้เล่นอื่นทำประตู หน้าที่ในจังหวะตั้งรับก็มี นั้นก็คือคอยไล่บอลจากองหลังและผู้รักษาประตูอีกฝ่าย ในแผนสมัยใหม่ กองหน้ามีได้ตั้งแต่ 1 ถึง 3 คน ;ยกตัวอย่างเช่นในแผน 4–2–3–1 จะมีกองหน้าคนเดียว, 4–4–2 จะมีกองหน้าสองคน, 4–3–3 จะมีกองหน้า 3 คน โดยมีกองหน้าตัวเป้าหนึ่งคน และปีก 2 คนกองหน้าตัวเป้า กองหน้าตัวเป้า. กองหน้าตัวเป้า หรือ กองหน้าตัวกลาง (centre forward) หรือ กองหน้าตัวหลัก (main striker) หน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำประตู และเป็นหัวใจหลักในการบุกของทีม เมื่อก่อนกองหน้าต้องตัวสูง และแข็งแกร่งทางร่างกายเพื่อแย่งลูกในจังหวะที่มีคนโยนบอลเข้ามาเพื่อทำประตู ทำให้พวกเขาต้องพยายามทำประตูทั้งการเล่นกับเท้า การโหม่ง อีกทั้งส่งให้เพื่อนทำประตู ในปัจจุบันที่เน้นจังหวะบอลเร็วมากขึ้น การเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วจึงเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อฟุตบอลยุคนี้กองหน้าตัวต่ำ กองหน้าตัวต่ำ. กองหน้าตัวต่ำ (second striker, support striker) ในอดีตตำแหน่งนี้จะถูกเรียกว่ากองหน้าตัวใน (inside forward) ถึงจะมีประวัติมายาวนาน แต่นิยามของตำแหน่งนี้ก็แตกต่างกันไปทุกยุค การเป็นกองหน้าตัวต่ำนั้นไม่จำเป็นต้องมีตัวสูง หรือมีความแข็งแกร่งทางร่างกายเท่ากองหน้าตัวกลาง พวกต้องการทักษะเพื่อช่วยสร้างโอกาสทำประตูให้กองหน้าตัวกลาง การปั่นกองหลังฝ่ายตรงข้าม และถ้ามีโอกาสก็ยิงประตูด้วยตัวเองปีก ปีก. ปีก (winger) ประกอบด้วย ปีกซ้าย (left winger) และ ปีกขวา (right winger) ในอดีตเรียกตำแหน่งนี้ว่ากองหน้าตัวนอก (outside forward) เป็นตำแหน่งของผู้เล่นที่จะบุกจากทางริมเส้นขอบสนาม ในปัจจุบันตำแหน่งนี้ถูกเรียกว่าปีก หน้าที่ของตำแหน่งนี้คือใช้ความเร็วในการบุกผ่าฟุลแบ็กเพื่อป่วนกองหลัง แล้วส่งลูกหรือโยนลูกเข้าไปให้คนบุกอื่นอีกที หรืออาจบุกผ่ากองหลังคนอื่นเข้าไปทำประตูเอง
กีฬาฟุตบอลมีผู้เล่นกี่คนในหนึ่งทีม
{ "answer": [ "11" ], "answer_begin_position": [ 147 ], "answer_end_position": [ 149 ] }
3,519
104,958
ตำแหน่งผู้เล่นฟุตบอล ในกีฬาฟุตบอล หนึ่งทีมมีผู้เล่น 11 คน เป็นมีผู้รักษาประตู 1 คน และผู้เล่นตำแหน่งอื่นอีก 10 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่ทำหน้าที่ป้องกัน (กองหลัง) ผู้อยู่แดนกลาง (กองกลาง) และผู้บุก (กองหน้า) แล้วแต่ระบบแผนที่ใช้ โดยตำแหน่งเหล่านั้นจะบ่งบอกถึงหน้าที่และพื้นที่ในการเล่นของตำแหน่งนั้น ๆ ด้วย โดยตอนแรกจะมีแค่ตำแหน่งกองหน้า (forwards), ฮาล์ฟแบ็ก (half-backs) และทรีควอเตอร์แบ็ก (three-quarter-backs) ช่วงแรกที่มีชื่ออย่างนี้เพราะว่า สมัยนั้นเป็นช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบบ 2–3–5 เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง การป้องกันจะมีฟุลแบ็กที่รู้จักกันในชื่อกองหลังฝั่งซ้ายและกองหลังฝั่งขวา แดนกลางจะมีเลฟต์ฮาล์ฟ (left-half), เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ (centre-half) และไรต์ฮาล์ฟ (right-half) และในแนวบุกจะเป็นเอาต์ไซด์เลฟต์ (outside-left), อินไซด์เลฟต์ (inside-Left), กองหน้าตรงกลาง (centre-forward), อินไซด์ไรต์ (inside-right) และเอาต์ไซด์ไรต์ (outside-right) หลังจากนั้นรูปแบบระบบก็พัฒนาไปจนมีชื่อตำแหน่งมากมาย อย่างเมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 คำว่า "ฮาล์ฟแบ็ก" ได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า "กองกลาง" กับตำแหน่งที่เล่นในแดนกลางทั้งกลางสนามและริมเส้น กองกลางตัวกลางได้ถูกพัฒนาขึ้นอีกกลายเป็นกองกลางตัวบุกและกองกลางตัวรับ ในเกมสมัยใหม่ ตำแหน่งในฟุตบอลได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเหมือนรักบี้หรืออเมริกันฟุตบอล ถึงอย่างนั้นนักเตะส่วนใหญ่มักเล่นในตำแหน่งเดิมตลอดการค้าแข้งของพวกเขา เพราะในแต่ล่ะตำแหน่งนั้นใช้ทักษะและความสามารถทางร่างกายไม่เหมือนกัน แต่ก็มีนักฟุตบอลบางพวกที่เล่นได้หลายตำแหน่ง ซึ่งถึงเรียกว่า "นักเตะสารพัดประโยชน์" (utility players) ถึงกระนั้นก็ยังมีกลวิธีโททัลฟุตบอลที่วางตำแหน่งนักเตะอย่างหลวม ๆ ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างเช่นโยฮัน ไกรฟฟ์ ที่สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งยกเว้นผู้รักษาประตูผู้รักษาประตู ผู้รักษาประตู. ผู้รักษาประตู (goalkeeper) เป็นตำแหน่งที่ป้องกันมากที่สุดในบรรดาหลายตำแหน่ง หน้าที่หลักก็คือการไม่ให้อีกทีมได้แต้มโดยการรับ การปัด หรือการชกบอลจากการยิง การโหม่ง หรือจากลูกที่ไขว้เข้ามา ตำแหน่งนี้ไม่เหมือนตำแหน่งอื่นในทีมตรงที่ส่วนใหญ่ตำแหน่งนี้มักใช้เวลาอยู่บริเวณกรอบเขตโทษ ผลคือทำให้ผู้รักษาประตูเห็นตำแหน่งที่ดีของสนามหรือจากลูกตั้งเตะ ผู้รักษาประตูเป็นผู้เล่นคนเดียวที่สามารถใช้มือกับลูกฟุตบอลได้ แต่ใช้ได้ในกรอบเขตโทษตัวเองเท่านั้น ตำแหน่งผู้รักษาประตูนี้ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญและยากในการป้องกันอีกด้วยกองหลัง กองหลัง. กองหลัง (defender) จะอยู่ด้านหลังของกองกลาง และหน้าที่หลักของพวกเขาก็คือสนับสนุนทีมและป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายทำประตูได้ ปกติพวกเขาจะอยู่เพียงครึ่งสนามในฝั่งพวกเขาเพื่อป้องกัน กองหลังตัวสูงจะไปอยู่แดนหน้า บริเวณจุดโทษของอีกฝ่ายเมื่อมีลูกเตะมุม หรือลูกฟรีคิก เพื่อเขาจะโหม่งเข้าประตูอีกฝ่ายได้กองหลังตัวกลาง กองหลังตัวกลาง. กองหลังตัวกลาง (centre-back) หรือที่ในอดีตเรียกว่าเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ หน้าที่ของพวกเขาคือการหยุดผู้เล่นอีกฝ่าย (โดยเฉพาะศูนย์)จากการทำประตู และนำลูกบอลออกจากเขตโทษ ตำแหน่งนี้เล่นอยู่ตรงกลางของแผงหลังตามชื่อ ทีมส่วนใหญ่มักจะใช้ 2 คน การยืนตำแหน่งจะยืนหน้าผู้รักษาประตู ทั้งสองเป็นหัวใจหลักในแนวรับ ทั้งการคุมพื้นที่และการประกบตัวต่อตัว กองหลังตัวกลางมักจะสูง แข็งแกร่ง และต้องมีความสามารถการกระโดดสูง การโหม่งดี และการแย่งลูกได้ดี กองหลังตัวกลางที่ประสบความสำเร็จต้องมีสมาธิ อ่านเกมได้อย่างยอดเยี่ยม และมีความกล้าหาญและเด็ดขาดในการแย่งลูกจากอีกฝ่ายที่จะผ่านไปทำประตู บางครั้งโดยเฉพาะลีกล่าง ๆ กองหลังตัวกลางยังขาดมีสมาธิในการควบคุมบอลและส่งบอลไม่ดี ทำได้เพียงแค่ปลอดภัยไว้ก่อน ถึงอย่างนั้น สำหรับกองหลังตัวกลางขอเพียงแค่มีทักษะฟุตบอลขั้นพื้นฐานเพื่อรูปแบบการเล่นที่เน้นการครองบอลเท่านั้นก็พอ ตำแหน่งนี้บางครั้งจะถูกเรียกว่าเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เดิมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบบแผน 2–3–5 เป็นที่นิยม แถมสามคนจะถูกเรียกว่าฮาล์ฟแบ็ก เมื่อระบบแผนพัฒนาต่อมา ผู้เล่นตรงกลางทั้งสามนี้ (เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ) ได้ย้ายมาตำแหน่งป้องกันมากขึ้น ปัจจุบันยังมีคนเรียกชื่อเหล่านี้อยู่สวีปเปอร์ สวีปเปอร์. สวีปเปอร์ (sweeper) หรือ ลีเบโร () เป็นตำแหน่งที่แตกมาจากกองหลังตัวกลางอีกที หรือเป็นตำแหน่งที่มีกองหลังตัวกลางสามคน ซึ่งเป็นตำแหน่งระหว่างกองหลังตัวกลางทั้งสอง ชื่อนี้มาจากวลี "sweeps up" ในการขจัดบอลที่อีกฝ่ายเลี้ยงฝ่าแนวรับมาได้ ตำแหน่งพวกเขานั้นมีความเป็นอิสระมากกว่าแผงหลังซึ่งคอยประกบอีกฝ่ายที่ถูกกำหนดขึ้น ตำแหน่งสวีปเปอร์จำเป็นต้องมีทักษะอ่านเกมได้ยิ่งกว่ากองหลังตัวกลาง ในปัจจุบันมีกฎล้ำหน้าซึ่งมักใช้แนวนับในการจับอีกฝ่ายล้ำหน้า ทำให้ตำแหน่งนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมในปัจจุบันฟุลแบ็ก ฟุลแบ็ก. แบ็กซ้าย (left-back) และ แบ็กขวา (right-back) หรือที่ปกติจะเรียก ฟุลแบ็ก (full-back) จะประจำตำแหน่งที่ด้านข้างของกองหลังตัวกลาง เพื่อป้องกันการบุกจากริมเส้น และบ่อยครั้งที่ต้องไปหยุดการบุกของตำแหน่งปีกฝ่ายตรงข้ามที่พยายามผ่าน หรือโยนบอลเข้าเขตโทษ ตามปกติลูกเตะมุมหรือลูกฟรีคิก ฟุลแบ็กจะไม่ขึ้นไปช่วยแนวหน้า แต่อาจอยู่ประมาณเส้นครึ่งสนาม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแผนของแนวรับนั้น ๆ ด้วย ในเกมสมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะให้ฟุลแบ็ก (วิงแบ็ก) มีบทบาทในการบุกด้วย แต่พวกนั้นจะไม่ถูกเรียกว่าแบ็กขวาหรือแบ็กซ้าย เดิมฟุลแบ็กเป็นแนวรับสุดท้ายของทีม แต่เมื่อเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟได้ถอยร่นลงมากลายเป็นตำแหน่ง "กองหลังตัวกลาง" ฟุลแบ็กได้ถูกย้ายมาริมเส้นกลายเป็นแบ็กขวาและแบ็กซ้ายวิงแบ็ก วิงแบ็ก. วิงแบ็ก (wing-back) หรือฟุลแบ็กตัวบุก คือกองหลังที่เน้นในการบุก ชื่อตำแหน่งนี้มาจากปีก (winger) และฟุลแบ็กผสมกัน ปกติตำแหน่งนี้จะใช้ในแผน 3–5–2 จึงถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแดนกลางในจังหวะการบุก หรือบางทีก็ใช้ในแผน 5–3–2 แต่คำว่าวิงแบ็กไม่ค่อยได้ใช้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเล่นแผน 4–3–3 หรือ 4–2–3–1 ผู้เล่นวิงแบ็กจำเป็นต้องใช้พลกำลังอย่างมากในฟุตบอลสมัยใหม่ วิงแบ็กมักจะเล่นบนสนามมากกว่าฟุลแบ็กทั่วไปโดยเฉพาะกับทีมที่ไม่มีผู้เล่นปีก วิงแบ็กต้องการความอึดเป็นพิเศษในการวิ่งขึ้นไปแนวรุกและลงมาตั้งรับกองกลาง กองกลาง. กองกลาง (midfielder) เดิมทีเรียกว่าฮาล์ฟแบ็ก ตำแหน่งนี้จะเล่นอยู่ระหว่างศูนย์หน้าและกองหลัง หน้าที่หลักของตำแหน่งนี้คือครองบอล และรับบอลจากกองหลัง แล้วขึ้นไปส่งให้กองหน้า พร้อมกับไล่บอลจากผู้เล่นอีกฝ่าย ส่วนใหญ่ในทีมต้องมีกองกลางตัวกลาง (central midfielder) อย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อหยุดเกมบุกของอีกฝ่าย นอกจากนั้นก็มีการทำประตู ไม่ก็ขึ้นไปบุกและลงมาตั้งรับตามหน้าที่ที่ได้รับ กองกลางนั้นต้องเล่นเกือบทั่วสนาม เมื่อถึงคราวรับ พวกเขาจะลงมาช่วยตั้งรับ เมื่อจะบุกก็ไปช่วยกองหน้าในการบุก พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เริ่มเล่นในจังหวะการบุกของทีมกองกลางตัวกลาง กองกลางตัวกลาง. กองกลางตัวกลาง (centre midfielder) มีหน้าที่เชื่อมเกมระหว่างกองหลังและกองหน้า กองกลางตัวกลางนั้นมีหน้าที่มากมาย ตั้งแต่ช่วยทีมบุกในจังหวะการบุก และเมื่อเสียบอลให้อีกฝ่าย พวกเขาต้องพยายามแย่งมันมาก่อนจะถึงแนวหลัง เมื่อแนวหลังหรือพวกเขาได้ลูกบอลอีกครั้ง ตำแหน่งนี้จะเป็นคนที่เริ่มบุกก่อน บางครั้งตำแหน่งนี้จะได้รับชื่อว่า "ตัวทำเกม" (playmaker) บางครั้งตำแหน่งนี้ต้องไปอยู่แนวป้องกันเมื่อถูกบุกมาก ๆ หรือจังหวะเตะมุมของอีกฝ่าย กองกลางตัวกลางบางครั้งก็ต้องยุ่งอยู่กับจังหวะเกมอยู่ตลอดเวลาจนเรียกได้ว่าเป็น "ห้องเครื่องของทีม" (the engine room of the team) เมื่อเวลาผ่านไป กองกลางตัวกลางก็ได้รับการพัฒนาเป็นกองกลางตัวบุกและกองกลางตัวรับ ซึ่งทั้งสองตำแหน่งนี้จะอธิบายไว้ด้านล่างของกองกลางตัวกลางนี้ บางทีอาจวางตำแหน่งทั้งสามไว้ด้วยกัน หรืออาจให้กองกลางไปไว้ด้านกว้างหรือริมเส้นด้วยกองกลางตัวรับ กองกลางตัวรับ. กองกลางตัวรับ (defensive midfielder) เป็นกองกลางที่ประจำที่ก่อนกองหลัง มีบทบาทในการป้องกัน เมื่อไม่มีการบุก กองกลางตัวรับจะรีบถอยมาตั้งรับ และแย่งลูกบอลจากทีมฝ่ายตรงข้าม แม้หน้าที่หลักจะเป็นป้องกัน แต่ก็มีกองกลางบางคนที่ทำหน้าที่เป็นตัวทำเกมในแนวลึกหรือตัวทำเกมตัวต่ำ (deep-lying playmaker) ซึ่งสามารถกำหนดจังหวะเกมได้จากตำแหน่งที่อยู่ท้ายด้วยการผ่านบอล กองกลางตัวรับต้องการการยืนตำแหน่งที่ดี การขยันไล่บอล มีความสามารถในการสกัดบอล และต้องคาดการณ์ผู้เล่นและลูกบอลได้ดี นอกจากนี้ยังต้องการทักษะการส่งบอล และการครองบอลภายใต้ความกดดันได้ดี แต่ที่สำคัญที่สุดคือความอึด เพราะตำแหน่งนี้ต้องวิ่งไปทั่วสนามตลอดการค้าแข้ง ในสโมสรชั้นนำ กองกลางอาจวิ่งเกือบ 12 กิโลเมตร ตลอดเกม ส่วนตัวทำเกมตัวต่ำต้องการการสัมผัสบอลแรกในสถานการณ์กดดัน และทักษะส่งไกลไปอีกครึ่งสนามอย่างแม่นยำเพื่อให้เพื่อนบุกกองกลางตัวรุก กองกลางตัวรุก. กองกลางตัวรุก (attacking midfielder) คือกองกลางที่อยู่สูงกว่าปกติ แต่จะไม่เกินศูนย์หน้า เป็นผู้เล่นช่วยทีมในจังหวะบุก หน้าที่ของตำแหน่งนี้คือการสร้างโอกาสทำประตูด้วยวิสัยทัศน์ที่เหนือชั้นและทักษะของพวกเขา คนที่จะเล่นกองกลางตัวรุกต้องมีความชำนาญในการส่งบอล และที่สำคัญกว่านั้นก็คือการอ่านการเคลื่อนไหวของกองหลังเพื่อส่งบอลไปให้ศูนย์หน้าทำประตู บางครั้งตำแหน่งกองกลางตัวรุกถูกเรียกว่า "เตรกวาร์ติสตา" () ซึ่งรู้จักกันดีในการยิงประตูจากระยะไกล และการกล้าที่จะผ่านบอล แต่กองกลางตัวรุกไม่ใช่ว่าเป็นเตรกวาร์ติสตา เพราะเตรกวาร์ติสตาต้องเป็นกองกลางตัวรุกที่สร้างสรรค์การบุกที่หลากหลายในการทำประตู พวกเขามักจะเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นประจำทีม ดังนั้นทีมมักจะให้เขาเป็นตัวฟรี เพื่อค่อยสร้างสรรค์สถานการณ์ในจังหวะบุกกองกลางด้านกว้าง กองกลางด้านกว้าง. กองกลางด้านกว้าง (wide midfielder) หรือ กองกลางตัวริมเส้น (side midfielder) ตำแหน่งในอดีตคือไรต์ฮาล์ฟและเลฟต์ฮาล์ฟ หรืออีกชื่อคือวิงฮาล์ฟ (wing-half) เป็นตำแหน่งที่ประจำการทางซ้ายและขวาของตำแหน่งเซ็นเตอร์กองกลาง พวกเขาบางครั้งก็ถูกเรียกว่า "ปีก" (winger) เนื่องจากแผนสมัยใหม่ได้เอากองหน้าริมเส้นเลื่อนมาเล่นในตำแหน่งกองกลางด้านกว้าง ทำให้ยังมีการใช้คำว่าปีกอยู่กองหน้า กองหน้า. กองหน้า (forward, striker) เป็นตำแหน่งของผู้เล่นฟุตบอลที่เล่นอยู่บริเวณหน้าประตูอีกฝ่าย หน้าที่หลักของกองหน้าก็คือทำประตู หรือสร้างโอกาสให้ผู้เล่นอื่นทำประตู หน้าที่ในจังหวะตั้งรับก็มี นั้นก็คือคอยไล่บอลจากองหลังและผู้รักษาประตูอีกฝ่าย ในแผนสมัยใหม่ กองหน้ามีได้ตั้งแต่ 1 ถึง 3 คน ;ยกตัวอย่างเช่นในแผน 4–2–3–1 จะมีกองหน้าคนเดียว, 4–4–2 จะมีกองหน้าสองคน, 4–3–3 จะมีกองหน้า 3 คน โดยมีกองหน้าตัวเป้าหนึ่งคน และปีก 2 คนกองหน้าตัวเป้า กองหน้าตัวเป้า. กองหน้าตัวเป้า หรือ กองหน้าตัวกลาง (centre forward) หรือ กองหน้าตัวหลัก (main striker) หน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำประตู และเป็นหัวใจหลักในการบุกของทีม เมื่อก่อนกองหน้าต้องตัวสูง และแข็งแกร่งทางร่างกายเพื่อแย่งลูกในจังหวะที่มีคนโยนบอลเข้ามาเพื่อทำประตู ทำให้พวกเขาต้องพยายามทำประตูทั้งการเล่นกับเท้า การโหม่ง อีกทั้งส่งให้เพื่อนทำประตู ในปัจจุบันที่เน้นจังหวะบอลเร็วมากขึ้น การเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วจึงเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อฟุตบอลยุคนี้กองหน้าตัวต่ำ กองหน้าตัวต่ำ. กองหน้าตัวต่ำ (second striker, support striker) ในอดีตตำแหน่งนี้จะถูกเรียกว่ากองหน้าตัวใน (inside forward) ถึงจะมีประวัติมายาวนาน แต่นิยามของตำแหน่งนี้ก็แตกต่างกันไปทุกยุค การเป็นกองหน้าตัวต่ำนั้นไม่จำเป็นต้องมีตัวสูง หรือมีความแข็งแกร่งทางร่างกายเท่ากองหน้าตัวกลาง พวกต้องการทักษะเพื่อช่วยสร้างโอกาสทำประตูให้กองหน้าตัวกลาง การปั่นกองหลังฝ่ายตรงข้าม และถ้ามีโอกาสก็ยิงประตูด้วยตัวเองปีก ปีก. ปีก (winger) ประกอบด้วย ปีกซ้าย (left winger) และ ปีกขวา (right winger) ในอดีตเรียกตำแหน่งนี้ว่ากองหน้าตัวนอก (outside forward) เป็นตำแหน่งของผู้เล่นที่จะบุกจากทางริมเส้นขอบสนาม ในปัจจุบันตำแหน่งนี้ถูกเรียกว่าปีก หน้าที่ของตำแหน่งนี้คือใช้ความเร็วในการบุกผ่าฟุลแบ็กเพื่อป่วนกองหลัง แล้วส่งลูกหรือโยนลูกเข้าไปให้คนบุกอื่นอีกที หรืออาจบุกผ่ากองหลังคนอื่นเข้าไปทำประตูเอง
การไม่ให้อีกทีมได้แต้มโดยการรับ การปัด หรือการชกบอลเป็นหน้าที่หลักของตำแหน่งใดในกีฬาฟุตบอล
{ "answer": [ "ผู้รักษาประตู" ], "answer_begin_position": [ 1721 ], "answer_end_position": [ 1734 ] }
3,520
71,614
ชาติวุฒิ บุณยรักษ์ ชาติวุฒิ บุณยรักษ์ เป็นนักเขียนชาวไทย เกิดวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2518 ที่กรุงเทพฯ จบการศึกษา ปริญญานิเทศศาสตร์บัณฑิต สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ปริญญานิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสื่อสารการตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อปี 2543 มีผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรก “รักลอยลม” ตีพิมพ์ในนิตยสารสุดสัปดาห์ เมื่อปีพ.ศ. 2546 ปลายปีพ.ศ. 2547 ออกหนังสือรวมเรื่องสั้นสองเล่มในชื่อ “ตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง” และ “วันพิพากษา” ในปีพ.ศ. 2548 รวมเรื่องสั้น “ตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง” เข้ารอบ 1 ใน 20 เล่มสุดท้ายของการประกวดรางวัลซีไรท์ประจำปี 2548 ปีพ.ศ. 2549 มีรวมเรื่องสั้นลำดับที่สามในชื่อ “นาฏกรรมเมืองหรรษา” ออกกับสำนักพิมพ์มติชน "ชาติวุฒิ บุณยรักษ์" ได้เสียชีวิตลงเมื่อเวลา 15.00 น.วันที่6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 จากอาการปอดบวมและติดเชื้อในกระแสเลือด หลังจากพักรักษาตัวจากเหตุอัตวินิบาตกรรมด้วยการลั่นกระสุนใส่ศีรษะตนเองเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2553เกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - เรื่องสั้น “มุมใหม่” ได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดรางวัล “mBook Contest สนุกคิด สนุกเขียน” โดยบ.โฟธอท จำกัด ร่วมกับ บ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (2547) - เรื่องสั้น “วูบ” ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งจากการประกวดเรื่องสั้นของนิตยสาร ’m fine ครั้งที่หนึ่ง (2548) - เรื่องสั้น “ทาส” ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นประจำปี 2548 จากเว็บไซต์ประพันธ์สาส์น (2548) - เรื่องสั้น “คือคำสารภาพ” ได้รับรางวัลจากการประกวดเรื่องสั้นโครงการ “เปลือย” ของสุดสัปดาห์สำนักพิมพ์ (2548) - เรื่องสั้น “รักลอยลม” ได้รับรางวัลจากการประกวดเรื่องสั้นโครงการ “เปลือย” ของสุดสัปดาห์สำนักพิมพ์ (2548) - เรื่องสั้น “รอยเดิม” ได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดเรื่องสั้นโครงการชีวจริยธรรมกับสังคม โดยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (2548) - เรื่องสั้น “บัวห้าดอก” เป็น 1 ใน 20 เรื่องสุดท้ายของการประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์แนวสืบสวนสอบสวน รางวัล Nation Book Award ครั้งที่ 2 (2548) - เรื่องสั้น “รอยแยก” เป็น 1 ใน 12 เรื่องสุดท้ายของการประกวดรางวัลวรรณกรรมการเมืองพานแว่นฟ้าประจำปี 2548 - เรื่องสั้น “คนรัก” ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นจากการประกวด “โครงการวรรณกรรม-วรรณศิลป์ ครั้งที่ 1” ของนิตยสารสกุลไทย (2549) - เรื่องสั้น “คำถาม” ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นจากการประกวด “โครงการวรรณกรรม-วรรณศิลป์ ครั้งที่ 1” ของนิตยสารสกุลไทย (2549) - เรื่องสั้น “นาฏกรรมริมฝั่งโขง” เป็นหนึ่งในผลงานจากการประกวดวรรณกรรมลุ่มน้ำโขง โดยเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา - เรื่องสั้น “เจตนารมณ์สุดท้ายของชายวิปลาส” (จากหนังสือรวมเรื่องสั้นตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง) ได้รับการจัดทำเป็นละครเวทีโดยอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทร์เกษม และจัดแสดงต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมหนังสือทำมือและสื่อทางเลือกแห่งประเทศไทยครั้งที่ 3 ณ สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 - เรื่องสั้น “รอยแยก” เป็น 1 ใน 25 เรื่องสั้นยอดเยี่ยมรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 7 ประจำปี พ.ศ. 2549 - เรื่องสั้น “เรื่องกล้วยๆ และหลอดไฟของพ่อ” เป็น 1 ใน 25 เรื่องสั้นยอดเยี่ยมรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 7 ประจำปีพ.ศ. 2549 อ้างอิง:ข้อมูลจาก บ. เจเนซิสมีเดียคอม จำกัด สนพ.แรกที่ตีพิมพ์ผลงานของเขา
ผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรกของชาติวุฒิ บุณยรักษ์ คือเรื่องใด
{ "answer": [ "รักลอยลม" ], "answer_begin_position": [ 400 ], "answer_end_position": [ 408 ] }
3,521
71,614
ชาติวุฒิ บุณยรักษ์ ชาติวุฒิ บุณยรักษ์ เป็นนักเขียนชาวไทย เกิดวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2518 ที่กรุงเทพฯ จบการศึกษา ปริญญานิเทศศาสตร์บัณฑิต สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ปริญญานิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสื่อสารการตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อปี 2543 มีผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรก “รักลอยลม” ตีพิมพ์ในนิตยสารสุดสัปดาห์ เมื่อปีพ.ศ. 2546 ปลายปีพ.ศ. 2547 ออกหนังสือรวมเรื่องสั้นสองเล่มในชื่อ “ตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง” และ “วันพิพากษา” ในปีพ.ศ. 2548 รวมเรื่องสั้น “ตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง” เข้ารอบ 1 ใน 20 เล่มสุดท้ายของการประกวดรางวัลซีไรท์ประจำปี 2548 ปีพ.ศ. 2549 มีรวมเรื่องสั้นลำดับที่สามในชื่อ “นาฏกรรมเมืองหรรษา” ออกกับสำนักพิมพ์มติชน "ชาติวุฒิ บุณยรักษ์" ได้เสียชีวิตลงเมื่อเวลา 15.00 น.วันที่6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 จากอาการปอดบวมและติดเชื้อในกระแสเลือด หลังจากพักรักษาตัวจากเหตุอัตวินิบาตกรรมด้วยการลั่นกระสุนใส่ศีรษะตนเองเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2553เกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - เรื่องสั้น “มุมใหม่” ได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดรางวัล “mBook Contest สนุกคิด สนุกเขียน” โดยบ.โฟธอท จำกัด ร่วมกับ บ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (2547) - เรื่องสั้น “วูบ” ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งจากการประกวดเรื่องสั้นของนิตยสาร ’m fine ครั้งที่หนึ่ง (2548) - เรื่องสั้น “ทาส” ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นประจำปี 2548 จากเว็บไซต์ประพันธ์สาส์น (2548) - เรื่องสั้น “คือคำสารภาพ” ได้รับรางวัลจากการประกวดเรื่องสั้นโครงการ “เปลือย” ของสุดสัปดาห์สำนักพิมพ์ (2548) - เรื่องสั้น “รักลอยลม” ได้รับรางวัลจากการประกวดเรื่องสั้นโครงการ “เปลือย” ของสุดสัปดาห์สำนักพิมพ์ (2548) - เรื่องสั้น “รอยเดิม” ได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดเรื่องสั้นโครงการชีวจริยธรรมกับสังคม โดยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (2548) - เรื่องสั้น “บัวห้าดอก” เป็น 1 ใน 20 เรื่องสุดท้ายของการประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์แนวสืบสวนสอบสวน รางวัล Nation Book Award ครั้งที่ 2 (2548) - เรื่องสั้น “รอยแยก” เป็น 1 ใน 12 เรื่องสุดท้ายของการประกวดรางวัลวรรณกรรมการเมืองพานแว่นฟ้าประจำปี 2548 - เรื่องสั้น “คนรัก” ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นจากการประกวด “โครงการวรรณกรรม-วรรณศิลป์ ครั้งที่ 1” ของนิตยสารสกุลไทย (2549) - เรื่องสั้น “คำถาม” ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นจากการประกวด “โครงการวรรณกรรม-วรรณศิลป์ ครั้งที่ 1” ของนิตยสารสกุลไทย (2549) - เรื่องสั้น “นาฏกรรมริมฝั่งโขง” เป็นหนึ่งในผลงานจากการประกวดวรรณกรรมลุ่มน้ำโขง โดยเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา - เรื่องสั้น “เจตนารมณ์สุดท้ายของชายวิปลาส” (จากหนังสือรวมเรื่องสั้นตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง) ได้รับการจัดทำเป็นละครเวทีโดยอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทร์เกษม และจัดแสดงต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมหนังสือทำมือและสื่อทางเลือกแห่งประเทศไทยครั้งที่ 3 ณ สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 - เรื่องสั้น “รอยแยก” เป็น 1 ใน 25 เรื่องสั้นยอดเยี่ยมรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 7 ประจำปี พ.ศ. 2549 - เรื่องสั้น “เรื่องกล้วยๆ และหลอดไฟของพ่อ” เป็น 1 ใน 25 เรื่องสั้นยอดเยี่ยมรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 7 ประจำปีพ.ศ. 2549 อ้างอิง:ข้อมูลจาก บ. เจเนซิสมีเดียคอม จำกัด สนพ.แรกที่ตีพิมพ์ผลงานของเขา
เรื่องสั้นของชาติวุฒิ บุณยรักษ์ เรื่องใดที่ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นประจำปี 2548 จากเว็บไซต์ประพันธ์สาส์น
{ "answer": [ "ทาส" ], "answer_begin_position": [ 1285 ], "answer_end_position": [ 1288 ] }
3,522
592,903
อนัตตลักขณสูตร อนัตตลักขณสูตร () คือพระสูตรที่แสดงลักษณะ คือ เครื่องกำหนดหมายว่าเป็นอนัตตา เป็นพระสูตรที่มีความสำคัญที่สุดพระสูตรหนึ่ง เนื่องจากหลังจากที่พระโคตมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตรนี้แล้ว ได้บังเกิดพระอรหันต์ในพระบวรพุทธศาสนา 5 องค์ รวมพระพุทธองค์เป็น 6 องค์ ซึ่งพระสูตรนี้ มีใจความเกี่ยวกับ ความไม่ใช่ตัวตนของ รูป คือ ร่างกาย เวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์หรือเฉย ๆ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ สังขาร คือ ความคิดหรือเจตนา วิญญาณ คือ ความรู้อารมณ์ทางตา หู เป็นต้น หรือเรียกอีกประการหนึ่งว่า อายตนะทั้ง 6 อันได้แก่สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจประวัติ ประวัติ. อนัตตลักขณสูตร เป็นพระสูตรที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี หรือในเขตเมืองสารนาถ ประเทศอินเดียในปัจจุบันเมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา พระสูตรนี้ โดยทรงแสดงต่อปัญจวัคคีย์ ในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 หลังจากที่ พระพุทธองค์ได้แสดงปฐมเทศนาคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 จนพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุโสดาบัน และในวันต่อ ๆ มา คือในวันแรม 1 ค่ำ 2 ค่ำ 3 ค่ำ และ 4 ค่ำเดือน 8 ทรงแสดง “ปกิณณกเทศนา” ยังผลให้พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ บรรลุโสดาบันตามลำดับ และได้รับเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในระหว่างที่ทรงแสดงปกิณณกเทศนา เพื่ออบรมพระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิอยู่นั้น พระอริยเจ้าทั้งหลายมิได้บิณฑบาตยังชีพ ต่างเร่งกระทำความเพียร เช่นเดียวกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มิได้ทรงบิณฑบาตรเช่นกัน เพื่อทรงสั่งสอนอบรมพระอริยเจ้าจนกระทั่งแต่ละองค์สำเร็จมรรคผลขั้นต้นในที่สุด ครั้นเมื่อถึงวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 หลังจากสดับพระธรรมเทศนาอนัตตลักขณสูตรพระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้บรรลุพระนิพพานเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้ง 5 รูป นับเป็นพระอรหันต์กลุ่มแรกในพระบวรพุทธศาสนา ดังปรากฏในเนื้อความของพระสูตรดังที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ หรือ พระอาจารย์ผู้ทำสังคายนาร้อยกรองตั้งเป็นพระบาลีไว้ ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายพระสูตรไว้ ดังนี้ " อิทมโวจ ภควา. อตฺตมนา ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุ. อิมสฺมึ จ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภญฺญมาเน ปญฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสุ. เตน โข ปน สมเยน ฉ โลเก อรหนฺโต โหนฺติ." ความว่า "พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค. ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของพระปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก 6 องค์"เนื้อหา เนื้อหา. พระสูตรนี้มีใจความโดยย่อดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ได้ทรงมีพระนิพนธ์ไว้ดังต่อไปนี้ ตอนที่ 1 พระบรมศาสดาได้ทรงแสดง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน ถ้าทั้งห้านี้ พึงเป็นอัตตาตัวตน ทั้งห้านี้ก็ถึงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลก็จะพึงได้ในส่วนทั้งห้านี้ว่า ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่เพราะเหตุว่าทั้งห้านี้มิใช่อัตตาตัวตน ฉะนั้น ทั้งห้านี้จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลก็ย่อมไม่ได้ส่วนทั้งห้านี้ว่า ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ตอนที่ 2 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอบความรู้ความเห็นของท่านทั้งห้านั้น ตรัสถามว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านทั้งห้า ทูลตอบว่า ไม่เที่ยง ตรัสถามอีกว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ท่านทั้งห้ากราบทูลว่าเป็นทุกข์ ก็ตรัสถามต่อไปว่า สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือจะเห็นสิ่งนั้น ตอนที่ 3 พระพุทธเจ้าได้ตรัสรุปลงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้ที่เป็นส่วนอดีตก็ดี เป็นส่วนอนาคตก็ดี เป็นส่วนปัจจุบันก็ดี เป็นส่วนภายในก็ดี เป็นส่วนภายนอกก็ดี เป็นส่วนหยาบก็ดี เป็นส่วนละเอียดก็ดี เป็นส่วนเลวก็ดี เป็นส่วนประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมดก็สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ควรเป็นด้วยปัญญาชอบตามที่เป็นแล้วว่า นี่ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นี่ นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา ตอนที่ 4 พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงผลทีเกิดแก่ผู้ฟังและเกิดความรู้เห็นชอบดั่งกล่าวมานั้นต่อไปว่า อริยสาวก คือ ผู้ฟังผู้ประเสริฐซึ่งได้สดับแล้วอย่างนี้ ย่อมเกิดนิพพิทา คือ ความหน่ายในรูป หน่ายในเวทนา หน่ายในสัญญา หน่ายในสังขาร หน่ายในวิญญาณ เมื่อหน่ายก็ย่อมสิ้นราคะ คือ สิ้นความติด ความยินดี ความกำหนัด เมื้อสิ้นราคะ ก็ย่อมวิมุตติ คือ หลุดพ้น เมื่อวิมุตติ ก็ย่อมมีญาณ คือความรู้ว่าวิมุตติ หลุดพ้นแล้ว และย่อมรู้ว่า ชาติ คือ ความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะพึงทำเพื่อความเป็นเช่นนี้อีกต่อไปความสำคัญ ความสำคัญ. จุดมุ่งหมายของพระสูตรนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง ให้เล็งเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือขันธ์ 5 นั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรไปเป็นธรรมดา ไม่ควรที่จะเห็นโดยสำคัญด้วยตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ก่อนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้าจะทรงตรัสรู้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น ชาวโลกมีทิฏฐิสุดโต่งอยู่ 2 ประการ กล่าวคือ ฝ่ายสัสสตทิฏฐิ ที่เห็นว่าในปัจจุบันชาตินี้ก็มีอัตตา คือ ตัวตน เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วอัตตาคือตัวตนก็ยังไม่สิ้น ยังจะมีสืบภพชาติต่อไป มีชาติหน้าเรื่อยไปไม่มีขาดสูญ และฝ่ายอุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่า มีอัตตาตัวตนอยู่แต่ในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้น เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วอัตตาตัวตนก็สิ้นไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ที่จะให้ไปเกิด ดั่งที่เห็นว่า ตายสูญ แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า ความเห็นทั้ง 2 ฝ่ายล้วนเป็น มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด และทรงชี้ทางที่เห็นถูกไว้ว่า ตราบใดที่ยังไม่สิ้นความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 แล้ว อาทิ ยังยึดมันว่า รูปเป็นตัวตน หรืออัตตา เวทนาเป็นอัตตา สัญญาเป็นอัตตา สังขารเป็นอัตตา และวิญญาณเป็นอัตตา ก็ยังจะมีการเกิดดับไม่รู้จักจบสิ้นในสังสารวัฏ การยึดมั่นในขันธ์ 5 นี้ เรียกว่า "ปัญจุปาทานขันธ์" สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ทรงแสดงทัศนะไว้ว่า "ในสมัยพุทธกาลหรือสมัยไหน ๆ ก็คงเป็นเช่นนี้ ในปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ และพระปัญจวัคคีย์นั้นก็ย่อมมีความยึดถืออยู่เช่นนี้อย่างมั่นคง เพราะฉะนั้น เมื่อฟังธรรมจักร ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะจึงได้ดวงตาเห็นธรรมเพียงรูปเดียว เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมอบรมอีก จึงได้ดวงตาเห็นธรรมจนครบทั้ง 5 รูป แต่ก็ได้เพียงดวงตาเห็นธรรม เท่ากับว่าเห็นทุกขสัจ ความจริงคือทุกข์ขึ้นเท่านั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงพระสูตรที่ 2 ชี้ลักษณะของอาการทั้ง 5 เหล่านี้ว่าเป็น อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนโดยชัดเจน"ความเชื่อ ความเชื่อ. อนัตตลักขณสูตร เป็นพระสูตรที่ยังให้เกิดพระอรหันต์ในคราวเดียวกันถึง 5 องค์ อีกทั้งยังเป็นพระอรหันต์กลุ่มแรก นับเป็นการลงหลักปักฐานพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งสำคัญ เชื่อถือกันว่า พระสูตรนี้เป็นหนึ่งในพระสูตรสำคัญรวบรวมเอาหัวใจของพระบวรพุทธศาสนาไว้ อย่างครอบคลุม กว้างขวาง จึงขนานนามกันว่าเป็น "ราชาธรรม" เช่นเดียวกับ ธัมมจักกัปปวัตนสูตรและอาทิตตปริยายสูตร ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ และยังให้บังเกิดการประกาศพระศาสนาครั้งใหญ่ไปทั่วสากลจักรวาล และบังเกิดพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก โดยหลวงปู่จันทา ถาวโร แห่งวัดป่าเขาน้อย จังหวัดพิจิตร พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่กล่าวว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร ทั้ง 3 สูตรนี้เรียกว่า ราชาธรรม เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์มารวมอยู่ที่นี่ทั้งหมดลำดับในพระไตรปิฏก ลำดับในพระไตรปิฏก. อนัตตลักขณสูตร จัดอยู่ในหมวดมหาวรรค แห่งพระวินัยปิฎก และเนื้อความในลักษณะเดียวกันยังปรากฏในปัญจวัคคิยสูตร แห่งสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ในพระสุตตันตปิฎก ส่วนในพระไตรปิฎกภาษาจีน จัดอยู่ในหมวดอาคม คือสัมยุกตะ อาคม พระสูตรที่ 34 มีรหัสว่า SA 34
อนัตตลักขณสูตรคือพระสูตรที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงที่ใด
{ "answer": [ "ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน" ], "answer_begin_position": [ 721 ], "answer_end_position": [ 740 ] }
3,523
290,713
เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก () เป็นภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2009 ดัดแปลงมาจากตัวละครในบทประพันธ์ชื่อเรื่องเดียวกันของเซอร์อาร์เทอร์ โคนัน ดอยล์ ภาพยนตร์กำกับโดยกาย ริตชี และมีโปรดิวเซอร์คือโจเอล ซิลเวอร์, ไลโอเนล ไวแกรม, ซูซาน ดาวนีย์ และแดน ลิน เขียนบทภาพยนตร์โดยไมเคิล โรเบิร์ต จอห์นสัน, แอนโทนี เพกแฮม และไซมอน คินเบิร์ก โดยยึดจากเนื้อเรื่องตัวละครของไลโอเนล ไวแกรม และโคนัน ดอยล์ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ รับบทเป็นเชอร์ล็อก โฮมส์ และจู๊ด ลอว์ รับบทเป็นนายแพทย์จอห์น วอตสัน ภาพยนตร์ออกฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 2009 และในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ในสหราชอาณาจักรและแถบแปซิฟิก และเข้าฉายในประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ในปีเดียวกันเรื่องย่อ เรื่องย่อ. ในปี 1891 ณ กรุงลอนดอน เชอร์ล็อก โฮมส์ (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) ผู้มีชื่อเสียงในการเสาะหาความจริงในเบื้องลึกแห่งปริศนาสุดซับซ้อน ด้วยความช่วยเหลือจาก นายแพทย์จอห์น วอตสัน (จู๊ด ลอว์) ชื่อดังซึ่งหาผู้มีฝีมือทัดเทียมได้ยากในการไขคดีอาชญากรรมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยพลังแห่งการสังเกตอันเป็นเอกลักษณ์ ทักษะการอนุมานอันโดดเด่น หรือพลังหมัดอันรุนแรงของเขา แต่พายุร้ายกำลังก่อตัวเหนือลอนดอน การข่มขู่ซึ่งไม่เหมือนกับอะไรทั้งหมดที่โฮมส์เคยเผชิญหน้ามาก่อน และเป็นความท้าทายที่เขากำลังมองหาอยู่พอดี หลังจากคดีฆาตกรรมโหดร้ายในพิธีกรรมอย่างต่อเนื่อง โฮมส์และวอตสันไปถึงทันเวลาช่วยชีวิตเหยื่อรายล่าสุด และเผยโฉมหน้าฆาตกร ลอร์ดแบล็กวุด (มาร์ก สตรอง) ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับทั้งบรรดาเพื่อนร่วมคุกและเหล่าผู้คุม กับการที่เขาดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับพลังด้านมืด ได้เตือนโฮมส์ว่าความตายไม่มีอำนาจเหนือเขา และที่จริงแล้วการประหารนั้นจะเป็นไปตามแผนการของแบล็กวุด และเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น แบล็กวุดก็ทำตามสัญญา การฟื้นคืนชีพของเขาสร้างความตื่นตระหนกให้กับลอนดอนและความทึ่งให้กับสกอตแลนด์ยาร์ด แต่สำหรับโฮมส์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเกม พวกเขากำลังแข่งกับแผนการมฤตยูของแบล็กวุด โฮมส์ต้องกระโจนสู่โลกแห่งศาสตร์มืดและตกตะลึงกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ซึ่งตรรกะอาจเป็นอาวุธที่ดีสุดในการต่อสู้กับอาชญากรรมในบางครั้ง แต่หมัดฮุกขวาแม่น ๆ ก็มักจะช่วยไว้ได้เสมอนักแสดงภาคต่อ ภาคต่อ. เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก มีภาคต่อเป็นภาค 2 ในชื่อว่า เชอร์ล็อค โฮล์มส์ เกมพญายมเงามรณะ (Sherlock Holmes: A Game of Shadows) จะเล่าถึงนักสืบเชอร์ล็อก โฮมส์ และเพื่อนสนิทอย่างนายแพทย์จอห์น วอตสัน กับการเผชิญหน้ากับตัวร้ายอย่างศาสตราจารย์เจมส์ มอริอาร์ตี (แสดงโดยแจเร็ด แฮร์ริส) ในภาคสองนี้ด้วย ซึ่งเข้าฉายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 และเข้าฉายในประเทศไทย ในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ภาพยนตร์เรื่องเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. ใด
{ "answer": [ "2009" ], "answer_begin_position": [ 672 ], "answer_end_position": [ 676 ] }
3,524
290,713
เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก () เป็นภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2009 ดัดแปลงมาจากตัวละครในบทประพันธ์ชื่อเรื่องเดียวกันของเซอร์อาร์เทอร์ โคนัน ดอยล์ ภาพยนตร์กำกับโดยกาย ริตชี และมีโปรดิวเซอร์คือโจเอล ซิลเวอร์, ไลโอเนล ไวแกรม, ซูซาน ดาวนีย์ และแดน ลิน เขียนบทภาพยนตร์โดยไมเคิล โรเบิร์ต จอห์นสัน, แอนโทนี เพกแฮม และไซมอน คินเบิร์ก โดยยึดจากเนื้อเรื่องตัวละครของไลโอเนล ไวแกรม และโคนัน ดอยล์ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ รับบทเป็นเชอร์ล็อก โฮมส์ และจู๊ด ลอว์ รับบทเป็นนายแพทย์จอห์น วอตสัน ภาพยนตร์ออกฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 2009 และในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ในสหราชอาณาจักรและแถบแปซิฟิก และเข้าฉายในประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ในปีเดียวกันเรื่องย่อ เรื่องย่อ. ในปี 1891 ณ กรุงลอนดอน เชอร์ล็อก โฮมส์ (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) ผู้มีชื่อเสียงในการเสาะหาความจริงในเบื้องลึกแห่งปริศนาสุดซับซ้อน ด้วยความช่วยเหลือจาก นายแพทย์จอห์น วอตสัน (จู๊ด ลอว์) ชื่อดังซึ่งหาผู้มีฝีมือทัดเทียมได้ยากในการไขคดีอาชญากรรมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยพลังแห่งการสังเกตอันเป็นเอกลักษณ์ ทักษะการอนุมานอันโดดเด่น หรือพลังหมัดอันรุนแรงของเขา แต่พายุร้ายกำลังก่อตัวเหนือลอนดอน การข่มขู่ซึ่งไม่เหมือนกับอะไรทั้งหมดที่โฮมส์เคยเผชิญหน้ามาก่อน และเป็นความท้าทายที่เขากำลังมองหาอยู่พอดี หลังจากคดีฆาตกรรมโหดร้ายในพิธีกรรมอย่างต่อเนื่อง โฮมส์และวอตสันไปถึงทันเวลาช่วยชีวิตเหยื่อรายล่าสุด และเผยโฉมหน้าฆาตกร ลอร์ดแบล็กวุด (มาร์ก สตรอง) ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับทั้งบรรดาเพื่อนร่วมคุกและเหล่าผู้คุม กับการที่เขาดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับพลังด้านมืด ได้เตือนโฮมส์ว่าความตายไม่มีอำนาจเหนือเขา และที่จริงแล้วการประหารนั้นจะเป็นไปตามแผนการของแบล็กวุด และเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น แบล็กวุดก็ทำตามสัญญา การฟื้นคืนชีพของเขาสร้างความตื่นตระหนกให้กับลอนดอนและความทึ่งให้กับสกอตแลนด์ยาร์ด แต่สำหรับโฮมส์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเกม พวกเขากำลังแข่งกับแผนการมฤตยูของแบล็กวุด โฮมส์ต้องกระโจนสู่โลกแห่งศาสตร์มืดและตกตะลึงกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ซึ่งตรรกะอาจเป็นอาวุธที่ดีสุดในการต่อสู้กับอาชญากรรมในบางครั้ง แต่หมัดฮุกขวาแม่น ๆ ก็มักจะช่วยไว้ได้เสมอนักแสดงภาคต่อ ภาคต่อ. เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก มีภาคต่อเป็นภาค 2 ในชื่อว่า เชอร์ล็อค โฮล์มส์ เกมพญายมเงามรณะ (Sherlock Holmes: A Game of Shadows) จะเล่าถึงนักสืบเชอร์ล็อก โฮมส์ และเพื่อนสนิทอย่างนายแพทย์จอห์น วอตสัน กับการเผชิญหน้ากับตัวร้ายอย่างศาสตราจารย์เจมส์ มอริอาร์ตี (แสดงโดยแจเร็ด แฮร์ริส) ในภาคสองนี้ด้วย ซึ่งเข้าฉายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 และเข้าฉายในประเทศไทย ในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ใครคือนักแสดงที่รับบทเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ในภาพยนตร์เรื่องเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ดับแผนพิฆาตโลก
{ "answer": [ "โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์" ], "answer_begin_position": [ 857 ], "answer_end_position": [ 882 ] }
3,525
433,122
ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด () เป็นธนาคารที่มีชื่อเสียง ก่อตั้งขึ้นและมีฐานอยู่ในฮ่องกง นับแต่ ค.ศ. 1865 เมื่อครั้งยังเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ นับเป็นหนึ่งในกลุ่มธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในโลกสมัยใหม่ บริษัทฯ เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มเอชเอสบีสีและนับแต่ ค.ศ. 1990 จนถึงปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทสาขาเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ พีแอลซี ทั้งหมด ธุรกิจของบริษัทฯ มีตั้งแต่บทบาทในการบริหารเงินส่วนบุคคลและการธนาคารพาณิชย์ ไปจนถึงบรรษัทธนกิจ (corporate banking) และวาณิชธนกิจ การธนาคารเอกชนและการธนาคารโลก บริษัทฯ เป็นธนาคารใหญ่ที่สุดในฮ่องกงโดยมีสาขาและสำนักงานทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งประเทศอื่นทั่วโลกประวัติ HSBC ประเทศไทย ประวัติ HSBC ประเทศไทย. HSBC ได้เปิดสำนักงานในประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ. 1888 เป็นธนาคารพาณิชย์ของเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย โดยปี ค.ศ. 1889 HSBC ได้ออกบัตรธนาคาร (เทียบเท่าธนบัตร) ซึ่งใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยให้เงินกู้แก่รัฐบาลไทยเพื่อสร้างทางรถไฟสายต่างๆ มกราคม ค.ศ. 2012 HSBC ได้ประกาศขายกิจการธนาคารในส่วนของลูกค้ารายย่อย รวมถึงโอนพนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนงานนี้ทั้งหมดให้แก่กลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยมีผลหลังวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2012 เป็นต้นไป แต่ HSBC ประเทศไทยคงกิจการธนาคารสำหรับลูกค้าองค์กรหรือลูกค้าธุรกิจเท่านั้นที่ตั้งสำนักงาน ที่ตั้งสำนักงาน. สำนักงานแห่งแรกของ HSBC ประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตรอกกัปตันบุช ถนนสี่พระยา กรุงเทพมหานคร(ปัจจุบันพื้นที่อาคารเดิมได้ถูกรือทิ้งทั้งหมดและต่อมาก่อสร้างเป็น โรงแรมรอยัลออคิดเชอราตัน) โดย HSBC ประเทศไทยได้ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่ อาคารอื้อจือเหลียง ถนนพระราม 4 ตรงข้ามกับสวนลุมพินี ปี ค.ศ. 2011 HSBC ประเทศไทยจึงมีการเปิดสำนักงานสาขาทองหล่อ (สุขุมวิท 55) ตามแผนระยะที่สองของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ธนาคารต่างชาติมีสาขาได้สองแห่ง
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ใด
{ "answer": [ "1865" ], "answer_begin_position": [ 266 ], "answer_end_position": [ 270 ] }
3,526
433,122
ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด () เป็นธนาคารที่มีชื่อเสียง ก่อตั้งขึ้นและมีฐานอยู่ในฮ่องกง นับแต่ ค.ศ. 1865 เมื่อครั้งยังเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ นับเป็นหนึ่งในกลุ่มธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในโลกสมัยใหม่ บริษัทฯ เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มเอชเอสบีสีและนับแต่ ค.ศ. 1990 จนถึงปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทสาขาเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ พีแอลซี ทั้งหมด ธุรกิจของบริษัทฯ มีตั้งแต่บทบาทในการบริหารเงินส่วนบุคคลและการธนาคารพาณิชย์ ไปจนถึงบรรษัทธนกิจ (corporate banking) และวาณิชธนกิจ การธนาคารเอกชนและการธนาคารโลก บริษัทฯ เป็นธนาคารใหญ่ที่สุดในฮ่องกงโดยมีสาขาและสำนักงานทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งประเทศอื่นทั่วโลกประวัติ HSBC ประเทศไทย ประวัติ HSBC ประเทศไทย. HSBC ได้เปิดสำนักงานในประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ. 1888 เป็นธนาคารพาณิชย์ของเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย โดยปี ค.ศ. 1889 HSBC ได้ออกบัตรธนาคาร (เทียบเท่าธนบัตร) ซึ่งใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยให้เงินกู้แก่รัฐบาลไทยเพื่อสร้างทางรถไฟสายต่างๆ มกราคม ค.ศ. 2012 HSBC ได้ประกาศขายกิจการธนาคารในส่วนของลูกค้ารายย่อย รวมถึงโอนพนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนงานนี้ทั้งหมดให้แก่กลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยมีผลหลังวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2012 เป็นต้นไป แต่ HSBC ประเทศไทยคงกิจการธนาคารสำหรับลูกค้าองค์กรหรือลูกค้าธุรกิจเท่านั้นที่ตั้งสำนักงาน ที่ตั้งสำนักงาน. สำนักงานแห่งแรกของ HSBC ประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตรอกกัปตันบุช ถนนสี่พระยา กรุงเทพมหานคร(ปัจจุบันพื้นที่อาคารเดิมได้ถูกรือทิ้งทั้งหมดและต่อมาก่อสร้างเป็น โรงแรมรอยัลออคิดเชอราตัน) โดย HSBC ประเทศไทยได้ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่ อาคารอื้อจือเหลียง ถนนพระราม 4 ตรงข้ามกับสวนลุมพินี ปี ค.ศ. 2011 HSBC ประเทศไทยจึงมีการเปิดสำนักงานสาขาทองหล่อ (สุขุมวิท 55) ตามแผนระยะที่สองของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ธนาคารต่างชาติมีสาขาได้สองแห่ง
ตัวย่อของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่นคืออะไร
{ "answer": [ "HSBC" ], "answer_begin_position": [ 799 ], "answer_end_position": [ 803 ] }
3,527
543,396
นายหนหวย นายหนหวย เป็นนามปากกาของ ศิลปชัย ชาญเฉลิม นักเขียนสารคดีแนวการเมืองและประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง นายหนหวย เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2465 ที่บ้านถนนพรหมเทพ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช หลักสูตรฝ่ายอำนวยการ รุ่นที่ 3 และหลักสูตรผลิตรายการวิทยุ โรงเรียนสงครามจิตวิทยา กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด รุ่นที่ 10 ประกาศนียบัตร ภาษาฝรั่งเศส สมาคมฝรั่งเศสในประเทศไทย และอลิย์องฟรังษ์ ปารีส และมหาวิทยาลัยเมืองเบอซองซง ประเทศฝรั่งเศส รับราชการครั้งแรกเป็นครูประชาบาล ในกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส (พ.ศ. 2483) เป็นตำรวจสนาม ต่อมาได้ถูกเกณฑ์เป็นทหารเข้าร่วมรบในสงครามมหาเอเชียบูรพา ที่เชียงตุง ต่อมาเมื่อสงครามยุติ ได้ปลดกระจำการ จึงหันมาเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์, บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ และนักเขียนอิสระในนามปากกา "นายหนหวย" (มีความหมายว่า "ความกลัดกลุ้ม" เป็นภาษาอีสาน ซึ่งหมายถึง "ความกลัดกลุ้มของคนไทยทั้งชาติและเจ้าตัว จากกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8") โดยทำงานกับหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น ชาติไทยรายวัน, เผ่าไทยรายวัน, แผ่นดินไทยรายสัปดาห์ จากนั้นได้เข้าทำงานในธนาคารออมสิน ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกค้นคว้าและโฆษณาการเป็นคนแรก และรับราชการในสำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี โดยมีหน้าที่ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข่าวสารเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ เช่น ออกอากาศกระจายเสียงทางวิทยุ เป็นเวลานานถึง 32 ปี และได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงได้รับการอบรมหลายหลักสูตร จากหลายสถาบัน ผลงานทางด้านการเป็นนักเขียน นายหนหวย เป็นผู้ที่มีความชำนาญเป็นอย่างดีในภาษาไทย รวมถึงต่างประเทศภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส มีผลงานเขียนต่าง ๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ, หมอปลัดเลกับกรุงสยาม, ทหารเรือปฏิวัติ, สามก๊กฉบับนายหนหวย, กบฏนายสิบ ปี ๒๔๗๘ เป็นต้น และสารคดีสั้นอีกหลายร้อยเรื่องในหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2490-พ.ศ. 2501 ได้รับรางวัลกิตติคุณสัมพันธ์สังข์เงิน สาขาปลุกใจให้รักชาติ จากสมาคมนักการประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2525 และได้รับปริญญาครุศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ วิชาเอกประวัติศาสตร์ จากวิทยาลัยครูอุบลราชธานี พ.ศ. 2535
ศิลปชัย ชาญเฉลิม มีนามปากกาว่าอะไร
{ "answer": [ "นายหนหวย" ], "answer_begin_position": [ 92 ], "answer_end_position": [ 100 ] }
3,528
489,857
นกทึดทือมลายู นกทึดทือมลายู หรือ นกเค้าแมวมลายู หรือ นกฮูกมลายู หรือ นกพิทิดพิที ในภาษาใต้ (; หรือ Bubo ketupa) นกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง จำพวกนกเค้าแมว เป็นนกเค้าแมวขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 49-50 เซนติเมตร ปีกสั้นกว่า 40 เซนติเมตร ดวงตาสีเหลืองจนถึงเหลืองแกมทอง มีขนเหนือคิ้วเป็นแผงยาวออกไปด้านข้างทั้งสองด้าน ส่วนขนบริเวณเหนือโคนปากเป็นสีขาว ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลมีลายสีจางกระจาย ด้านล่างสีเนื้อแกมน้ำตาลเหลือง มีลายขีดสีดำ เมื่อหุบปีกจะเห็นลายแถบสีน้ำตาลจางสลับสีเข้มบริเวณปลายปีก ขาสีเขียว มีเล็บโค้งแหลม และมีปากงุ้มแหลม มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงฤดูหนาวต่อฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน ทำรังอยู่ในโพรงไม้ หรือใช้รังเก่าของนกอื่น ๆ เป็นรัง ออกไข่ครั้งละ 1-3 ฟอง ลักษณะไข่มีเปลือกสีขาวและทรงกลม ตัวผู้จะเป็นฝ่ายส่งเสียงร้องเรียกตัวเมีย มักอาศัยอยู่ตามป่าดิบแล้ง, ป่าดิบชื้น ตั้งแต่ระดับพื้นราบจนกระทั่งความสูง 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ใกล้แหล่งน้ำหรือลำธารในป่า และบริเวณใกล้ชายฝั่ง ส่วนใหญ่หากินในเวลากลางคืน จับสัตว์ขนาดเล็กกินเป็นอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลา, กบ, ปู, ค้างคาว, นกชนิดอื่น และสัตว์เลื้อยคลานเกือบทุกชนิด เมื่อเวลาบินล่าเหยื่อจะบินได้เงียบกริบมาก พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ตอนล่างของไทยเช่น จังหวัดนราธิวาส พบไปตลอดแหลมมลายูจนถึงประเทศอินโดนีเซีย, เกาะชวา และหมู่เกาะซุนดา ซึ่งนกทึดทือมลายู เป็นนกที่ถูกอ้างอิงถึงในนวนิยายสำหรับเด็กเรื่อง แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ด้วยเป็นนกของแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ตัวละครเอก เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2546
นกทึดทือมลายูจะออกหากินตอนไหน
{ "answer": [ "กลางคืน" ], "answer_begin_position": [ 986 ], "answer_end_position": [ 993 ] }
3,529
738,611
จรูญ ธรรมศิลป์ จรูญ ธรรมศิลป์ (ชื่อเล่น เป๊ะ) เกิดวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2499 เป็นผู้กำกับ ค่ายผลิตละคร ดาราวิดีโอ ช่อง 7 สี และมีผลงานเรื่องแรกคือเรื่อง เจ้าหญิงแตงอ่อน และได้สร้างผลงานละครหลังข่าวไว้อีกมากมาย เช่น รากนครา ฟ้าใหม่ หลงเงาจันทร์ ขิงก็ราข่าก็แรง อาเก๋ง เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ผลงานละครโทรทัศน์ ผลงาน. ละครโทรทัศน์. สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7- ปราสาทมืด (2531) - ห้องหุ่น (2532) - หงส์ทอง (2533) - มณีร้าว (2533) - ตะวันชิงพลบ (2534) - เมืองโพล้เพล้ (2535) - ภาพอาถรรพณ์ (2535) - แก้วสารพัดนึก (2535) - ภูตแม่น้ำโขง (2535) - นางทาส (2536) - ศีรษะมาร (2536) - ทวิภพ (2537) - วิมานมะพร้าว (2537) - กระสือ (2537) - โอ้...มาดา (2538) - ภูตพิศวาส (2538) - สายโลหิต (2538) **กำกับร่วม - แม่นาคพระนคร (2539) - ญาติกา (2539) - รัตนโกสินทร์ (2539) - ปอบผีฟ้า (2540) - การะเกด (2540) - กิ่งไผ่ (2541) - พลังรัก (2541) - บ่วงหงส์ (2541) - แม่นาค (2542) - หนุ่มทิพย์ (2542) - ม่านบังใจ (2543) - รากนครา (2543) - เงาใจ (2544) - ปิ่นไพร (2544) - บอดี้การ์ดสาว (2545) - สาวน้อย (2545) - รุ่งทิพย์ (2545) - นะหน้าทอง (2546) - มหาเฮง (2546) - สาวน้อยในตะเกียงแก้ว ภาค 2 (2547) - ฟ้าใหม่ (2547) - นางสาวส้มหล่น (2548) - บ้านร้อยดอกไม้ (2548) - เหมราช (2548) - หลงเงาจันทร์ (2549) - ขิงก็รา ข่าก็แรง (2549) - ยายหนูลูกพ่อ (2549) - ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ (2550) - สายใยสวาท (2551) - เธอคือชีวิต (2551) - คู่ป่วนอลวน (2551) - มือนาง (2552) - ตะวันยอแสง (2553) - สวรรค์สร้าง (2553) - บันไดดอกรัก (2554) - อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว (2555) - อาญารัก (2556) - คือหัตถาครองพิภพ (2556)
ผลงานกำกับเรื่องแรกของจรูญ ธรรมศิลป์ คือเรื่องใด
{ "answer": [ "เจ้าหญิงแตงอ่อน" ], "answer_begin_position": [ 241 ], "answer_end_position": [ 256 ] }
3,530
738,611
จรูญ ธรรมศิลป์ จรูญ ธรรมศิลป์ (ชื่อเล่น เป๊ะ) เกิดวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2499 เป็นผู้กำกับ ค่ายผลิตละคร ดาราวิดีโอ ช่อง 7 สี และมีผลงานเรื่องแรกคือเรื่อง เจ้าหญิงแตงอ่อน และได้สร้างผลงานละครหลังข่าวไว้อีกมากมาย เช่น รากนครา ฟ้าใหม่ หลงเงาจันทร์ ขิงก็ราข่าก็แรง อาเก๋ง เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ผลงานละครโทรทัศน์ ผลงาน. ละครโทรทัศน์. สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7- ปราสาทมืด (2531) - ห้องหุ่น (2532) - หงส์ทอง (2533) - มณีร้าว (2533) - ตะวันชิงพลบ (2534) - เมืองโพล้เพล้ (2535) - ภาพอาถรรพณ์ (2535) - แก้วสารพัดนึก (2535) - ภูตแม่น้ำโขง (2535) - นางทาส (2536) - ศีรษะมาร (2536) - ทวิภพ (2537) - วิมานมะพร้าว (2537) - กระสือ (2537) - โอ้...มาดา (2538) - ภูตพิศวาส (2538) - สายโลหิต (2538) **กำกับร่วม - แม่นาคพระนคร (2539) - ญาติกา (2539) - รัตนโกสินทร์ (2539) - ปอบผีฟ้า (2540) - การะเกด (2540) - กิ่งไผ่ (2541) - พลังรัก (2541) - บ่วงหงส์ (2541) - แม่นาค (2542) - หนุ่มทิพย์ (2542) - ม่านบังใจ (2543) - รากนครา (2543) - เงาใจ (2544) - ปิ่นไพร (2544) - บอดี้การ์ดสาว (2545) - สาวน้อย (2545) - รุ่งทิพย์ (2545) - นะหน้าทอง (2546) - มหาเฮง (2546) - สาวน้อยในตะเกียงแก้ว ภาค 2 (2547) - ฟ้าใหม่ (2547) - นางสาวส้มหล่น (2548) - บ้านร้อยดอกไม้ (2548) - เหมราช (2548) - หลงเงาจันทร์ (2549) - ขิงก็รา ข่าก็แรง (2549) - ยายหนูลูกพ่อ (2549) - ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ (2550) - สายใยสวาท (2551) - เธอคือชีวิต (2551) - คู่ป่วนอลวน (2551) - มือนาง (2552) - ตะวันยอแสง (2553) - สวรรค์สร้าง (2553) - บันไดดอกรัก (2554) - อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว (2555) - อาญารัก (2556) - คือหัตถาครองพิภพ (2556)
จรูญ ธรรมศิลป์ เสียชีวิตด้วยโรคอะไร
{ "answer": [ "มะเร็ง" ], "answer_begin_position": [ 381 ], "answer_end_position": [ 387 ] }
3,531
83,515
พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ตั้งอยู่ริมทางหลวงสายสกลนคร-กาฬสินธุ์ หมายเลข ๒๑๓ บริเวณกิโลเมตรที่ ๑๔ ห่างจากตัวเมืองสกลนครประมาณ ๑๖ กิโลเมตรประวัติ ประวัติ. พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์จังหวัดสกลนคร เป็นพระตำหนักที่สร้างขึ้นในบริเวณเทือกเขาภูพาน ใน พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ทรงเลือกพื้นที่สร้างพระตำหนักด้วยพระองค์เอง ทรงใช้แผนที่ทางอากาศและการเสด็จสำรวจเส้นทางบริเวณ ป่าเขา น้ำตก เป็นปัจจัยในการกำหนดเขตพื้นที่ก่อสร้างพระตำหนักและบริเวณพระตำหนักซึ่งประกอบด้วยเขตพระราชฐานชั้นในและเขตพระราชฐานชั้นนอกพื้นที่ของพระตำหนัก พื้นที่ของพระตำหนัก. พื้นที่บริเวณพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ เมื่อแรกตั้งพระตำหนักมี ๙๔๐ ไร่ ในเวลาต่อมาได้ขยายเขตพื้นที่เพื่อจัดทำโครงการฟื้นฟูสภาพป่าคืนชีวิตสู่ธรรมชาติอีกประมาณ ๑,๐๑๐ ไร่ รวมเป็นพื้นที่ ๑,๙๕๐ ไร่หมู่พระตำหนักหมู่พระตำหนัก. - ๑.หมู่พระตำหนัก หมู่พระตำหนักประกอบด้วย อาคารหลังพระตำหนักปีกไม้ เป็นพระตำหนักหลังแรก สร้างใน พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นรูปแบบล็อกเดขิน ใช้เป็นเรือนรับรองหลังแรก ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๙ ทรงมีพระบรมราชโองการให้สร้างพระตำหนักใหญ่เป็นตึกสองชั้น รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ บริเวณเนินหน้าผาห่างจากพระตำหนักปีกไม้ ประมาณ ๕๐๐ เมตร และยังได้ก่อสร้างพระตำหนักที่มีรูปแบบใกล้เคียงกัน และต่อมาได้มีการสร้างพระตำหนักหลังหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงกัน รวมเป็นพระตำหนัก ๔ หลัง ห่างจากพระตำหนักใหญ่ประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ได้สร้างบ้านพัก พลโทเปรม ติณสูลานนท์ แม่ทัพภาคที่ ๒ (ยศและตำแหน่งขณะนั้น)- ๑. สวนรวมพันธุ์ไม้ (Mixed garden) - ๒. สวนแบบประดิษฐ์ (Formal Style) - ๓. สวนแบบธรรมชาติ (Informal Style) - ๔. สวนหินประดับประดา (Rock garden) - ๕. สวนประดับหิน (Stone garden) การจัดสวน นับจากเขตพระราชฐานชั้นนอกพระตำหนักริมถนนมีสระน้ำขอบตั้งหินทรายแดง (Red Stone) ปลูกบัวสายสีแดง ชมพู ม่วง ประดับเรียงราย สลับกับต้นตะแบก ส่วนประดู่ อีกทั้งปลูกไม้ทั้งปลูกไม้ดอกและไม้ใบ สลับให้สวยงามสิ่งอำนวยความสะดวกภายในพระตำหนัก สิ่งอำนวยความสะดวกภายในพระตำหนัก. สิ่งอำนวยความสะดวกในพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ เป็นแหล่งที่สะดวกต่อการเดินทางไปท่องเที่ยว ทั้งนี้เพราะอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองสกลนครอยู่ริมถนนหลวงสายสกลนคร - กาฬสินธุ์ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวทั้งรถยนต์ส่วนตัวและการนำพาหนะเข้าชม สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ที่กองรักษาการเพื่อเข้าชมพระตำหนักชั้นนอกได้โดยสะดวก หากต้องการชมพระตำหนักชั้นในต้องติดต่อทางราชการเพื่อขออนุญาตจากผู้ดูแลพระตำหนักเป็นการล่วงหน้า ปัจจุบันพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์มีประชาชนเข้าชมอย่างต่อเนื่องแสดงถึงความสนใจในความงดงามของพระตำหนักแห่งนี้การเดินทางมายังพระตำหนัก การเดินทางมายังพระตำหนัก. เส้นทางเข้าสู่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ตั้งอยู่ริมทางหลวงสายสกลนคร-กาฬสินธุ์ หมายเลข ๒๑๓ บริเวณกิโลเมตรที่ ๑๔ ห่างจากตัวเมืองสกลนครประมาณ ๑๖ กิโลเมตรข้อมูลเพิ่มเติม ข้อมูลเพิ่มเติม. พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์
พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ตั้งอยู่ที่จังหวัดใด
{ "answer": [ "สกลนคร" ], "answer_begin_position": [ 305 ], "answer_end_position": [ 311 ] }
3,532
239,459
สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย หรือ เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระ (มารี อเล็กซานดรา วิกตอเรีย, 27 ตุลาคม ค.ศ. 1875 - 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938) เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้าย โดยเป็นพระมเหสีในพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทรงประสูติในฐานะพระราชวงศ์อังกฤษ พระองค์ทรงได้รับพระอิสริยยศ เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระเมื่อครั้งประสูติ พระบิดาและพระมารดาของพระองค์คือ เจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินเบอระและแกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย ในวัยเยาว์ เจ้าหญิงมารีทรงใช้พระชนมชีพในเคนต์, มอลตาและโคบูร์ก หลังจากการปฏิเสธข้อเสนอที่จะอภิเษกสมรสกับพระญาติของพระองค์เองคือ พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรในอนาคต พระองค์ทรงได้รับเลือกให้เป็นพระชายาในมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์แห่งโรมาเนีย องค์รัชทายาทของพระเจ้าคาโรลที่ 1 แห่งโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1892 เจ้าหญิงมารีทรงดำรงเป็นมกุฎราชกุมารีอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1893 ถึง ค.ศ. 1914 ซึ่งทรงดำรงในพระอิสริยยศนี้ยาวนานที่สุดในบรรดาผู้ครองพระอิสริยยศนี้ และทรงกลายเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ประชาชนชาวโรมาเนียในทันที เจ้าหญิงมารีทรงควบคุมพระสวามีผู้ทรงอ่อนแอและเอาแต่ใจก่อนที่จะทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1914 เป็นแรงกระตุ้นให้นักหนังสือพิมพ์ชาวแคนาดาได้ให้ความเห็นว่า "มีพระมเหสีเพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นที่จะทรงมีอิทธิพลยิ่งใหญ่กว่าสมเด็จพระราชินีมารีในช่วงรัชสมัยพระสวามีของพระองค์" หลังจากการเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมเด็จพระราชินีมารีทรงผลักดันให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ดำเนินการเป็นพันธมิตรกับไตรภาคีและประกาศสงครามกับเยอรมนี ซึ่งที่สุดก็ทรงดำเนินการในปี ค.ศ. 1916 ในช่วงแรกของสงคราม บูคาเรสต์ได้ถูกยึดครองโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางและสมเด็จพระราชินีมารี พระเจ้าเฟอร์ดินานด์พร้อมพระโอรสธิดาทั้ง 5 พระองค์ทรงลี้ภัยไปยังมอลดาเวีย ซึ่งที่นั่นสมเด็จพระราชินีมารีและพระธิดาทั้งสามพระองค์ทรงประกอบพระกรณียกิจในฐานะพยาบาลในโรงพยาบาลทหาร ทรงดูแลทหารที่บาดเจ็บหรือเป็นอหิวาตกโรค ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1918 แคว้นทรานซิลเวเนีย ตามมาด้วยเบสซาราเบียและบูโกวินา ได้รวมตัวกันจัดตั้ง ราชอาณาจักรโรมาเนียเก่า พระนางมารีในขณะนี้ทรงดำรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเกรตเทอร์โรมาเนีย พระองค์ทรงเข้าร่วมการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ซึ่งพระองค์ทรงทำให้นานาชาติยอมรับในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1922 สมเด็จพระราชินีมารีและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในมหาวิหารที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษที่เมืองโบราณซึ่งก็คือ อัลบาอูเลีย เป็นพระราชพิธีที่ซับซ้อนซึ่งสะท้อนสถานะของทั้งสองพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ของรัฐทั้งมวล ขณะเป็นสมเด็จพระราชินี พระองค์ทรงได้รับความนิยมอย่างมาก จากทั้งในโรมาเนียและต่างประเทศ ในปี ค.ศ. 1926 สมเด็จพระราชินีมารีและพระโอรสธิดาอีก 2 พระองค์ได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาในทางการทูต ทั้งสามพระองค์ได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างกระตือรือร้นและทรงเสด็จเยือนหลายเมืองก่อนจะกลับโรมาเนีย เมื่อเสด็จกลับ สมเด็จพระราชินีมารีทรงพบว่าพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตในไม่กี่เดือนต่อมา ในช่วงนี้สมเด็จพระพันปีหลวงมารีทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งในสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่จะต้องปกครองประเทศแทนพระนัดดาที่ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ ซึ่งก็คือ พระเจ้าไมเคิลแห่งโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1930 พระโอรสองค์โตของพระนางมารีคือ เจ้าชายคาโรลแห่งโรมาเนีย ซึ่งทรงถูกเว้นสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ ได้ถอดถอนพระโอรสและช่วงชิงราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ในฐานะ พระเจ้าคาโรลที่ 2 พระองค์ทรงถอดถอนพระนางมารีออกจากบทบาททางการเมืองและทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระมารดา เป็นผลให้พระนางมารีต้องเสด็จออกจากบูคาเรสต์และทรงใช้พระชนมชีพที่เหลือในชนบท หรือไม่ก็พระตำหนักของพระองค์ที่ทะเลดำ ในปี ค.ศ. 1937 พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคตับแข็งและสิ้นพระชนม์ในปีถัดมา จากการเปลี่ยนแปลงโรมาเนียไปสู่สาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ถูกประณามอย่างรุนแรงโดยทางการพรรคคอมมิวนิสต์ มีหลายบันทึกชีวประวัติเกี่ยวกับพระราชวงศ์ที่ได้บรรยายว่า พระนางมารีทรงเป็นคนติดสุราและมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ โดยมาจากเรื่องอื้อฉาวจำนวนมากและพฤติกรรมที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวทั้งก่อนและในระหว่างสงคราม ในช่วงปีที่นำไปสู่การปฏิวัติโรมาเนียในปี ค.ศ. 1989 ความนิยมในพระนางมารีได้รับการฟื้นฟูและพระองค์ทรงได้รับการเสนอภาพในฐานะผู้รักชาติจากประชาชน แรกเริ่มสิ่งที่จดจำได้เกี่ยวกับพระนางมารีคือการอุทิศพระองค์ในฐานะพยาบาล แต่ก็ทรงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในการที่ทรงพระนิพนธ์งานเขียน รวมถึงพระนิพนธ์อัตชีวประวัติที่น่าสะเทือนใจของพระองค์เองช่วงต้นพระชนมชีพ (ค.ศ. 1875 - 1893)ประสูติ ช่วงต้นพระชนมชีพ (ค.ศ. 1875 - 1893). ประสูติ. เจ้าหญิงมารีประสูติที่พระตำหนักของพระราชบิดาและพระราชมารดาที่อีสต์เวลปาร์ก มณฑลเคนต์ ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1875 เวลา 10.30 น. ต่อหน้าพระราชบิดา การประสูติของพระองค์ได้มีการเฉลิมฉลองด้วยการยิงสลุต พระองค์เป็นพระราชธิดาองค์โตและเป็นพระราชบุตรองค์ที่สองในเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินเบอระและเจ้าหญิงมาเรีย อเล็กซานดรอฟนา ดัชเชสแห่งเอดินเบอระ (เดิมคือ แกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย) เจ้าหญิงทรงได้รับการตั้งพระนามว่า มารี อเล็กซานดรา วิกตอเรีย ตามพระนามของพระราชมารดาและพระอัยยิกา แต่เจ้าหญิงมีพระนามอย่างไม่เป็นทางการว่า "มิสซี่" (Missy) ดยุกแห่งเอดินเบอระทรงบันทึกไว้ว่าพระธิดาของพระองค์ "สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีเหมือนพี่ชายของเธอและจะแสดงให้เห็นถึงปอดที่มีสุขภาพที่ดี และจะทำเช่นนั้นก่อนที่เธอจะได้รับความเป็นธรรมในโลก" ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่ในสายสันตติวงศ์ฝ่ายชาย เจ้าหญิงมารีมีพระนามอย่างเป็นทางการว่า "เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระ" ตั้งแต่ประสูติ พิธีตั้งพระนามของเจ้าหญิงมารีได้จัดขึ้นในโบสถ์ส่วนพระองค์ที่พระราชวังวินด์เซอร์ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1875 และกระทำอย่างเป็นทางการโดยอาเทอร์ สแตนลีย์และเจอรัลด์ เวลสลีย์ เจ้าคณะแห่งวินด์เซอร์ พิธีล้างบาปจัดแบบ "ส่วนพระองค์และเคร่งครัด" เนื่องจากเป็นเวลาหนึ่งวันหลังจากพิธีครบรอบการสิ้นพระชนม์ของพระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งก็คือ เจ้าชายอัลเบิร์ต พระบิดาและพระมารดาอุปถัมภ์ของเจ้าหญิงมารีได้แก่ จักรพรรดินีมารีเยีย อะเลคซันโดรฟนาแห่งรัสเซีย (พระอัยยิกาฝ่ายพระมารดา ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นตัวแทน), เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (พระปิตุจฉา), เจ้าหญิงอเล็กซานดรีนแห่งบาเดิน ดัชเชสแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา (พระปัยยิกา ซึ่งเจ้าหญิงเฮเลนาแห่งสหราชอาณาจักรทรงเป็นตัวแทน), ซาเรวิชแห่งรัสเซีย (พระมาตุลา ซึ่งปีเตอร์ อันเดรเยวิช ชูวาลอฟเป็นตัวแทน) และดยุกแห่งคอนน็อตและสตราเธิร์น (พระปิตุลา ซึ่งเจ้าชายลีโอโพลด์ ดยุกแห่งออลบานีทรงเป็นตัวแทน)การศึกษาอบรม การศึกษาอบรม. เจ้าหญิงมารีพร้อมพระเชษฐาและพระขนิษฐาของพระองค์ ได้แก่ เจ้าชายอัลเฟรด (ประสูติ ค.ศ. 1874), เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา (ประสูติ ค.ศ. 1876 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "ดั๊กกี้"), เจ้าหญิงอเล็กซานดรา (ประสูติ ค.ศ. 1878 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "ซานดรา") และเจ้าหญิงเบียทริซ (ประสูติ ค.ศ. 1884 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "เบบี้บี") ทรงใช้พระชนมชีพในช่วงต้นส่วนใหญ่ที่อีสต์เวลปาร์ก ที่ซึ่งพระราชมารดาทรงโปรดมากกว่าพระตำหนักแคลเรนซ์ สถานที่ประทับ ในบันทึกความทรงจำของพระองค์ เจ้าหญิงมารีทรงจดจำช่วงเวลาที่อีสต์เวลด้วยความรัก ดยุกแห่งเอดินเบอระไม่ได้ทรงใช้พระชนมชีพส่วนใหญ่กับพระโอรสธิดาเนื่องจากทรงต้องปฏิบัติพระกรณียกิจในราชนาวี และพระชนมชีพของพระโอรสธิดาส่วนใหญ่จึงอยู่ภายใต้การปกครองของพระราชมารดา เจ้าหญิงมารีทรงระบุหลังจากนั้นว่าพระองค์ไม่ทรงทราบถึงสีพระเกศาของพระราชบิดาจนกระทั่งหลังจากนั้นทรงทอดพระเนตรไปยังพระสาทิสลักษณ์ และทรงเชื่อว่าสีพระเกศาพระราชบิดาคงจะเข้มกว่าที่เป็นจริง เมื่อพระราชบิดาทรงประทับที่พระตำหนัก ดยุกมักจะทรงเล่นกับพระโอรสธิดา พระองค์มักจะประดิษฐ์เกมจำนวนมากเพื่อมาใช้เล่นกับพระโอรสธิดา ท่ามกลางพระเชษฐาและพระขนิษฐา เจ้าหญิงมารีทรงสนิทกับเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา พระขนิษฐา ซึ่งมีพระชนมายุอ่อนกว่าพระองค์หนึ่งปี แต่หลายคนเชื่อว่าเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตามีพระชนมายุมากกว่าเนื่องจากความสูงของพระองค์ ได้สร้างความผิดหวังให้เจ้าหญิงอย่างมาก พระโอรสธิดาจากบ้านเอดินเบอระทุกพระองค์ได้เข้าพิธีล้างบาปและอบรมภายใต้นิกายแองกลิคัน สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจแก่พระราชมารดาซึ่งทรงเป็นออร์โธดอกซ์รัสเซียอย่างมาก ดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการแยกกันระหว่างรุ่นและเจ้าหญิงมารีทรงเสียพระทัยอย่างลึกๆว่าพระราชมารดาของพระองค์ไม่ทรงเคยอนุญาตให้พระองค์สนทนากับบุคคล "ให้ราวกับว่า [พวกเขา] ก็เท่าเทียมกัน" เลย ถึงกระนั้น ดัชเชสทรงเป็นบุคคลที่มีพระทัยกว้าง, มีวัฒนธรรม และเป็น"บุคคลที่สำคัญที่สุด"ในพระชนม์ชีพวัยเยาว์ของพระโอรสธิดาทุกพระองค์ ตามคำสั่งของพระราชมารดา เจ้าหญิงมารีและพระขนิษฐาต้องได้รับการศึกษาในภาษาฝรั่งเศส ที่เจ้าหญิงและพระขนิษฐาทรงรังเกียจและไม่ค่อยได้ตรัส แต่โดยรวม ดัชเชสทรงละเลยการศึกษาของพระธิดา โดยทรงพิจารณาว่าพระธิดาของพระองค์เองนั้นไม่ฉลาดหรือมีพรสวรรค์เท่าไร ทุกพระองค์ได้รับอนุญาตให้อ่านออกเสียงได้แต่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวาดภาพและการลงสีภาพ ในพื้นที่ที่ทรงได้รับมรดกทางความสามารถจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระธิดาทรงได้รับเพียงแค่ "การเรียนการสอนการเดินเท้า" ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงเสด็จออกรับสมาชิกราชวงศ์บ่อยๆที่อีสต์เวลปาร์ก โดยทรงเชิญร่วมเสวยพระกระยาหารเช้าเกือบทุกวัน และในปีค.ศ. 1885 เจ้าหญิงมารีและเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตาทรงได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวในพิธีอภิเษกสมรสของพระปิตุจฉาคือ เจ้าหญิงเบียทริซกับเจ้าชายเฮนรีแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก ในบรรดาพระสหายของเจ้าหญิงมารีนั้นทรงเป็นพระญาติทางฝ่ายพระมารดา ได้แก่ แกรนด์ดยุกนิโคลัส (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "นิกกี้" ), แกรนด์ดยุกจอร์จ (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "จอร์จี้" ), แกรนด์ดัชเชสเซเนีย และพระญาติอีกสองพระองค์ได้แก่ แกรนด์ดยุกไมเคิล (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "มิชา" ) และแกรนด์ดัชเชสโอลกา ซึ่งมีพระชนมายุอ่อนกว่าพระธิดาบ้านเอดินเบอระมาก พระสหายอื่นๆอีกก็ได้แก่พระโอรสธิดาในพระมาตุลา คือ แกรนด์ดยุกวลาดิมีร์ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย ในปีค.ศ. 1886 เมื่อเจ้าหญิงมารีทรงมีพระชนมายุ 11 พรรษา ดยุกแห่งเอดินเบอระทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญการสูงสุดของกองทัพเรือเมดิเตอร์เรเนียน และทั้งครอบครัวต้องย้ายไปประทับที่พระราชวังซานอันโตนิโอในมอลตา เจ้าหญิงมารีทรงจดจำช่วงเวลาในมอลตาว่า "เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของฉัน" ที่มอลตา เจ้าหญิงมารีทรงพบกับความรักครั้งแรกกับเมาริซ บอร์ก กัปตันเรือของดยุก ซึ่งเจ้าหญิงมารีทรงเรียกเขาว่า "กัปตันที่รัก" เจ้าหญิงมารีทรงรู้สึกหึงหวงเมื่อบอร์กให้ความสนใจในพระขนิษฐามากกว่าพระองค์ ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงรักการประทับในมอลตาอย่างมากและพระราชวังซานอันโตนิโอก็จะเต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือนเสมอ เจ้าหญิงมารีและเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตาทรงได้รับม้าขาวจากพระราชมารดาและจะทรงไปลงแข่งขันในท้องถิ่นเป็นประจำทุกวันยกเว้นวันเสาร์ ในระหว่างช่วงปีแรกที่มอลตา พระพี่เลี้ยงชาวฝรั่งเศสจะเป็นผู้ดูแลการศึกษาแก่เหล่าเจ้าหญิงแต่เมื่อเธอมีสุขภาพไม่ดี ในปีต่อมาเธอจึงถูกแทนที่ด้วยสตรีชาวเยอรมันที่อ่อนวัยกว่า ที่ซานอันโตนิโอ ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงดูแลห้องประทับสำหรับเจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ พระราชโอรสองค์ที่สองในเจ้าชายแห่งเวลส์ ซึ่งทรงปฏิบัติพระกรณียกิจในราชนาวี เจ้าชายจอร์จทรงเรียกพระภคินีจากเอดินเบอระทั้งสามที่สูงวัยกว่าว่า "ผู้น่ารักที่สุดทั้งสาม" แต่ทรงโปรดเจ้าหญิงมารีมากที่สุด ในขณะที่ดยุกแห่งเอดินเบอระทรงกลายเป็นรัชทายาทโดยสมมติของเออร์เนสต์ที่ 2 ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา พระปิตุลาผู้ทรงไร้บุตร เมื่อเจ้าชายแห่งเวลส์ทรงสละสิทธิ์ในดัชชีนี้ ดังนั้นครอบครัวจึงย้ายไปที่โคบูร์กในปีค.ศ. 1889 เจ้าหญิงมารีทรงมีมุมมองในช่วงเวลานี้ว่า "เป็นจุดจบของชีวิตที่เคยได้รับความสุขและสนุกโดยไม่มีใครควบคุมอย่างแท้จริง ชีวิตที่เคยปราศจากความผิดหวังหรือความหลงผิดและไม่มีความบาดหมางใดๆ" องค์ดัชเชสทรงเป็นผู้นิยมเยอรมัน พระองค์ทรงจ้างพระพี่เลี้ยงชาวเยอรมันมาอภิบาลพระธิดา โดยทรงซื้อเสื้อผ้าธรรมดาแก่พระธิดาและแม้กระทั่งให้พระธิดาทรงยอมรับในความเชื่อนิกายลูเทอแรน ครอบครัวทรงใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนที่ปราสาทโรสเนา ดยุกเออร์เนสต์ทรงบรรยายถึงเจ้าหญิงมารีว่าเป็น "เด็กที่แปลกประหลาด" ราชสำนักขององค์ดยุกเป็นราชสำนักที่เข้มงวดน้อยกว่าราชสำนักอื่นๆในเยอรมัน ในโคบูร์ก การศึกษาของเจ้าหญิงได้มีการขยับขยายมากยิ่งขึ้น โดยมีการให้ความสำคัญกับการวาดภาพและดนตรี ซึ่งทรงได้รับการอบรมจากแอนนา เมสซิงและนางเฮลเฟอริช ตามลำดับ ในวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ เจ้าหญิงมารีและพระขนิษฐาจะเสด็จไปยังโรงละครโคบูร์กซึ่งเป็นสถานที่ที่ทุกพระองค์ทรงสนุกอย่างมาก กิจกรรมอื่นๆที่เหล่าพระธิดาทรงโปรดที่โคบูร์กคือการเข้าร่วมงานเลี้ยงฤดูหนาวที่พระราชมารดาทรงจัดขึ้น ที่ซึ่งทุกพระองค์ทรงเล่นสเก็ตน้ำแข็งและเกมกีฬาต่างๆอย่างเช่น ฮอกกี้น้ำแข็งอภิเษกสมรส อภิเษกสมรส. เจ้าหญิงมารีทรงเจริญพระชันษามาเป็น "หญิงสาวที่น่ารัก" ด้วย"ดวงพระเนตรสีฟ้าเป็นประกายและพระเกศาสีอ่อนเนียน" เจ้าหญิงทรงถูกหมายโดยเหล่าราชนิกูลที่ยังโสดทั้งหลาย รวมทั้ง เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ ผู้ซึ่งในปีค.ศ. 1892 ทรงกลายเป็นผู้มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ลำดับที่สอง สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เจ้าชายแห่งเวลส์และดยุกแห่งเอดินเบอระทรงอนุมัติแผนการนี้ แต่เจ้าหญิงแห่งเวลส์และดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงปฏิเสธแผนการนี้ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ไม่ทรงโปรดราชตระกูลที่นิยมเยอรมันและดัชเชสแห่งเอดินเบอระไม่ประสงค์ให้พระธิดาอยู่ในอังกฤษที่ทรงไม่พอพระทัย ดัชเชสทรงไม่พอใจในความเป็นจริงที่ว่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งพระราชบิดานั้นเดิมทรงเป็นเพียงเจ้าชายเยอรมันชั้นรองก่อนที่จะทรงได้รับราชบัลลังก์แห่งเดนมาร์ก ซึ่งทำให้พระองค์ทรงมีลำดับยศสูงกว่าดัชเชสตามลำดับความสำคัญ ดัชเชสแห่งเอดินเบอระยังทรงต่อต้านแนวคิดการแต่งงานกันในระหว่างเครือญาติชั้นที่หนึ่งซึ่งผิดธรรมเนียมในศาสนจักรออร์ทอด็อกซ์รัสเซียของพระองค์แต่เดิม ดังนั้นเมื่อเจ้าชายจอร์จทรงสู่ขอเจ้าหญิง เจ้าหญิงมารีทรงรีบบอกพระองค์ว่าการอภิเษกสมรสนั้นเป็นไปไม่ได้และทรงบอกว่าพระองค์ยังคงเป็น "เพื่อนสนิทที่รัก" ของเจ้าหญิงเสมอ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงให้ความเห็นหลังจากนั้นว่า "จอร์จีสูญเสียมิสซีไปจากการรอและรอ" ในช่วงนี้ พระเจ้าคาโรลที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทรงกำลังมองหาพระชายาที่เหมาะสมสำหรับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการสืบราชสันตติวงศ์และเพื่อให้มั่นพระทัยในความต่อเนื่องของราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน จากแรงกระตุ้นโดยการคาดหวังที่จะขจัดความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและโรมาเนียในการควบคุมเหนือดินแดนเบสซาราเบีย ดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงแนะนำให้เจ้าหญิงมารีทรงพบกับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ เจ้าหญิงมารีและมุกฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงพบกันครั้งแรกและคุ้นเคยกันในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำและทั้งคู่ทรงสนทนาเป็นภาษาเยอรมัน เจ้าหญิงทรงพบว่ามกุฎราชกุมารทรงเป็นคนขี้อายแต่น่ารัก และการพบกันครั้งที่สองก็เป็นไปได้ด้วยดี เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงหมั้นอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเขียนถึงเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ว่า "[เฟอร์ดินานด์]เป็นคนที่ดีและพ่อแม่ของเขาก็มีเสน่ห์ แต่ประเทศนั้นไม่ปลอดภัยอย่างมากและสังคมในบูคาเรสต์เป็นสังคมที่ผิดศีลธรรมอย่างเลวร้ายมาก ดังนั้นงานอภิเษกครั้งนี้จะต้องทำให้ล่าช้าเพราะว่า มิสซียังมีอายุไม่ถึง 17 ปีเลยจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนตุลาคม!" จักรพรรดินีวิกตอเรียแห่งเยอรมัน พระปิตุจฉาของเจ้าหญิงมารี ทรงเขียนถึงมกุฎราชกุมารีโซเฟียแห่งกรีซ พระราชธิดา ว่า "ตอนนี้มิสซีมีความยินดีมาก แต่น่าเศร้าที่เธอยังเด็กนัก แล้วเธอจะสามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?" ในช่วงปลายปีค.ศ. 1892 พระเจ้าคาโรลเสด็จเยือนลอนดอนโดยจะทรงเข้าพบดนุกแห่งเอดินเบอระและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งในที่สุดก็จะทรงเห็นด้วยกับการอภิเษกสมรส และทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แก่พระเจ้าคาโรล ในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1893 เจ้าหญิงมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสที่ปราสาทซิกมาริงเงินในสามพิธี ได้แก่ พิธีระดับรัฐ, พิธีคาทอลิก (ศาสนาของมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์) และพิธีแองกลิคัน (ศาสนาของเจ้าหญิงมารี) พิธีระดับรัฐได้ถูกดำเนินการที่ห้องโถงแดงของปราสาทโดยคาร์ล ฟอน เวนเดล องค์จักรพรรดิเยอรมันได้เสด็จมาเป็นพยานองค์แรกในสัญลักษณ์ของพิธีอภิเษกสมรส ในเวลา 4 นาฬิกา พิธีคาทอลิกได้ถูกจัดที่โบสถ์เมือง โดยพระราชบิดาทรงพาเจ้าหญิงมารีมาที่แท่นบูชา พิธีแองกลิคันมีความเรียบง่ายและได้ดำเนินการในห้องหนึ่งของปราสาท แม้ว่าพระเจ้าคาโรลทรงอนุญาตให้ทั้งคู่เสด็จไป "โฮนิกทัก" (Honigtag; หนึ่งวันสำหรับการฮันนีมูน) เจ้าหญิงมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงใช้เวลาไม่กี่วันที่ปราสาทในเคราเชนวีส์ที่บาวาเรีย จากที่นั่นทรงเดินทางผ่านชนบท และการเดินทางต้องถูกขัดจังหวะและหยุดที่กรุงเวียนนา ที่ซึ่งทรงเข้าเฝ้าจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย เนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างออสเตรียและโรมาเนีย (การเข้าเฝ้าเกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของบันทึกความเข้าใจทรานซิลเวเนีย) ทั้งสองพระองค์เสด็จเยือนเป็นระยะเวลาสั้นๆ และทรงมาถึงชายแดนของเมืองพรีดีลจากการเดินทางข้ามคืนผ่านทรานซิลเวเนียด้วยรถไฟ เจ้าหญิงมารีทรงได้รับการต้อนรับจากชาวโรมาเนียอย่างอบอุ่นซึ่งปรารถนาในสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีความเป็นบุคคลมากขึ้นมกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1893 - 1914)พระชนม์ชีพภายในประเทศ มกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1893 - 1914). พระชนม์ชีพภายในประเทศ. ในช่วงปีแรกของการอภิเษกสมรสระหว่างมกุฎราชกุมารีมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์นั้นไม่ง่าย และเจ้าหญิงมารีทรงบอกพระสวามีในภายหลังว่า "มันเป็นเรื่องน่าละอายจริงๆที่เราทั้งคู่ต้องเสียเวลาเป็นเวลาหลายปีในช่วงวัยรุ่นเพียงเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกัน!" ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ได้ค่อยๆพัฒนาเป็นมิตรภาพที่จริงใจอย่างช้าๆ เจ้าหญิงมารีทรงเคารพมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง และต่อมาเป็นพระมหากษัตริย์ และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ก็ทรงเคารพเจ้าหญิงมารีในฐานะที่เจ้าหญิงทรงเข้าใจในโลกนี้ดีกว่าพระองค์ ในที่สุดเจ้าหญิงมารีก็ทรงเชื่อว่า พระองค์กับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์เป็น "เพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุด เป็นสหายที่ดีที่สุด แต่ชีวิตของเราประสานเข้ากันได้ในบางเรื่อง" มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงโปรดมากเมื่อเจ้าหญิงมารีทรงปรากฏพระองค์ในระหว่างการสวนสนามของทหารและทำให้เจ้าหญิงทรงได้รับเชิญมายังงานเหล่านี้บ่อยครั้ง เจ้าหญิงมารีทรงมีพระประสูติกาลบุตรพระองค์แรกคือ เจ้าชายคาโรล ในเวลาเพียงเก้าเดือนหลังจากอภิเษกสมรส ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1893 ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงมารีจะทรงขอใช้คลอโรฟอร์มเพื่อระงับอาการเจ็บปวด แต่เหล่าแพทย์ไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แพทย์หลวงโรมาเนียเชื่อว่า "ผู้หญิงทุกคนจะต้องชดใช้ด้วยความเจ็บปวดจากบาปของอีฟ" หลังจากที่พระมารดาของเจ้าหญิงมารีและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงยืนยันตามคำขอของเจ้าหญิง ในที่สุดพระเจ้าคาโรลทรงอนุญาตให้พระสุณิสาสามารถใช้ยาได้ เจ้าหญิงมารีไม่ทรงมีความสุขมากนักหลังจากมีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก ต่อมาทรงเขียนว่า "รู้สึกเหมือนเอาหัว (ของเจ้าหญิงมารี) หันไปชนผนัง" ในทำนองเดียวกันแม้ว่าเจ้าหญิงมารีจะทรงได้รับการย้ำเตือนอย่างต่อเนื่องจากพระมเหสีในพระเจ้าคาโรลคือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ที่ทรงเห็นว่าการที่เจ้าหญิงทรงมีบุตรถือว่า "เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต (ของเจ้าหญิงมารี)" เจ้าหญิงทรงนึกถึงพระมารดาของพระองค์จากการที่ทรงมีพระประสูติกาลบุตรพระองค์ที่สองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ในปีค.ศ. 1894 หลังจากทีทรงคุ้นเคยกับการใช้พระชนม์ชีพในโรมาเนีย เจ้าหญิงมารีทรงเริ่มมีความสุขจากการมีพระประสูติกาลพระโอรสธิดา ซึ่งได้แก่ เจ้าหญิงมาเรีย (ค.ศ. 1900 - 1961) ทรงมีพระนามที่เรียกกันในราชวงศ์ว่า "มิกนอน" , เจ้าชายนิโคลัส (ค.ศ. 1903 - 1978) ทรงมีพระนามที่เรียกกันในราชวงศ์ว่า "นิกกี้" , เจ้าหญิงอีเลียนา (ค.ศ. 1909 -1991) และ เจ้าชายเมอร์เซีย (ค.ศ. 1913 - 1916) พระเจ้าคาโรลและสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงนำเจ้าชายคาโรลและเจ้าหญิงเอลิซาเบธออกจากการดูแลของเจ้าหญิงมารีในทันที โดยทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่ให้อยู่ภายใต้การอภิบาลโดยพระบิดามารดาที่ยังเป็นวัยรุ่น เจ้าหญิงมารีทรงรักพระโอรสธิดามาก แต่ก็ทรงพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทรงสามารถว่ากล่าวตักเตือนพระโอรสธิดาได้ บางครั้งจึงทรงรู้สึกว่าไม่สามารถดูแลพระโอรสธิดาได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นพระโอรสธิดาจะได้รับการศึกษาในบางส่วน แต่ไม่เคยถูกส่งไปโรงเรียน ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์จึงไม่สามารถให้การศึกษาในชั้นเรียนได้ ซึ่งทำให้บุคลิกส่วนใหญ่ของพระโอรสธิดาได้สร้างข้อบกพร่องอย่างรุนแรงเมื่อเจริญพระชันษา เอียน จี. ดูคา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยหลัง ได้เขียนบันทึกในเวลาต่อมาว่า "ดูเหมือนว่า [พระเจ้าคาโรล] จะประสงค์ที่จะปล่อยให้รัชทายาทโรมาเนียไม่มีความพร้อมในการสืบราชบัลลังก์"พระชนม์ชีพในราชสำนัก พระชนม์ชีพในราชสำนัก. ตั้งแต่เริ่ม มกุฎราชกุมารีมารีทรงประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรมาเนีย บุคลิกภาพและ"จิตวิญญาณสูงสุด"ของพระองค์ได้สร้างข้อถกเถียงอย่างมากในราชสำนักโรมาเนีย และพระองค์ไม่ทรงโปรดบรรยากาศที่เคร่งครัดในราชวงศ์ของพระองค์ พระองค์ทรงเขียนว่าพระองค์เอง "ไม่ได้ถูกพามาโรมาเนียเพื่อให้เป็นที่รักหรือเป็นที่พูดถึง และที่มากที่สุดคือ พระองค์ทรงเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องจักรของพระเจ้าคาโรลที่ได้สร้างรอยแผลขึ้นในตัวของพระองค์ พระองค์ได้ถูกนำเข้ามาเพื่อประดับตกแต่ง, รับการศึกษา, ทำให้มีความสำคัญลดลงและถูกฝึกอบรมตามความคิดของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่" เมื่อบรรยายถึงช่วงต้นๆในโรมาเนีย มกุฎราชกุมารีมารีทรงเขียนว่า "เป็นเวลานานที่ [พระองค์] รู้สึกเซื่องซึมในขณะที่พระสวามีหนุ่ม [ของพระองค์] ทรงเข้ารับราชการทหาร ทั้งหมดนี้ทำให้ต้องโดดเดี่ยวในห้องพักที่ [พระองค์] ทรงเกลียด เป็นห้องแบบเยอรมันขนาดใหญ่" สมเด็จพระจักรพรรดินี พระพันปีหลวงแห่งเยอรมันทรงเขียนจดหมายถึงมกุฎราชกุมารีแห่งกรีซ พระราชธิดาว่า "มิสซีแห่งโรมาเนียน่าสงสารกว่าลูกอีกนะ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองที่เผด็จการที่สุดในครอบครัวของพระองค์ และทรงบดขยี้อิสรภาพของเฟอร์ดินานด์ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีใครสนใจในตัวเขาและภรรยาของเขาผู้งดงามและน่ารัก แม่กลัวว่าเธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และเหมือนกับผีเสื้อแทนที่จะบินตอมดอกไม้ แต่ได้เผาปีกที่งดงามของเธอโดยการบินเข้าไปใกล้กองไฟ!" พระองค์ทรงเรียนรู้ภาษาโรมาเนียอย่างง่ายดาย พระองค์ทรงทำตามคำแนะนำของพระมารดาที่ต้องระมัดระวังในการแต่งกายและแสดงความเคารพต่อพิธีกรรมออร์โธดอกซ์ มกุฎราชกุมารีมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงได้รับการแนะนำจากพระมหากษัตริย์ที่ให้คงจำกัดกลุ่มของพระสหาย ดังนั้น พระองค์ทรงเสียพระทัยมากที่วงล้อมครอบครัวของพระองค์ได้ลดเหลือเพียงแค่พระมหากษัตริย์และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ "ผู้ซึ่งยืนหยัดอย่างหวาดกลัวอย่างมากต่อชายชราพระหัตถ์เหล็ก ซึ่งทรงสั่นเทิ้มตลอดทุกการกระทำ [ของมารี] ที่อาจจะสร้างความไม่พอใจแก่หน้าที่ของพระประมุขของราชวงศ์" ในหนังสือเสริมนิตยสารไทม์ได้เขียนว่าพระนางมารีทรงพบว่าพระองค์เอง "จากช่วงเวลาที่มาถึงบูคาเรสต์ ทรงต้องอยู่ภายใต้การปกครองที่เข้มงวดของพระเจ้าคาโรลที่ 1" ในปีค.ศ. 1896 มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์และมกุฎราชกุมารีมารีทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังโคโทรเซนี ที่ซึ่งได้รับการขยับขยายโดยกริกอร์ เซอร์เชส สถาปนิกชาวโรมาเนีย และพระนางมารีทรงเพิ่มการออกแบบของพระนางเองด้วย ในปีถัดมา มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ทุกวัน พระองค์ทรงเพ้อและแม้ว่าแพทย์จะพยายามอย่างดีที่สุดแล้วแต่พระองค์ทรงใกล้จะสิ้นพระชนม์ ในช่วงเวลานี้ พระนางมารีทรงเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมากกับครอบครัวของพระนางในอังกฤษ และทรงหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียพระสวามี พระเจ้าคาโรลยังทรงมีรัชทายาทอีกพระองค์คือ เจ้าชายคาโรล ผู้ซึ่งยังทรงพระเยาว์นัก ดังนั้นทุกคนในราชวงศ์ต่างต้องการให้มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงฝ่าฟันโรคภัยไปได้ ในที่สุดพระองค์ก็ทำได้สำเร็จ พระองค์และพระนางมารีได้เสด็จไปยังซินายอา ประทับที่ปราสาทเปเรส เพื่อฟื้นฟูพระวรกาย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพระองค์ก็ไม่สามารถเข้าร่วมพระราชพิธีพัชราภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียในฤดูร้อนได้ ในช่วงการพักฟื้นของมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ พระนางมารีทรงใช้เวลาร่วมกับพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ โดยทรงมีพระดำเนินและเก็บดอกไม้ร่วมกัน ในฤดูหนาวปีค.ศ. 1897/1898 ทรงใช้เวลาร่วมกับพระราชวงศ์รัสเซียที่เฟรนช์ริวีเอรา ที่ซึ่งพระนางมารีได้ทรงม้าทั้งๆที่อากาศหนาวเย็น ในช่วงนี้ มกุฎราชกุมารีมารีทรงพบกับร้อยโท จอร์จี คานตาคูซีเน เป็นสมาชิกที่มมาจากเชื้อสายนอกสมรสของเชื้อพระวงศ์ผู้ครองแคว้นในสมัยโบราณของโรมาเนียและเป็นเชื้อสายของเจ้าชายเซอร์บาน คานตาคูซีโน ถึงแม้รูปโฉมจะไม่หล่อเหลาเท่าไหร่ แต่คานตาคูซีเนเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและแต่งตัวดี และมีความสามารถในการขี่ม้า ทั้งคู่ได้เริ่มมีความรักแก่กัน แต่เรื่องอื้อฉาวนี้ได้สิ้นสุดเมื่อสาธารณะได้รับรู้ พระราชมารดาของพระนางมารีทรงประณามพฤติกรรมของพระธิดาและทรงโปรดให้พระธิดาเสด็จมายังโคบูร์กเมื่อพระนางมารีทรงพระครรภ์ในปีค.ศ. 1897 นักประวัติศาสตร์ จูเลีย เกลาร์ดี เชื่อว่าพระนางมารีมีพระประสูติกาลบุตรที่โคบูร์ก และบุตรอาจจะเสียชีวิตตั้งแต่เกิดหรือไม่ก็ถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทันที มีการคาดเดากันว่า "เจ้าหญิงมิกนอน" พระธิดาองค์ที่สองของพระนางมารี ที่จริงแล้วเป็นบุตรที่ประสูติกับคานตาคูซีเน ไม่ใช่มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ ในปีถัดๆมา มีข่าวลือว่าพระนางมารีทรงมีความสัมพันธ์กับแกรนด์ดยุกบอริส วลาดีมีโรวิชแห่งรัสเซีย, วัลดอร์ฟ อัสเตอร์, เจ้าชายบาร์บู สเตอบีย์, และโจ บอยล์ ในปีค.ศ. 1903 มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีทรงเปิดปราสาทเปลีซอร์ เป็นปราสาทในสถาปัตยกรรมแบบนวศิลป์ที่เมืองซินายอา ซึ่งพระเจ้าคาโรลทรงมอบให้กับทั้งสองพระองค์ พระนางมารีทรงได้เรียนรู้ถึงขอบเขตการอดกลั้นซึ่งนำไปสู่การปราบปรามกบฏชาวนาโรมาเนียค.ศ. 1907 ซึ่งสายเกินไปที่จะทรงพยายามไกล่เกลี่ย หลังจากนั้นพระนางได้ทรงฉลองพระองค์ชุดพื้นบ้านโรมาเนียบ่อยๆทั้งในที่ประทับและที่สาธารณะและทรงเริ่มทิศทางแฟชั่นการแต่งกายแบบนี้ในหมู่เด็กสาวชนชั้นสูง ในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1913 ราชอาณาจักรบัลแกเรียได้ประกาศสงครามกับราชอาณาจักรกรีซ เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามบอลข่านครั้งที่สอง ในวันที่ 4 กรกฎาคม โรมาเนียได้เข้าร่วมสงคราม โดยเป็นพันธมิตรกับกรีซ สงครามได้ดำเนินเป็นระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน แต่กลับแย่ลงเนื่องจากมีการระบาดของอหิวาตกโรค พระนางมารีทรงเผชิญครั้งแรกกับการระบาดของโรคซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในพระชนม์ชีพของพระนาง ด้วยการช่วยเหลือจากนายแพทย์ เอียน คานตาคูซิโนและซิสเตอร์ พุคชี นางพยาบาลจากกาชาด พระนางมารีทรงเดินทางไปทั่วโรมาเนียและบัลแกเรีย เพื่อขอความร่วมมือจากโรงพยาบาล เหตุการณ์เหล่านี้ได้ตระเตรียมให้พระนางเพื่อประสบการณ์ในสงครามโลก ผลของสงครามทำให้เกิดสนธิสัญญาบูคาเรสต์ (1913) โรมาเนียได้ครอบครองโดบรูจาใต้ รวมทั้งบอลคิค [Balchik (Balcic)] เมืองชายฝั่งทะเล ที่ซึ่งพระนางมารีทรงหวงแหนมากในปีค.ศ. 1924 และมักจะทรงใช้เป็นที่ประทับของพระนาง หลังจากสงครามสิ้นสุด พระเจ้าคาโรลที่ 1 ทรงพระประชวร ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 ที่เมืองซาราเยโว อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ข่าวนี้ได้ทำให้พระนางมารีและพระราชวงศ์ต้องตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งทรงกำลังพักผ่อนอยู่ที่ซินายอาเมื่อข่าวได้มาถึง ในวันที่ 28 กรกฎาคม ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามต่อเซอร์เบียและพระนางมารีทรงเห็นว่า "สันติภาพโลกได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย" จากนั้นในวันที่ 3 สิงหาคม พระเจ้าคาโรลทรงเรียกประชุมสภาที่ปรึกษาราชบัลลังก์โรมาเนียที่ซินายอา เพื่อทรงตัดสินพระทัยว่าโรมาเนียควรเข้าร่วมสงคราม ถึงแม้ว่าพระเจ้าคาโรลทรงโปรดที่จะให้ประเทศของพระองค์สนับสนุนเยอรมนีและฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่สภาได้ตัดสินใจต่อต้านพระราชประสงค์ ไม่นานหลังจากการประชุมสภา พระอาการประชวรของพระเจ้าคาโรลได้แย่ลงและในที่สุดต้องทรงประทับบนแท่นบรรทมตลอด มีการกล่าวกันว่าพระองค์อาจจะสละราชบัลลังก์ ในที่สุด พระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914 และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงสืบราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์โดยทันทีสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1914 - 1927)สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1914 - 1927). สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. ในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1914 มกุฎราชกุมารีมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ได้รับการประกาศสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีในรัฐสภา เจ้าหญิงแอนน์ มารี คัลลิมาชี พระสหายสนิทของพระนางมารี ได้เขียนว่า "ขณะเป็นมกุฎราชกุมารี [มารี] ทรงเป็นที่นิยม เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระราชินี พระนางทรงเป็นที่รักอย่างมาก" พระนางทรงมีอิทธิพลเหนือพระสวามีและตลอดทั้งราชสำนัก จากงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ เอ.แอล. อีสเตอร์แมน ได้เขียนว่า "ไม่ใช่ [เฟอร์ดินานด์] แต่มารีต่างหากที่ปกครองโรมาเนีย" ในช่วงการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ รัฐบาลได้อยู่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีจากพรรคเสรีนิยม คือ นายกรัฐมนตรีเอียน ไอ. ซี. บราเทียนู พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และสมเด็จพระราชินีมารีทรงร่วมกันตัดสินพระทัยไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักมากนักและทรงพยายามให้ผู้คนยอมรับการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยหนึ่งไปอีกยุคสมัยหนึ่งมากกว่าการบังคับพวกเขา ดังนั้นข้าราชบริพารของเจ้าชายคาโรลกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แม้ว่าจะมีคนที่ไม่โปรดก็ตาม ด้วยการช่วยเหลือของบราเทียนู พระนางมารีทรงเริ่มกดดันให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์เข้าสู่สงคราม พร้อมกันนั้นพระนางทรงติดต่อเหล่าพระญาติที่ครองราชย์ในประเทศต่างๆของยุโรปและทรงพยายามต่อรองเงื่อนไขที่ดีที่สุดแก่โรมาเนีย ในกรณีที่ประเทศจะเข้าสู่สงคราม พระนางมารีทรงสนับสนุนการเป็นพันธมิตรกับพันธมิตรไตรภาคี (รัสเซีย, ฝรั่งเศส และอังกฤษ) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทรงมีเชื้อสายชาวอังกฤษ ความเป็นกลางไม่ได้ทำให้ปราศจากภัยอันตรายใดๆและการเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายไตรภาคี นั้นหมายความว่า โรมาเนียจะทำหน้าที่เป็น "ดินแดนกันชน" ให้รัสเซียเมื่อมีการโจมตีเกิดขึ้น ในที่สุด พระนางมารีทรงเรียกร้องให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ผู้ทรงไม่แน่พระทัย ให้นำโรมาเนียเข้าสู่สงคราม ด้วยการนำให้รัฐมนตรีฝรั่งเศส ออกุสต์ เฟลิกซ์ เดอ โบปอย เคานท์แห่งแซงต์-ออแลร์ เดินทางมายังโรมาเนีย เพื่อย้ำเตือนว่าพระนางมารีทรงเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือจากการประสูติ อีกครั้งหนึ่งคือจากพระหทัย พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงทำตามคำวิงวอนของพระนางมารี และพระองค์ได้ลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับพันธมิตรไตรภาคีในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ในวันที่ 27 สิงหาคม โรมาเนียได้ประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการีอย่างเป็นทางการ แซงต์-ออแลร์ได้ว่า พระนางมารีทรง"โอบกอดสงครามเหมือนกับโอบกอดศาสนา" หลังจากที่ทรงตรัสบอกแก่พระโอรสธิดาว่าประเทศได้เข้าสู่สงคราม พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีทรงปลดข้าราชบริพารชาวเยอรมัน ซึ่งพวกเขาจะยังคงมีหน้าที่อย่างเดียวคือการเป็น "เชลยสงคราม" ในช่วงก่อนสงคราม พระนางมารีทรงมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือกาชาดโรมาเนียและเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลทุกวัน ในช่วงเดือนแรกของสงคราม โรมาเนียต่อสู้กับข้าศึกไม่น้อยกว่าเก้าครั้ง บ้างสู้รบในแผ่นดินโรมาเนีย เช่น ยุทธการทูร์ตูคาเอีย ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 เจ้าชายเมอร์เซีย พระโอรสองค์สุดท้องของพระนางมารี ซึ่งทรงพระประชวรด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ได้สิ้นพระชนม์ลงที่เมืองบัฟเตีย พระนางมารีทรงมีพระจริตคุ้มคลั่งโดยทรงเชียนในบันทึกของพระนางเองว่า "มีอะไรที่สามารถทำให้เป็นเหมือนกันหรือไม่" หลังจากบูคาเรสต์พ่ายแพ้แก่กองทัพออสเตรีย ราชสำนักได้ย้ายไปประทับที่เมืองยาช เมืองหลวงของแคว้นมอลเดเวียในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916 ที่นั่นพระนางยังคงประกอบพระกรณียกิจในฐานะพยาบาลที่โรงพยาบาลทหาร ทุกวันพระนางมารีจะทรงฉลองพระองค์พยาบาลและเสด็จไปที่สถานีรถไฟยาช ที่ซึ่งพระนางจะได้ทรงรับทหารที่บาดเจ็บได้มากขึ้น จากนั้นพระนางจะทรงส่งพวกเขาไปยังโรงพยาบาล หลังจากข้อสรุปของการปฏิวัติรัสเซียในต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 และชัยชนะของบอลเชวิก จากคำกล่าวของแฟรงก์ แรตติแกน นักการทูต ที่ว่า โรมาเนียได้กลายเป็น "เกาะที่ล้อมรอบไปด้วยศัตรูโดยไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือจากพันธมิตร" หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงลงนามในสนธิสัญญาฟอกซานีในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 พระนางมารีทรงพิจารณาแล้วว่าสนธิสัญญานี้เต็มไปด้วยอันตราย ในขณะที่บราเทียนูและสเตอร์บีย์เชื่อว่าการทำเช่นนี้ถือเป็นมาตรการจำเป็นเพื่อที่จะถ่วงเวลาให้มากขึ้น ในเหตุการณ์ต่อๆมาพิสูจน์ได้ว่าการสันนิษฐานของพระนางมารีนั้นถูกต้อง ในปีค.ศ. 1918 พระนางมารีทรงพิโรธและต่อต้านกันลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรสต์ ทำให้มีการบรรยายถึงพระนางเพิ่มว่าทรง "เป็นผู้ชายที่แท้จริงเพียงคนเดียวในโรมาเนีย" การสงบศึกกับเยอรมนี (11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918) ได้ทำให้การต่อสู้ในยุโรปสิ้นสุดลงและนำไปสู่การสิ้นสุดสงครามด้วย ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ราชรัฐฮังการีได้เริ่มต้นพิชิตทรานซิลเวเนีย ซึ่งชาวฮังการีสามารถครอบครองได้อย่างสมบูรณ์ในราวปีค.ศ. 1200 แนวคิดเกี่ยวกับ "เกรตเทอร์โรมาเนีย" ยังคงมีอยู่ในจิตใจของชาวโรมาเนียในทรานซิลเวเนียเป็นบางครั้ง และบราเทียนูได้สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างแข็งขันตั้งแต่ก่อนสงคราม ในปีค.ศ. 1918 ทั้งเบสซาราเบียและบูโกวินาได้โหวตเพื่อรวมเข้ากับโรมาเนีย มีการชุมนุมกันที่อัลบาอูเลีย เมืองโบราณในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1918 ที่ซึ่งวาซิลลี โกลดิสได้อ่านประกาศการรวมทรานซิลเวเนียเข้ากับราชอาณาจักรโรมาเนียเก่า เอกสารฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนโดยชาวโรมาเนียและผู้แทนชาวแซ็กซอน โดยการจัดตั้ง "สภาสูงแห่งชาติโรมาเนีย" () เพื่อการบริหารราชการชั่วคราวในระดับจังหวัด พระนางมารีทรงเขียนว่า "ความฝันถึงที่ราบของชาวโรมาเนีย ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นจริง...มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลย" หลังจากการชุมนุม พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และสมเด็จพระราชินีมารีได้เสด็จกลับบูคาเรสต์ที่ซึ่งทรงพบกับความรื่นเริง "วันแห่ง "ความกระตือรือร้น, ความตื่นเต้นอย่างที่สุด" พร้อมกับวงดนตรีเสียงดังและทหารเดินสวนสนามและผู้คนตะโกนโห่ร้อง" ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรได้จัดงานเฉลิมฉลองและพระนางมารีทรงมีความสุขที่จะได้เห็นฝ่ายสัมพันธมิตรบนผืนแผ่นดินโรมาเนียเป็นครั้งแรกการประชุมสันติภาพปารีส การประชุมสันติภาพปารีส. เนื่องจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรสต์และโรมาเนียได้ประกาศตนเป็นศัตรูกับฝ่ายมหาอำนาจกลางจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม จึงทำให้มีสถานที่ที่ซึ่งประเทศที่ชนะสงครามมารวมกันในการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ที่ซึ่งได้มีการรับประกัน คณะผู้แทนอย่างเป็นทางการนำโดยบราเทียนู ซึ่งเขาพึ่งจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สาม ความแข็งกระด้างของบราเทียนูบวกกับการต่อต้านของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอร์ฌ เกลอม็องโซ ที่จะพยายามมองข้ามการยอมรับของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ต่อสนธิสัญญาบูคาเรสต์นำไปสู่ความขัดแย้งและคณะผู้แทนโรมาเนียได้เดินทาออกจากปารีส สิ่งนี้ได้สร้างความผิดหวังแก่ "มหาอำนาจทั้งสี่" อย่างมาก ด้วยความหวังที่จะแก้ไขสถานการณ์ แซงต์-ออแลร์ได้แนะนำว่าควรส่งสมเด็จพระราชินีมารีไปเข้าร่วมการประชุมแทน สมเด็จพระราชินีทรงยินดีอย่างยิ่งเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ พระนางมารีเสด็จถึงปารีสในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1919 พระนางทรงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวฝรั่งเศสในทันที อันเนื่องมาจากความกล้าหาญของพระนางในสงคราม ในการประชุม เกลอม็องโซได้กล่าวกับพระนางมารีว่า "กระหม่อมไม่ชอบนายกรัฐมนตรีของพระองค์เลย" ซึ่งพระนางทรงตอบทันทีว่า "บางทีคุณพบฉันแล้วคงน่าจะพอใจมากขึ้นนะ" เขาและประธานาธิบดี แรมง ปวงกาเรได้เปลี่ยนทัศนคติของเกลอม็องโซที่มีต่อโรมาเนียนับตั้งแต่การมาถึงของพระนางมารี หลังจากทรงประทับในกรุงปารีสเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พระนางมารีทรงตอบรับคำเชิญของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี และทรงเดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษและประทับที่พระราชวังบักกิงแฮม ด้วยความหวังที่ว่าจะทรงได้รับความเป็นมิตรไมตรีแก่โรมาเนีย พระนางมารีทรงพบปะคุ้นเคยกับบุคคลทางการเมืองที่สำคัญในช่วงเวลานั้น ดังเช่น ลอร์ดคูร์ซอน, วินสตัน เชอร์ชิล และวัลดอร์ฟ อัสเตอร์กับแนนซี อัสเตอร์ พระนางได้เสด็จไปเยี่ยมพระโอรส นิกกี ซึ่งทรงศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยอีตันบ่อยๆ พระนางมารีทรงมีความสุขอย่างมากที่ได้กลับไปยังอังกฤษหลังจากจากมาเป็นเวลานาน ทรงเขียนว่า "มันเป็นความรู้สึกที่เปี่ยมล้นจริงๆที่ได้มาถึงลอนดอน และได้รับการต้อนรับที่สถานีโดยจอร์จและเมย์" หลังจากสิ้นสุดการเสด็จเยือนอังกฤษ พระนางมารีได้เสด็จกลับปารีส ที่ซึ่งผู้คนยังคงตื่นเต้นสำหรับการเสด็จมาถึงของพระนางอย่างที่เคยเป็นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ฝูงชนรวมตัวกันอยู่รอบๆพระนางบ่อยๆ เพื่อรอที่จะพบสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียจาก "ต่างแดน" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา วูดโรว์ วิลสัน ก็ยังคงไม่สร้างความประทับใจแก่พระนางมารี และความเห็นของพระนางเกี่ยวกับกฎหมายรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ ซึ่งพระนางพิจารณาว่าไม่เหมาะสม ก็ไม่ได้ช่วยอะไร พระนางมารีได้สร้างความตกตะลึงแก่เจ้าหน้าที่โดยทรงโบกพระหัตถ์ให้รัฐมนตรีของพระนางทั้งหมดออกไปและทรงนำการเจรจาต่อรองด้วยพระนางเอง จากนั้นพระนางทรงแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า "ไม่เป็นไร พวกคุณทั้งหมดเพียงแค่ยอมรับฉันด้วยความผิดพลาดทางศีลธรรมของฉันเอง" พระนางมารีเสด็จออกจากปารีสพร้อมเสบียงอาหารจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือโรมาเนีย ในปีหลังจากนั้น ผลการประชุมได้มีข้อตกลงในสนธิสัญญาแวร์ซายโดยยอมรับโรมาเนียอันยิ่งใหญ่ในระดับนานาชาติ ดังนั้นราชอาณาจักรของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีได้เพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 295,000 ตารางกิโลเมตร (114,000 ตารางไมล์) และจำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นถึงสิบล้านคน สิ่งนี้ทำให้แกรนด์ดัชเชสมาเรีย ปาฟลอฟนาแห่งรัสเซีย ผู้ทรงประทับอยู่ในบูคาเรสต์ช่วงสั้นๆได้สรุปว่า "ด้วยเสน่ห์ ความงามและสติปัญญาที่เพียบพร้อม [มารี]ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงปรารถนา"ความพยายามของราชวงศ์ ความพยายามของราชวงศ์. ในปีค.ศ. 1920 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระธิดาองค์โตของพระนางมารี ทรงหมั้นกับเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซ พระโอรสองค์โตในสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 1 แห่งกรีซกับอดีตสมเด็จพระราชินีโซเฟีย พระญาติของพระนางมารี ซึ่งทรงถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์กรีซ หลังจากที่พระนางทรงเชิญเจ้าชายจอร์จพร้อมพระขนิษฐาทั้งสองพระองค์คือ เจ้าหญิงเฮเลนและเจ้าหญิงไอรีน มาร่วมประทับพร้อมกับพระนางที่ซินายอา พระนางมารีทรงจัดการกิจกรรมต่างๆมากมายแก่คู่หนุ่มสาวทั้งสองและทรงยินดีอย่างมากที่จะทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาของพระนางตามที่ทรงคาดหมายไว้แล้ว ซึ่งพระธิดาของพระนางเองนั้นมีข้อด่างพร้อยอย่างรุนแรง ในเดือนตุลาคม มีรายงานข่าวจากกรีซเกี่ยวกับการสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีอเล็กซานเดอร์แห่งกรีซ ซึ่งเจ้าหญิงกรีซต้องรีบเสด็จกลับไปพบพระบิดาและพระมารดาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในวันถัดมา มีข่าวแจ้งว่า พระมารดาของพระนางมารีได้สิ้นพระชนม์แล้วอย่างสงบที่ซูริก พระนางมารีทรงเตรียมการเดินทางไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งพระนางจะทรงพาเจ้าหญิงเฮเลนและเจ้าหญิงไอรีนไปพบพระบิดาและพระมารดาของทั้งสองพระองค์ได้และเข้าร่วมพิธีฝังพระศพพระมารดาของพระนาง ในขณะที่เจ้าชายจอร์จและเจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงประทับอยู่ที่ซินายอา ในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว มกุฎราชกุมารคาโรลได้มีการหมั้นหมายเจ้าหญิงเฮเลนและทั้งสองพระองค์ก็ได้อภิเษกสมรสในปีถัดมา พระนางมารีทรงปลื้มปิติมาก หลังจากที่ไม่ทรงยอมรับความสัมพันธ์ของมกุฎราชกุมารคาโรลกับซิซิ ลามบริโนและทรงกลุ้มพระทัยมากที่เธอได้ให้กำเนิดลูกนอกสมรสกับมกุฎราชกุมารคาโรล คือ คาโรล ลามบริโน ซึ่งสิ่งที่พระนางพอจะบรรเทาได้ก็คือให้เด็กใช้นามสกุลของมารดา ในปีค.ศ. 1922 พระนางมารีทรงให้ "เจ้าหญิงมิกนอล" พระธิดาองค์ที่สองอภิเษกสมรสกับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย (หลังจากนี้คือ ยูโกสลาเวีย) พระนางมารีทรงปลื้มปิติมากที่พระนัดดาทั้งสองประสูติ ซึ่งก็คือ เจ้าชายไมเคิลแห่งโรมาเนีย (ประสูติ ค.ศ. 1921-2017) และเจ้าชายปีเตอร์แห่งยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1923 - 1970) การประสูติของพระนัดดาทั้งสองพระองค์ที่ถูกกำหนดชะตาให้ครองราชบัลลังก์ในยุโรปดูเหมือนจะประสานความทะเยอทะยานของพระนางได้ ความพยายามในราชวงศ์ของพระนางมารีได้ถูกมองจากนักวิจารณ์ว่าเป็นพระมารดาที่คอยชักจูงควบคุมซึ่งต้องเสียสละความสุขของพระโอรสธิดาของพระนางเองเพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานของพระนาง แต่ในความเป็นจริง พระนางมารีไม่ทรงเคยบังคับพระโอรสธิดาอภิเษกสมรสเลย ค.ศ. 1924 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระราชินีมารีทรงประกอบพระราชกรณียกิจเสด็จทางการทูตไปยังฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, เบลเยียมและสหราชอาณาจักร ในอังกฤษ พระนางทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระเจ้าจอร์จที่ 5 ซึ่งทรงประกาศว่า "นอกเหนือจากการมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน ซึ่งเราได้ทำให้ลุล่วงแล้ว พวกเรายังมีความสัมพันธ์ที่รักใคร่กัน ฝ่าพระบาท สมเด็จพระราชินี ญาติที่รักของข้าพเจ้าเป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด" พระนางมารีทรงเขียนถึงวันที่เสด็จเยือนอังกฤษในทำนองเดียวกันว่า "เป็นวันที่ดีสำหรับฉัน มีทั้งอารมณ์หวาน, ความสุข และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกรุ่งโรจน์ที่ได้กลับมายังประเทศของฉันในฐานะราชินี ที่ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการ เป็นเกียรติอย่างยิ่งและกระตือรือร้นในการแลกเปลี่ยน ที่รู้สึกว่าหัวใจคุณพองโตด้วยความภาคภูมิและความพึงพอใจที่รู้สึกถึงหัวใจเต้นและน้ำตาเริ่มไหลออกจากดวงตาของคุณ ในขณะที่บางสิ่งรวมตัวเป็นก้อนกลืนเข้าไปในลำคอของคุณ!" การเสด็จเยือนในระดับรัฐครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ในการยอมรับศักดิ์ศรีของโรมาเนียที่ได้รับหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในขณะเสด็จเยือนเจนีวา พระนางมารีและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงเป็นพระราชวงศ์คู่แรกที่เสด็จไปยังสำนักงานใหญ่ของสันนิบาตชาติที่พึ่งก่อตั้งขึ้นพระราชพิธีราชาภิเษก พระราชพิธีราชาภิเษก. สถานที่ที่พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกคือที่อัลบาอูเลีย ที่ซึ่งเคยเป็นป้อมปราการสำคัญในยุคกลาง และเป็นที่ซึ่งเจ้าชายไมเคิล ผู้กล้าหาญได้สถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นวอยโวด (Voivode) แห่งทรานซิลเวเนียในปีค.ศ. 1599 จึงเป็นการรวมตัวกันของวัลลาเซียและทรานซิลเวเนียเป็นครั้งแรก มหาวิหารออร์ทอดอกซ์ได้ถูกสร้างขึ้นในชื่อ มหาวิหารราชาภิเษกในปีค.ศ. 1921 - 1922 เครื่องประดับอัญมณีที่สลับซับซ้อนและฉลองพระองค์ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษกโดยเฉพาะ มงกุฎของสมเด็จพระราชินีมารีได้ถูกออกแบบโดยจิตรกรชื่อว่า คอสติน เปเทรสคู และถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบอาร์นูโวโดย "ฟาลีซ" ซึ่งเป็นร้านเครื่องเพชรในกรุงปารีส มงกุฎนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก พระนางมิลิกา เดสปินา พระชายาในองค์ประมุขแห่งวัลลาเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นามว่า เนียกอเอ บาซารับ และทั้งหมดทำขึ้นจากทองคำทรานซิลวาเนีย มงกุฎมีจี้ประดับอยู่ทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นภาพตราแผ่นดินโรมาเนีย อีกข้างหนึ่งเป็นตราอาร์มดยุกแห่งเอดินเบอระ ซึ่งเป็นตราอาร์มที่พระนางมารีทรงใช้ก่อนอภิเษกสมรส มงกุฎมีค่าใช้จ่ายประมาณ 65,000 ฟรังก์ ซึ่งจ่ายโดยรัฐผ่านกฎหมายพิเศษ ท่ามกลางเหล่าอาคันตุกะที่มาร่วมในพระราชพิธีราชาภิเษกของทั้งสองพระองค์มีทั้ง เจ้าหญิงเบียทริซ หรือ "เบบี้บี" พระขนิษฐาของพระนางมารี, ดยุกแห่งยอร์ก และนายพลฝรั่งเศส แม็กซิมี เวย์กองด์ กับ อองรี มัทธีอัส เบอร์เทโลต์ พระราชพิธีได้ดำเนินการโดยอัครบิดรแห่งโรมาเนียทั้งมวล มิรอน คริสที แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการภายในมหาวิหารเนื่อจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงเป็นคาทอลิก และทรงปฏิเสธที่จะรับการสวมมงกุฎจากสมาชิกนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ หลังจากที่ทรงสวมมงกุฎลงบนพระเศียรของพระองค์เองแล้ว พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงสวมมงกุฎให้สมเด็จพระราชินีมารี ซึ่งทรงคุกเข้าอยู่ก่อนแล้ว ทันใดนั้นปืนใหญ่ได้ถูกจุดเป็นสัญญาณว่าพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีองค์แรกแห่งโรมาเนียอันยิ่งใหญ่ได้รับการเจิมตามพิธีศาสนาแล้ว งานเฉลิมฉลองได้ถูกจัดขึ้นในห้องเดียวกับที่สหภาพได้ถูกประกาศในปีค.ศ. 1918 ชาวนากว่า 20,000 คนได้ร่วมรับประทานเนื้อสเต็กย่างที่ถูกเตรียมไว้ ในวันถัดมา พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีได้เสด็จเข้าบูคาเรสต์อย่างสมพระเกียรติ ความยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีราชาภิเษกได้ถูกอ้างมาเป็นหลักฐานการแสดงตนของพระนางมารี พระนางมารีทรงรับเข้ารีตศาสนจักรออร์ทอดอกซ์โรมาเนียในปีค.ศ. 1926 เป็นการกล่าวถึงการที่ทรงปรารถนาที่จะใกล้ชิดกับพสกนิกรของพระนางเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา. พิพิธภัณฑ์ศิลปะแมรีฮิลล์ในแมรีฮิลล์, วอชิงตันซึ่งแต่เดิมได้รับการออกแบบเพื่อนเป็นคฤหาสน์ของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ซามูเอล ฮิลล์ แต่ด้วยคำขอของลออี ฟูลเลอร์ ทำให้อาคารนี้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แทน ฮิลล์หวังว่ามันจะถูกอุทิศไปใช้สอยในปีค.ศ. 1926 และเขาคิดว่ามันเป็นอนุสรณ์แห่งความสงบสุขแด่ภรรยาของเขา แมรี และสมเด็จพระราชินีมารี พระนางมารีทรงเห็นด้วยที่จะเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและเป็นสักขีพยานในการอุทิศอาคารนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟูลเลอร์เป็นพระสหายเก่าของพระนาง ฟูลเลอร์รีบประสานความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการที่สนับสนุน "การเสด็จเยือน" อเมริกาของพระนางมารี และได้มีการเตรียมการเมื่อพระนางทรงออกเดินทาง พระนางมารีทรงมองการเดินทางครั้งนี้ว่าเป็นการ "เห็นประเทศ, พบปะประชาชนและวางโรมาเนียลงบนแผนที่" พระนางทรงเดินทางด้วยเรือข้ามมหาสมุทรแอตเลนติกและเสด็จถึงนิวยอร์กในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1926 โดยมีเจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนาโดยเสด็จด้วย เมื่อเสด็จถึง พระนางมารีทรงได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นโดยชาวอเมริกัน ด้วย"เสียงหวูดของเรือกลไฟ, เสียงสนั่นของปืนที่พ่นควันขาวเหนือหมอกสีเทา, เสียงแซ่ซ้องตามฝนที่ตกลงมา" พระนางทรงได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจากจิมมี วอล์กเกอร์ นายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก คอนสแตนซ์ ลิลลี มอร์ริส ผู้เขียนหนังสือ On Tour with Queen Marie ได้เขียนว่า ผู้คนมีความตืนเต้นสำหรับการเสด็จถึงของพระนางมารีโดยส่วนใหญ่เพราะเสน่ห์ของพระนางเป็นสิ่งที่เกือบจะเป็นตำนาน ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นโดยเอกสารและคำเล่าลือตลอดพระชนม์ชีพของพระนาง เธอได้ตั้งข้อสังเกตว่า "สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียมผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ครั้งหนึ่งทรงเสด็จมาพร้อมกับพระสวามีของพระนางเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และหลายปีที่ผ่านมาพระประมุขแห่งฮาวาย ผู้ผิวดำ ได้รับเกียรติจากเรา แต่ก็ไม่มีโอกาสอื่นอีก และเวลาก็ไม่ได้ถูกตั้งไว้ดีไปกว่านี้" พระนางมารีทรงเป็นที่นิยมในหมู่สตรีที่เรียกร้องสิทธิเลือกตั้ง ที่ซึ่งพระนางทรงถูกมองว่าเป็น"สตรีที่มีปัญญา ทรงวางแผนการรัฐประหารหลายต่อหลายครั้ง ที่ซึ่งสมองของพระนางได้คิดแก้ไขปัญหายากๆเพื่อพสกนิกรของพระนาง ผู้ซึ่งเคยเป็นของขวัญแก่พระนางเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีของพระนาง" ในช่วงที่เสด็จเยือนอเมริกา พระนางมารี, เจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนาได้เสด็จเยือนหลายเมืองรวมทั้ง ฟิลาเดลเฟีย ทุกพระองค์เป็นที่นิยมชมชอบมากและทรงได้รับการต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นอย่างเท่าเทียมกันในแต่ละเมืองที่ได้เสด็จ ซึ่งมีมากเสียจน "[เจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนา]รู้สึกมีนงงอย่างพอสมควรโดยการปรบมืออย่างมากของพวกเขา" ก่อนที่จะเสด็จออกจากสหรัฐอเมริกาพระนางมารีทรงถูกเสนอให้ประทับรถกันกระสุนเข้าเมืองจากบริษัทวิลลีส์-ไนท์ ซึ่งพระนางทรงตอบรับอย่างเป็นสุข ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พระนางมารีและพระโอรสธิดาได้รับการส่งเสด็จจากคณะผู้แทนจากวอชิงตัน ดี.ซี. เนื่องจากทรงเตรียมที่จะเสด็จออกจากอ่าวนิวยอร์กด้วยเรือ มอร์ริสได้เขียนว่า "จากมุมมองสุดท้ายของเราต่อฝ่าพระบาทและพระโอรสธิดาของพระนางทรงโบกพระหัตถ์กลับมาหาเราด้วยรอยยิ้มและน้ำตาจากการที่ทรงผ่านฉากแห่งความสุข" มอร์ริสได้เดินทางมาพร้อมกับสมเด็จพระราชินีตลอดการเดินทางของพระนางและได้บันทึกรายละเอียดช่วงเวลของพระนางมารีในอเมริกาลงในหนังสือของเธอ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1927 พระนางมารีทรงรู้สึกยินดีกับการเสด็จเยือนครั้งนี้มากและทรงหวังว่าจะได้กลับมาอเมริกาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พระนางทรงบันทึกในพระอนุทินของพระนางว่า "ทั้งลูกๆและตัวฉันต่างมีความฝันเดียวกันคือ การกลับมา! การกลับไปยังโลกใหม่ที่น่าทึ่ง ซึ่งจะทำให้คุณเกือบจะเวียนหัว เพราะมันมหึมามาก, มันมีเสียงหนวกหู, มันมีการแข่งขัน, มันมีความก้าวหน้าอย่างใจร้อนที่จะทำอย่างมากขึ้นเสมอ,มันมักจะใหญ่โตขึ้น, เร็วขึ้น, มีความร้อนใจอย่างน่าอัศจรรย์ ที่ซึ่งฉันคิดว่าทุกสิ่งเป็นที่สามารถรับรู้...ฉันรู้ว่าตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่, ยังหายใจและยังคงคิด ความรักสำหรับอเมริกาจะทำให้ชีวิตและความคิดของฉันสวยงาม...บางทีโชคชะตาอาจจะช่วยให้ฉันได้กลับไปยังอเมริกาสักวันหนึ่ง"ตกพุ่มหม้าย (ค.ศ. 1927 - 1938)ค.ศ. 1927 - 1930 ตกพุ่มหม้าย (ค.ศ. 1927 - 1938). ค.ศ. 1927 - 1930. เจ้าชายคาโรลทรงทำให้เกิดวิกฤตราชวงศ์โรมาเนียขึ้นโดยทรงประกาศสละสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1926 พร้อมกับทรงสละสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของเจ้าชายไมเคิล ซึ่งได้รับการประกาศเป็นองค์รัชทายาทแทน พระราชบัญญัติผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้ผ่านสภา และได้จัดตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินซึ่งประกอบด้วย เจ้าชายนิโคลัส, อัครบิดรแห่งโรมาเนีย มิรอน คริสทีและจีออร์เก บุซดูกาน ประธานศาลยุติธรรมสูงสุด อย่างไรก็ตามทั้งพระนางมารีและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ก็ไม่ทรงเต็มพระทัยที่เสด็จออกไปโดยปล่อยให้ประเทศอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระนัดดา ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา แม้ว่าจะทรงได้รับการดูแลจากคณะผู้สำเร็จราชการ เนื่องจากทรงกลัวว่าดินแดนที่ได้รับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะถูกอ้างสิทธิโดยประเทศเพื่อนบ้านและความผันผวนทางการเมืองอาจจะนไปสู่ความไม่สงบได้ อย่างไรก็ตามเมื่อพระนางมารีเสด็จกลับมาจากอเมริกา พระชนม์ชีพของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ดูเหมือนใกล้จะดับสิ้นลง พระองค์ทรงประชวรอย่างทุกข์ทรมานด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และในเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 ทรงใกล้จะสวรรคตโดยทรงรับพิธีกรรมสุดท้ายของคริสตจักรโรมันคาทอลิก พระองค์สวรรคตในวันที่ 20 กรกฎาคม ภายในอ้อมพระพาหาของพระนางมารี พระนางทรงเขียนในเวลาต่อมาว่า " 'ฉันเหนื่อยเหลือเกิน' นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดและเมื่อเขาเอนตัวลงนอนอย่างเงียบสงบภายในอ้อมแขนของฉัน หนึ่งชั่วโมงต่อมาฉันรู้ว่าอย่างน้อยฉันต้องขอบคุณพระเจ้าเพื่อเขา นี่เป็นการพักผ่อนอย่างสงบที่แท้จริง" เจ้าชายไมเคิลทรงสืบราชบัลลังก์ต่อโดยอัตโนมัติหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ และสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้เข้ามารับบทบาทของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1928 เจ้าชายคาโรลทรงพบว่าพระชนม์ชีพของพระองค์ในต่างประเทศกับแม็กดา ลูเปสคูเป็นที่ไม่น่าพอพระทัย ทรงพยายามหาหนทางเสด็จกลับมายังโรมาเนียด้วยความช่วยเหลือของไวส์เคานท์โรเทอร์แมร์ที่ 1 พระองค์ทรงถูกสั่งห้ามทำเช่นนั้นโดยผู้มีอำนาจในอังกฤษ ซึ่งได้ดำเนินการขับไล่พระองค์ออกจากอังกฤษ ด้วยความพิโรธอย่างมาก พระนางมารีทรงส่งคำขอโทษอย่างเป็นทางการแก่พระเจ้าจอร์จที่ 5 ในนามของพระโอรสของพระนาง ซึ่งพระโอรสได้เริ่มต้นวางแผนการก่อรัฐประหาร เจ้าชายคาโรลทรงประสบความสำเร็จในการหย่าขาดจากเจ้าหญิงเฮเลนในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1928 ด้วยฐานจากการที่ไม่ทรงลงรอยกัน ความนิยมในพระนางมารีได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในรัชสมัยของพระเจ้าไมเคิลและหลังจากที่ทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในปีค.ศ. 1929 พระนางทรงถูกกล่าวหาโดยสื่อและแม้กระทั่งเจ้าหญิงเฮเลนว่าทรงวางแผนก่อรัฐประหาร ในช่วงนี้ มีข่าวลือเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงอีเลียนา หลังจากที่มีการพูดคุยถึงการที่จะให้เจ้าหญิงอีเลียนาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรียหรือเจ้าชายแห่งอัสตูเรียส และในที่สุดเจ้าหญิงก็ทรงหมั้นกับอเล็กซานเดอร์ เคานท์แห่งโฮชเบิร์ก ราชนิกุลเยอรมันสายรองในต้นปีค.ศ. 1930 แต่การหมั้นครั้งนี้อายุสั้น พระนางมารีไม่ทรงสามารถจัดการอภิเษกสมรสทางการเมืองของพระธิดาองค์เล็กได้ ซึ่งเจ้าหญิงต้องทรงอภิเษกสมรสกับอาร์คดยุกแอนตันแห่งออสเตรีย-ทัสคานี จากอิตาลีแทนในปีค.ศ. 1931รัชสมัยพระเจ้าคาโรล รัชสมัยพระเจ้าคาโรล. ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1930 เจ้าชายคาโรลได้เสด็จถึงบูคาเรสต์และเสด็จไปยังรัฐสภา ที่ซึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ค.ศ. 1927 ได้ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ ดังนั้น เจ้าชายคาโรลจึงช่วงชิงราชบัลลังก์ของพระโอรส และทรงครองราชย์เป็น พระเจ้าคาโรลที่ 2 เมื่อทรงได้ทราบข่างการกลับมาของพระเจ้าคาโรล พระนางมารีผู้ทรงประทับอยู่ต่างประเทศก็ทรงโล่งพระทัย พระนางทรงมีความกังวลกับทิศทางที่ประเทศกำลังมุ่งไปมากและทรงมองการกลับมาของพระเจ้าคาโรลว่าเป็น การกลับมาของบุตรชายผู้ล้างผลาญ (Return of the Prodigal Son) แต่ทันทีที่พระนางเสด็จกลับบูคาเรสต์ พระนางก็ทรงเริ่มตระหนักว่าทุกสิ่งเป็นไปไม่ได้ด้วยดี พระเจ้าคาโรลทรงปฏิเสธคำแนะนำของพระนางมารีที่ให้รับเจ้าหญิงเฮเลนกลับมา และไม่ทรงเคยของคำปรึกษาพระนางมารีตลอดรัชสมัยของพระองค์เลย จึงทำให้รอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างพระมารดาและพระโอรสที่มีอยู่แล้วได้แตกหักโดยสมบูรณ์ ด้วยความอ้างว้างและพระนางเกือบจะละทิ้งความเชื่อของพระนาง พระนางมารีทรงหันไปสนพระทัยคำสอนของศาสนาบาไฮ ซึ่งพระนางทรงพบว่า "มีความน่าสนใจอย่างมาก" พระนางมารีทรงเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกที่นับถือบาไฮ พระนางทรงเขียนในเวลาต่อมาว่า "ศาสนาบาไฮสอนให้นำมาซึ่งความสงบสุขและความเข้าใจ มันเหมือนกับอ้อมกอดกว้างที่รวมผู้คนซึ่งหาความหมายของความหวังมาเป็นเวลานานเข้าด้วยกัน มันยอมรับศาสดาทั้งหลายที่มีมาก่อนหน้านี้ มันไม่ทำลายลัทธิอื่นๆและปล่อยให้ประตูทุกบานเปิดออก โชคร้ายจากความขัดแย้งที่มีอย่างต่อเนื่องในหมู่ผู้ศรัทธาในคำสารภาพและความระอาในการถือทิฐิที่มีต่อกันและกัน ฉันได้ค้นพบคำสอนของบาไฮที่สอนถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของพระคริสต์ที่มักจะถูกปฏิเสธและเข้าใจผิด: ความสามัคคีแทนที่ความขัดแย้ง, ความหวังแทนที่การลงทัณฑ์, ความรักแทนที่ความเกลียดชัง และความไว้วางใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน" ในปีค.ศ. 1931 เจ้าชายนิโคลัสทรงหนีตามไปกับเอียนา โดเลทติ ผู้หญิงผู้เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว พระนางมารีไม่ทรงเห็นด้วยกับการกระทำของพระโอรสและทรงรู้สึกเจ็บปวดจากการพยายามเข้าไปเกี่ยวในเรื่องของโดเลทติอย่างซ้ำๆทำให้เจ้าชายนิโคลัสทรงหลีกเลี่ยงที่จะติดต่อกับพระมารดา แม้ว่าพระนางจะทรงตำหนิผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของพระโอรส ในขณะเดียวกันพระนางก็ทรงตำหนิตัวพระนางเองด้วยในการที่ทรงล้มเหลวจากการพยายามทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง แต่พระนางก็ทรงดื้อดึงและปฏิเสธที่จะพบกับแม็กดา ลูเปสคู แม้ว่าพระเจ้าคาโรลจะทรงอ้อนวอนก็ตาม จนกระทั่งในปีสุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระนางก็แทบจะไม่กล่าวถึงชื่อของลูเปสคูเลย ด้วยทั้งประเทศเกลียดชังพระสนมในพระเจ้าคาโรล มันเป็นช่วงก่อนที่ฝ่ายปฏิปักษ์ของพระมหากษัตริย์จะเกิดขึ้น ฝ่ายปฏิปักษ์นี้ที่โดดเด่นที่สุดคือมาจากกลุ่มไอออนการ์ด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากเบนิโต มุสโสลินีและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หลังจากที่พระเจ้าคาโรลทรงหันมาขอให้นายกรัฐมนตรีเอียน ดูคาช่วยเหลือ กลุ่มไอออนการ์ดได้ลอบสังหารดูคาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1933 หลังจากการอสัญกรรมของดูคา ความนิยมในพระเจ้าคาโรลได้ลดลงและได้มีข่าวลือว่าจะมีความพยายามลอบปลงพระชนม์พระองค์ในพิธีสวนสนามอิสรภาพประจำปี เพื่อทรงหลีกเลี่ยงการนี้ พระองค์จึงให้พระนางมารีเสด็จแทนพระองค์ในพิธีสวนสนามนี้ และครั้งนี้จะเป็นการปรากฏพระองค์ต่อหน้าสาธารณชนครั้งสุดท้ายของพระนางมารี หลังจากพิธีสวนสนามผ่านไป พระเจ้าคาโรลทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระมารดาท่ามกลางชาวโรมาเนียและทรงพยายามที่จะผลักดันให้พระนางเสด็จออกจากประเทศ แต่พระนางมารีไม่ทรงยอมทำตาม และทรงเสด็จไปประทับที่ชนบททั้งสองแห่งแทน สถานที่แรกคือปราสาทบราน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองบราซอฟในทรานซิลเวเนียใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้มอบให้พระนางเป็นของกำนัลไว้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1920 และพระนางทรงบูรณะสถานที่ในอีกเจ็ดปีต่อมา อีกสถานที่หนึ่งคือบอลชิค ที่ซึ่งพระนางทรงสร้างพระราชวังบอลชิคและโบสถ์เล็กๆที่เรียกว่า Stella Maris และทรงตกแต่งสวนของพระนาง พระนางยังทรงเสด็จเยี่ยมเจ้าหญิงอีเลียนาและพระโอรสธิดาของเจ้าหญิงในออสเตรีย เจ้าหญิงอีเลียนาไม่ค่อยทรงได้รับอนุญาตจากพระเจ้าคาโรลให้เสด็จเยือนโรมาเนีย สิ่งนี้ทำให้พระนางมารีทรงขุ่นเคืองพระทัยมาก พระนางยังทรงเสด็จไปยังเบลเกรดโดยทรงใช้เวลากับพระธิดา "เจ้าหญิงมิกนอน" และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ พระชามาดา ในปีค.ศ. 1934 พระนางมารีเสด็จเยือนอังกฤษอีกครั้ง ทรงพบกับดัชเชสแห่งยอร์ก ผู้ซึ่งทำให้พระนางทรงปลื้มปิติมากประชวรและสิ้นพระชนม์ ประชวรและสิ้นพระชนม์. ในช่วงฤดูร้อนปีค.ศ. 1937 พระนางมารีทรงพระประชวร แพทย์ประจำพระองค์คือ นายแพทย์คัสเตลานี ได้วินิจฉัยว่าพระนางทรงเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนแม้ว่าการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการจะระบุว่าทรงเป็นโรคตับแข็ง พระนางมารีไม่ใช่นักดื่มและเมื่อทรงได้ยินข่าว พระนางทรงรายงานว่า "มันต้องเป็นโรคตับแข็งที่ไม่มีแอลกอฮอล์แน่ๆ เพราะตลอดทั้งชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยลิ้มรสแอลกอฮอล์เลยนะ" พระนางได้ถูกแนะนำให้งดเสวยพระกระยาหารที่เย็นจัด และรับการฉีดยาและบรรทมพักผ่อน ในช่วงนั้นพระนางมารีทรงมีพระวรกายที่อ่อนแอมาก จนพระนางไม่ทรงสามารถแม้แต่จับปากกาได้เลย ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 พระนางถูกส่งไปยังโรงพยาบาลในอิตาลี ด้วยหวังว่าพระวรกายจะได้รับการฟื้นฟู ที่นั่นเจ้าชายนิโคลัสและพระชายาของเจ้าชายได้เสด็จเยี่ยมพระนางมารี ซึ่งในที่สุดแล้วพระนางมารีทรงให้อภัยในการกระทำผิดของพระสุณิสา นอกจากนี้ เจ้าหญิงเฮเลน ผู้ซึ่งพระนางไม่ทรงเคยพบอีกเลยตลอดระยะเวลา 7 ปี ได้เสด็จมาเยี่ยมพระนาง รวมทั้งวัลดอร์ฟ อัสเตอร์ด้วย ในที่สุดพระนางมารีทรงถูกย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลในเดรสเดิน ด้วยพระอาการทรุดลงเรื่อยๆ พระนางมารีทรงขอเสด็จกลับโรมาเนียเพื่อที่จะได้สิ้นพระชนม์ที่นั่น พระเจ้าคาโรลปฏิเสธที่จะให้พระนางเสด็จโดยเครื่องบิน และพระนางทรงปฏิเสธบริการทางการแพทย์อากาศที่ฮิตเลอร์ได้ทูลเสนอให้ โดยทรงเลือกเสด็จกลับโรมาเนียโดยรถไฟแทน พระนางทรงเข้าประทับที่ปราสาทเปลิซอร์ พระนางมารีสิ้นพระชนม์ในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938 เวลา 17.38 น. เป็นเวลาแปดนาทีหลังจากพระอาการอยู่ในช่วงโคม่า พระโอรสธิดาองค์โต คือ พระเจ้าคาโรลและเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พร้อมกับเจ้าชายไมเคิล ทรงอยู่กับพระนางในช่วงวาระสุดท้าย สองวันถัดมา ในวันที่ 20 กรกฎาคม พระศพของพระนางมารีได้ถูกนำมาที่บูคาเรสต์ ซึ่งมาประกอบพิธีตั้งพระศพที่ห้องรับแขกสีขาวในพระราชวังโคโทรเซนี โลงพระศพของพระนางได้ล้อมรอบด้วยดอกไม้และเทียนแสงแวววาวและได้รับการรักษาโดยทหารจากกองทหารม้าฮุสซาร์ ผู้คนหลายพันคนเข้าแถวล้อมรอบพระศพของพระนางมารีในช่วงเวลาสามวันของพิธีตั้งพระศพ ในวันที่สาม พระราชวังได้เปิดให้กรรมกรโรงงานเข้ามาร่วมพิธี ขบวนพระศพของพระนางมารีได้ไปยังสถานีรถไฟโดยผ่านประตูชัยโรมาเนีย พระศพของพระนางได้ถูกนำไปยังมหาวิหารเคอร์เทียเดออาร์ก ที่ซึ่งทรงถูกฝังที่นั่น พระหทัยของพระนางมารีถูกวางลงในตลับสีทองประดับด้วยสัญลักษณ์ของมณฑลโรมาเนียและฝังอยู่ที่โบสถ์ Stella Maris ในบอลชิคตามพระราชประสงค์ของพระนาง ในปีค.ศ. 1940 หลังจากมณฑลโดบรูจาใต้ถูกผนวกเข้ากับบัลแกเรียในสนธิสัญญาคราเอียวาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระหทัยของพระนางได้ถูกย้ายมาที่ปราสาทบราน ที่ซึ่งเจ้าหญิงอีเลียนาทรงสร้างโบสถ์เพื่อเป็นที่บรรจุพระหทัยและถูกเก็บไว้ในกล่องสองกล่องที่ซ้อนกันอยู่ภายในโลงหินอ่อน พระนางมารีทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้าย โดยเจ้าหญิงเฮเลนทรงได้รับพระอิสริยยศ "สมเด็จพระราชชนนี" เท่านั้นในระหว่างปีค.ศ. 1940 ถึงค.ศ. 1947 พระนางทรงเป็นหนึ่งในห้าพระราชนัดดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่ได้สวมมงกุฎและทรงเป็นหนึ่งในสามที่สามารถรักษาพระอิสริยยศในฐานะสมเด็จพระราชินีได้หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยกันกับสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์และสมเด็จพระราชินีแห่งสเปนมรดก มรดก. ตามที่หนึ่งในนักเขียนพระราชประวัติของพระนางมารี คือ ไดอานา แมนดาเช ได้กล่าวว่า พระนางมารีทรงตีพิมพ์หนังสือและเรื่องสั้น 34 เล่ม ทั้งในภาษาโรมาเนียและภาษาอังกฤษ ตลอดพระชนม์ชีพของพระนาง นี้ได้รวมทั้งอัตชีวประวัติอันน่าสะเทือนใจของพระนางด้วย คือ The Story of My Life ที่ตีพิมพ์โดยคาสเซลในลอนดอน มีทั้งหมดสามเล่ม หนังสือได้รับการวิจารณ์โดยเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ซึ่งเธอได้มองว่ามันทำให้รู้สึกคุ้นเคยกับราชวงศ์มากเกินไป เธอได้ระบุว่า "คิดว่าท่ามกลางหนังสือในฤดูใบไม้ร่วงแห่งปี 2034 คือเรื่อง Prometheus Unbound ของจอร์จที่ 6 หรือเรื่อง Wuthering Heights ของเอลิซาเบธที่ 2 อะไรที่จะส่งผลกระทบต่อความจงรักภักดี จักรวรรดิอังกฤษจะอยู่รอดหรือไม่ พระราชวังบักกิ้งแฮมยังคงแข็งแกร่งดังเช่นในตอนนี้หรือไม่ คำพูดเป็นสิ่งที่อันตรายให้เราจำไว้ สาธารณรัฐอาจจะถูกนำเข้ามาในบทกวี" พระนางมารีทรงเก็บรักษาพระอนุทินมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 จนถึงเวลาสั้นๆก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ และเล่มแรกได้ถูกตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1996 แม้กระทั่งก่อนการเสด็จขึ้นครองราชย์ในฐานะสมเด็จพระราชินี พระนางมารีทรงประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ของพระนางในฐานะ "หนึ่งในเจ้าหญิงที่ดูดีที่สุดและร่ำรวยที่สุดในยุโรป" พระนางทรงเป็ยที่รู้จักอย่างมากในพระอัจฉริยภาพด้านการทรงม้า, การเขียน, ภาพเขียน, การแกะสลัก, การเต้นรำและพระสิริโฉมของพระนาง ความนิยมในตัวพระนางได้ถูกทำให้มัวหมองโดยการกล่าวหาของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือการดำเนินการของฝ่ายมหาอำนาจกลางในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และอีกฝ่ายนำโดยทางการพรรคคอมมิวนิสต์หลังจากที่โรมาเนียได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบสาธารณรัฐสังคมนิยมในปีค.ศ. 1947 โรมาเนียในช่วง 42 ปีภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ พระนางมารีทรงกลายเป็นภาพสลับทั้งเป็น "ตัวแทนของระบอบทุนนิยมอังกฤษ" หรือผู้อุทิศเพื่อชาติที่เชื่อว่าชะตากรรมของพระนางถูกผูกติดไว้กับโรมาเนีย ในปีค.ศ. 1949 หนังสือ Adevărata istorie a unei monarhii ("The True History of a Monarchy") ที่เขียนโดยอเล็กซานดรู การ์เนียตา ได้บรรยายว่า พระนางมารีได้จัดงานเลี้ยงมั่วสุมดื่มสุราที่โคโทรเซนีและบอลชิค และยังอ้างว่าในความเป็นจริงโรคตับแข็งของพระนางมาจากการที่ทรงดื่มอย่างหนัก แม้กระทั่งได้มีการแสดงตัวอย่างว่า พระนางมารีผู้ทรงเมามายมักจะเสด็จด้วยเรือยอชท์ไปพร้อมกับพระสหายเพื่อนดื่มของพระนาง เรื่องราวอื้อฉาวของพระนางมารีได้ถูกยกขึ้นมาเป็นหลักฐานในเรื่องความสำส่อน ซึ่งเป็นสิ่งฝ่าฝืนค่านิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ในปีค.ศ. 1968 ทางการพรรคคอมนิวนิสต์ได้บุกเข้าไปในโบสถ์ที่เก็บรักษาพระหทัยของพระนางมารี ได้เปิดโลงและนำกล่องพร้อมพระหทัยของพระนางไปไว้ที่ปราสาทบราน ในปีค.ศ. 1971 ได้ถูกย้ายไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โรมาเนียในบูคาเรสต์ มันไม่ได้เปลี่ยนไปจนกระทั่งปลายสมัยของนิโคไล เชาเชสกู ปีสุดท้ายก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติโรมาเนีย พระคุณความดีของพระนางมารีได้เป็นที่ยอมรับ ในโรมาเนีย พระนางมารีทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "Mama Răniților" (มารดาแห่งผู้เจ็บไข้) หรือทรงถูกเรียกง่ายๆว่า "Regina Maria" ในขณะที่ในประเทศอื่นๆทรงจดจำพระนางในฐานะ "ราชินีทหาร" (Soldier Queen) และ "Mamma Regina" พระนางยังทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระสัสสุแห่งบอลข่าน" เนื่องมาจากพระธิดาของพระนางทรงอภิเษกสมรสกับราชวงศ์ในคาบสมุทรบอลข่าน ในช่วงที่พระนางสิ้นพระชนม์ พระธิดาของพระนางมารีทรงปกครองสามในสี่ประเทศของคาบสมุทรบอลข่านยกเว้นแต่บัลแกเรีย แม้ว่าพระสันตติวงศ์ของพระนางจะไม่ได้ครองราชบัลลังก์ยุโรปอีกต่อไปแล้ว พระนางมารีทรงได้รับการถวายพระเกียรติในฐานะ "หนึ่งในบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โรมาเนีย" โดยคอนสแตนติน อาร์เกโทเอียนู และในการระลึกถึงพระนาง ได้มีการจัดตั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์กางเขนแห่งสมเด็จพระราชินีมารีขึ้นในโรมาเนีย ก่อนจะถึงปีค.ศ. 2009 สิ่งของหลายชิ้นที่เป็นของพระนางมารีได้ถูกจัดแสดงที่ปราสาทบราน ซึ่งเป็นที่พำนักของพระนางในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ และได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ในปีนั้น เมื่อปราสาทได้รับการบูรณะอย่างเป็นทางการโดยทายาทของเจ้าหญิงอีเลียนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้ย้ายสิ่งของสะสมของพระนางมารีไปไว้ที่อาคารใกล้ๆคือ Vama Medievală ซึ่งยังคงเปิดให้นักท้องเที่ยวเข้าเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ศิลปะแมรี่ฮิลล์ได้มีการจัดนิทรรศการถาวรภายใต้ชื่อ "มารี สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย" (Marie, Queen of Romania) ที่นี่ได้จัดแสดงทั้งฉลองพระองค์ชุดคลุมในพระราชพิธีราชาภิเษกของพระนาง, มงกุฎจำลอง, เครื่องเงิน, เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเพชร รวมทั้งสิ่งของอื่นๆพระโอรสธิดาพระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์และตราอาร์มพระอิสริยยศพระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์และตราอาร์ม. พระอิสริยยศ. - 29 ตุลาคม ค.ศ. 1875 - 10 มกราคม ค.ศ. 1893 : เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ,เจ้าหญิงแห่งสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์,เจ้าหญิงแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา,ดัชเชสแห่งแซกโซนี - 10 มกราคม ค.ศ. 1893 - 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914: มกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย - 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914 - 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1927: สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย - 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 - 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938: สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนียตราอาร์มอังกฤษ ตราอาร์มอังกฤษ. ในฐานะที่เป็นพระนัดดาขององค์ประมุขอังกฤษที่สืบเชื้อสายมาจากบุรุษ ทำให้พระนางมารีทรงได้รับตราอาร์มแห่งราชอาณาจักร พร้อมโล่ในสำหรับแซกโซนี ที่แตกต่างกันด้วยฉลากเงินห้าจุด คู่ด้านนอกยึดติดด้วยสีฟ้า สีแดงกุหลาบภายในและตรงกลางเป็นกางเขนสีแดง ในปีค.ศ. 1917 โล่ในได้ถูกยกเลิกโดยพระบรมราชานุญาตในพระเจ้าจอร์จที่ 5เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์. พระนางมารีทรงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังนี้- โรมาเนีย : เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎ ชั้น Grand Cross - ฝรั่งเศส : เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ - ฝรั่งเศส : เครื่องอิสริยาภรณ์เมดายล์มิลิแตร์ - : เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎแห่งอิตาลี - บริติชราช : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ดาราแห่งอินเดีย - สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์กาชาด - สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต - สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซนต์จอร์จ - สเปน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์สมเด็จพระราชินีมาเรีย ลุยซาพระราชตระกูล
สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้ายคือใคร
{ "answer": [ "สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย" ], "answer_begin_position": [ 138 ], "answer_end_position": [ 169 ] }
3,533
239,459
สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย หรือ เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระ (มารี อเล็กซานดรา วิกตอเรีย, 27 ตุลาคม ค.ศ. 1875 - 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938) เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้าย โดยเป็นพระมเหสีในพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทรงประสูติในฐานะพระราชวงศ์อังกฤษ พระองค์ทรงได้รับพระอิสริยยศ เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระเมื่อครั้งประสูติ พระบิดาและพระมารดาของพระองค์คือ เจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินเบอระและแกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย ในวัยเยาว์ เจ้าหญิงมารีทรงใช้พระชนมชีพในเคนต์, มอลตาและโคบูร์ก หลังจากการปฏิเสธข้อเสนอที่จะอภิเษกสมรสกับพระญาติของพระองค์เองคือ พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรในอนาคต พระองค์ทรงได้รับเลือกให้เป็นพระชายาในมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์แห่งโรมาเนีย องค์รัชทายาทของพระเจ้าคาโรลที่ 1 แห่งโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1892 เจ้าหญิงมารีทรงดำรงเป็นมกุฎราชกุมารีอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1893 ถึง ค.ศ. 1914 ซึ่งทรงดำรงในพระอิสริยยศนี้ยาวนานที่สุดในบรรดาผู้ครองพระอิสริยยศนี้ และทรงกลายเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ประชาชนชาวโรมาเนียในทันที เจ้าหญิงมารีทรงควบคุมพระสวามีผู้ทรงอ่อนแอและเอาแต่ใจก่อนที่จะทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1914 เป็นแรงกระตุ้นให้นักหนังสือพิมพ์ชาวแคนาดาได้ให้ความเห็นว่า "มีพระมเหสีเพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นที่จะทรงมีอิทธิพลยิ่งใหญ่กว่าสมเด็จพระราชินีมารีในช่วงรัชสมัยพระสวามีของพระองค์" หลังจากการเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมเด็จพระราชินีมารีทรงผลักดันให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ดำเนินการเป็นพันธมิตรกับไตรภาคีและประกาศสงครามกับเยอรมนี ซึ่งที่สุดก็ทรงดำเนินการในปี ค.ศ. 1916 ในช่วงแรกของสงคราม บูคาเรสต์ได้ถูกยึดครองโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางและสมเด็จพระราชินีมารี พระเจ้าเฟอร์ดินานด์พร้อมพระโอรสธิดาทั้ง 5 พระองค์ทรงลี้ภัยไปยังมอลดาเวีย ซึ่งที่นั่นสมเด็จพระราชินีมารีและพระธิดาทั้งสามพระองค์ทรงประกอบพระกรณียกิจในฐานะพยาบาลในโรงพยาบาลทหาร ทรงดูแลทหารที่บาดเจ็บหรือเป็นอหิวาตกโรค ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1918 แคว้นทรานซิลเวเนีย ตามมาด้วยเบสซาราเบียและบูโกวินา ได้รวมตัวกันจัดตั้ง ราชอาณาจักรโรมาเนียเก่า พระนางมารีในขณะนี้ทรงดำรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเกรตเทอร์โรมาเนีย พระองค์ทรงเข้าร่วมการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ซึ่งพระองค์ทรงทำให้นานาชาติยอมรับในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1922 สมเด็จพระราชินีมารีและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในมหาวิหารที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษที่เมืองโบราณซึ่งก็คือ อัลบาอูเลีย เป็นพระราชพิธีที่ซับซ้อนซึ่งสะท้อนสถานะของทั้งสองพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ของรัฐทั้งมวล ขณะเป็นสมเด็จพระราชินี พระองค์ทรงได้รับความนิยมอย่างมาก จากทั้งในโรมาเนียและต่างประเทศ ในปี ค.ศ. 1926 สมเด็จพระราชินีมารีและพระโอรสธิดาอีก 2 พระองค์ได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาในทางการทูต ทั้งสามพระองค์ได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างกระตือรือร้นและทรงเสด็จเยือนหลายเมืองก่อนจะกลับโรมาเนีย เมื่อเสด็จกลับ สมเด็จพระราชินีมารีทรงพบว่าพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตในไม่กี่เดือนต่อมา ในช่วงนี้สมเด็จพระพันปีหลวงมารีทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งในสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่จะต้องปกครองประเทศแทนพระนัดดาที่ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ ซึ่งก็คือ พระเจ้าไมเคิลแห่งโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1930 พระโอรสองค์โตของพระนางมารีคือ เจ้าชายคาโรลแห่งโรมาเนีย ซึ่งทรงถูกเว้นสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ ได้ถอดถอนพระโอรสและช่วงชิงราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ในฐานะ พระเจ้าคาโรลที่ 2 พระองค์ทรงถอดถอนพระนางมารีออกจากบทบาททางการเมืองและทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระมารดา เป็นผลให้พระนางมารีต้องเสด็จออกจากบูคาเรสต์และทรงใช้พระชนมชีพที่เหลือในชนบท หรือไม่ก็พระตำหนักของพระองค์ที่ทะเลดำ ในปี ค.ศ. 1937 พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคตับแข็งและสิ้นพระชนม์ในปีถัดมา จากการเปลี่ยนแปลงโรมาเนียไปสู่สาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ถูกประณามอย่างรุนแรงโดยทางการพรรคคอมมิวนิสต์ มีหลายบันทึกชีวประวัติเกี่ยวกับพระราชวงศ์ที่ได้บรรยายว่า พระนางมารีทรงเป็นคนติดสุราและมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ โดยมาจากเรื่องอื้อฉาวจำนวนมากและพฤติกรรมที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวทั้งก่อนและในระหว่างสงคราม ในช่วงปีที่นำไปสู่การปฏิวัติโรมาเนียในปี ค.ศ. 1989 ความนิยมในพระนางมารีได้รับการฟื้นฟูและพระองค์ทรงได้รับการเสนอภาพในฐานะผู้รักชาติจากประชาชน แรกเริ่มสิ่งที่จดจำได้เกี่ยวกับพระนางมารีคือการอุทิศพระองค์ในฐานะพยาบาล แต่ก็ทรงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในการที่ทรงพระนิพนธ์งานเขียน รวมถึงพระนิพนธ์อัตชีวประวัติที่น่าสะเทือนใจของพระองค์เองช่วงต้นพระชนมชีพ (ค.ศ. 1875 - 1893)ประสูติ ช่วงต้นพระชนมชีพ (ค.ศ. 1875 - 1893). ประสูติ. เจ้าหญิงมารีประสูติที่พระตำหนักของพระราชบิดาและพระราชมารดาที่อีสต์เวลปาร์ก มณฑลเคนต์ ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1875 เวลา 10.30 น. ต่อหน้าพระราชบิดา การประสูติของพระองค์ได้มีการเฉลิมฉลองด้วยการยิงสลุต พระองค์เป็นพระราชธิดาองค์โตและเป็นพระราชบุตรองค์ที่สองในเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินเบอระและเจ้าหญิงมาเรีย อเล็กซานดรอฟนา ดัชเชสแห่งเอดินเบอระ (เดิมคือ แกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย) เจ้าหญิงทรงได้รับการตั้งพระนามว่า มารี อเล็กซานดรา วิกตอเรีย ตามพระนามของพระราชมารดาและพระอัยยิกา แต่เจ้าหญิงมีพระนามอย่างไม่เป็นทางการว่า "มิสซี่" (Missy) ดยุกแห่งเอดินเบอระทรงบันทึกไว้ว่าพระธิดาของพระองค์ "สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีเหมือนพี่ชายของเธอและจะแสดงให้เห็นถึงปอดที่มีสุขภาพที่ดี และจะทำเช่นนั้นก่อนที่เธอจะได้รับความเป็นธรรมในโลก" ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่ในสายสันตติวงศ์ฝ่ายชาย เจ้าหญิงมารีมีพระนามอย่างเป็นทางการว่า "เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระ" ตั้งแต่ประสูติ พิธีตั้งพระนามของเจ้าหญิงมารีได้จัดขึ้นในโบสถ์ส่วนพระองค์ที่พระราชวังวินด์เซอร์ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1875 และกระทำอย่างเป็นทางการโดยอาเทอร์ สแตนลีย์และเจอรัลด์ เวลสลีย์ เจ้าคณะแห่งวินด์เซอร์ พิธีล้างบาปจัดแบบ "ส่วนพระองค์และเคร่งครัด" เนื่องจากเป็นเวลาหนึ่งวันหลังจากพิธีครบรอบการสิ้นพระชนม์ของพระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งก็คือ เจ้าชายอัลเบิร์ต พระบิดาและพระมารดาอุปถัมภ์ของเจ้าหญิงมารีได้แก่ จักรพรรดินีมารีเยีย อะเลคซันโดรฟนาแห่งรัสเซีย (พระอัยยิกาฝ่ายพระมารดา ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นตัวแทน), เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (พระปิตุจฉา), เจ้าหญิงอเล็กซานดรีนแห่งบาเดิน ดัชเชสแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา (พระปัยยิกา ซึ่งเจ้าหญิงเฮเลนาแห่งสหราชอาณาจักรทรงเป็นตัวแทน), ซาเรวิชแห่งรัสเซีย (พระมาตุลา ซึ่งปีเตอร์ อันเดรเยวิช ชูวาลอฟเป็นตัวแทน) และดยุกแห่งคอนน็อตและสตราเธิร์น (พระปิตุลา ซึ่งเจ้าชายลีโอโพลด์ ดยุกแห่งออลบานีทรงเป็นตัวแทน)การศึกษาอบรม การศึกษาอบรม. เจ้าหญิงมารีพร้อมพระเชษฐาและพระขนิษฐาของพระองค์ ได้แก่ เจ้าชายอัลเฟรด (ประสูติ ค.ศ. 1874), เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา (ประสูติ ค.ศ. 1876 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "ดั๊กกี้"), เจ้าหญิงอเล็กซานดรา (ประสูติ ค.ศ. 1878 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "ซานดรา") และเจ้าหญิงเบียทริซ (ประสูติ ค.ศ. 1884 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "เบบี้บี") ทรงใช้พระชนมชีพในช่วงต้นส่วนใหญ่ที่อีสต์เวลปาร์ก ที่ซึ่งพระราชมารดาทรงโปรดมากกว่าพระตำหนักแคลเรนซ์ สถานที่ประทับ ในบันทึกความทรงจำของพระองค์ เจ้าหญิงมารีทรงจดจำช่วงเวลาที่อีสต์เวลด้วยความรัก ดยุกแห่งเอดินเบอระไม่ได้ทรงใช้พระชนมชีพส่วนใหญ่กับพระโอรสธิดาเนื่องจากทรงต้องปฏิบัติพระกรณียกิจในราชนาวี และพระชนมชีพของพระโอรสธิดาส่วนใหญ่จึงอยู่ภายใต้การปกครองของพระราชมารดา เจ้าหญิงมารีทรงระบุหลังจากนั้นว่าพระองค์ไม่ทรงทราบถึงสีพระเกศาของพระราชบิดาจนกระทั่งหลังจากนั้นทรงทอดพระเนตรไปยังพระสาทิสลักษณ์ และทรงเชื่อว่าสีพระเกศาพระราชบิดาคงจะเข้มกว่าที่เป็นจริง เมื่อพระราชบิดาทรงประทับที่พระตำหนัก ดยุกมักจะทรงเล่นกับพระโอรสธิดา พระองค์มักจะประดิษฐ์เกมจำนวนมากเพื่อมาใช้เล่นกับพระโอรสธิดา ท่ามกลางพระเชษฐาและพระขนิษฐา เจ้าหญิงมารีทรงสนิทกับเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา พระขนิษฐา ซึ่งมีพระชนมายุอ่อนกว่าพระองค์หนึ่งปี แต่หลายคนเชื่อว่าเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตามีพระชนมายุมากกว่าเนื่องจากความสูงของพระองค์ ได้สร้างความผิดหวังให้เจ้าหญิงอย่างมาก พระโอรสธิดาจากบ้านเอดินเบอระทุกพระองค์ได้เข้าพิธีล้างบาปและอบรมภายใต้นิกายแองกลิคัน สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจแก่พระราชมารดาซึ่งทรงเป็นออร์โธดอกซ์รัสเซียอย่างมาก ดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการแยกกันระหว่างรุ่นและเจ้าหญิงมารีทรงเสียพระทัยอย่างลึกๆว่าพระราชมารดาของพระองค์ไม่ทรงเคยอนุญาตให้พระองค์สนทนากับบุคคล "ให้ราวกับว่า [พวกเขา] ก็เท่าเทียมกัน" เลย ถึงกระนั้น ดัชเชสทรงเป็นบุคคลที่มีพระทัยกว้าง, มีวัฒนธรรม และเป็น"บุคคลที่สำคัญที่สุด"ในพระชนม์ชีพวัยเยาว์ของพระโอรสธิดาทุกพระองค์ ตามคำสั่งของพระราชมารดา เจ้าหญิงมารีและพระขนิษฐาต้องได้รับการศึกษาในภาษาฝรั่งเศส ที่เจ้าหญิงและพระขนิษฐาทรงรังเกียจและไม่ค่อยได้ตรัส แต่โดยรวม ดัชเชสทรงละเลยการศึกษาของพระธิดา โดยทรงพิจารณาว่าพระธิดาของพระองค์เองนั้นไม่ฉลาดหรือมีพรสวรรค์เท่าไร ทุกพระองค์ได้รับอนุญาตให้อ่านออกเสียงได้แต่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวาดภาพและการลงสีภาพ ในพื้นที่ที่ทรงได้รับมรดกทางความสามารถจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระธิดาทรงได้รับเพียงแค่ "การเรียนการสอนการเดินเท้า" ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงเสด็จออกรับสมาชิกราชวงศ์บ่อยๆที่อีสต์เวลปาร์ก โดยทรงเชิญร่วมเสวยพระกระยาหารเช้าเกือบทุกวัน และในปีค.ศ. 1885 เจ้าหญิงมารีและเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตาทรงได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวในพิธีอภิเษกสมรสของพระปิตุจฉาคือ เจ้าหญิงเบียทริซกับเจ้าชายเฮนรีแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก ในบรรดาพระสหายของเจ้าหญิงมารีนั้นทรงเป็นพระญาติทางฝ่ายพระมารดา ได้แก่ แกรนด์ดยุกนิโคลัส (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "นิกกี้" ), แกรนด์ดยุกจอร์จ (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "จอร์จี้" ), แกรนด์ดัชเชสเซเนีย และพระญาติอีกสองพระองค์ได้แก่ แกรนด์ดยุกไมเคิล (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "มิชา" ) และแกรนด์ดัชเชสโอลกา ซึ่งมีพระชนมายุอ่อนกว่าพระธิดาบ้านเอดินเบอระมาก พระสหายอื่นๆอีกก็ได้แก่พระโอรสธิดาในพระมาตุลา คือ แกรนด์ดยุกวลาดิมีร์ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย ในปีค.ศ. 1886 เมื่อเจ้าหญิงมารีทรงมีพระชนมายุ 11 พรรษา ดยุกแห่งเอดินเบอระทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญการสูงสุดของกองทัพเรือเมดิเตอร์เรเนียน และทั้งครอบครัวต้องย้ายไปประทับที่พระราชวังซานอันโตนิโอในมอลตา เจ้าหญิงมารีทรงจดจำช่วงเวลาในมอลตาว่า "เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของฉัน" ที่มอลตา เจ้าหญิงมารีทรงพบกับความรักครั้งแรกกับเมาริซ บอร์ก กัปตันเรือของดยุก ซึ่งเจ้าหญิงมารีทรงเรียกเขาว่า "กัปตันที่รัก" เจ้าหญิงมารีทรงรู้สึกหึงหวงเมื่อบอร์กให้ความสนใจในพระขนิษฐามากกว่าพระองค์ ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงรักการประทับในมอลตาอย่างมากและพระราชวังซานอันโตนิโอก็จะเต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือนเสมอ เจ้าหญิงมารีและเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตาทรงได้รับม้าขาวจากพระราชมารดาและจะทรงไปลงแข่งขันในท้องถิ่นเป็นประจำทุกวันยกเว้นวันเสาร์ ในระหว่างช่วงปีแรกที่มอลตา พระพี่เลี้ยงชาวฝรั่งเศสจะเป็นผู้ดูแลการศึกษาแก่เหล่าเจ้าหญิงแต่เมื่อเธอมีสุขภาพไม่ดี ในปีต่อมาเธอจึงถูกแทนที่ด้วยสตรีชาวเยอรมันที่อ่อนวัยกว่า ที่ซานอันโตนิโอ ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงดูแลห้องประทับสำหรับเจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ พระราชโอรสองค์ที่สองในเจ้าชายแห่งเวลส์ ซึ่งทรงปฏิบัติพระกรณียกิจในราชนาวี เจ้าชายจอร์จทรงเรียกพระภคินีจากเอดินเบอระทั้งสามที่สูงวัยกว่าว่า "ผู้น่ารักที่สุดทั้งสาม" แต่ทรงโปรดเจ้าหญิงมารีมากที่สุด ในขณะที่ดยุกแห่งเอดินเบอระทรงกลายเป็นรัชทายาทโดยสมมติของเออร์เนสต์ที่ 2 ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา พระปิตุลาผู้ทรงไร้บุตร เมื่อเจ้าชายแห่งเวลส์ทรงสละสิทธิ์ในดัชชีนี้ ดังนั้นครอบครัวจึงย้ายไปที่โคบูร์กในปีค.ศ. 1889 เจ้าหญิงมารีทรงมีมุมมองในช่วงเวลานี้ว่า "เป็นจุดจบของชีวิตที่เคยได้รับความสุขและสนุกโดยไม่มีใครควบคุมอย่างแท้จริง ชีวิตที่เคยปราศจากความผิดหวังหรือความหลงผิดและไม่มีความบาดหมางใดๆ" องค์ดัชเชสทรงเป็นผู้นิยมเยอรมัน พระองค์ทรงจ้างพระพี่เลี้ยงชาวเยอรมันมาอภิบาลพระธิดา โดยทรงซื้อเสื้อผ้าธรรมดาแก่พระธิดาและแม้กระทั่งให้พระธิดาทรงยอมรับในความเชื่อนิกายลูเทอแรน ครอบครัวทรงใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนที่ปราสาทโรสเนา ดยุกเออร์เนสต์ทรงบรรยายถึงเจ้าหญิงมารีว่าเป็น "เด็กที่แปลกประหลาด" ราชสำนักขององค์ดยุกเป็นราชสำนักที่เข้มงวดน้อยกว่าราชสำนักอื่นๆในเยอรมัน ในโคบูร์ก การศึกษาของเจ้าหญิงได้มีการขยับขยายมากยิ่งขึ้น โดยมีการให้ความสำคัญกับการวาดภาพและดนตรี ซึ่งทรงได้รับการอบรมจากแอนนา เมสซิงและนางเฮลเฟอริช ตามลำดับ ในวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ เจ้าหญิงมารีและพระขนิษฐาจะเสด็จไปยังโรงละครโคบูร์กซึ่งเป็นสถานที่ที่ทุกพระองค์ทรงสนุกอย่างมาก กิจกรรมอื่นๆที่เหล่าพระธิดาทรงโปรดที่โคบูร์กคือการเข้าร่วมงานเลี้ยงฤดูหนาวที่พระราชมารดาทรงจัดขึ้น ที่ซึ่งทุกพระองค์ทรงเล่นสเก็ตน้ำแข็งและเกมกีฬาต่างๆอย่างเช่น ฮอกกี้น้ำแข็งอภิเษกสมรส อภิเษกสมรส. เจ้าหญิงมารีทรงเจริญพระชันษามาเป็น "หญิงสาวที่น่ารัก" ด้วย"ดวงพระเนตรสีฟ้าเป็นประกายและพระเกศาสีอ่อนเนียน" เจ้าหญิงทรงถูกหมายโดยเหล่าราชนิกูลที่ยังโสดทั้งหลาย รวมทั้ง เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ ผู้ซึ่งในปีค.ศ. 1892 ทรงกลายเป็นผู้มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ลำดับที่สอง สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เจ้าชายแห่งเวลส์และดยุกแห่งเอดินเบอระทรงอนุมัติแผนการนี้ แต่เจ้าหญิงแห่งเวลส์และดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงปฏิเสธแผนการนี้ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ไม่ทรงโปรดราชตระกูลที่นิยมเยอรมันและดัชเชสแห่งเอดินเบอระไม่ประสงค์ให้พระธิดาอยู่ในอังกฤษที่ทรงไม่พอพระทัย ดัชเชสทรงไม่พอใจในความเป็นจริงที่ว่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งพระราชบิดานั้นเดิมทรงเป็นเพียงเจ้าชายเยอรมันชั้นรองก่อนที่จะทรงได้รับราชบัลลังก์แห่งเดนมาร์ก ซึ่งทำให้พระองค์ทรงมีลำดับยศสูงกว่าดัชเชสตามลำดับความสำคัญ ดัชเชสแห่งเอดินเบอระยังทรงต่อต้านแนวคิดการแต่งงานกันในระหว่างเครือญาติชั้นที่หนึ่งซึ่งผิดธรรมเนียมในศาสนจักรออร์ทอด็อกซ์รัสเซียของพระองค์แต่เดิม ดังนั้นเมื่อเจ้าชายจอร์จทรงสู่ขอเจ้าหญิง เจ้าหญิงมารีทรงรีบบอกพระองค์ว่าการอภิเษกสมรสนั้นเป็นไปไม่ได้และทรงบอกว่าพระองค์ยังคงเป็น "เพื่อนสนิทที่รัก" ของเจ้าหญิงเสมอ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงให้ความเห็นหลังจากนั้นว่า "จอร์จีสูญเสียมิสซีไปจากการรอและรอ" ในช่วงนี้ พระเจ้าคาโรลที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทรงกำลังมองหาพระชายาที่เหมาะสมสำหรับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการสืบราชสันตติวงศ์และเพื่อให้มั่นพระทัยในความต่อเนื่องของราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน จากแรงกระตุ้นโดยการคาดหวังที่จะขจัดความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและโรมาเนียในการควบคุมเหนือดินแดนเบสซาราเบีย ดัชเชสแห่งเอดินเบอระทรงแนะนำให้เจ้าหญิงมารีทรงพบกับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ เจ้าหญิงมารีและมุกฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงพบกันครั้งแรกและคุ้นเคยกันในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำและทั้งคู่ทรงสนทนาเป็นภาษาเยอรมัน เจ้าหญิงทรงพบว่ามกุฎราชกุมารทรงเป็นคนขี้อายแต่น่ารัก และการพบกันครั้งที่สองก็เป็นไปได้ด้วยดี เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงหมั้นอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเขียนถึงเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ว่า "[เฟอร์ดินานด์]เป็นคนที่ดีและพ่อแม่ของเขาก็มีเสน่ห์ แต่ประเทศนั้นไม่ปลอดภัยอย่างมากและสังคมในบูคาเรสต์เป็นสังคมที่ผิดศีลธรรมอย่างเลวร้ายมาก ดังนั้นงานอภิเษกครั้งนี้จะต้องทำให้ล่าช้าเพราะว่า มิสซียังมีอายุไม่ถึง 17 ปีเลยจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนตุลาคม!" จักรพรรดินีวิกตอเรียแห่งเยอรมัน พระปิตุจฉาของเจ้าหญิงมารี ทรงเขียนถึงมกุฎราชกุมารีโซเฟียแห่งกรีซ พระราชธิดา ว่า "ตอนนี้มิสซีมีความยินดีมาก แต่น่าเศร้าที่เธอยังเด็กนัก แล้วเธอจะสามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?" ในช่วงปลายปีค.ศ. 1892 พระเจ้าคาโรลเสด็จเยือนลอนดอนโดยจะทรงเข้าพบดนุกแห่งเอดินเบอระและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งในที่สุดก็จะทรงเห็นด้วยกับการอภิเษกสมรส และทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แก่พระเจ้าคาโรล ในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1893 เจ้าหญิงมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสที่ปราสาทซิกมาริงเงินในสามพิธี ได้แก่ พิธีระดับรัฐ, พิธีคาทอลิก (ศาสนาของมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์) และพิธีแองกลิคัน (ศาสนาของเจ้าหญิงมารี) พิธีระดับรัฐได้ถูกดำเนินการที่ห้องโถงแดงของปราสาทโดยคาร์ล ฟอน เวนเดล องค์จักรพรรดิเยอรมันได้เสด็จมาเป็นพยานองค์แรกในสัญลักษณ์ของพิธีอภิเษกสมรส ในเวลา 4 นาฬิกา พิธีคาทอลิกได้ถูกจัดที่โบสถ์เมือง โดยพระราชบิดาทรงพาเจ้าหญิงมารีมาที่แท่นบูชา พิธีแองกลิคันมีความเรียบง่ายและได้ดำเนินการในห้องหนึ่งของปราสาท แม้ว่าพระเจ้าคาโรลทรงอนุญาตให้ทั้งคู่เสด็จไป "โฮนิกทัก" (Honigtag; หนึ่งวันสำหรับการฮันนีมูน) เจ้าหญิงมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงใช้เวลาไม่กี่วันที่ปราสาทในเคราเชนวีส์ที่บาวาเรีย จากที่นั่นทรงเดินทางผ่านชนบท และการเดินทางต้องถูกขัดจังหวะและหยุดที่กรุงเวียนนา ที่ซึ่งทรงเข้าเฝ้าจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย เนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างออสเตรียและโรมาเนีย (การเข้าเฝ้าเกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของบันทึกความเข้าใจทรานซิลเวเนีย) ทั้งสองพระองค์เสด็จเยือนเป็นระยะเวลาสั้นๆ และทรงมาถึงชายแดนของเมืองพรีดีลจากการเดินทางข้ามคืนผ่านทรานซิลเวเนียด้วยรถไฟ เจ้าหญิงมารีทรงได้รับการต้อนรับจากชาวโรมาเนียอย่างอบอุ่นซึ่งปรารถนาในสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีความเป็นบุคคลมากขึ้นมกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1893 - 1914)พระชนม์ชีพภายในประเทศ มกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1893 - 1914). พระชนม์ชีพภายในประเทศ. ในช่วงปีแรกของการอภิเษกสมรสระหว่างมกุฎราชกุมารีมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์นั้นไม่ง่าย และเจ้าหญิงมารีทรงบอกพระสวามีในภายหลังว่า "มันเป็นเรื่องน่าละอายจริงๆที่เราทั้งคู่ต้องเสียเวลาเป็นเวลาหลายปีในช่วงวัยรุ่นเพียงเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกัน!" ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ได้ค่อยๆพัฒนาเป็นมิตรภาพที่จริงใจอย่างช้าๆ เจ้าหญิงมารีทรงเคารพมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง และต่อมาเป็นพระมหากษัตริย์ และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ก็ทรงเคารพเจ้าหญิงมารีในฐานะที่เจ้าหญิงทรงเข้าใจในโลกนี้ดีกว่าพระองค์ ในที่สุดเจ้าหญิงมารีก็ทรงเชื่อว่า พระองค์กับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์เป็น "เพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุด เป็นสหายที่ดีที่สุด แต่ชีวิตของเราประสานเข้ากันได้ในบางเรื่อง" มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงโปรดมากเมื่อเจ้าหญิงมารีทรงปรากฏพระองค์ในระหว่างการสวนสนามของทหารและทำให้เจ้าหญิงทรงได้รับเชิญมายังงานเหล่านี้บ่อยครั้ง เจ้าหญิงมารีทรงมีพระประสูติกาลบุตรพระองค์แรกคือ เจ้าชายคาโรล ในเวลาเพียงเก้าเดือนหลังจากอภิเษกสมรส ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1893 ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงมารีจะทรงขอใช้คลอโรฟอร์มเพื่อระงับอาการเจ็บปวด แต่เหล่าแพทย์ไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แพทย์หลวงโรมาเนียเชื่อว่า "ผู้หญิงทุกคนจะต้องชดใช้ด้วยความเจ็บปวดจากบาปของอีฟ" หลังจากที่พระมารดาของเจ้าหญิงมารีและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงยืนยันตามคำขอของเจ้าหญิง ในที่สุดพระเจ้าคาโรลทรงอนุญาตให้พระสุณิสาสามารถใช้ยาได้ เจ้าหญิงมารีไม่ทรงมีความสุขมากนักหลังจากมีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก ต่อมาทรงเขียนว่า "รู้สึกเหมือนเอาหัว (ของเจ้าหญิงมารี) หันไปชนผนัง" ในทำนองเดียวกันแม้ว่าเจ้าหญิงมารีจะทรงได้รับการย้ำเตือนอย่างต่อเนื่องจากพระมเหสีในพระเจ้าคาโรลคือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ที่ทรงเห็นว่าการที่เจ้าหญิงทรงมีบุตรถือว่า "เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต (ของเจ้าหญิงมารี)" เจ้าหญิงทรงนึกถึงพระมารดาของพระองค์จากการที่ทรงมีพระประสูติกาลบุตรพระองค์ที่สองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ในปีค.ศ. 1894 หลังจากทีทรงคุ้นเคยกับการใช้พระชนม์ชีพในโรมาเนีย เจ้าหญิงมารีทรงเริ่มมีความสุขจากการมีพระประสูติกาลพระโอรสธิดา ซึ่งได้แก่ เจ้าหญิงมาเรีย (ค.ศ. 1900 - 1961) ทรงมีพระนามที่เรียกกันในราชวงศ์ว่า "มิกนอน" , เจ้าชายนิโคลัส (ค.ศ. 1903 - 1978) ทรงมีพระนามที่เรียกกันในราชวงศ์ว่า "นิกกี้" , เจ้าหญิงอีเลียนา (ค.ศ. 1909 -1991) และ เจ้าชายเมอร์เซีย (ค.ศ. 1913 - 1916) พระเจ้าคาโรลและสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงนำเจ้าชายคาโรลและเจ้าหญิงเอลิซาเบธออกจากการดูแลของเจ้าหญิงมารีในทันที โดยทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่ให้อยู่ภายใต้การอภิบาลโดยพระบิดามารดาที่ยังเป็นวัยรุ่น เจ้าหญิงมารีทรงรักพระโอรสธิดามาก แต่ก็ทรงพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทรงสามารถว่ากล่าวตักเตือนพระโอรสธิดาได้ บางครั้งจึงทรงรู้สึกว่าไม่สามารถดูแลพระโอรสธิดาได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นพระโอรสธิดาจะได้รับการศึกษาในบางส่วน แต่ไม่เคยถูกส่งไปโรงเรียน ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์จึงไม่สามารถให้การศึกษาในชั้นเรียนได้ ซึ่งทำให้บุคลิกส่วนใหญ่ของพระโอรสธิดาได้สร้างข้อบกพร่องอย่างรุนแรงเมื่อเจริญพระชันษา เอียน จี. ดูคา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยหลัง ได้เขียนบันทึกในเวลาต่อมาว่า "ดูเหมือนว่า [พระเจ้าคาโรล] จะประสงค์ที่จะปล่อยให้รัชทายาทโรมาเนียไม่มีความพร้อมในการสืบราชบัลลังก์"พระชนม์ชีพในราชสำนัก พระชนม์ชีพในราชสำนัก. ตั้งแต่เริ่ม มกุฎราชกุมารีมารีทรงประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรมาเนีย บุคลิกภาพและ"จิตวิญญาณสูงสุด"ของพระองค์ได้สร้างข้อถกเถียงอย่างมากในราชสำนักโรมาเนีย และพระองค์ไม่ทรงโปรดบรรยากาศที่เคร่งครัดในราชวงศ์ของพระองค์ พระองค์ทรงเขียนว่าพระองค์เอง "ไม่ได้ถูกพามาโรมาเนียเพื่อให้เป็นที่รักหรือเป็นที่พูดถึง และที่มากที่สุดคือ พระองค์ทรงเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องจักรของพระเจ้าคาโรลที่ได้สร้างรอยแผลขึ้นในตัวของพระองค์ พระองค์ได้ถูกนำเข้ามาเพื่อประดับตกแต่ง, รับการศึกษา, ทำให้มีความสำคัญลดลงและถูกฝึกอบรมตามความคิดของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่" เมื่อบรรยายถึงช่วงต้นๆในโรมาเนีย มกุฎราชกุมารีมารีทรงเขียนว่า "เป็นเวลานานที่ [พระองค์] รู้สึกเซื่องซึมในขณะที่พระสวามีหนุ่ม [ของพระองค์] ทรงเข้ารับราชการทหาร ทั้งหมดนี้ทำให้ต้องโดดเดี่ยวในห้องพักที่ [พระองค์] ทรงเกลียด เป็นห้องแบบเยอรมันขนาดใหญ่" สมเด็จพระจักรพรรดินี พระพันปีหลวงแห่งเยอรมันทรงเขียนจดหมายถึงมกุฎราชกุมารีแห่งกรีซ พระราชธิดาว่า "มิสซีแห่งโรมาเนียน่าสงสารกว่าลูกอีกนะ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองที่เผด็จการที่สุดในครอบครัวของพระองค์ และทรงบดขยี้อิสรภาพของเฟอร์ดินานด์ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีใครสนใจในตัวเขาและภรรยาของเขาผู้งดงามและน่ารัก แม่กลัวว่าเธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และเหมือนกับผีเสื้อแทนที่จะบินตอมดอกไม้ แต่ได้เผาปีกที่งดงามของเธอโดยการบินเข้าไปใกล้กองไฟ!" พระองค์ทรงเรียนรู้ภาษาโรมาเนียอย่างง่ายดาย พระองค์ทรงทำตามคำแนะนำของพระมารดาที่ต้องระมัดระวังในการแต่งกายและแสดงความเคารพต่อพิธีกรรมออร์โธดอกซ์ มกุฎราชกุมารีมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงได้รับการแนะนำจากพระมหากษัตริย์ที่ให้คงจำกัดกลุ่มของพระสหาย ดังนั้น พระองค์ทรงเสียพระทัยมากที่วงล้อมครอบครัวของพระองค์ได้ลดเหลือเพียงแค่พระมหากษัตริย์และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ "ผู้ซึ่งยืนหยัดอย่างหวาดกลัวอย่างมากต่อชายชราพระหัตถ์เหล็ก ซึ่งทรงสั่นเทิ้มตลอดทุกการกระทำ [ของมารี] ที่อาจจะสร้างความไม่พอใจแก่หน้าที่ของพระประมุขของราชวงศ์" ในหนังสือเสริมนิตยสารไทม์ได้เขียนว่าพระนางมารีทรงพบว่าพระองค์เอง "จากช่วงเวลาที่มาถึงบูคาเรสต์ ทรงต้องอยู่ภายใต้การปกครองที่เข้มงวดของพระเจ้าคาโรลที่ 1" ในปีค.ศ. 1896 มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์และมกุฎราชกุมารีมารีทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังโคโทรเซนี ที่ซึ่งได้รับการขยับขยายโดยกริกอร์ เซอร์เชส สถาปนิกชาวโรมาเนีย และพระนางมารีทรงเพิ่มการออกแบบของพระนางเองด้วย ในปีถัดมา มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ทุกวัน พระองค์ทรงเพ้อและแม้ว่าแพทย์จะพยายามอย่างดีที่สุดแล้วแต่พระองค์ทรงใกล้จะสิ้นพระชนม์ ในช่วงเวลานี้ พระนางมารีทรงเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมากกับครอบครัวของพระนางในอังกฤษ และทรงหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียพระสวามี พระเจ้าคาโรลยังทรงมีรัชทายาทอีกพระองค์คือ เจ้าชายคาโรล ผู้ซึ่งยังทรงพระเยาว์นัก ดังนั้นทุกคนในราชวงศ์ต่างต้องการให้มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงฝ่าฟันโรคภัยไปได้ ในที่สุดพระองค์ก็ทำได้สำเร็จ พระองค์และพระนางมารีได้เสด็จไปยังซินายอา ประทับที่ปราสาทเปเรส เพื่อฟื้นฟูพระวรกาย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพระองค์ก็ไม่สามารถเข้าร่วมพระราชพิธีพัชราภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียในฤดูร้อนได้ ในช่วงการพักฟื้นของมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ พระนางมารีทรงใช้เวลาร่วมกับพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ โดยทรงมีพระดำเนินและเก็บดอกไม้ร่วมกัน ในฤดูหนาวปีค.ศ. 1897/1898 ทรงใช้เวลาร่วมกับพระราชวงศ์รัสเซียที่เฟรนช์ริวีเอรา ที่ซึ่งพระนางมารีได้ทรงม้าทั้งๆที่อากาศหนาวเย็น ในช่วงนี้ มกุฎราชกุมารีมารีทรงพบกับร้อยโท จอร์จี คานตาคูซีเน เป็นสมาชิกที่มมาจากเชื้อสายนอกสมรสของเชื้อพระวงศ์ผู้ครองแคว้นในสมัยโบราณของโรมาเนียและเป็นเชื้อสายของเจ้าชายเซอร์บาน คานตาคูซีโน ถึงแม้รูปโฉมจะไม่หล่อเหลาเท่าไหร่ แต่คานตาคูซีเนเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและแต่งตัวดี และมีความสามารถในการขี่ม้า ทั้งคู่ได้เริ่มมีความรักแก่กัน แต่เรื่องอื้อฉาวนี้ได้สิ้นสุดเมื่อสาธารณะได้รับรู้ พระราชมารดาของพระนางมารีทรงประณามพฤติกรรมของพระธิดาและทรงโปรดให้พระธิดาเสด็จมายังโคบูร์กเมื่อพระนางมารีทรงพระครรภ์ในปีค.ศ. 1897 นักประวัติศาสตร์ จูเลีย เกลาร์ดี เชื่อว่าพระนางมารีมีพระประสูติกาลบุตรที่โคบูร์ก และบุตรอาจจะเสียชีวิตตั้งแต่เกิดหรือไม่ก็ถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทันที มีการคาดเดากันว่า "เจ้าหญิงมิกนอน" พระธิดาองค์ที่สองของพระนางมารี ที่จริงแล้วเป็นบุตรที่ประสูติกับคานตาคูซีเน ไม่ใช่มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ ในปีถัดๆมา มีข่าวลือว่าพระนางมารีทรงมีความสัมพันธ์กับแกรนด์ดยุกบอริส วลาดีมีโรวิชแห่งรัสเซีย, วัลดอร์ฟ อัสเตอร์, เจ้าชายบาร์บู สเตอบีย์, และโจ บอยล์ ในปีค.ศ. 1903 มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีทรงเปิดปราสาทเปลีซอร์ เป็นปราสาทในสถาปัตยกรรมแบบนวศิลป์ที่เมืองซินายอา ซึ่งพระเจ้าคาโรลทรงมอบให้กับทั้งสองพระองค์ พระนางมารีทรงได้เรียนรู้ถึงขอบเขตการอดกลั้นซึ่งนำไปสู่การปราบปรามกบฏชาวนาโรมาเนียค.ศ. 1907 ซึ่งสายเกินไปที่จะทรงพยายามไกล่เกลี่ย หลังจากนั้นพระนางได้ทรงฉลองพระองค์ชุดพื้นบ้านโรมาเนียบ่อยๆทั้งในที่ประทับและที่สาธารณะและทรงเริ่มทิศทางแฟชั่นการแต่งกายแบบนี้ในหมู่เด็กสาวชนชั้นสูง ในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1913 ราชอาณาจักรบัลแกเรียได้ประกาศสงครามกับราชอาณาจักรกรีซ เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามบอลข่านครั้งที่สอง ในวันที่ 4 กรกฎาคม โรมาเนียได้เข้าร่วมสงคราม โดยเป็นพันธมิตรกับกรีซ สงครามได้ดำเนินเป็นระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน แต่กลับแย่ลงเนื่องจากมีการระบาดของอหิวาตกโรค พระนางมารีทรงเผชิญครั้งแรกกับการระบาดของโรคซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในพระชนม์ชีพของพระนาง ด้วยการช่วยเหลือจากนายแพทย์ เอียน คานตาคูซิโนและซิสเตอร์ พุคชี นางพยาบาลจากกาชาด พระนางมารีทรงเดินทางไปทั่วโรมาเนียและบัลแกเรีย เพื่อขอความร่วมมือจากโรงพยาบาล เหตุการณ์เหล่านี้ได้ตระเตรียมให้พระนางเพื่อประสบการณ์ในสงครามโลก ผลของสงครามทำให้เกิดสนธิสัญญาบูคาเรสต์ (1913) โรมาเนียได้ครอบครองโดบรูจาใต้ รวมทั้งบอลคิค [Balchik (Balcic)] เมืองชายฝั่งทะเล ที่ซึ่งพระนางมารีทรงหวงแหนมากในปีค.ศ. 1924 และมักจะทรงใช้เป็นที่ประทับของพระนาง หลังจากสงครามสิ้นสุด พระเจ้าคาโรลที่ 1 ทรงพระประชวร ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 ที่เมืองซาราเยโว อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ข่าวนี้ได้ทำให้พระนางมารีและพระราชวงศ์ต้องตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งทรงกำลังพักผ่อนอยู่ที่ซินายอาเมื่อข่าวได้มาถึง ในวันที่ 28 กรกฎาคม ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามต่อเซอร์เบียและพระนางมารีทรงเห็นว่า "สันติภาพโลกได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย" จากนั้นในวันที่ 3 สิงหาคม พระเจ้าคาโรลทรงเรียกประชุมสภาที่ปรึกษาราชบัลลังก์โรมาเนียที่ซินายอา เพื่อทรงตัดสินพระทัยว่าโรมาเนียควรเข้าร่วมสงคราม ถึงแม้ว่าพระเจ้าคาโรลทรงโปรดที่จะให้ประเทศของพระองค์สนับสนุนเยอรมนีและฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่สภาได้ตัดสินใจต่อต้านพระราชประสงค์ ไม่นานหลังจากการประชุมสภา พระอาการประชวรของพระเจ้าคาโรลได้แย่ลงและในที่สุดต้องทรงประทับบนแท่นบรรทมตลอด มีการกล่าวกันว่าพระองค์อาจจะสละราชบัลลังก์ ในที่สุด พระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914 และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงสืบราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์โดยทันทีสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1914 - 1927)สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1914 - 1927). สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. ในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1914 มกุฎราชกุมารีมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ได้รับการประกาศสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีในรัฐสภา เจ้าหญิงแอนน์ มารี คัลลิมาชี พระสหายสนิทของพระนางมารี ได้เขียนว่า "ขณะเป็นมกุฎราชกุมารี [มารี] ทรงเป็นที่นิยม เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระราชินี พระนางทรงเป็นที่รักอย่างมาก" พระนางทรงมีอิทธิพลเหนือพระสวามีและตลอดทั้งราชสำนัก จากงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ เอ.แอล. อีสเตอร์แมน ได้เขียนว่า "ไม่ใช่ [เฟอร์ดินานด์] แต่มารีต่างหากที่ปกครองโรมาเนีย" ในช่วงการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ รัฐบาลได้อยู่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีจากพรรคเสรีนิยม คือ นายกรัฐมนตรีเอียน ไอ. ซี. บราเทียนู พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และสมเด็จพระราชินีมารีทรงร่วมกันตัดสินพระทัยไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักมากนักและทรงพยายามให้ผู้คนยอมรับการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยหนึ่งไปอีกยุคสมัยหนึ่งมากกว่าการบังคับพวกเขา ดังนั้นข้าราชบริพารของเจ้าชายคาโรลกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แม้ว่าจะมีคนที่ไม่โปรดก็ตาม ด้วยการช่วยเหลือของบราเทียนู พระนางมารีทรงเริ่มกดดันให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์เข้าสู่สงคราม พร้อมกันนั้นพระนางทรงติดต่อเหล่าพระญาติที่ครองราชย์ในประเทศต่างๆของยุโรปและทรงพยายามต่อรองเงื่อนไขที่ดีที่สุดแก่โรมาเนีย ในกรณีที่ประเทศจะเข้าสู่สงคราม พระนางมารีทรงสนับสนุนการเป็นพันธมิตรกับพันธมิตรไตรภาคี (รัสเซีย, ฝรั่งเศส และอังกฤษ) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทรงมีเชื้อสายชาวอังกฤษ ความเป็นกลางไม่ได้ทำให้ปราศจากภัยอันตรายใดๆและการเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายไตรภาคี นั้นหมายความว่า โรมาเนียจะทำหน้าที่เป็น "ดินแดนกันชน" ให้รัสเซียเมื่อมีการโจมตีเกิดขึ้น ในที่สุด พระนางมารีทรงเรียกร้องให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ผู้ทรงไม่แน่พระทัย ให้นำโรมาเนียเข้าสู่สงคราม ด้วยการนำให้รัฐมนตรีฝรั่งเศส ออกุสต์ เฟลิกซ์ เดอ โบปอย เคานท์แห่งแซงต์-ออแลร์ เดินทางมายังโรมาเนีย เพื่อย้ำเตือนว่าพระนางมารีทรงเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือจากการประสูติ อีกครั้งหนึ่งคือจากพระหทัย พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงทำตามคำวิงวอนของพระนางมารี และพระองค์ได้ลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับพันธมิตรไตรภาคีในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ในวันที่ 27 สิงหาคม โรมาเนียได้ประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการีอย่างเป็นทางการ แซงต์-ออแลร์ได้ว่า พระนางมารีทรง"โอบกอดสงครามเหมือนกับโอบกอดศาสนา" หลังจากที่ทรงตรัสบอกแก่พระโอรสธิดาว่าประเทศได้เข้าสู่สงคราม พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีทรงปลดข้าราชบริพารชาวเยอรมัน ซึ่งพวกเขาจะยังคงมีหน้าที่อย่างเดียวคือการเป็น "เชลยสงคราม" ในช่วงก่อนสงคราม พระนางมารีทรงมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือกาชาดโรมาเนียและเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลทุกวัน ในช่วงเดือนแรกของสงคราม โรมาเนียต่อสู้กับข้าศึกไม่น้อยกว่าเก้าครั้ง บ้างสู้รบในแผ่นดินโรมาเนีย เช่น ยุทธการทูร์ตูคาเอีย ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 เจ้าชายเมอร์เซีย พระโอรสองค์สุดท้องของพระนางมารี ซึ่งทรงพระประชวรด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ได้สิ้นพระชนม์ลงที่เมืองบัฟเตีย พระนางมารีทรงมีพระจริตคุ้มคลั่งโดยทรงเชียนในบันทึกของพระนางเองว่า "มีอะไรที่สามารถทำให้เป็นเหมือนกันหรือไม่" หลังจากบูคาเรสต์พ่ายแพ้แก่กองทัพออสเตรีย ราชสำนักได้ย้ายไปประทับที่เมืองยาช เมืองหลวงของแคว้นมอลเดเวียในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916 ที่นั่นพระนางยังคงประกอบพระกรณียกิจในฐานะพยาบาลที่โรงพยาบาลทหาร ทุกวันพระนางมารีจะทรงฉลองพระองค์พยาบาลและเสด็จไปที่สถานีรถไฟยาช ที่ซึ่งพระนางจะได้ทรงรับทหารที่บาดเจ็บได้มากขึ้น จากนั้นพระนางจะทรงส่งพวกเขาไปยังโรงพยาบาล หลังจากข้อสรุปของการปฏิวัติรัสเซียในต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 และชัยชนะของบอลเชวิก จากคำกล่าวของแฟรงก์ แรตติแกน นักการทูต ที่ว่า โรมาเนียได้กลายเป็น "เกาะที่ล้อมรอบไปด้วยศัตรูโดยไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือจากพันธมิตร" หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงลงนามในสนธิสัญญาฟอกซานีในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 พระนางมารีทรงพิจารณาแล้วว่าสนธิสัญญานี้เต็มไปด้วยอันตราย ในขณะที่บราเทียนูและสเตอร์บีย์เชื่อว่าการทำเช่นนี้ถือเป็นมาตรการจำเป็นเพื่อที่จะถ่วงเวลาให้มากขึ้น ในเหตุการณ์ต่อๆมาพิสูจน์ได้ว่าการสันนิษฐานของพระนางมารีนั้นถูกต้อง ในปีค.ศ. 1918 พระนางมารีทรงพิโรธและต่อต้านกันลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรสต์ ทำให้มีการบรรยายถึงพระนางเพิ่มว่าทรง "เป็นผู้ชายที่แท้จริงเพียงคนเดียวในโรมาเนีย" การสงบศึกกับเยอรมนี (11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918) ได้ทำให้การต่อสู้ในยุโรปสิ้นสุดลงและนำไปสู่การสิ้นสุดสงครามด้วย ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ราชรัฐฮังการีได้เริ่มต้นพิชิตทรานซิลเวเนีย ซึ่งชาวฮังการีสามารถครอบครองได้อย่างสมบูรณ์ในราวปีค.ศ. 1200 แนวคิดเกี่ยวกับ "เกรตเทอร์โรมาเนีย" ยังคงมีอยู่ในจิตใจของชาวโรมาเนียในทรานซิลเวเนียเป็นบางครั้ง และบราเทียนูได้สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างแข็งขันตั้งแต่ก่อนสงคราม ในปีค.ศ. 1918 ทั้งเบสซาราเบียและบูโกวินาได้โหวตเพื่อรวมเข้ากับโรมาเนีย มีการชุมนุมกันที่อัลบาอูเลีย เมืองโบราณในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1918 ที่ซึ่งวาซิลลี โกลดิสได้อ่านประกาศการรวมทรานซิลเวเนียเข้ากับราชอาณาจักรโรมาเนียเก่า เอกสารฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนโดยชาวโรมาเนียและผู้แทนชาวแซ็กซอน โดยการจัดตั้ง "สภาสูงแห่งชาติโรมาเนีย" () เพื่อการบริหารราชการชั่วคราวในระดับจังหวัด พระนางมารีทรงเขียนว่า "ความฝันถึงที่ราบของชาวโรมาเนีย ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นจริง...มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลย" หลังจากการชุมนุม พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และสมเด็จพระราชินีมารีได้เสด็จกลับบูคาเรสต์ที่ซึ่งทรงพบกับความรื่นเริง "วันแห่ง "ความกระตือรือร้น, ความตื่นเต้นอย่างที่สุด" พร้อมกับวงดนตรีเสียงดังและทหารเดินสวนสนามและผู้คนตะโกนโห่ร้อง" ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรได้จัดงานเฉลิมฉลองและพระนางมารีทรงมีความสุขที่จะได้เห็นฝ่ายสัมพันธมิตรบนผืนแผ่นดินโรมาเนียเป็นครั้งแรกการประชุมสันติภาพปารีส การประชุมสันติภาพปารีส. เนื่องจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรสต์และโรมาเนียได้ประกาศตนเป็นศัตรูกับฝ่ายมหาอำนาจกลางจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม จึงทำให้มีสถานที่ที่ซึ่งประเทศที่ชนะสงครามมารวมกันในการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ที่ซึ่งได้มีการรับประกัน คณะผู้แทนอย่างเป็นทางการนำโดยบราเทียนู ซึ่งเขาพึ่งจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สาม ความแข็งกระด้างของบราเทียนูบวกกับการต่อต้านของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอร์ฌ เกลอม็องโซ ที่จะพยายามมองข้ามการยอมรับของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ต่อสนธิสัญญาบูคาเรสต์นำไปสู่ความขัดแย้งและคณะผู้แทนโรมาเนียได้เดินทาออกจากปารีส สิ่งนี้ได้สร้างความผิดหวังแก่ "มหาอำนาจทั้งสี่" อย่างมาก ด้วยความหวังที่จะแก้ไขสถานการณ์ แซงต์-ออแลร์ได้แนะนำว่าควรส่งสมเด็จพระราชินีมารีไปเข้าร่วมการประชุมแทน สมเด็จพระราชินีทรงยินดีอย่างยิ่งเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ พระนางมารีเสด็จถึงปารีสในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1919 พระนางทรงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวฝรั่งเศสในทันที อันเนื่องมาจากความกล้าหาญของพระนางในสงคราม ในการประชุม เกลอม็องโซได้กล่าวกับพระนางมารีว่า "กระหม่อมไม่ชอบนายกรัฐมนตรีของพระองค์เลย" ซึ่งพระนางทรงตอบทันทีว่า "บางทีคุณพบฉันแล้วคงน่าจะพอใจมากขึ้นนะ" เขาและประธานาธิบดี แรมง ปวงกาเรได้เปลี่ยนทัศนคติของเกลอม็องโซที่มีต่อโรมาเนียนับตั้งแต่การมาถึงของพระนางมารี หลังจากทรงประทับในกรุงปารีสเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พระนางมารีทรงตอบรับคำเชิญของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี และทรงเดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษและประทับที่พระราชวังบักกิงแฮม ด้วยความหวังที่ว่าจะทรงได้รับความเป็นมิตรไมตรีแก่โรมาเนีย พระนางมารีทรงพบปะคุ้นเคยกับบุคคลทางการเมืองที่สำคัญในช่วงเวลานั้น ดังเช่น ลอร์ดคูร์ซอน, วินสตัน เชอร์ชิล และวัลดอร์ฟ อัสเตอร์กับแนนซี อัสเตอร์ พระนางได้เสด็จไปเยี่ยมพระโอรส นิกกี ซึ่งทรงศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยอีตันบ่อยๆ พระนางมารีทรงมีความสุขอย่างมากที่ได้กลับไปยังอังกฤษหลังจากจากมาเป็นเวลานาน ทรงเขียนว่า "มันเป็นความรู้สึกที่เปี่ยมล้นจริงๆที่ได้มาถึงลอนดอน และได้รับการต้อนรับที่สถานีโดยจอร์จและเมย์" หลังจากสิ้นสุดการเสด็จเยือนอังกฤษ พระนางมารีได้เสด็จกลับปารีส ที่ซึ่งผู้คนยังคงตื่นเต้นสำหรับการเสด็จมาถึงของพระนางอย่างที่เคยเป็นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ฝูงชนรวมตัวกันอยู่รอบๆพระนางบ่อยๆ เพื่อรอที่จะพบสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียจาก "ต่างแดน" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา วูดโรว์ วิลสัน ก็ยังคงไม่สร้างความประทับใจแก่พระนางมารี และความเห็นของพระนางเกี่ยวกับกฎหมายรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ ซึ่งพระนางพิจารณาว่าไม่เหมาะสม ก็ไม่ได้ช่วยอะไร พระนางมารีได้สร้างความตกตะลึงแก่เจ้าหน้าที่โดยทรงโบกพระหัตถ์ให้รัฐมนตรีของพระนางทั้งหมดออกไปและทรงนำการเจรจาต่อรองด้วยพระนางเอง จากนั้นพระนางทรงแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า "ไม่เป็นไร พวกคุณทั้งหมดเพียงแค่ยอมรับฉันด้วยความผิดพลาดทางศีลธรรมของฉันเอง" พระนางมารีเสด็จออกจากปารีสพร้อมเสบียงอาหารจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือโรมาเนีย ในปีหลังจากนั้น ผลการประชุมได้มีข้อตกลงในสนธิสัญญาแวร์ซายโดยยอมรับโรมาเนียอันยิ่งใหญ่ในระดับนานาชาติ ดังนั้นราชอาณาจักรของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีได้เพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 295,000 ตารางกิโลเมตร (114,000 ตารางไมล์) และจำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นถึงสิบล้านคน สิ่งนี้ทำให้แกรนด์ดัชเชสมาเรีย ปาฟลอฟนาแห่งรัสเซีย ผู้ทรงประทับอยู่ในบูคาเรสต์ช่วงสั้นๆได้สรุปว่า "ด้วยเสน่ห์ ความงามและสติปัญญาที่เพียบพร้อม [มารี]ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงปรารถนา"ความพยายามของราชวงศ์ ความพยายามของราชวงศ์. ในปีค.ศ. 1920 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระธิดาองค์โตของพระนางมารี ทรงหมั้นกับเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซ พระโอรสองค์โตในสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 1 แห่งกรีซกับอดีตสมเด็จพระราชินีโซเฟีย พระญาติของพระนางมารี ซึ่งทรงถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์กรีซ หลังจากที่พระนางทรงเชิญเจ้าชายจอร์จพร้อมพระขนิษฐาทั้งสองพระองค์คือ เจ้าหญิงเฮเลนและเจ้าหญิงไอรีน มาร่วมประทับพร้อมกับพระนางที่ซินายอา พระนางมารีทรงจัดการกิจกรรมต่างๆมากมายแก่คู่หนุ่มสาวทั้งสองและทรงยินดีอย่างมากที่จะทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาของพระนางตามที่ทรงคาดหมายไว้แล้ว ซึ่งพระธิดาของพระนางเองนั้นมีข้อด่างพร้อยอย่างรุนแรง ในเดือนตุลาคม มีรายงานข่าวจากกรีซเกี่ยวกับการสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีอเล็กซานเดอร์แห่งกรีซ ซึ่งเจ้าหญิงกรีซต้องรีบเสด็จกลับไปพบพระบิดาและพระมารดาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในวันถัดมา มีข่าวแจ้งว่า พระมารดาของพระนางมารีได้สิ้นพระชนม์แล้วอย่างสงบที่ซูริก พระนางมารีทรงเตรียมการเดินทางไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งพระนางจะทรงพาเจ้าหญิงเฮเลนและเจ้าหญิงไอรีนไปพบพระบิดาและพระมารดาของทั้งสองพระองค์ได้และเข้าร่วมพิธีฝังพระศพพระมารดาของพระนาง ในขณะที่เจ้าชายจอร์จและเจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงประทับอยู่ที่ซินายอา ในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว มกุฎราชกุมารคาโรลได้มีการหมั้นหมายเจ้าหญิงเฮเลนและทั้งสองพระองค์ก็ได้อภิเษกสมรสในปีถัดมา พระนางมารีทรงปลื้มปิติมาก หลังจากที่ไม่ทรงยอมรับความสัมพันธ์ของมกุฎราชกุมารคาโรลกับซิซิ ลามบริโนและทรงกลุ้มพระทัยมากที่เธอได้ให้กำเนิดลูกนอกสมรสกับมกุฎราชกุมารคาโรล คือ คาโรล ลามบริโน ซึ่งสิ่งที่พระนางพอจะบรรเทาได้ก็คือให้เด็กใช้นามสกุลของมารดา ในปีค.ศ. 1922 พระนางมารีทรงให้ "เจ้าหญิงมิกนอล" พระธิดาองค์ที่สองอภิเษกสมรสกับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย (หลังจากนี้คือ ยูโกสลาเวีย) พระนางมารีทรงปลื้มปิติมากที่พระนัดดาทั้งสองประสูติ ซึ่งก็คือ เจ้าชายไมเคิลแห่งโรมาเนีย (ประสูติ ค.ศ. 1921-2017) และเจ้าชายปีเตอร์แห่งยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1923 - 1970) การประสูติของพระนัดดาทั้งสองพระองค์ที่ถูกกำหนดชะตาให้ครองราชบัลลังก์ในยุโรปดูเหมือนจะประสานความทะเยอทะยานของพระนางได้ ความพยายามในราชวงศ์ของพระนางมารีได้ถูกมองจากนักวิจารณ์ว่าเป็นพระมารดาที่คอยชักจูงควบคุมซึ่งต้องเสียสละความสุขของพระโอรสธิดาของพระนางเองเพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานของพระนาง แต่ในความเป็นจริง พระนางมารีไม่ทรงเคยบังคับพระโอรสธิดาอภิเษกสมรสเลย ค.ศ. 1924 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระราชินีมารีทรงประกอบพระราชกรณียกิจเสด็จทางการทูตไปยังฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, เบลเยียมและสหราชอาณาจักร ในอังกฤษ พระนางทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระเจ้าจอร์จที่ 5 ซึ่งทรงประกาศว่า "นอกเหนือจากการมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน ซึ่งเราได้ทำให้ลุล่วงแล้ว พวกเรายังมีความสัมพันธ์ที่รักใคร่กัน ฝ่าพระบาท สมเด็จพระราชินี ญาติที่รักของข้าพเจ้าเป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด" พระนางมารีทรงเขียนถึงวันที่เสด็จเยือนอังกฤษในทำนองเดียวกันว่า "เป็นวันที่ดีสำหรับฉัน มีทั้งอารมณ์หวาน, ความสุข และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกรุ่งโรจน์ที่ได้กลับมายังประเทศของฉันในฐานะราชินี ที่ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการ เป็นเกียรติอย่างยิ่งและกระตือรือร้นในการแลกเปลี่ยน ที่รู้สึกว่าหัวใจคุณพองโตด้วยความภาคภูมิและความพึงพอใจที่รู้สึกถึงหัวใจเต้นและน้ำตาเริ่มไหลออกจากดวงตาของคุณ ในขณะที่บางสิ่งรวมตัวเป็นก้อนกลืนเข้าไปในลำคอของคุณ!" การเสด็จเยือนในระดับรัฐครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ในการยอมรับศักดิ์ศรีของโรมาเนียที่ได้รับหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในขณะเสด็จเยือนเจนีวา พระนางมารีและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงเป็นพระราชวงศ์คู่แรกที่เสด็จไปยังสำนักงานใหญ่ของสันนิบาตชาติที่พึ่งก่อตั้งขึ้นพระราชพิธีราชาภิเษก พระราชพิธีราชาภิเษก. สถานที่ที่พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกคือที่อัลบาอูเลีย ที่ซึ่งเคยเป็นป้อมปราการสำคัญในยุคกลาง และเป็นที่ซึ่งเจ้าชายไมเคิล ผู้กล้าหาญได้สถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นวอยโวด (Voivode) แห่งทรานซิลเวเนียในปีค.ศ. 1599 จึงเป็นการรวมตัวกันของวัลลาเซียและทรานซิลเวเนียเป็นครั้งแรก มหาวิหารออร์ทอดอกซ์ได้ถูกสร้างขึ้นในชื่อ มหาวิหารราชาภิเษกในปีค.ศ. 1921 - 1922 เครื่องประดับอัญมณีที่สลับซับซ้อนและฉลองพระองค์ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษกโดยเฉพาะ มงกุฎของสมเด็จพระราชินีมารีได้ถูกออกแบบโดยจิตรกรชื่อว่า คอสติน เปเทรสคู และถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบอาร์นูโวโดย "ฟาลีซ" ซึ่งเป็นร้านเครื่องเพชรในกรุงปารีส มงกุฎนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก พระนางมิลิกา เดสปินา พระชายาในองค์ประมุขแห่งวัลลาเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นามว่า เนียกอเอ บาซารับ และทั้งหมดทำขึ้นจากทองคำทรานซิลวาเนีย มงกุฎมีจี้ประดับอยู่ทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นภาพตราแผ่นดินโรมาเนีย อีกข้างหนึ่งเป็นตราอาร์มดยุกแห่งเอดินเบอระ ซึ่งเป็นตราอาร์มที่พระนางมารีทรงใช้ก่อนอภิเษกสมรส มงกุฎมีค่าใช้จ่ายประมาณ 65,000 ฟรังก์ ซึ่งจ่ายโดยรัฐผ่านกฎหมายพิเศษ ท่ามกลางเหล่าอาคันตุกะที่มาร่วมในพระราชพิธีราชาภิเษกของทั้งสองพระองค์มีทั้ง เจ้าหญิงเบียทริซ หรือ "เบบี้บี" พระขนิษฐาของพระนางมารี, ดยุกแห่งยอร์ก และนายพลฝรั่งเศส แม็กซิมี เวย์กองด์ กับ อองรี มัทธีอัส เบอร์เทโลต์ พระราชพิธีได้ดำเนินการโดยอัครบิดรแห่งโรมาเนียทั้งมวล มิรอน คริสที แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการภายในมหาวิหารเนื่อจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงเป็นคาทอลิก และทรงปฏิเสธที่จะรับการสวมมงกุฎจากสมาชิกนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ หลังจากที่ทรงสวมมงกุฎลงบนพระเศียรของพระองค์เองแล้ว พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงสวมมงกุฎให้สมเด็จพระราชินีมารี ซึ่งทรงคุกเข้าอยู่ก่อนแล้ว ทันใดนั้นปืนใหญ่ได้ถูกจุดเป็นสัญญาณว่าพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีองค์แรกแห่งโรมาเนียอันยิ่งใหญ่ได้รับการเจิมตามพิธีศาสนาแล้ว งานเฉลิมฉลองได้ถูกจัดขึ้นในห้องเดียวกับที่สหภาพได้ถูกประกาศในปีค.ศ. 1918 ชาวนากว่า 20,000 คนได้ร่วมรับประทานเนื้อสเต็กย่างที่ถูกเตรียมไว้ ในวันถัดมา พระเจ้าเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีได้เสด็จเข้าบูคาเรสต์อย่างสมพระเกียรติ ความยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีราชาภิเษกได้ถูกอ้างมาเป็นหลักฐานการแสดงตนของพระนางมารี พระนางมารีทรงรับเข้ารีตศาสนจักรออร์ทอดอกซ์โรมาเนียในปีค.ศ. 1926 เป็นการกล่าวถึงการที่ทรงปรารถนาที่จะใกล้ชิดกับพสกนิกรของพระนางเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา. พิพิธภัณฑ์ศิลปะแมรีฮิลล์ในแมรีฮิลล์, วอชิงตันซึ่งแต่เดิมได้รับการออกแบบเพื่อนเป็นคฤหาสน์ของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ซามูเอล ฮิลล์ แต่ด้วยคำขอของลออี ฟูลเลอร์ ทำให้อาคารนี้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แทน ฮิลล์หวังว่ามันจะถูกอุทิศไปใช้สอยในปีค.ศ. 1926 และเขาคิดว่ามันเป็นอนุสรณ์แห่งความสงบสุขแด่ภรรยาของเขา แมรี และสมเด็จพระราชินีมารี พระนางมารีทรงเห็นด้วยที่จะเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและเป็นสักขีพยานในการอุทิศอาคารนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟูลเลอร์เป็นพระสหายเก่าของพระนาง ฟูลเลอร์รีบประสานความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการที่สนับสนุน "การเสด็จเยือน" อเมริกาของพระนางมารี และได้มีการเตรียมการเมื่อพระนางทรงออกเดินทาง พระนางมารีทรงมองการเดินทางครั้งนี้ว่าเป็นการ "เห็นประเทศ, พบปะประชาชนและวางโรมาเนียลงบนแผนที่" พระนางทรงเดินทางด้วยเรือข้ามมหาสมุทรแอตเลนติกและเสด็จถึงนิวยอร์กในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1926 โดยมีเจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนาโดยเสด็จด้วย เมื่อเสด็จถึง พระนางมารีทรงได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นโดยชาวอเมริกัน ด้วย"เสียงหวูดของเรือกลไฟ, เสียงสนั่นของปืนที่พ่นควันขาวเหนือหมอกสีเทา, เสียงแซ่ซ้องตามฝนที่ตกลงมา" พระนางทรงได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจากจิมมี วอล์กเกอร์ นายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก คอนสแตนซ์ ลิลลี มอร์ริส ผู้เขียนหนังสือ On Tour with Queen Marie ได้เขียนว่า ผู้คนมีความตืนเต้นสำหรับการเสด็จถึงของพระนางมารีโดยส่วนใหญ่เพราะเสน่ห์ของพระนางเป็นสิ่งที่เกือบจะเป็นตำนาน ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นโดยเอกสารและคำเล่าลือตลอดพระชนม์ชีพของพระนาง เธอได้ตั้งข้อสังเกตว่า "สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียมผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ครั้งหนึ่งทรงเสด็จมาพร้อมกับพระสวามีของพระนางเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และหลายปีที่ผ่านมาพระประมุขแห่งฮาวาย ผู้ผิวดำ ได้รับเกียรติจากเรา แต่ก็ไม่มีโอกาสอื่นอีก และเวลาก็ไม่ได้ถูกตั้งไว้ดีไปกว่านี้" พระนางมารีทรงเป็นที่นิยมในหมู่สตรีที่เรียกร้องสิทธิเลือกตั้ง ที่ซึ่งพระนางทรงถูกมองว่าเป็น"สตรีที่มีปัญญา ทรงวางแผนการรัฐประหารหลายต่อหลายครั้ง ที่ซึ่งสมองของพระนางได้คิดแก้ไขปัญหายากๆเพื่อพสกนิกรของพระนาง ผู้ซึ่งเคยเป็นของขวัญแก่พระนางเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีของพระนาง" ในช่วงที่เสด็จเยือนอเมริกา พระนางมารี, เจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนาได้เสด็จเยือนหลายเมืองรวมทั้ง ฟิลาเดลเฟีย ทุกพระองค์เป็นที่นิยมชมชอบมากและทรงได้รับการต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นอย่างเท่าเทียมกันในแต่ละเมืองที่ได้เสด็จ ซึ่งมีมากเสียจน "[เจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนา]รู้สึกมีนงงอย่างพอสมควรโดยการปรบมืออย่างมากของพวกเขา" ก่อนที่จะเสด็จออกจากสหรัฐอเมริกาพระนางมารีทรงถูกเสนอให้ประทับรถกันกระสุนเข้าเมืองจากบริษัทวิลลีส์-ไนท์ ซึ่งพระนางทรงตอบรับอย่างเป็นสุข ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พระนางมารีและพระโอรสธิดาได้รับการส่งเสด็จจากคณะผู้แทนจากวอชิงตัน ดี.ซี. เนื่องจากทรงเตรียมที่จะเสด็จออกจากอ่าวนิวยอร์กด้วยเรือ มอร์ริสได้เขียนว่า "จากมุมมองสุดท้ายของเราต่อฝ่าพระบาทและพระโอรสธิดาของพระนางทรงโบกพระหัตถ์กลับมาหาเราด้วยรอยยิ้มและน้ำตาจากการที่ทรงผ่านฉากแห่งความสุข" มอร์ริสได้เดินทางมาพร้อมกับสมเด็จพระราชินีตลอดการเดินทางของพระนางและได้บันทึกรายละเอียดช่วงเวลของพระนางมารีในอเมริกาลงในหนังสือของเธอ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1927 พระนางมารีทรงรู้สึกยินดีกับการเสด็จเยือนครั้งนี้มากและทรงหวังว่าจะได้กลับมาอเมริกาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พระนางทรงบันทึกในพระอนุทินของพระนางว่า "ทั้งลูกๆและตัวฉันต่างมีความฝันเดียวกันคือ การกลับมา! การกลับไปยังโลกใหม่ที่น่าทึ่ง ซึ่งจะทำให้คุณเกือบจะเวียนหัว เพราะมันมหึมามาก, มันมีเสียงหนวกหู, มันมีการแข่งขัน, มันมีความก้าวหน้าอย่างใจร้อนที่จะทำอย่างมากขึ้นเสมอ,มันมักจะใหญ่โตขึ้น, เร็วขึ้น, มีความร้อนใจอย่างน่าอัศจรรย์ ที่ซึ่งฉันคิดว่าทุกสิ่งเป็นที่สามารถรับรู้...ฉันรู้ว่าตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่, ยังหายใจและยังคงคิด ความรักสำหรับอเมริกาจะทำให้ชีวิตและความคิดของฉันสวยงาม...บางทีโชคชะตาอาจจะช่วยให้ฉันได้กลับไปยังอเมริกาสักวันหนึ่ง"ตกพุ่มหม้าย (ค.ศ. 1927 - 1938)ค.ศ. 1927 - 1930 ตกพุ่มหม้าย (ค.ศ. 1927 - 1938). ค.ศ. 1927 - 1930. เจ้าชายคาโรลทรงทำให้เกิดวิกฤตราชวงศ์โรมาเนียขึ้นโดยทรงประกาศสละสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1926 พร้อมกับทรงสละสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของเจ้าชายไมเคิล ซึ่งได้รับการประกาศเป็นองค์รัชทายาทแทน พระราชบัญญัติผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้ผ่านสภา และได้จัดตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินซึ่งประกอบด้วย เจ้าชายนิโคลัส, อัครบิดรแห่งโรมาเนีย มิรอน คริสทีและจีออร์เก บุซดูกาน ประธานศาลยุติธรรมสูงสุด อย่างไรก็ตามทั้งพระนางมารีและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ก็ไม่ทรงเต็มพระทัยที่เสด็จออกไปโดยปล่อยให้ประเทศอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระนัดดา ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา แม้ว่าจะทรงได้รับการดูแลจากคณะผู้สำเร็จราชการ เนื่องจากทรงกลัวว่าดินแดนที่ได้รับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะถูกอ้างสิทธิโดยประเทศเพื่อนบ้านและความผันผวนทางการเมืองอาจจะนไปสู่ความไม่สงบได้ อย่างไรก็ตามเมื่อพระนางมารีเสด็จกลับมาจากอเมริกา พระชนม์ชีพของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ดูเหมือนใกล้จะดับสิ้นลง พระองค์ทรงประชวรอย่างทุกข์ทรมานด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และในเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 ทรงใกล้จะสวรรคตโดยทรงรับพิธีกรรมสุดท้ายของคริสตจักรโรมันคาทอลิก พระองค์สวรรคตในวันที่ 20 กรกฎาคม ภายในอ้อมพระพาหาของพระนางมารี พระนางทรงเขียนในเวลาต่อมาว่า " 'ฉันเหนื่อยเหลือเกิน' นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดและเมื่อเขาเอนตัวลงนอนอย่างเงียบสงบภายในอ้อมแขนของฉัน หนึ่งชั่วโมงต่อมาฉันรู้ว่าอย่างน้อยฉันต้องขอบคุณพระเจ้าเพื่อเขา นี่เป็นการพักผ่อนอย่างสงบที่แท้จริง" เจ้าชายไมเคิลทรงสืบราชบัลลังก์ต่อโดยอัตโนมัติหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ และสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้เข้ามารับบทบาทของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1928 เจ้าชายคาโรลทรงพบว่าพระชนม์ชีพของพระองค์ในต่างประเทศกับแม็กดา ลูเปสคูเป็นที่ไม่น่าพอพระทัย ทรงพยายามหาหนทางเสด็จกลับมายังโรมาเนียด้วยความช่วยเหลือของไวส์เคานท์โรเทอร์แมร์ที่ 1 พระองค์ทรงถูกสั่งห้ามทำเช่นนั้นโดยผู้มีอำนาจในอังกฤษ ซึ่งได้ดำเนินการขับไล่พระองค์ออกจากอังกฤษ ด้วยความพิโรธอย่างมาก พระนางมารีทรงส่งคำขอโทษอย่างเป็นทางการแก่พระเจ้าจอร์จที่ 5 ในนามของพระโอรสของพระนาง ซึ่งพระโอรสได้เริ่มต้นวางแผนการก่อรัฐประหาร เจ้าชายคาโรลทรงประสบความสำเร็จในการหย่าขาดจากเจ้าหญิงเฮเลนในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1928 ด้วยฐานจากการที่ไม่ทรงลงรอยกัน ความนิยมในพระนางมารีได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในรัชสมัยของพระเจ้าไมเคิลและหลังจากที่ทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในปีค.ศ. 1929 พระนางทรงถูกกล่าวหาโดยสื่อและแม้กระทั่งเจ้าหญิงเฮเลนว่าทรงวางแผนก่อรัฐประหาร ในช่วงนี้ มีข่าวลือเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงอีเลียนา หลังจากที่มีการพูดคุยถึงการที่จะให้เจ้าหญิงอีเลียนาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรียหรือเจ้าชายแห่งอัสตูเรียส และในที่สุดเจ้าหญิงก็ทรงหมั้นกับอเล็กซานเดอร์ เคานท์แห่งโฮชเบิร์ก ราชนิกุลเยอรมันสายรองในต้นปีค.ศ. 1930 แต่การหมั้นครั้งนี้อายุสั้น พระนางมารีไม่ทรงสามารถจัดการอภิเษกสมรสทางการเมืองของพระธิดาองค์เล็กได้ ซึ่งเจ้าหญิงต้องทรงอภิเษกสมรสกับอาร์คดยุกแอนตันแห่งออสเตรีย-ทัสคานี จากอิตาลีแทนในปีค.ศ. 1931รัชสมัยพระเจ้าคาโรล รัชสมัยพระเจ้าคาโรล. ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1930 เจ้าชายคาโรลได้เสด็จถึงบูคาเรสต์และเสด็จไปยังรัฐสภา ที่ซึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ค.ศ. 1927 ได้ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ ดังนั้น เจ้าชายคาโรลจึงช่วงชิงราชบัลลังก์ของพระโอรส และทรงครองราชย์เป็น พระเจ้าคาโรลที่ 2 เมื่อทรงได้ทราบข่างการกลับมาของพระเจ้าคาโรล พระนางมารีผู้ทรงประทับอยู่ต่างประเทศก็ทรงโล่งพระทัย พระนางทรงมีความกังวลกับทิศทางที่ประเทศกำลังมุ่งไปมากและทรงมองการกลับมาของพระเจ้าคาโรลว่าเป็น การกลับมาของบุตรชายผู้ล้างผลาญ (Return of the Prodigal Son) แต่ทันทีที่พระนางเสด็จกลับบูคาเรสต์ พระนางก็ทรงเริ่มตระหนักว่าทุกสิ่งเป็นไปไม่ได้ด้วยดี พระเจ้าคาโรลทรงปฏิเสธคำแนะนำของพระนางมารีที่ให้รับเจ้าหญิงเฮเลนกลับมา และไม่ทรงเคยของคำปรึกษาพระนางมารีตลอดรัชสมัยของพระองค์เลย จึงทำให้รอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างพระมารดาและพระโอรสที่มีอยู่แล้วได้แตกหักโดยสมบูรณ์ ด้วยความอ้างว้างและพระนางเกือบจะละทิ้งความเชื่อของพระนาง พระนางมารีทรงหันไปสนพระทัยคำสอนของศาสนาบาไฮ ซึ่งพระนางทรงพบว่า "มีความน่าสนใจอย่างมาก" พระนางมารีทรงเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกที่นับถือบาไฮ พระนางทรงเขียนในเวลาต่อมาว่า "ศาสนาบาไฮสอนให้นำมาซึ่งความสงบสุขและความเข้าใจ มันเหมือนกับอ้อมกอดกว้างที่รวมผู้คนซึ่งหาความหมายของความหวังมาเป็นเวลานานเข้าด้วยกัน มันยอมรับศาสดาทั้งหลายที่มีมาก่อนหน้านี้ มันไม่ทำลายลัทธิอื่นๆและปล่อยให้ประตูทุกบานเปิดออก โชคร้ายจากความขัดแย้งที่มีอย่างต่อเนื่องในหมู่ผู้ศรัทธาในคำสารภาพและความระอาในการถือทิฐิที่มีต่อกันและกัน ฉันได้ค้นพบคำสอนของบาไฮที่สอนถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของพระคริสต์ที่มักจะถูกปฏิเสธและเข้าใจผิด: ความสามัคคีแทนที่ความขัดแย้ง, ความหวังแทนที่การลงทัณฑ์, ความรักแทนที่ความเกลียดชัง และความไว้วางใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน" ในปีค.ศ. 1931 เจ้าชายนิโคลัสทรงหนีตามไปกับเอียนา โดเลทติ ผู้หญิงผู้เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว พระนางมารีไม่ทรงเห็นด้วยกับการกระทำของพระโอรสและทรงรู้สึกเจ็บปวดจากการพยายามเข้าไปเกี่ยวในเรื่องของโดเลทติอย่างซ้ำๆทำให้เจ้าชายนิโคลัสทรงหลีกเลี่ยงที่จะติดต่อกับพระมารดา แม้ว่าพระนางจะทรงตำหนิผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของพระโอรส ในขณะเดียวกันพระนางก็ทรงตำหนิตัวพระนางเองด้วยในการที่ทรงล้มเหลวจากการพยายามทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง แต่พระนางก็ทรงดื้อดึงและปฏิเสธที่จะพบกับแม็กดา ลูเปสคู แม้ว่าพระเจ้าคาโรลจะทรงอ้อนวอนก็ตาม จนกระทั่งในปีสุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระนางก็แทบจะไม่กล่าวถึงชื่อของลูเปสคูเลย ด้วยทั้งประเทศเกลียดชังพระสนมในพระเจ้าคาโรล มันเป็นช่วงก่อนที่ฝ่ายปฏิปักษ์ของพระมหากษัตริย์จะเกิดขึ้น ฝ่ายปฏิปักษ์นี้ที่โดดเด่นที่สุดคือมาจากกลุ่มไอออนการ์ด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากเบนิโต มุสโสลินีและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หลังจากที่พระเจ้าคาโรลทรงหันมาขอให้นายกรัฐมนตรีเอียน ดูคาช่วยเหลือ กลุ่มไอออนการ์ดได้ลอบสังหารดูคาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1933 หลังจากการอสัญกรรมของดูคา ความนิยมในพระเจ้าคาโรลได้ลดลงและได้มีข่าวลือว่าจะมีความพยายามลอบปลงพระชนม์พระองค์ในพิธีสวนสนามอิสรภาพประจำปี เพื่อทรงหลีกเลี่ยงการนี้ พระองค์จึงให้พระนางมารีเสด็จแทนพระองค์ในพิธีสวนสนามนี้ และครั้งนี้จะเป็นการปรากฏพระองค์ต่อหน้าสาธารณชนครั้งสุดท้ายของพระนางมารี หลังจากพิธีสวนสนามผ่านไป พระเจ้าคาโรลทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระมารดาท่ามกลางชาวโรมาเนียและทรงพยายามที่จะผลักดันให้พระนางเสด็จออกจากประเทศ แต่พระนางมารีไม่ทรงยอมทำตาม และทรงเสด็จไปประทับที่ชนบททั้งสองแห่งแทน สถานที่แรกคือปราสาทบราน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองบราซอฟในทรานซิลเวเนียใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้มอบให้พระนางเป็นของกำนัลไว้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1920 และพระนางทรงบูรณะสถานที่ในอีกเจ็ดปีต่อมา อีกสถานที่หนึ่งคือบอลชิค ที่ซึ่งพระนางทรงสร้างพระราชวังบอลชิคและโบสถ์เล็กๆที่เรียกว่า Stella Maris และทรงตกแต่งสวนของพระนาง พระนางยังทรงเสด็จเยี่ยมเจ้าหญิงอีเลียนาและพระโอรสธิดาของเจ้าหญิงในออสเตรีย เจ้าหญิงอีเลียนาไม่ค่อยทรงได้รับอนุญาตจากพระเจ้าคาโรลให้เสด็จเยือนโรมาเนีย สิ่งนี้ทำให้พระนางมารีทรงขุ่นเคืองพระทัยมาก พระนางยังทรงเสด็จไปยังเบลเกรดโดยทรงใช้เวลากับพระธิดา "เจ้าหญิงมิกนอน" และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ พระชามาดา ในปีค.ศ. 1934 พระนางมารีเสด็จเยือนอังกฤษอีกครั้ง ทรงพบกับดัชเชสแห่งยอร์ก ผู้ซึ่งทำให้พระนางทรงปลื้มปิติมากประชวรและสิ้นพระชนม์ ประชวรและสิ้นพระชนม์. ในช่วงฤดูร้อนปีค.ศ. 1937 พระนางมารีทรงพระประชวร แพทย์ประจำพระองค์คือ นายแพทย์คัสเตลานี ได้วินิจฉัยว่าพระนางทรงเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนแม้ว่าการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการจะระบุว่าทรงเป็นโรคตับแข็ง พระนางมารีไม่ใช่นักดื่มและเมื่อทรงได้ยินข่าว พระนางทรงรายงานว่า "มันต้องเป็นโรคตับแข็งที่ไม่มีแอลกอฮอล์แน่ๆ เพราะตลอดทั้งชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยลิ้มรสแอลกอฮอล์เลยนะ" พระนางได้ถูกแนะนำให้งดเสวยพระกระยาหารที่เย็นจัด และรับการฉีดยาและบรรทมพักผ่อน ในช่วงนั้นพระนางมารีทรงมีพระวรกายที่อ่อนแอมาก จนพระนางไม่ทรงสามารถแม้แต่จับปากกาได้เลย ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 พระนางถูกส่งไปยังโรงพยาบาลในอิตาลี ด้วยหวังว่าพระวรกายจะได้รับการฟื้นฟู ที่นั่นเจ้าชายนิโคลัสและพระชายาของเจ้าชายได้เสด็จเยี่ยมพระนางมารี ซึ่งในที่สุดแล้วพระนางมารีทรงให้อภัยในการกระทำผิดของพระสุณิสา นอกจากนี้ เจ้าหญิงเฮเลน ผู้ซึ่งพระนางไม่ทรงเคยพบอีกเลยตลอดระยะเวลา 7 ปี ได้เสด็จมาเยี่ยมพระนาง รวมทั้งวัลดอร์ฟ อัสเตอร์ด้วย ในที่สุดพระนางมารีทรงถูกย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลในเดรสเดิน ด้วยพระอาการทรุดลงเรื่อยๆ พระนางมารีทรงขอเสด็จกลับโรมาเนียเพื่อที่จะได้สิ้นพระชนม์ที่นั่น พระเจ้าคาโรลปฏิเสธที่จะให้พระนางเสด็จโดยเครื่องบิน และพระนางทรงปฏิเสธบริการทางการแพทย์อากาศที่ฮิตเลอร์ได้ทูลเสนอให้ โดยทรงเลือกเสด็จกลับโรมาเนียโดยรถไฟแทน พระนางทรงเข้าประทับที่ปราสาทเปลิซอร์ พระนางมารีสิ้นพระชนม์ในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938 เวลา 17.38 น. เป็นเวลาแปดนาทีหลังจากพระอาการอยู่ในช่วงโคม่า พระโอรสธิดาองค์โต คือ พระเจ้าคาโรลและเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พร้อมกับเจ้าชายไมเคิล ทรงอยู่กับพระนางในช่วงวาระสุดท้าย สองวันถัดมา ในวันที่ 20 กรกฎาคม พระศพของพระนางมารีได้ถูกนำมาที่บูคาเรสต์ ซึ่งมาประกอบพิธีตั้งพระศพที่ห้องรับแขกสีขาวในพระราชวังโคโทรเซนี โลงพระศพของพระนางได้ล้อมรอบด้วยดอกไม้และเทียนแสงแวววาวและได้รับการรักษาโดยทหารจากกองทหารม้าฮุสซาร์ ผู้คนหลายพันคนเข้าแถวล้อมรอบพระศพของพระนางมารีในช่วงเวลาสามวันของพิธีตั้งพระศพ ในวันที่สาม พระราชวังได้เปิดให้กรรมกรโรงงานเข้ามาร่วมพิธี ขบวนพระศพของพระนางมารีได้ไปยังสถานีรถไฟโดยผ่านประตูชัยโรมาเนีย พระศพของพระนางได้ถูกนำไปยังมหาวิหารเคอร์เทียเดออาร์ก ที่ซึ่งทรงถูกฝังที่นั่น พระหทัยของพระนางมารีถูกวางลงในตลับสีทองประดับด้วยสัญลักษณ์ของมณฑลโรมาเนียและฝังอยู่ที่โบสถ์ Stella Maris ในบอลชิคตามพระราชประสงค์ของพระนาง ในปีค.ศ. 1940 หลังจากมณฑลโดบรูจาใต้ถูกผนวกเข้ากับบัลแกเรียในสนธิสัญญาคราเอียวาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระหทัยของพระนางได้ถูกย้ายมาที่ปราสาทบราน ที่ซึ่งเจ้าหญิงอีเลียนาทรงสร้างโบสถ์เพื่อเป็นที่บรรจุพระหทัยและถูกเก็บไว้ในกล่องสองกล่องที่ซ้อนกันอยู่ภายในโลงหินอ่อน พระนางมารีทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้าย โดยเจ้าหญิงเฮเลนทรงได้รับพระอิสริยยศ "สมเด็จพระราชชนนี" เท่านั้นในระหว่างปีค.ศ. 1940 ถึงค.ศ. 1947 พระนางทรงเป็นหนึ่งในห้าพระราชนัดดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่ได้สวมมงกุฎและทรงเป็นหนึ่งในสามที่สามารถรักษาพระอิสริยยศในฐานะสมเด็จพระราชินีได้หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยกันกับสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์และสมเด็จพระราชินีแห่งสเปนมรดก มรดก. ตามที่หนึ่งในนักเขียนพระราชประวัติของพระนางมารี คือ ไดอานา แมนดาเช ได้กล่าวว่า พระนางมารีทรงตีพิมพ์หนังสือและเรื่องสั้น 34 เล่ม ทั้งในภาษาโรมาเนียและภาษาอังกฤษ ตลอดพระชนม์ชีพของพระนาง นี้ได้รวมทั้งอัตชีวประวัติอันน่าสะเทือนใจของพระนางด้วย คือ The Story of My Life ที่ตีพิมพ์โดยคาสเซลในลอนดอน มีทั้งหมดสามเล่ม หนังสือได้รับการวิจารณ์โดยเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ซึ่งเธอได้มองว่ามันทำให้รู้สึกคุ้นเคยกับราชวงศ์มากเกินไป เธอได้ระบุว่า "คิดว่าท่ามกลางหนังสือในฤดูใบไม้ร่วงแห่งปี 2034 คือเรื่อง Prometheus Unbound ของจอร์จที่ 6 หรือเรื่อง Wuthering Heights ของเอลิซาเบธที่ 2 อะไรที่จะส่งผลกระทบต่อความจงรักภักดี จักรวรรดิอังกฤษจะอยู่รอดหรือไม่ พระราชวังบักกิ้งแฮมยังคงแข็งแกร่งดังเช่นในตอนนี้หรือไม่ คำพูดเป็นสิ่งที่อันตรายให้เราจำไว้ สาธารณรัฐอาจจะถูกนำเข้ามาในบทกวี" พระนางมารีทรงเก็บรักษาพระอนุทินมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 จนถึงเวลาสั้นๆก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ และเล่มแรกได้ถูกตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1996 แม้กระทั่งก่อนการเสด็จขึ้นครองราชย์ในฐานะสมเด็จพระราชินี พระนางมารีทรงประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ของพระนางในฐานะ "หนึ่งในเจ้าหญิงที่ดูดีที่สุดและร่ำรวยที่สุดในยุโรป" พระนางทรงเป็ยที่รู้จักอย่างมากในพระอัจฉริยภาพด้านการทรงม้า, การเขียน, ภาพเขียน, การแกะสลัก, การเต้นรำและพระสิริโฉมของพระนาง ความนิยมในตัวพระนางได้ถูกทำให้มัวหมองโดยการกล่าวหาของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือการดำเนินการของฝ่ายมหาอำนาจกลางในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และอีกฝ่ายนำโดยทางการพรรคคอมมิวนิสต์หลังจากที่โรมาเนียได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบสาธารณรัฐสังคมนิยมในปีค.ศ. 1947 โรมาเนียในช่วง 42 ปีภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ พระนางมารีทรงกลายเป็นภาพสลับทั้งเป็น "ตัวแทนของระบอบทุนนิยมอังกฤษ" หรือผู้อุทิศเพื่อชาติที่เชื่อว่าชะตากรรมของพระนางถูกผูกติดไว้กับโรมาเนีย ในปีค.ศ. 1949 หนังสือ Adevărata istorie a unei monarhii ("The True History of a Monarchy") ที่เขียนโดยอเล็กซานดรู การ์เนียตา ได้บรรยายว่า พระนางมารีได้จัดงานเลี้ยงมั่วสุมดื่มสุราที่โคโทรเซนีและบอลชิค และยังอ้างว่าในความเป็นจริงโรคตับแข็งของพระนางมาจากการที่ทรงดื่มอย่างหนัก แม้กระทั่งได้มีการแสดงตัวอย่างว่า พระนางมารีผู้ทรงเมามายมักจะเสด็จด้วยเรือยอชท์ไปพร้อมกับพระสหายเพื่อนดื่มของพระนาง เรื่องราวอื้อฉาวของพระนางมารีได้ถูกยกขึ้นมาเป็นหลักฐานในเรื่องความสำส่อน ซึ่งเป็นสิ่งฝ่าฝืนค่านิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ในปีค.ศ. 1968 ทางการพรรคคอมนิวนิสต์ได้บุกเข้าไปในโบสถ์ที่เก็บรักษาพระหทัยของพระนางมารี ได้เปิดโลงและนำกล่องพร้อมพระหทัยของพระนางไปไว้ที่ปราสาทบราน ในปีค.ศ. 1971 ได้ถูกย้ายไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โรมาเนียในบูคาเรสต์ มันไม่ได้เปลี่ยนไปจนกระทั่งปลายสมัยของนิโคไล เชาเชสกู ปีสุดท้ายก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติโรมาเนีย พระคุณความดีของพระนางมารีได้เป็นที่ยอมรับ ในโรมาเนีย พระนางมารีทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "Mama Răniților" (มารดาแห่งผู้เจ็บไข้) หรือทรงถูกเรียกง่ายๆว่า "Regina Maria" ในขณะที่ในประเทศอื่นๆทรงจดจำพระนางในฐานะ "ราชินีทหาร" (Soldier Queen) และ "Mamma Regina" พระนางยังทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระสัสสุแห่งบอลข่าน" เนื่องมาจากพระธิดาของพระนางทรงอภิเษกสมรสกับราชวงศ์ในคาบสมุทรบอลข่าน ในช่วงที่พระนางสิ้นพระชนม์ พระธิดาของพระนางมารีทรงปกครองสามในสี่ประเทศของคาบสมุทรบอลข่านยกเว้นแต่บัลแกเรีย แม้ว่าพระสันตติวงศ์ของพระนางจะไม่ได้ครองราชบัลลังก์ยุโรปอีกต่อไปแล้ว พระนางมารีทรงได้รับการถวายพระเกียรติในฐานะ "หนึ่งในบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โรมาเนีย" โดยคอนสแตนติน อาร์เกโทเอียนู และในการระลึกถึงพระนาง ได้มีการจัดตั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์กางเขนแห่งสมเด็จพระราชินีมารีขึ้นในโรมาเนีย ก่อนจะถึงปีค.ศ. 2009 สิ่งของหลายชิ้นที่เป็นของพระนางมารีได้ถูกจัดแสดงที่ปราสาทบราน ซึ่งเป็นที่พำนักของพระนางในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ และได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ในปีนั้น เมื่อปราสาทได้รับการบูรณะอย่างเป็นทางการโดยทายาทของเจ้าหญิงอีเลียนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้ย้ายสิ่งของสะสมของพระนางมารีไปไว้ที่อาคารใกล้ๆคือ Vama Medievală ซึ่งยังคงเปิดให้นักท้องเที่ยวเข้าเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ศิลปะแมรี่ฮิลล์ได้มีการจัดนิทรรศการถาวรภายใต้ชื่อ "มารี สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย" (Marie, Queen of Romania) ที่นี่ได้จัดแสดงทั้งฉลองพระองค์ชุดคลุมในพระราชพิธีราชาภิเษกของพระนาง, มงกุฎจำลอง, เครื่องเงิน, เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเพชร รวมทั้งสิ่งของอื่นๆพระโอรสธิดาพระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์และตราอาร์มพระอิสริยยศพระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์และตราอาร์ม. พระอิสริยยศ. - 29 ตุลาคม ค.ศ. 1875 - 10 มกราคม ค.ศ. 1893 : เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ,เจ้าหญิงแห่งสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์,เจ้าหญิงแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา,ดัชเชสแห่งแซกโซนี - 10 มกราคม ค.ศ. 1893 - 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914: มกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย - 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914 - 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1927: สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย - 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 - 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938: สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนียตราอาร์มอังกฤษ ตราอาร์มอังกฤษ. ในฐานะที่เป็นพระนัดดาขององค์ประมุขอังกฤษที่สืบเชื้อสายมาจากบุรุษ ทำให้พระนางมารีทรงได้รับตราอาร์มแห่งราชอาณาจักร พร้อมโล่ในสำหรับแซกโซนี ที่แตกต่างกันด้วยฉลากเงินห้าจุด คู่ด้านนอกยึดติดด้วยสีฟ้า สีแดงกุหลาบภายในและตรงกลางเป็นกางเขนสีแดง ในปีค.ศ. 1917 โล่ในได้ถูกยกเลิกโดยพระบรมราชานุญาตในพระเจ้าจอร์จที่ 5เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์. พระนางมารีทรงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังนี้- โรมาเนีย : เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎ ชั้น Grand Cross - ฝรั่งเศส : เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ - ฝรั่งเศส : เครื่องอิสริยาภรณ์เมดายล์มิลิแตร์ - : เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎแห่งอิตาลี - บริติชราช : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ดาราแห่งอินเดีย - สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์กาชาด - สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต - สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซนต์จอร์จ - สเปน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์สมเด็จพระราชินีมาเรีย ลุยซาพระราชตระกูล
สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนียทรงเป็นพระมเหสีของกษัตริย์องค์ใด
{ "answer": [ "พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย" ], "answer_begin_position": [ 338 ], "answer_end_position": [ 375 ] }
3,534
507,847
หอระฆังซันมาร์โก หอระฆังซันมาร์โก (, ) คือ หอระฆังของมหาวิหารซันมาร์โก ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ในลานซันมาร์โก (Piazza San Marco) หอระฆังแห่งนี้คือหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดของเมือง หอระฆังสูง 98.6 เมตร (323 ฟุต) ตั้งอยู่บนมุมของลานซันมาร์โก ใกล้กับด้านหน้ามหาวิหารซันมาร์โก หอระฆังแห่งนี้มีรูปแบบที่เรียบง่าย สร้างอิฐสี่เหลี่ยมเรียงกันเป็นชั้นๆ เหนือขึ้นไปมีระเบียงล้อมรอบหอระฆัง ซึ่งประกอบด้วยระฆัง 5 ใบ ส่วนบนของหอระฆังเป็นลูกบาศก์สี่เหลี่ยมที่มีรูปหน้าของสิงโตซันมาร์โก (Lion of Saint Mark) ประดับอยู่โดยรอบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐเวนิสและตัวแทนผู้หญิงของเมืองเวนิส หลังคาของหอระฆังถูกครอบด้วยยอดแหลมทรงพีระมิด และยอดบนสุดประดับด้วยกังหันอากาศ (weather vane) ในรูปแบบของอัครทูตสวรรค์กาเบรียล (archangel Gabriel) หอระฆังแห่งนี้สร้างขึ้นในรูปแบบของหอเดิม ที่สร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1514 โดยหอระฆังปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 1912 หลังจากการพังทลายใน ค.ศ. 1902 และมีซ่อมใหม่ฐานรากใหม่เพื่อที่จะหยุดการทรุดตัวของหอระฆังการจำลองอาคาร การจำลองอาคาร. หอระฆังซันมาร์โกเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบอาคารอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอาคารต่างๆ ในเขตเมืองเวนิช ที่ออกแบบอาคารใกล้เคียงกับหอระฆังแต่มีขนาดเล็กกว่า แบบจำลองหอระฆังซันมาร์โกยังปรากฏอยู่ทั่วโลก ได้แก่- เมืองบริสเบน ออสเตรเลีย - เมืองเดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา - นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา - ตึกเมโทรโพลิแทน ไลฟ์ อินชัวเรนซ์ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา - เดอะเวเนเชียน (ลาสเวกัส) เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา - เดอะเวเนเชี่ยนมาเก๊า เขตบริหารพิเศษมาเก๊า - รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา - เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
หอระฆังซันมาร์โก ในประเทศอิตาลี สูงกี่เมตร
{ "answer": [ "98.6" ], "answer_begin_position": [ 305 ], "answer_end_position": [ 309 ] }
3,535
142,515
แคว้นอุมเบรีย อุมเบรีย () เป็นหนึ่งในยี่สิบแคว้นของประเทศอิตาลี มีเนื้อที่ทั้งหมด 8,456 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 900,000 คน แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 2 จังหวัด คือ จังหวัดเปรูจาและจังหวัดแตร์นี เมืองหลักของแคว้นคือเปรูจาภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. อุมเบรียเป็นแคว้นที่อยู่ตอนกลางของประเทศอิตาลี มีแคว้นตอสคานาอยู่ทางตะวันตก แคว้นมาร์เคทางตะวันออก และแคว้นลัตซีโยทางใต้ พึ้นที่ส่วนใหญ่เป็นเนินและภูเขาโดยมีเทือกเขาแอเพนไนน์อยู่ทางตะวันออก โดยมีมอนเตเวตโตเร (Monte Vettore) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดอยู่ระหว่างเขตแดนของแคว้นกับลุ่มแม่น้ำไทเบอร์
แคว้นอุมเบรียในประเทศอิตาลีมีเนื้อที่ทั้งหมดกี่ตารางกิโลเมตร
{ "answer": [ "8,456" ], "answer_begin_position": [ 170 ], "answer_end_position": [ 175 ] }
3,536
282,227
เดอะริชแมนทอย เดอะริชแมนทอย () หรือเรียกย่อ ๆ ว่า TRMT วงดนตรีในสังกัดสมอลล์รูม มีเพลงที่ได้รับความนิยม เช่น แดนสวรรค์คอยอยู่ ม้าป่า สะดุดรัก กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม และ อ๊อด อ๊อดประวัติสมาชิกสมาชิกปัจจุบันสมาชิกในอดีตผลงานอัลบั้มแดนสวรรค์คอยอยู่ (พ.ศ. 2550)ผลงาน. อัลบั้ม. แดนสวรรค์คอยอยู่ (พ.ศ. 2550). 1. แดนสวรรค์คอยอยู่ 2. มนต์รักยาเสน่ห์ 3. ราชานักรัก 4. สตรอเบอร์รี่เกิร์ล 5. สาวน้อยคาราโอเกะ 6. ร็อกสตาร์ 7. ฟลอร์ทองหล่อ 8. สะดุดรัก 9. ทุ่งดอกไม้บาน 10. ม้าป่าลำนำสะดิ้งเลิฟยู (พ.ศ. 2552)ลำนำสะดิ้งเลิฟยู (พ.ศ. 2552). 1. ลำนำสะดิ้งเลิฟยู 2. กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม 3. รักจริงผ่านจอ 4. รอน้องจอดหัวใจ 5. หนังซ้ำ 6. กฎแห่งกรรม 7. พลังวัยรุ่น 8. เปิ๊ดสะก๊าด 9. อ๊อด อ๊อด 10. คนที่ห้า + Hidden Track ผู้ชนะที่พ่ายแพ้เดอะ ริชแมน ไทย (พ.ศ. 2555)เดอะ ริชแมน ไทย (พ.ศ. 2555). 1. กรรมกู๊ 2. คนรวยน้ำใจ 3. ฉิ่งฉับชัวร์ 4. ประชาธิปใจ 5. ธิดาประจำอำเภอ 6. โป๊ะแตก 7. เก๊ก 8. อ้าว! 9. โก้โก้ 10. ซูเปอร์แฟน 11. ซ่า ได้ อาย อด 12. หัวใจไม่กระดึ๊บตะวันเลียตูด (พ.ศ. 2560)ตะวันเลียตูด (พ.ศ. 2560). 1. ตะวันเลียตูด 2. บินถลาลม 3. สวรรค์สาป 4. ก่ายตีนลอยน้ำ 5. แอลกอฮอล์ริเริ่ม 6. คิดดี ๆ 7. รวยเละ 8. หลงพระจันทร์ 9. แฟนหาย 10. รู้ 11. มอ 12. เหงาเป็นบ้า 13. รักดู 14. ใคร ๆ ก็ทำกัน 15. ร้องเพลงเดอะริชแมนทอยผลงานอื่น ๆผลงานอื่น ๆ. - เพลง "สาวรำวง" และ "ดาวเด่น" ในอัลบั้ม Showroom สังกัด จีนี่เรคอร์ดส (พ.ศ. 2547) - เพลง "คนใจง่าย" เป็นเพลง Cover ของไอซ์ ศรัณยู ในอัลบั้ม Sanamluang Connect 02 สังกัด สนามหลวงมิวสิก (พ.ศ. 2550) - เพลง "ผู้ชนะที่พ่ายแพ้" แต่งขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง (พ.ศ. 2551) - เพลง "แต่งงานกันเด้อ" feat. หม่ำ จ๊กมก เพลงประกอบภาพยนตร์ แหยม ยโสธร 2 (พ.ศ. 2552) - เพลง "ซุปเปอร์แฟน" เพลงประกอบภาพยนตร์ 8E88 แฟนลั้ลลา (พ.ศ. 2553) - เพลง "หัวใจไม่กระดึ๊บ" เพลงประกอบภาพยนตร์ กระดึ๊บ (พ.ศ. 2553) - มิวสิกวิดีโอ เพลง "ขอความสุขคืนกลับมา" (พ.ศ. 2553) - เพลง "แบ่ง" เพลงประกอบภาพยนตร์ ยักษ์ (พ.ศ. 2555) - เพลง "แฟนคันแรก" (ร่วมกับ โฟร์-มด ในอัลบั้ม "Club FM" ของโฟร์-มด) (พ.ศ. 2556) - เพลง "บัวลอย" OST. คาราบาว เดอะซีรี่ส์ (พ.ศ. 2556) - เพลง "คนจนผู้ยิ่งใหญ่" OST. คาราบาว เดอะซีรี่ส์ (พ.ศ. 2556) - เพลง "อยากบอกรัก" (เพลงประกอบโฆษณา เดนทีน ร่วมกับ อุรัสยา เสปอร์บันด์) (พ.ศ. 2556) - เพลง "มหาลัย" OST. คาราบาว เดอะซีรี่ส์ (พ.ศ. 2557) - เพลง "ลบ" ประกอบโฆษณา ปากกาลบคำผิด ตราช้าง - เพลง "บินถลาลม" OST. โปรเจกต์ เอส เดอะซีรีส์ ตอน SOS Skate ซึม ซ่าส์ซิงเกิ้ลซิงเกิ้ล. - พ.ศ. 2554 - "ซ่า ได้ อาย อด" - พ.ศ. 2557 - " มาเด้อ | mother" - พ.ศ. 2558 - "ไม่สวยแต่อร่อย | Ugly Beauty" - พ.ศ. 2559 - "รักไม่มีราคา"คอนเสิร์ตคอนเสิร์ต. - กระทิงแดง ภูมิใจเสนอ [V] The Richman Toy อ๊อดทะลุเป้า คอนเสิร์ตกลางแจ้ง แต่แสดงในร่ม โดย แชนแนลวีไทยแลนด์ 5 มิถุนายน 2553 ณ อินดอร์สเตเดียม สนามกีฬาหัวหมากรางวัลรางวัล. - รางวัลศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 7 - รางวัลศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2009ข้อมูลเพิ่มเติมข้อมูลเพิ่มเติม. - เสียงเหน่อของแจ๊ปได้แรงบันดาลใจมาจาก บ๊อบ ดีแลน - ปกอัลบั้ม ลำนำสะดิ้งเลิฟยู และมิวสิกวิดีโอเพลง กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม ถ่ายทำที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) - การออกแบบแพ็กเกจซิงเกิล "กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม" ได้แรงบันดาลใจจากเช็คช่วยชาติของรัฐบาล - เพลง กฎแห่งกรรม ในอัลบั้ม ลำนำสะดิ้งเลิฟยู แต่งโดย รัฐ พิฆาตไพรี มือกีตาร์แทตทูคัลเลอร์ เพื่อตอบแทนที่แจ๊ปแต่งเพลง Cinderella ให้วงของเขาในอัลบั้ม "ชุดที่ 8 จงเพราะ" ซึ่งต่อมาได้นำไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง 9 วัด - อัคราวิชญ์มีอีกหน้าที่หนึ่งเป็นครูสอนเบสและการรวมวงขนาดเล็กที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล - วีรณัฐ (แจ๊ป) เป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้า "ม้าป่า" ที่ตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเสื้อผ้าของร้านแจ๊ปได้นำมาใช้ในวงด้วย - กิฟท์ วสุ ปาลิโพธิ เรียนดนตรีที่โรงเรียนดนตรีเกษตรศิลป์ ถนนสามัคคี จังหวัดนนทบุรี
เดอะริชแมนทอยเป็นวงดนตรีที่สังกัดอยู่ในค่ายเพลงใด
{ "answer": [ "สมอลล์รูม" ], "answer_begin_position": [ 158 ], "answer_end_position": [ 167 ] }
3,537
282,227
เดอะริชแมนทอย เดอะริชแมนทอย () หรือเรียกย่อ ๆ ว่า TRMT วงดนตรีในสังกัดสมอลล์รูม มีเพลงที่ได้รับความนิยม เช่น แดนสวรรค์คอยอยู่ ม้าป่า สะดุดรัก กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม และ อ๊อด อ๊อดประวัติสมาชิกสมาชิกปัจจุบันสมาชิกในอดีตผลงานอัลบั้มแดนสวรรค์คอยอยู่ (พ.ศ. 2550)ผลงาน. อัลบั้ม. แดนสวรรค์คอยอยู่ (พ.ศ. 2550). 1. แดนสวรรค์คอยอยู่ 2. มนต์รักยาเสน่ห์ 3. ราชานักรัก 4. สตรอเบอร์รี่เกิร์ล 5. สาวน้อยคาราโอเกะ 6. ร็อกสตาร์ 7. ฟลอร์ทองหล่อ 8. สะดุดรัก 9. ทุ่งดอกไม้บาน 10. ม้าป่าลำนำสะดิ้งเลิฟยู (พ.ศ. 2552)ลำนำสะดิ้งเลิฟยู (พ.ศ. 2552). 1. ลำนำสะดิ้งเลิฟยู 2. กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม 3. รักจริงผ่านจอ 4. รอน้องจอดหัวใจ 5. หนังซ้ำ 6. กฎแห่งกรรม 7. พลังวัยรุ่น 8. เปิ๊ดสะก๊าด 9. อ๊อด อ๊อด 10. คนที่ห้า + Hidden Track ผู้ชนะที่พ่ายแพ้เดอะ ริชแมน ไทย (พ.ศ. 2555)เดอะ ริชแมน ไทย (พ.ศ. 2555). 1. กรรมกู๊ 2. คนรวยน้ำใจ 3. ฉิ่งฉับชัวร์ 4. ประชาธิปใจ 5. ธิดาประจำอำเภอ 6. โป๊ะแตก 7. เก๊ก 8. อ้าว! 9. โก้โก้ 10. ซูเปอร์แฟน 11. ซ่า ได้ อาย อด 12. หัวใจไม่กระดึ๊บตะวันเลียตูด (พ.ศ. 2560)ตะวันเลียตูด (พ.ศ. 2560). 1. ตะวันเลียตูด 2. บินถลาลม 3. สวรรค์สาป 4. ก่ายตีนลอยน้ำ 5. แอลกอฮอล์ริเริ่ม 6. คิดดี ๆ 7. รวยเละ 8. หลงพระจันทร์ 9. แฟนหาย 10. รู้ 11. มอ 12. เหงาเป็นบ้า 13. รักดู 14. ใคร ๆ ก็ทำกัน 15. ร้องเพลงเดอะริชแมนทอยผลงานอื่น ๆผลงานอื่น ๆ. - เพลง "สาวรำวง" และ "ดาวเด่น" ในอัลบั้ม Showroom สังกัด จีนี่เรคอร์ดส (พ.ศ. 2547) - เพลง "คนใจง่าย" เป็นเพลง Cover ของไอซ์ ศรัณยู ในอัลบั้ม Sanamluang Connect 02 สังกัด สนามหลวงมิวสิก (พ.ศ. 2550) - เพลง "ผู้ชนะที่พ่ายแพ้" แต่งขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง (พ.ศ. 2551) - เพลง "แต่งงานกันเด้อ" feat. หม่ำ จ๊กมก เพลงประกอบภาพยนตร์ แหยม ยโสธร 2 (พ.ศ. 2552) - เพลง "ซุปเปอร์แฟน" เพลงประกอบภาพยนตร์ 8E88 แฟนลั้ลลา (พ.ศ. 2553) - เพลง "หัวใจไม่กระดึ๊บ" เพลงประกอบภาพยนตร์ กระดึ๊บ (พ.ศ. 2553) - มิวสิกวิดีโอ เพลง "ขอความสุขคืนกลับมา" (พ.ศ. 2553) - เพลง "แบ่ง" เพลงประกอบภาพยนตร์ ยักษ์ (พ.ศ. 2555) - เพลง "แฟนคันแรก" (ร่วมกับ โฟร์-มด ในอัลบั้ม "Club FM" ของโฟร์-มด) (พ.ศ. 2556) - เพลง "บัวลอย" OST. คาราบาว เดอะซีรี่ส์ (พ.ศ. 2556) - เพลง "คนจนผู้ยิ่งใหญ่" OST. คาราบาว เดอะซีรี่ส์ (พ.ศ. 2556) - เพลง "อยากบอกรัก" (เพลงประกอบโฆษณา เดนทีน ร่วมกับ อุรัสยา เสปอร์บันด์) (พ.ศ. 2556) - เพลง "มหาลัย" OST. คาราบาว เดอะซีรี่ส์ (พ.ศ. 2557) - เพลง "ลบ" ประกอบโฆษณา ปากกาลบคำผิด ตราช้าง - เพลง "บินถลาลม" OST. โปรเจกต์ เอส เดอะซีรีส์ ตอน SOS Skate ซึม ซ่าส์ซิงเกิ้ลซิงเกิ้ล. - พ.ศ. 2554 - "ซ่า ได้ อาย อด" - พ.ศ. 2557 - " มาเด้อ | mother" - พ.ศ. 2558 - "ไม่สวยแต่อร่อย | Ugly Beauty" - พ.ศ. 2559 - "รักไม่มีราคา"คอนเสิร์ตคอนเสิร์ต. - กระทิงแดง ภูมิใจเสนอ [V] The Richman Toy อ๊อดทะลุเป้า คอนเสิร์ตกลางแจ้ง แต่แสดงในร่ม โดย แชนแนลวีไทยแลนด์ 5 มิถุนายน 2553 ณ อินดอร์สเตเดียม สนามกีฬาหัวหมากรางวัลรางวัล. - รางวัลศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 7 - รางวัลศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2009ข้อมูลเพิ่มเติมข้อมูลเพิ่มเติม. - เสียงเหน่อของแจ๊ปได้แรงบันดาลใจมาจาก บ๊อบ ดีแลน - ปกอัลบั้ม ลำนำสะดิ้งเลิฟยู และมิวสิกวิดีโอเพลง กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม ถ่ายทำที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) - การออกแบบแพ็กเกจซิงเกิล "กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม" ได้แรงบันดาลใจจากเช็คช่วยชาติของรัฐบาล - เพลง กฎแห่งกรรม ในอัลบั้ม ลำนำสะดิ้งเลิฟยู แต่งโดย รัฐ พิฆาตไพรี มือกีตาร์แทตทูคัลเลอร์ เพื่อตอบแทนที่แจ๊ปแต่งเพลง Cinderella ให้วงของเขาในอัลบั้ม "ชุดที่ 8 จงเพราะ" ซึ่งต่อมาได้นำไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง 9 วัด - อัคราวิชญ์มีอีกหน้าที่หนึ่งเป็นครูสอนเบสและการรวมวงขนาดเล็กที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล - วีรณัฐ (แจ๊ป) เป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้า "ม้าป่า" ที่ตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเสื้อผ้าของร้านแจ๊ปได้นำมาใช้ในวงด้วย - กิฟท์ วสุ ปาลิโพธิ เรียนดนตรีที่โรงเรียนดนตรีเกษตรศิลป์ ถนนสามัคคี จังหวัดนนทบุรี
กระเป๋าแบนแฟนยิ้มเป็นเพลงของวงดนตรีวงใด
{ "answer": [ "เดอะริชแมนทอย" ], "answer_begin_position": [ 102 ], "answer_end_position": [ 115 ] }
3,538
936,474
แพงพวยน้ำ แพงพวยน้ำ () เป็นพืชในสกุลลัดวิเจีย กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา เอเชียถึงออสเตรเลีย ลักษณะเป็นไม้ล้มลุกยาวได้กว่า 4 เมตร ลำต้นอวบน้ำ มีรากตามข้อ ต้นที่ลอยน้ำมีรากหายใจรูปกระสวย แตกกิ่งจำนวนมาก ใบรูปรี ขอบขนานหรือใบพาย ยาวได้ถึง 7 เซนติเมตร ดอกออกเดี่ยว ๆ ตามซอกใบ กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยมมี 5 กลีบ ยาว 0.5-1 เซนติเมตร ด้านนอกมีขนสั้นนุ่ม ดอกสีขาว โคนด้านในสีเหลือง กลีบดอกรูปไข่กลับ ยาว 1-1.8 เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี 10 อัน ก้านชูอับเรณูยาว 2.5-4 มิลลิเมตร ผลรูปทรงกระบอกยาว 1.2-2.7 เซนติเมตร มีสันตามยาว เกลี้ยงหรือมีขน ภายในมีเมล็ดเรียงเป็นแถวเดียว
ต้นแพงพวยน้ำมีรากอยู่ที่บริเวณใดของต้น
{ "answer": [ "ข้อ" ], "answer_begin_position": [ 233 ], "answer_end_position": [ 236 ] }
3,539
936,474
แพงพวยน้ำ แพงพวยน้ำ () เป็นพืชในสกุลลัดวิเจีย กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา เอเชียถึงออสเตรเลีย ลักษณะเป็นไม้ล้มลุกยาวได้กว่า 4 เมตร ลำต้นอวบน้ำ มีรากตามข้อ ต้นที่ลอยน้ำมีรากหายใจรูปกระสวย แตกกิ่งจำนวนมาก ใบรูปรี ขอบขนานหรือใบพาย ยาวได้ถึง 7 เซนติเมตร ดอกออกเดี่ยว ๆ ตามซอกใบ กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยมมี 5 กลีบ ยาว 0.5-1 เซนติเมตร ด้านนอกมีขนสั้นนุ่ม ดอกสีขาว โคนด้านในสีเหลือง กลีบดอกรูปไข่กลับ ยาว 1-1.8 เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี 10 อัน ก้านชูอับเรณูยาว 2.5-4 มิลลิเมตร ผลรูปทรงกระบอกยาว 1.2-2.7 เซนติเมตร มีสันตามยาว เกลี้ยงหรือมีขน ภายในมีเมล็ดเรียงเป็นแถวเดียว
ดอกของต้นแพงพวยน้ำมีสีอะไร
{ "answer": [ "ขาว" ], "answer_begin_position": [ 434 ], "answer_end_position": [ 437 ] }
3,540
50,804
สครับบ์ สครับบ์ () เป็นศิลปินคู่หูดูโอสัญชาติไทย จากสังกัดค่าย บีอีซี-เทโร มิวสิค อันประกอบด้วย บอล - ต่อพงศ์ จันทบุบผา และ เมื่อย - ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริประวัติ ประวัติ. สครับบ์เกิดจากการรวมตัวของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ (ทับแก้ว) อันประกอบไปด้วย บอล - ต่อพงศ์ จันทบุบผา เป็นคนนครปฐม ผูกพันกับดนตรีและรั้วศิลปากรมาตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านอยู่ใกล้ศิลปากร และเมื่อย - ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ เป็นคนกรุงเทพ ใฝ่ฝันอยากเล่นดนตรี แต่พ่อห้าม ด้วยความดันทุรัง พ่อยอมรับในสิ่งที่เมื่อยรัก ตอนเมื่อยอยู่ปี 1 ได้เติมความฝันด้วยการเข้าชมรมดนตรีสากลและเจอบอล เป็นประธานชมรมปี 4 เมื่อยยังแต่งเพลงและเล่นกีตาร์ได้ และทำให้บอลจึงชวนเมื่อยเล่นดนตรีกัน หลังจากบอลเรียนจบได้กลับมาช่วยเมื่อยในเส้นทางดนตรี หลังเมื่อยเรียนจบได้หาประสบการณ์ดนตรี และบอลเคยตั้งวงและออกกำลังอัลบั้มแต่เพื่อนร่วมวงตัดสินใจเปลี่ยนเลยทำให้ต้องหาสมาชิกใหม่มาขับเคลื่อนความฝันต่อ บอลชวนเมื่อยมาร่วมวง Eye ทั้งคู่เจอโปรดิวเซอร์ ฟั่น-โกมล บุญเพียรผล และออกอัลบั้มโปรเจกต์ Intro 2000 กับสังกัด จีนี่เรคอร์ดส ในเครือ แกรมมี่ ในปี พ.ศ. 2542 มีเพลงที่เป็นที่รู้จัก วันนี้ดีจัง โดยบอลเป็นคนร้องนำ โดยเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จสุดในอัลบั้มดังกล่าว ซึ่งอัลบั้มโปรเจกต์นั้นมี พลพล พลกองเส็ง , แซตเทอร์เดย์เซย์โกะ , พาราด็อกซ์ , วีนัส ยกเว้นแค่วง Eye เพราะติดขัดในการนำเสนอเดโมทางค่ายไม่ผ่าน ปี พ.ศ. 2543 ทั้งคู่ตัดสินใจเดินตามเส้นทางที่ชอบโดยการออกอัลบั้มใต้ดินร่วมกับวงซาวนด์อเบาท์ในนาม scrubb & soundabout ที่มาของชื่อสครับบ์ ได้มาจากครีมกวนอิมสครับบ์ เมื่อยตั้งใจที่จะใช้ชื่อสครับบ์ พอลงทะเบียนอัปโหลดเพลงเพื่อเผยแผร่ใน www.mp3.com แล้วชื่อซ้ำ จึงจำเป็นต้องเติม b เพิ่ม ทำให้ชื่อดูมีเอกลักษณ์ขึ้นมา ส่วนอัลบั้มเป็นเทปแยกหน้าเอหน้าบี หน้าเอจะเป็นของสครับบ์ ส่วนหน้าบีเป็นของซาวนด์อเบาท์ แล้วเผยแผร่เพลงตามเว็ปไซต์ดนตรีต่าง ๆ และทั้งคู่ได้ฝากอัลบั้มให้กับร้านเทปชั้นนำจำนวนมาก อีกทั้งทั้งคู่ได้ตัดสินใจเผยแพร่ผลงานให้กับ VFM (ปัจจุบันคือ Cat Radio) แล้วปล่อยเพลง ชูบีดูบีดั้บ จนติดอันดับที่ 12 ในชาร์ต หลังจากออกอัลบั้มใต้ดินเสร็จ ทั้งคู่แยกย้ายไปทำงาน หลังจากนั้นตลาดเพลงอินดี้กลับมาบูมอีกครั้งหนึ่ง ปี พ.ศ. 2545 นิตรสารอะเดย์นิตรสารขวัญใจวัยรุ่น มีโปรเจกต์อัลบั้มในนาม อะเดย์เรดคอร์ด โดยทั้งคู่ส่งเดโม่เพลง โรงเรียน (โรงเลียน) และออกอัลบั้มในโปรเจกต์นั้นด้วย เมื่อยได้ไปเทศกาลดนตรีแฟตเฟลติวัลและประทับใจมาก และเป็นแรงผลักดันให้กับวงสครับบ์ได้ไปแสดงแฟตเฟสติวัลครั้งที่ 2 แฟนเพลงให้ความสนใจอย่างคับคั่ง หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เพิ่มเพลง ทุกอย่าง แล้วขายที่งาน live in a day จนกระทั่งค่าย แบล๊กชีพ ในเครือของโซนี่ มิวสิค สนใจผลงานของสครับบ์ เพราะต้องการวงที่ทำเพลงเอง ทำให้เมื่อยเดินทางเส้นทางดนตรี หลังจากความตั้งใจที่จะทำงานที่ภูเก็ต ฟั่น ได้มาเป็นโปรดิวเซอร์ของสครับบ์ แล้วทั้งคู่ก็ได้ออกซิงเกิ้ลแรกของวง ทุกอย่าง ในอัลบั้ม แบล็กชีพโปรเจกต์ จนติดชาร์ตอันดับ 1 ของแฟต เรดิโอ 2 สัปดาห์ซ้อน ปีถัดมา พ.ศ. 2546 สครับบ์ออกอัลบั้มชุดที่ 1 sssss.! มีเพลงฮิตอย่าง เธอ, ทุกอย่าง , กลัว , Art bar , เก็บมันเอาไว้ , และนำเพลงโรงเรียน (โรงเลียน) และชูบีดูบีดั๊บ เพลงใต้ดินรวมอยู่ในอัลบั้มดังกล่าวด้วย อีกทั้งอัลบั้มนี้ยังเปลี่ยนปกอัลบั้มบ่อยด้วย และประสบความสำเร็จอย่างมาก จนได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม Fat Award ครั้งที่ 2 และรางวัลอินดี้ยอดเยี่ยม Hamburger Award 2003 2 ปีถัดมา พ.ศ. 2548 สครับบ์ออกอัลบั้มชุดที่ 2 club เพลงฮิตอย่าง เพลง , เวลา , ใกล้ , คู่กัน , see scape และเพลงพิเศษ รักกันหนอ ซึ่งเป็นเพลงเก่าจากวง ดิอิมพอสซิเบิ้ล อีกทั้งเพลง คู่กัน เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ ก็เคยสัญญา ปี พ.ศ. 2549 สครับบ์ออกซิงเกิ้ล กอดหมอน และนำเพลงเก่าจากวงพอส มาขับร้องในอัลบั้ม Dedicated To Pause หนึ่งปีถัดมา ปี พ.ศ. 2550 สครับบ์ออกอัลบั้มอีพีชุดที่ 3 mood มีเพลงฮิตอย่าง เข้ากันดี , ย้อนเวลา , เก็บไว้กับเธอ อัลบั้มนี้มีจำนวน 5 เพลง และเพลง Inchan Tree (ต้นอินจัน) ได้ชื่อจากรีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ได้ออกซิงเกิ้ล ยังอยากรู้ ร้องโดยบอล และเอิ้น พียะระดา และ นอกหน้าต่าง ร้องโดยเมื่อยและ Funny Wah Wah ซึ่งเป็นแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์ในอัลบั้มโปรเจกต์แฟตโครต 2 และอัลบั้มรวมฮิต scrubb box set ประกอบด้วยเพลงจากอัลบั้ม sssss..! Club เพลงพิเศษ และมิวสิควิดิโอเพลงอื่น ๆ พ.ศ. 2551 ออกอัลบั้มชุดที่ 4 ชุดเล็ก อัลบั้มพิเศษที่เอาเพลงดังของวง เฉลียง เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ มาขับร้องใหม่และประสบความสำเร็จอย่างมาก รวมทั้งมีเพลงใหม่ 2 เพลงอย่าง เพลงของเรา , ให้เธอ และนำพลงดังของสครับบ์มาเรียบเรียงในสไตล์สบาย ๆ อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จ จนได้รางวัลศิลปินคู่แห่งปี Seed Award 2008 ปีถัดมา สครับบ์ได้ออกซิงเกิ้ล สุหครับ ร่วมกับ สุหฤทธิ์ สยามวาลา ในแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์ และ scrubb you voice เป็นอัลบั้มรวมฮิตของ scrubb ในรูปแบบของคาราโอเกะ และพวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 5 Kid มีเพลงฮิตอย่าง คำตอบ , คนนี้ , รอยต่อ , คิด , พร้อม ทั้งคู่ได้รางวัลนักร้องดูโอหรือกลุ่มยอดเยี่ยมและอัลบั้มยอดเยี่ยมจากงานประกาศรางวัล Fat Radio 2010 นอกจากนี้ได้ออกซิงเกิ้ล สุดสัปดาห์ และ รักที่ผ่านพ้นไป เพลงเก่าของกรู๊ฟไรเดอร์ส มาเรียบเรียงในสไตล์บอสซ่า ในอัลบั้ม Bossa In Loveสมาชิกสมาชิก. - ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ (เมื่อย) ร้องนำ ยังทำงานด้านจัดอีเวนท์ภายใต้ชื่อ dood - ต่อพงศ์ จันทบุบผา (บอล) กีต้าร์ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปินของค่ายเพลง What The Duckผลงานสตูดิโออัลบั้มอีพีอัลบั้มรวมเพลงซิงเกิลในฐานะศิลปินร้องนำในฐานะศิลปินรับเชิญรางวัลรางวัล. - ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม - Fat Awards 2003 - อัลบั้มอินดี้ยอดเยี่ยม (‘scrubb’) – Hamburger Awards 2003 - ศิลปินคู่แห่งปี – seed Awards 2008 - DUO OR GROUP ARTIST - Fat Awards 2010 - ALBUM OF THE YEAR : KID - Fat Awards 2010
บอล ต่อพงศ์ จันทบุบผา และ เมื่อย ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ เป็นศิลปินของวงดนตรีที่มีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "สครับบ์" ], "answer_begin_position": [ 88 ], "answer_end_position": [ 95 ] }
3,541
601,182
มะเขือบ้าดอกขาว มะเขือบ้าดอกขาว เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae เป็นพืชฤดูเดียว ดอกเป็นหลอดปลายบานคล้ายแตรสีขาว ผลเป็นแบบกระเปาะ ที่ผิวมีหนาม มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก และทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ มีฤทธิ์หลอนประสาท ทุกส่วนของพืชชนิดนี้มีพิษทั้งต่อคนและสัตว์ ในบางท้องที่ห้ามซื้อขายพืชชนิดนี้ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้
ดอกของมะเขือบ้าดอกขาวมีลักษณะคล้ายสิ่งใด
{ "answer": [ "แตร" ], "answer_begin_position": [ 186 ], "answer_end_position": [ 189 ] }
3,542
8,140
แปดเทพอสูรมังกรฟ้า แปดเทพอสูรมังกรฟ้า (จีนแต้จิ๋ว: เทียนเล้งโป๊ยโป๋ว ; จีนกลาง: 天龍八部เทียนหลงปาปู้ ; อังกฤษ: Demi-Gods and Semi-Devils) เป็นนิยายกำลังภายในของกิมย้ง จำลอง พิศนาคะ แปลเรื่องนี้ในชื่อ มังกรหยก ภาคพิเศษ เพื่อให้เข้าชุดกับมังกรหยก แต่ชื่อที่เป็นที่รู้จักมากกว่าคือ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ซึ่งเป็นฉบับแปลของ น. นพรัตน์ ซึ่งเรื่องนี้ความจริงน่าจะเรียกว่ามังกรหยกภาค 1 มากกว่าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนยุคของก้วยเจ๋งซึ่งเป็นตัวเอกในมังกรหยกภาค 1 "แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" เป็นผลงานลำดับที่ 11 ของกิมย้ง นับตั้งแต่ชื่อเรื่อง และที่มาของแรงบันดาลใจ แสดงความใฝ่ใจในพุทธศาสนาของเขา ชื่อภาษาจีน "เทียนหลงปาปู้" หมายถึง เทพและอมนุษย์ 8 จำพวก ในตำนานของพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์เฉพาะตนแตกต่างกันไป ประกอบด้วย1. เทพ เป็นผู้มีบุญกุศล อาศัยอยู่ในสวรรค์ที่พรั่งพร้อม และอิ่มทิพย์ ทว่า ยังไม่อาจละกิเลสจากโลกียสุข เช่น ยังอยากได้หญิงงามของอสูร เป็นต้น 2. อสูร เป็นอมนุษย์ในภพภูมิที่หยาบกว่าเทพ หากเป็นชายจะสุดอัปลักษณ์ หากเป็นหญิงจะมีรูปโฉมสะคราญ อสูรมักทำสงครามกับเทพบ่อยครั้ง เพราะต่างริษยาในกันและกัน อสูรอยากได้สวรรค์และความอิ่มทิพย์ของเทพ เทพอยากได้นางงามและภักษาหารรสโอชาของอสูร ต่างสัประยุทธ์กันจนฟ้าดินปั่นป่วน 3. มังกร หรือนาค เป็นผู้สืบทอดพิทักษ์ศาสนา เปรียบกับพระชั้นผู้ใหญ่ หรืออุปถัมภกคนสำคัญ 4. ครุฑ เป็นนกที่ยิ่งใหญ่ เมื่อกางปีกออกจะครอบคลุมดินฟ้าสามแสนหกหมื่นลี้ และมีฤทธิ์มาก สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้แผ่นดินและจักรวาลได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ในหนึ่งวัน ต้องกินมังกร 1 ตัว และลูกมังกร 500 ตัวเป็นอาหาร มักกล่าวกันว่า วีรบุรุษคนสำคัญคือครุฑมาเกิด 5. ยักษ์ เป็นภูตประเภทหนึ่ง อยู่ระหว่างพรมแดนของเทพ อสูร และมนุษย์ มีความแข็งแรง คล่องแคล่ว เป็นกำลังที่เคลื่อนไหวได้ทั้งดีและชั่ว บางยักษ์ช่วยคุ้มครองมนุษย์ บางยักษ์ชอบจับมนุษย์กิน 6. คนธรรพ์ เป็นเทพมังสวิรัติ ไม่แตะต้องเนื้อสัตว์สุรา แต่หลงใหลในความงามและกลิ่นหอม ส่วนตนมีฉายาและกลิ่นหอมชวนให้ผู้คนลุ่มหลง ทั้งยังแปลงกายเปลี่ยนรูปได้สุดหยั่งคะเน 7. กินนร เป็นเทพที่ชอบร้องรำทำเพลง และสร้างสีสันสำราญใจให้แก่ชาวสวรรค์ 8. มโหราค เป็นอมนุษย์ชั้นต่ำต้อยที่สุด บ้างมีลำตัวเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นงู บ้างมีลำตัวเป็นงู ศีรษะเป็นมนุษย์ มีฤทธิ์มาก แต่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก เทพอสูร 8 เหล่าในความเปรียบทางธรรม ยังหมายถึง ความเปิดกว้างโดยเมตตาของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ว่าเผ่าพันธุ์วรรณะใด ล้วนมีสิทธิที่จะสดับฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า สามารถแสวงหาความเข้าใจ ความหลุดพ้นจากทุกข์ และบรรลุธรรมได้โดยเสมอภาคกัน กิมย้งเขียนเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าในปี พ.ศ. 2506-2510 และปรับปรุงพิมพ์เป็นเล่มในปี พ.ศ. 2521 ฉบับภาษาไทย จำลอง พิศนาคะ แปลสำนวนแรกในปี พ.ศ. 2522 ใช้ชื่อว่า "มังกรหยกภาคพิเศษ" แต่เนื้อหาและเหตุการณ์ตามท้องเรื่องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมังกรหยกทั้ง 3 ภาคเลย ฉากหลังเป็นประวัติศาสตร์ช่วงก่อนมังกรหยกภาคแรกประมาณ 100 ปี ก่อนหน้านั้น ราชวงศ์ซ้อง (ซ่ง) ดำเนินนโยบายลิดรอนอำนาจขุนศึก และนิยมลัทธิขงจื๊อใหม่ กำลังของส่วนกลางจึงไม่เข้มแข็งนัก ช่วงเวลาตามท้องเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า แผ่นดินจีนแบ่งออกเป็น 5 อาณาจักร ของหลายชนเผ่า ตรงกลางคือต้าซ้องของชาวฮั่น ด้านเหนือคือต้าเหลียวของชาวชี่ตัน ด้านใต้คือต้าหลี่ ด้านตะวันตกเฉียงเหนือคือซีเซี่ย และด้านตะวันตกเฉียงใต้คือถู่ฝาน ต่างฝ่ายต่างอยากกลืนอาณาจักรอื่น และอาณาจักรที่ล่มสลายไปแล้วอย่างเยี่ยน ก็มีคนคิดฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ศึกสงครามจึงไม่สงบโดยง่าย ตัวละครมีมาก เรื่องราวก็ซับซ้อน กิมย้งใช้วิธีเล่าถึงทีละคน ทีละเหตุการณ์ ไล่เรียงกันไป หากอุปมาเทพอสูร 8 เหล่า เป็นตัวละครต่างๆ อาจเปรียบได้ว่า1. เทพ คือ ต้วนเจิ้งหมิง-ฮ่องเต้ต้าหลี่ ต้วนเจิ้งฉุน-อ๋องต้าหลี่ และ เยลุกี-ฮ่องเต้ต้าเหลียว เป็นผู้มีบุญบารมี แต่ยังไม่อาจละวาสนาติดพัน เช่น ต้วนเจิ้งหมิงไม่อาจละพันธะที่ผิดต่อต้วนเหยียนชิ่ง ต้วนเจิ้งฉุนไม่อาจละหญิงงามได้สักนาง และเยลุกีก็อยากรุกรานแผ่นดินต้าซ้อง 2. อสูร คือ ต้วนเหยียนชิ่ง-ผู้ถูกตัดสิทธิ์ในบัลลังก์ต้าหลี่อย่างไม่เป็นธรรม มู่หยงป๋อกับมู่หยงฟู่-บุตรชาย ยึดมั่นกับอาณาจักรที่ล่มสลายไปแล้ว จึงสร้างเวรก่อกรรมเพื่อทวงคืนสิ่งนั้น 3. มังกร คือ เจ้าอาวาสวัดเทียนหลง ซึ่งชักนำต้วนเจิ้งหมิงให้สละบัลลังก์ใฝ่หาความสงบทางธรรม หรือเสียนขู่ไต้ซือแห่งวัดเส้าหลิน สมณะผู้สั่งสอนวิทยายุทธ์และปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เฉียวฟง และอู๋หมิงไต้ซือ ช่วยคลี่คลายความแค้นระหว่างเซียวหยวนซานกับมู่หยงป๋อ 4. ครุฑ คือ เฉียวฟง-ยอดคนผู้ยิ่งใหญ่และรันทด 5. ยักษ์ คือ เหล่าจอมยุทธ์ฝีมือร้ายกาจ บ้างดี บ้างร้าย บ้างทั้งดีและร้าย อย่างบรรดาชาวยุทธ์ที่บางครั้งถูกปลุกปั่นให้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ด้วยความเข้าใจผิด 6. คนธรรพ์ คือ ต้วนอี้-ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เพียงหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหมือนกับซีจุ๊-หลวงจีนที่ทำผิดวินัยสงฆ์โดยไม่ตั้งใจ ต่อมาได้เป็นราชบุตรเขยของอาณาจักรซี่เซี่ย 7. กินนร คือ เหล่านางงามของต้วนเจิ้งฉุน และบุตรสาวทั้งหลายของเขา ซึ่งงามหยดย้อย แต่ชีวิตเป็นทุกข์นัก เพราะต่างไม่อาจครองรักไว้คนเดียว 8. มโหราค คือ โหยวตั้นจือ เป็นคนมีฝีมือ แต่น่าสงสารที่สุด เพราะขาดปัญญาชี้นำที่ถูกต้อง เขาหลงใหลในสตรีนางหนึ่ง แต่นางกลับทำลายใบหน้าของเขาจนอัปลักษณ์ และเอาเปรียบโดยตลอด ตัวละครแต่ละจำพวก คล้ายต่างคนต่างอยู่ และมีปัญหาต่างกัน แต่กลับเชื่อมโยงเกี่ยวข้องและประหวัดเป็นปมเดียวกัน จากการมองพ้นคุณธรรมน้ำมิตรของชาวยุทธ์ ลดขนาดความสำคัญของประธานและกรรมในเรื่องเล่าให้เล็กลง แล้วหันมามองว่าแต่ละคน แต่ละเหตุการณ์ มีส่วนประกอบของปัจจัยอะไรบ้าง สืบเนื่องกันมาอย่างไร และแสดงธรรมชาติของมนุษย์ในสภาวการณ์หนึ่งอย่างไร แปดเทพอสูรมังกรฟ้าจึงไม่ใช่นิยายกำลังภายในที่ว่าด้วยการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม หากเป็นการต่อสู้ระหว่างคนกับชีวิตที่เป็นทุกข์จากกิเลสที่แตกต่างกัน และแปรเปลี่ยนไปสุดจะหยั่ง มีการถกเถียงกันถึงนิยายเรื่องนี้เป็นวงกว้างในเรื่องของฝีมือและพลังยุทธ จึงมีการจัดอันดับมาดังนี้เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น ยอดฝีมือ เฉียวฟง 18ฝ่ามือพิชิตมังกร , ไม้เท้าตีสุนัข เซียวหยวนซาน วรยุทธเส้าหลินและราชสำนักเหลียว , มู่หยงป๋อ ดรรชนีสกุลมู่หยง ดาวเคลื่อนดาราคล้อย เคล็ดวิชาร้อยพรรค วรยุทธเส้าหลิน แม่เฒ่าทาริกาเทียนซัว , หลี่ชิวจุ้ย , อู๋หย่าจือ วรยุทธพรรคสราญรมณ์ ซีจุ๊ วรยุทธพรรคสราญรมณ์ , ต้วนอี้ ดรรชนีกระบี่หกชีพจร จิวมอจื้อ ดาบเปลวเพลิง ดรรชนีเทพ มู่หยงฟู่ ดาวเคลื่อนดาราคล้อย , ต้วนเหยียนชิ่ง ดรรชนีสุริยัน , ต้วนเจิ้งหมิง ดรรชนีสุริยัน , ติงชุนชิว วิชาพิษพรรคหมู่ดาว วิชาสลายพลัง จวงจื้อเฮียง(โหยวตั้นจื่อ) วิชาไหมพิษน้ำแข็ง คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น * หลวงจีนเฝ้าหอคัมภีร์ไม่สามารถจัดอันดับได้เนื่องจากไม่ข้องเกี่ยวกับยุทธภพเรื่องย่อ เรื่องย่อ. 8 เทพอสูรมังกรฟ้า เป็นเรื่องราวในช่วงสงครามระหว่างแคว้นต้าซ่งและแคว้นเหลียว ทั้งสองแคว้นทำสงครามต่อเนื่องยาวนานจนปลูกฝังเป็นความแค้นลึกล้ำระหว่างเมืองทั้งสอง ในยุทธจักรมีคำกล่าว"เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้" เค้าลางแห่งความวุ่นวายเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อเฉียวฟงประมุขพรรคกระยาจกถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรสังหารรองประมุขพรรคกระยาจกหม่าต้าหยวนและยังถูกเปิดโปงว่าเป็นชาวซิตัน ด้วยกระแสชาตินิยมจึงทำให้เฉียวฟงต้องออกจากพรรคกระยาจก เฉียวฟงออกสืบหาความเป็นมาของตนเองเพื่อจะหาผู้ที่ชาวยุทธ์เรียกขานว่า"ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่"ผู้ที่สังหารบิดามารดาที่แท้จริงของตนเองจนกระทั่งพบว่าตนเองนั้นเป็นชาวซิตันแซ่เซียว เฉียวฟงจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเซียวฟง แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรจนเซียวฟงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้สังหารบิดามารดาบุญธรรมและอาจารย์ของตน แต่ยังมีผู้หนึ่งที่อยู่เคียงข้างเซียวฟงตลอดนั่นคืออาจูผู้เป็นสาวใช้ของจอมยุทธ์ใต้มู่หยงฟู่ แต่โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นจากความแค้นของเซียวฟงจนทำให้เกิดเรื่องราวอันน่าสลด สุดท้ายเซียวฟงได้ช่วยเหลือเยลู่กีฮ่องเต้ซิตันจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไต้อ๋องแห่งแคว้นเหลียว ณ เมืองต้าหลี่ ต้วนอี้บุตรชายอ๋องเจิ้นหนานต้วนเจิ้นฉุนแห่งต้าหลี่ได้หนีออกจากบ้านเนื่องจากถูกบิดาบังคับให้ฝึกวิทยายุทธ์ แต่ต้วนอี้ฝักใฝ่ทางธรรมมากกว่า แต่สุดท้ายก็ตกกระไดพลอยโจนได้ฝึกสุดยอดวิชาพรรคสราญรมย์และวิชาดรรชนีกระบี่หกชีพจรจนกลายเป็นยอดฝีมือ แต่ด้วยการที่ต้วนอี้ไม่มีพื้นฐานวรยุทธ์ จึงทำให้ยอดวิชาใช้ออกได้เป็นบางครั้งบางคราว ภายหลังต้วนอี้ถูกจิวม่อจื้อราชครูแค้วนถู่ฟานจับตัวไป จนเป็นสาเหตุให้ต้วนอี้ต้องเข้ามาพัวพันกับความวุ่นวายในยุทธจักรจนกระทั่งได้สาบานเป็นพี่น้องกับเซียวฟงและได้พบรักกับหวังอวี่เยี่ยน แต่ในใจหวังอวี่เยี่ยนนั้นรักเพียงญาติผู้พี่นามมู่หยงฟู่แห่งกูซูผู้ได้รับการขนานนามเป็นจอมยุทธ์ใต้เทียบเคียงกับเซียวฟง แม้ต้วนอี้จะไม่ได้รับรักตอบแต่ก็มีความพยายามติดตามมู่หยงฟู่และหวังอวี่เยี่ยนต่อไป มู่หยงฟู่เป็นทายาทเชื้อพระวงศ์แค้วนต้าเยี่ยนที่ถูกกลืนโดยแค้วนต้าซ่ง ด้วยเหตุนี้มู่หยงฟู่จึงได้รับการปลูกฝังจนมีปณิธานที่จะกู้ชาติ มู่หยงฟู่ศึกษาวิชาดาวเคลื่อนดาราคล้อยและรอบรู้วิทยายุทธ์หลายสำนัก เขามักจะคบหากับชาวยุทธ์เพื่อจะหากำลังมากอบกู้เมืองเยี่ยนของตน ในอีกด้านหนึง อิ้วถานจื่อผู้เป็นบุตรชายของเจ้าบ้านทั้งสองแห่งหมู่บ้านผู้กล้าต้องออกเร่ร่อนตามล้างแค้นเซียวฟงไปถึงแคว้นเหลียว เหตุเนื่องจากเซียวฟงพาอาจูไปหาหมอเทวดาที่หมู่บ้านผู้กล้าและได้ปะทะกับชาวยุทธ์จนเป็นสาเหตุให้เจ้าบ้านผู้กล้าทั้งสองต้องจบชีวิตลง แต่อิ้วถานจื่อถูกทหารซิตันจับมาได้และได้มาพบกับเซียวฟง อิ้วถานจื่อบังเอิญเก็บคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นที่เซียวฟงทำตกไว้ได้และได้หลงรักอาจื่อผู้เป็นน้องสาวอาจูโดยบังเอิญ แต่อาจื่อผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตได้นำหน้ากากเหล็กที่เพิ่งหลอมเสร็จมานาบหน้าของอิ้วถานจื่อจนเชื่อมติดเป็นเนื้อเดียวกัน แต่กระนั้นอิ้วถานจื่อก็ได้ติดตามรับใช้อาจื่อด้วยความภักดี อาจื่อมักจะให้สัตว์พิษกัดอิ้วถานจื่อเพื่อฝึกวิชา อิ้วถานจื่อจึงฝึกคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเพื่อขับพิษจนกลายเป็นยอดฝีมือ อิ้วถานจื่อได้รับการสนับสนุนจากฉวนกวนชิงแห่งพรรคกระยาจกจนได้เป็นประมุขพรรคกระยาจกคนใหม่ อิ้วถานจื่อถูกยุยงให้ท้าประลองกับวัดเส้าหลินเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดงานชุมนุมชาวยุทธ์ในวัดเส้าหลินขึ้น ฝ่ายหลวงจีนน้อยวัดเส้าหลินนามซีจุ๊นำเทียบเชิญไปส่งให้เหล่าชาวยุทธ์และได้บังเอิญเข้าร่วมงานหมากล้อมและได้พบกับยอดฝีมือหลายคนรวมทั้งต้วนอี้ ซีจุ๊บังเอิญแก้กลหมากล้อมของอู๋หยาจื่อได้ เขาจึงได้รับการถ่ายทอดพลังเจ็ดสิบปีจากอู๋หยาจื่อและได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักสราญรมย์ต่อจากอู๋หยาจื่อ ซีจุ๊ทำตามคำสั่งเสียของอู๋หยาจื่อจนได้เข้าไปพัวพันกับความแค้นของนางเฒ่าทาริกาเทียนซานและหลี่ชิวสุ่ย ทั้งสองได้ต่อสู้กันจนตกตายตามกัน ก่อนตายนางเฒ่าทาริกาได้มอบตำแหน่งเจ้าสำนักเทียนซานให้ซีจุ๊ ซีจุ๊ได้ฝึกวิชาสำนักสราญรมย์และเทียนซานจนแตกฉานกลายเป็นยอดฝีมือ ภายหลัง เซียวฟง ซีจุ๊ และต้วนอี้ได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน ซีจุ๊ได้อภิเษกกับองค์หญิงแห่งซีเซี่ย ต้วนอี้ได้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าหลี่และอภิเษกกับหวังอวี่เยี่ยน แต่สำหรับเซียวฟง มู่หยงฟู่ และอิ้วถานจื่อนั้นจบลงด้วยโศกนาฏกรรม มู่หยงฟู่ทำการกู้ชาติไม่สำเร็จจนสติฟั่นเฟือน อิ้วถานจื่อต้องพิการและเสียชีวิตเพื่อสังเวยความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่ออาจื่อ ส่วนเซียวฟงนั้นต้องเสียสละตนเองเพื่อให้แคว้นซ่งและเหลียวทั้งสองแคว้นยุติสงครามไม่รุกรานต่อกันตัวละครสำคัญตัวละครหลักตัวละครสำคัญ. ตัวละครหลัก. - เฉียวฟง หรือ เซียวฟง,เคียวฮง > แตกฉานวิชาสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร และ เพลงไม้เท้าตีสุนัข เป็นผู้มีวรยุทธสูงส่งมีคุณธรรม จอมยุทธอันดับหนึ่ง - ต้วนอี้ หรือ ต้วนอื้อ,ตวนอื้อ > อ๋องน้อยแห่งต้าหลี่ นิสัยใจดี มีเมตตา มองโลกในแง่ดี สำเร็จยอดวิชาดรรชนีกระบี่หกชีพจร ลมปราณภูติอุดร และ ท่าเท้าท่องคลื่น - ซีจุ๊ หรือ หลวงจีนฮือเต็ก ซีจุ๊ > เป็นบุตรของเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินกับเย่เอ้อเหนียง ประมุขวังคฤธรมีวรยุทธสูงส่ง - มู่หยงฟู่ หรือ ม่อย้งฮก > จอมยุทธ์หนุ่มผู้ถูกขนานนามเสมอเฉียวฟง เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้รู้วิชาแทบทุกแขนง - หวังอวี่เยียน หรือ เฮ้งอวิ้เหงียน > นางในฝัน สาวงามที่ปักใจรักมู่หยงฟู่ และเป็นคนที่ ต้วนอี้หลงไหลยิ่งนัก - มู่หยงป๋อ > บิดามู่หยงฟู่ มีวรยุทธสูงมาก - เซียวหยวนซาน > ชาวซิตัน บิดาของ เฉียวฟง มีวรยุทธล้ำเลิศ - อาจู > สาวใช้อยู่กับคุณชายมู่หยงฟู่ สนิทสนมกับหวังอวี่เยียนและอาเพ่ก สามารถปลอมตัวเปลี่ยนโฉมได้ - อาเพ่ก > หนึ่งในสาวใช้มู่หยงฟู่ - อาจื่อ > ศิษย์ของผู้เฒ่าหมู่ดาวติงชุนชิวเป็นบุตรสาวของต้วนเจิ้นฉุน เอาแต่ใจ ร้ายกาจเป็นน้องสาวของอาจู - ต้วนเจิ้งหมิง > เป็นฮ่องเต้ต้าหลี่ เป็นลุงแท้ๆของ ต้วนอี้ เป็นฮ่องเต้ที่มีวิทยายุทธดีที่สุด - ต้วนเจิ้งฉุน > พ่อของต้วนอี้ เจ้าชู้เมียมาก ลูกมาก ยุ่งกับเรื่องผู้หญิง แต่มีวรยุทธสูงส่ง - เยลุกี > ฮ่องเต้ซิตันปลอดภัย เคยชุบเลี้ยงเฉียงฟงและอาจือไว้ - ต้วนเหยียนชิ่ง > พี่ชายคนตนโตของตระกูลต้วน ถูกกีดกันราชบัลลังค์ของแคว้นต้าหลี่และโดนทำร้ายบาดเจ็บหนัก แต่ยังมีวรยุทธสูงมากเป็นพี่ใหญ่ของ พวก 4 คนโฉด และ เป็นพ่อที่แท้จริงของต้วนอี้ - เจ้าอาวาสวัดเทียนหลง - เสียนขู่ไต้ซือ - อู๋หมิงไต้ซือ - หลวงจีนหอไตร (เก่งที่สุดในหนังแล้วแหละคนนี้) - คิ่วม้อจือ(จิวม่อจื้อ) - เต็งชุนชิว หรือ ติงชุนชิว > เต็งชุนชิวเป็นเจ้าสำนักหมู่ดาว เป็นศิษย์ทรยศสำนักสราญรมย์ของ อู๋หยาจื่อ - โหยวตั้นจือ > หลงไหลอาจื่อ จนไม่สนใจอะไรเป็นคนมีฝีมือ แต่กลับไม่เอาอะไรเลยนอกจากอาจื่อคนเดียวตัวละครอื่นตัวละครอื่น. - จงหลิง (ก๋วยเจ๋ง) - เตาไป๋เฟิ่ง (ตอแปะหงส์) - หวังฮูหยิน (เฮ้งฮูหยิน) - หย่วนซิงจู๋ (ง้วนแชเต็ก) - ฉินหงเหมียน (ฉิ่งอั้งมี้) - กานเป๋าเป่า (กำปอป่อ) - คังเหมี่ยน, หม่าฮูหยิน (เบ๊ฮูหยิน) - เยวี่ยเอ้อเหนียง (เอี๊ยบยี่เนี้ย) - เทียนซานถงเหล่า (นางเฒ่าทาริกา) - หลี่ชิวสุ่ย (ลี้ชิวจุ้ย) - หลี่ปี้หยุน (พี่นางฟ้า) - สี่คนโฉด - ติงชุนชิว หรือ เต็งชุนชิว - โหยวตั้นจือ หรือ อิ้วถานจื่อการดัดแปลงในสื่ออื่นภาพยนตร์ละครโทรทัศน์
ใครคือผูแต่งนิยายกำลังภายในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า
{ "answer": [ "กิมย้ง" ], "answer_begin_position": [ 246 ], "answer_end_position": [ 252 ] }
3,543
492,947
นกพรานผึ้ง นกพรานผึ้ง (; ) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกพรานผึ้ง (Indicatoridae) เป็นนกขนาดเล็ก (จะงอยปากถึงปลายหาง 17 เซนติเมตร) ลักษณะคล้ายนกปรอดมาก แต่จะงอยปากหนาและอวบกว่า จะงอยปากสีคล้ำแต่ปากล่างสีจางกว่า ลำตัวด้านบนสีเทาแกมเขียว ลำตัวด้านล่างขาว อกสีเทาแกมขาว ข้างลำตัวมีลายขีดดำ ตาสีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลในนกวัยอ่อน ตัวผู้ที่หัวไหล่มีแถบเหลืองเล็ก ๆ ตัวเมียลักษณะคล้ายตัวผู้แต่ไม่มีแถบเหลือง มีเสียงร้องคล้ายแมว คือ "เมี้ยว" นกพรานผึ้ง เป็นนกที่กินผึ้ง, ตัวอ่อนของผึ้ง และขี้ผึ้งเป็นอาหาร รวมถึงตัวต่อ ถึงขนาดบุกเข้าไปกินถึงในรวงผึ้ง โดยที่ไม่ได้รับอันตรายจากเหล็กไนของผึ้ง ทั้งนี้เป็นเพราะมีปีกที่หนาที่เหล็กไฟผึ้งทำอันตรายไม่ได้ และมีผู้เชื่อว่ามีกลิ่นตัวแรงจนผึ้งไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ นกพรานผึ้ง เป็นนกที่มีพฤติกรรมอยู่ลำพังเพียงตัวเดียว นานครั้งจึงเห็นอยู่เป็นคู่ เป็นนกที่บินได้เก่งและเร็ว และเป็นนกประจำถิ่น จะอยู่ในถิ่นใดถิ่นหนึ่งไปตลอด ต่อเมื่อนกตัวเก่าตายไป นกตัวใหม่ถึงเข้ามาอยู่แทน ในประเทศไทยมีรายงานพบเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ในป่าในเขตชายแดนภาคใต้ที่ติดกับมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีรายงานพบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก ในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง ทั้งในพื้นที่ราบและที่สูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย
นกพรานผึ้งมีลักษณะคล้ายนกชนิดใด
{ "answer": [ "นกปรอด" ], "answer_begin_position": [ 229 ], "answer_end_position": [ 235 ] }
3,544
492,947
นกพรานผึ้ง นกพรานผึ้ง (; ) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกพรานผึ้ง (Indicatoridae) เป็นนกขนาดเล็ก (จะงอยปากถึงปลายหาง 17 เซนติเมตร) ลักษณะคล้ายนกปรอดมาก แต่จะงอยปากหนาและอวบกว่า จะงอยปากสีคล้ำแต่ปากล่างสีจางกว่า ลำตัวด้านบนสีเทาแกมเขียว ลำตัวด้านล่างขาว อกสีเทาแกมขาว ข้างลำตัวมีลายขีดดำ ตาสีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลในนกวัยอ่อน ตัวผู้ที่หัวไหล่มีแถบเหลืองเล็ก ๆ ตัวเมียลักษณะคล้ายตัวผู้แต่ไม่มีแถบเหลือง มีเสียงร้องคล้ายแมว คือ "เมี้ยว" นกพรานผึ้ง เป็นนกที่กินผึ้ง, ตัวอ่อนของผึ้ง และขี้ผึ้งเป็นอาหาร รวมถึงตัวต่อ ถึงขนาดบุกเข้าไปกินถึงในรวงผึ้ง โดยที่ไม่ได้รับอันตรายจากเหล็กไนของผึ้ง ทั้งนี้เป็นเพราะมีปีกที่หนาที่เหล็กไฟผึ้งทำอันตรายไม่ได้ และมีผู้เชื่อว่ามีกลิ่นตัวแรงจนผึ้งไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ นกพรานผึ้ง เป็นนกที่มีพฤติกรรมอยู่ลำพังเพียงตัวเดียว นานครั้งจึงเห็นอยู่เป็นคู่ เป็นนกที่บินได้เก่งและเร็ว และเป็นนกประจำถิ่น จะอยู่ในถิ่นใดถิ่นหนึ่งไปตลอด ต่อเมื่อนกตัวเก่าตายไป นกตัวใหม่ถึงเข้ามาอยู่แทน ในประเทศไทยมีรายงานพบเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ในป่าในเขตชายแดนภาคใต้ที่ติดกับมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีรายงานพบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก ในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง ทั้งในพื้นที่ราบและที่สูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย
นกพรานผึ้งมีเสียงร้องคล้ายสัตว์ชนิดใด
{ "answer": [ "แมว" ], "answer_begin_position": [ 503 ], "answer_end_position": [ 506 ] }
3,545
76,159
สมมาส ราชสีมา สมมาส ราชสีมา นักร้องเพลงลูกทุ่งชายซุปเปอร์สตาร์ชาวไทย สังกัดค่าย อาร์ สยาม ในเครือ อาร์เอส เจ้าของฉายาหนุ่มโคราชเสียงหวาน เป็นนักร้องลูกทุ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบันจากผลงานเพลง จำใจชั่ว,จดหมายจากลูก,ทหารห่วงแฟน,เมาอ้อนเมีย,ลืมไม่ลง,เหมือนเดิมได้ไหม,ไม่รู้จักพอ,รักพี่หรือยัง,ขอสิทธิ์แค่คิดฮอด ฯลฯประวัติ ประวัติ. สมมาส ราชสีมา มีชื่อจริงว่า บำรุง บุญสูงเนิน มีชื่อเล่นว่า เป้ เป็นชาวอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ และมีฐานะยากจน สมมาสชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก และเริ่มเข้าสู่การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งตามงานต่างๆตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยเขาชอบเสียงของ สายัณห์ สัญญา , ยอดรัก สลักใจ และ เสรี รุ่งสว่าง และก็เป็นเพลงของเสรี รุ่งสว่าง ที่เขาหยิบมาร้องในการประกวดมากที่สุด แต่สมมาสก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการประกวดสักเท่าใดนัก เพราะเขาไม่ได้ขึ้นแท่นเป็นผู้ชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียน ด้วยความยากจน สมมาสก็หันไปทำงานหลาก ทั้งทำนาทำไร่ กรรมกรแบกหาม เด็กเสิร์ฟ บ๋อย ต่อมาโชคเริ่มเข้าข้างเขาบ้าง เมื่อเขาสมัครประกวดร้องเพลงในรายการใหญ่ ที่จัดโดยวงดนตรียิ่งยง ยอดบัวงาม และสามารถคว้าชัยชนะได้เป็นครั้งแรก และได้รับรางวัลใหญ่ที่สุดในชีวิตมาครอง นั่นคือทองคำหนัก 2 สลึงเข้าวงการ เข้าวงการ. ระหว่างที่ทำงานร้องเพลงอยู่ที่ห้องอาหารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีแมวมองมาพบเขา จึงชักชวนมาเป็นนักร้องอัดแผ่นเสียง โดยหนึ่งในแมวมองที่ว่านั้นก็คือไพฑูรย์ ขันทอง หรือ ดาร์กี้ ขี้เมา ตลก และครูเพลงที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเจ้าของผลงานประพันธ์เพลง " รักน้องเมีย " , "ชวนน้องแต่งงาน"ของ ยอดรัก สลักใจ และ" มีเมียเด็ก" ของพรศักดิ์ ส่องแสง ผลงานชุดแรกในชีวิตการเป็นนักร้องอาชีพของสมมาส ราชสีมา คือ " จดหมายจากลูก " และ ผลงานสร้างชื่อ ที่จุดประกายความดังของเขาก็คือเพลง "จดหมายจากลูก" และ " จำใจชั่ว" ซึ่งเป็นเพลงแรกที่เขาบันทึกเสียง สมมาส ราชสีมา เป็นนักร้องลูกทุ่งชายที่มีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ เขาอยู่ในวงการเพลงมาหลายปี และผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาโด่งดังมาจากเพลง " จำใจชั่ว " สมมาส ราชสีมา ไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกับ สุนารี ราชสีมานักร้องลูกทุ่งหญิงชื่อดังแห่งวงการลูกทุ่งไทยแต่อย่างใดผลงานเพลงสังกัดค่าย เอสเอส มิวสิค1. จดหมายจากลูก 2. จำใจชั่ว 3. ขันหมากน้ำตา 4. เสียงไก่ขัน 5. บ้านคนจน 6. #หลงแม่หม้าย 7. นักโทษประหาร 8. เหลืองใบยอ 9. พี่ไม่หล่อใครจะหล่อ 10. ขอควงสี่คน 11. จดหมายจากลูก ซาวด์ 12. จำใจชั่ว ซาวด์อัลบั้มรวมเพลงรวมเพลงฮิต สมมาส ราชสีมา อัลบั้มรวมเพลง. รวมเพลงฮิต สมมาส ราชสีมา. เป็นการนำบทเพลงที่โด่งดังและฮิตที่สุดของ สมมาส ราชสีมา มารวมไว้ในอัลบั้มนี้- ชุดที่ 11. จำใจชั่ว 2. ทหารห่วงแฟน 3. สาวเสริมสวย 4. เมาอ้อนเมีย 5. โคราชบ้านเอง 6. โชคดีเมียเมา 7. คอยน้องลัดดา 8. เสียงไก่ขัน 9. ใครก็ได้ถ้ารักจริง 10. ขอนแก่นแฟนลืม 11. น้ำตาคนจน 12. โลกที่สาม- ชุดที่ 21. ลืมไม่ลง 2. จดหมายจากลูก 3. ใส่นมเยอะๆ 4. หล่อทวนลม 5. ห่วงสาวอีสาน 6. หลงแม่หม้าย 7. โรงงานความรัก 8. ใจนางเหมือนทางด่วน 9. ฮักสาวอุบล 10. เงินไม่ได้ซื้อ 11. ขันหมากหนุ่มกำพร้า 12. ลืมทุ่งรวงทองรวมเพลงฮิต คู่รักพักร้อน รวมเพลงฮิต คู่รักพักร้อน. เป็นการนำบทเพลงที่โด่งดังและฮิตที่สุดของ สมมาส ราชสีมา และ ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ มารวมไว้ในอัลบั้มนี้1. ฮักน้องอย่าซูนคิง 2. จ้างลูกไปซื้อขนม 3. หนุ่มยาวสาวสั้น (ต้นฉบับ ดาว บ้านดอน ร้องคู่กับ พิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย) 4. หนุ่มซื้อข้าวสาวซื้อเกลือ 5. หนุ่มขายฟอยสาวขายสาด 6. พี่ซอยสอง น้องซอยสี่ 7. จีบสาวเลี้ยงเป็ด (ต้นฉบับ ดาว บ้านดอน ร้องคู่กับ พิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย) 8. โทรศัพท์ถืกตัด 9. เต็มใจให้หลอก 10. หนึ่มลำปางสาวลำตะคอง 11. ออกพรรษาจะมาขอแต่ง 12. สาวผมดำหนุ่มผมแดงสังกัดค่าย กรุงไทยออดิโออัลบั้มเดี่ยวคุณ...บุญมา (2546)สังกัดค่าย กรุงไทยออดิโอ. อัลบั้มเดี่ยว. คุณ...บุญมา (2546). 1. เปลี่ยน พ.ศ.ใหม่ เปลี่ยใจหรือยัง (ต้นฉบับ ยอดรัก สลักใจ) 2. ครวญถึงแม่ 3. คุณ...บุญมา 4. ด้วยรักและคิดถึง 5. แค่คนธรรมดา 6. น้ำผึ้งอาบยาพิษ 7. กลับตัวเถิดน้อง 8. ฆาตกรเลือดเย็น 9. เจ้าดอกลำดวน 10. น้องลืมเบนซ์ 2 ประตู 11. ใจอ่อนทุกที 12. รักนางกลางเมืองผลงานร่วมกับศิลปินอื่นหย่าวคักคัก เมดเลย์อีสาน (2545) ผลงานร่วมกับศิลปินอื่น. หย่าวคักคัก เมดเลย์อีสาน (2545). อัลบั้มพิเศษ หย่าวคักคัก เป็นการนำบทเพลงลูกทุ่งหมอลำที่เคยโด่งดังและได้รับความนิยมในอดีตกลับมาถ่ายทอดใหม่ผ่านน้ำเสียงศิลปินเลือดอีสานทั้งหมด 7 ศิลปิน นำโดย สาธิต ทองจันทร์,เดือนเพ็ญ อำนวยพร,ปฤษณา วงศ์ศิริ,แมน มณีวรรณ,สมมาส ราชสีมา,ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี- ชุดที่ 11. ตามใจแม่เถิดน้อง ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์,แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ เฉลิมพล มาลาคำ) 2. หยุดน้ำตาเถิดน้อง ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ สาธิต ทองจันทร์) 3. น้ำตาจากใจ ศิลปิน ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี 4. ฮักสาวแอ่วหวาน ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์ 5. ลืมนาลืมนาง ศิลปิน ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ 6. เมาหนักเพราะรักติ๋ม ศิลปิน แมน มณีวรรณ 7. ใส่กลอนหัวใจ ศิลปิน ฟ้า สุภาวี 8. สายตาพิฆาต ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร,ปฤษณา วงศ์ศิริ,ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี 9. อดีตรักวันเข้าพรรษา ศิลปิน สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ เฉลิมพล มาลาคำ) 10. เมดอินอีสาน ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร 11. มักสาวใส่ยีนส์ ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับเดิม แมน มณีวรรณ ร้องเดี่ยว) 12. น้ำตาส่วนเกิน ศิลปิน ปฤษณา วงศ์ศิริ 13. รักแท้คือแม่ผม ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ สาธิต ทองจันทร์) 14. พ่อคือพรหมองค์แรก ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร,ปฤษณา วงศ์ศิริ,ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี- ชุดที่ 21. ปากโกรธใจคิดถึง ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์,แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับเดิม สาธิต ทองจันทร์ ร้องเดี่ยว) 2. คนหลังยังคอย ศิลปิน ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ 3. สะอื้นอวยพร ศิลปิน แมน มณีวรรณ 4. หัวอกตายาย ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์ 5. สายตาภาษารัก ศิลปิน ปฤษณา วงศ์ศิริ 6. ซังคนตอแหล ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ ชาญชัย จตุรงค์) 7. ฆาตกรเลือดเย็น ศิลปิน ฟ้า สุภาวี 8. สาวกาฬสินธุ์คอยคู่ ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร,ปฤษณา วงศ์ศิริ,ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี 9. กลับเถิดจันทร์จ๋า ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ สาธิต ทองจันทร์) 10. พื้นเมืองอีสาน ศิลปิน ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี 11. สมน้ำหน้าตัวเอง ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์,แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ ไก่ฟ้า ดาดวง) 12. พบรักที่หัวลำโพง ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร 13. ชมรมแท็กซี่ ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ ทองมี มาลัย) 14. เมียแท็กซี่ ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร และ ปฤษณา วงศ์ศิริสังกัดค่าย พีจีเอ็มชุดที่ 1 ลูกอีสาน (2547)สังกัดค่าย พีจีเอ็ม. ชุดที่ 1 ลูกอีสาน (2547). 1. ลูกอีสาน 2. กระทงส่งรัก 3. ไอ้หยั่งขี่โป๊ด 4. ลูกสาวชาละวัน 5. ดอกเงินคนจน 6. ไก่ได้พลอย 7. เหมือนเดิมได้ไหม 8. ขยันกันทั้งภาค 9. เมาไม่เจ้าชู้ 10. ลารักสุดอาลัยชุดที่ 2 ปิดทองหลังย่าโม (2548)ชุดที่ 2 ปิดทองหลังย่าโม (2548). 1. ไม่รู้จักพอ 2. เด็กโง่ขี้งอน 3. แค่เสี้ยวเศษใจ 4. ปิดทองหลังย่าโม 5. ประท้วงรัก 6. มอบให้ซึ้ง 7. จากใจถึงใจ 8. ปลายทางที่บางบัวทอง 9. ซีเมนต์หัวใจ 10. ถามข่าวแฟนเก่าสังกัดค่าย วี 6 โปรดักชั่นรักพี่หรือยัง (2552)สังกัดค่าย วี 6 โปรดักชั่น. รักพี่หรือยัง (2552). 1. รักพี่หรือยัง 2. เสน่ห์สาวสุรินทร์ 3. รักคนหน้าหรึ่ม 4. ตามวันที่ฝันไว้ 5. สุดห้ามใจรัก 6. คนหลายใจ 7. ยางข้าวเหนียว 8. ชีวิตชาวนา 9. สาวสุราษฎร์ธานี 10. สถานีหัวใจสังกัดค่าย นายพล เอนเตอร์เทนเม้นท์ชีวิตที่เหลืออยู่ขอสู้เพื่อเธอ (2555)สังกัดค่าย นายพล เอนเตอร์เทนเม้นท์. ชีวิตที่เหลืออยู่ขอสู้เพื่อเธอ (2555). 1. ชีวิตที่เหลืออยู่ขอสู้เพื่อเธอ 2. เบอร์โทรอันตราย 3. รักของเรากับความเศร้าที่เธอทำ 4. สาวเอย 5. ลืมเขาได้ไหม 6. ช้ำรักสาวโรงงาน 7. กลับบ้านเองเถอะ 8. หนุ่มเมืองศรี 9. ถึงเมาก็รักเมีย 10. เสียดายสาวดอยสังกัดค่าย อาร์ สยามซุปตาร์อีสาน (2558) สังกัดค่าย อาร์ สยาม. ซุปตาร์อีสาน (2558). อัลบั้มพิเศษ ซุปตาร์อีสาน เป็นอัลบั้มพิเศษที่รวม 10 ศิลปินดังคุณภาพ นำโดย แมน มณีวรรณ อาร์สยาม,เดือนเพ็ญ อำนวยพร อาร์สยาม,สนุ๊ก สิงห์มาตร อาร์สยาม,เอ๋ พจนา อาร์สยาม,โอ๋ พจนา อาร์สยาม,พิมพา พรศิริ อาร์สยาม,ติ๊ก ดอกรัก ดวงมาลา อาร์สยาม,พรชัย วรรณศรี อาร์สยาม,สมมาส ราชสีมา อาร์สยาม และ นุช วิลาวัลย์ อาร์สยาม1. สู้เขาได้แค่ใจที่รักจริง ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร อาร์สยาม 2. สาวใหญ่สิลงคาน ศิลปิน พิมพา พรศิริ อาร์สยาม 3. นางฟ้ากับหมาข้างถนน ศิลปิน ติ๊ก ดอกรัก ดวงมาลา 4. เอาเวลาใด๋หลอยไปคบกัน ศิลปิน นุช วิลาวัลย์ อาร์สยาม 5. เกิบฮ้างข้างทางเดิน ศิลปิน แมน มณีวรรณ อาร์สยาม 6. ยังฮักคือเก่าแต่อ้ายถิ่มเขาบ่ได้ ศิลปิน เอ๋ พจนา อาร์สยาม 7. คำว่าเฒ่าพูดค่อยๆ ก็เจ็บ ศิลปิน สนุ๊ก สิงห์มาตร อาร์สยาม 8. ขอสิทธิ์แค่คิดฮอด ศิลปิน สมมาส ราชสีมา อาร์สยาม 9. เมียชาวบ้าน ศิลปิน พรชัย วรรณศรี อาร์สยาม 10. แฟนเจ้าผัวเขาเด้อ ศิลปิน โอ๋ พจนา อาร์สยามซิงเกิ้ลซิงเกิ้ล. - แฟนเก่ายังเฝ้ารอ (2559)
สมมาส ราชสีมา เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งที่สังกัดอยู่ค่ายเพลงใด
{ "answer": [ "อาร์ สยาม" ], "answer_begin_position": [ 166 ], "answer_end_position": [ 175 ] }
3,546
76,159
สมมาส ราชสีมา สมมาส ราชสีมา นักร้องเพลงลูกทุ่งชายซุปเปอร์สตาร์ชาวไทย สังกัดค่าย อาร์ สยาม ในเครือ อาร์เอส เจ้าของฉายาหนุ่มโคราชเสียงหวาน เป็นนักร้องลูกทุ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบันจากผลงานเพลง จำใจชั่ว,จดหมายจากลูก,ทหารห่วงแฟน,เมาอ้อนเมีย,ลืมไม่ลง,เหมือนเดิมได้ไหม,ไม่รู้จักพอ,รักพี่หรือยัง,ขอสิทธิ์แค่คิดฮอด ฯลฯประวัติ ประวัติ. สมมาส ราชสีมา มีชื่อจริงว่า บำรุง บุญสูงเนิน มีชื่อเล่นว่า เป้ เป็นชาวอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ และมีฐานะยากจน สมมาสชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก และเริ่มเข้าสู่การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งตามงานต่างๆตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยเขาชอบเสียงของ สายัณห์ สัญญา , ยอดรัก สลักใจ และ เสรี รุ่งสว่าง และก็เป็นเพลงของเสรี รุ่งสว่าง ที่เขาหยิบมาร้องในการประกวดมากที่สุด แต่สมมาสก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการประกวดสักเท่าใดนัก เพราะเขาไม่ได้ขึ้นแท่นเป็นผู้ชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียน ด้วยความยากจน สมมาสก็หันไปทำงานหลาก ทั้งทำนาทำไร่ กรรมกรแบกหาม เด็กเสิร์ฟ บ๋อย ต่อมาโชคเริ่มเข้าข้างเขาบ้าง เมื่อเขาสมัครประกวดร้องเพลงในรายการใหญ่ ที่จัดโดยวงดนตรียิ่งยง ยอดบัวงาม และสามารถคว้าชัยชนะได้เป็นครั้งแรก และได้รับรางวัลใหญ่ที่สุดในชีวิตมาครอง นั่นคือทองคำหนัก 2 สลึงเข้าวงการ เข้าวงการ. ระหว่างที่ทำงานร้องเพลงอยู่ที่ห้องอาหารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีแมวมองมาพบเขา จึงชักชวนมาเป็นนักร้องอัดแผ่นเสียง โดยหนึ่งในแมวมองที่ว่านั้นก็คือไพฑูรย์ ขันทอง หรือ ดาร์กี้ ขี้เมา ตลก และครูเพลงที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเจ้าของผลงานประพันธ์เพลง " รักน้องเมีย " , "ชวนน้องแต่งงาน"ของ ยอดรัก สลักใจ และ" มีเมียเด็ก" ของพรศักดิ์ ส่องแสง ผลงานชุดแรกในชีวิตการเป็นนักร้องอาชีพของสมมาส ราชสีมา คือ " จดหมายจากลูก " และ ผลงานสร้างชื่อ ที่จุดประกายความดังของเขาก็คือเพลง "จดหมายจากลูก" และ " จำใจชั่ว" ซึ่งเป็นเพลงแรกที่เขาบันทึกเสียง สมมาส ราชสีมา เป็นนักร้องลูกทุ่งชายที่มีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ เขาอยู่ในวงการเพลงมาหลายปี และผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาโด่งดังมาจากเพลง " จำใจชั่ว " สมมาส ราชสีมา ไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกับ สุนารี ราชสีมานักร้องลูกทุ่งหญิงชื่อดังแห่งวงการลูกทุ่งไทยแต่อย่างใดผลงานเพลงสังกัดค่าย เอสเอส มิวสิค1. จดหมายจากลูก 2. จำใจชั่ว 3. ขันหมากน้ำตา 4. เสียงไก่ขัน 5. บ้านคนจน 6. #หลงแม่หม้าย 7. นักโทษประหาร 8. เหลืองใบยอ 9. พี่ไม่หล่อใครจะหล่อ 10. ขอควงสี่คน 11. จดหมายจากลูก ซาวด์ 12. จำใจชั่ว ซาวด์อัลบั้มรวมเพลงรวมเพลงฮิต สมมาส ราชสีมา อัลบั้มรวมเพลง. รวมเพลงฮิต สมมาส ราชสีมา. เป็นการนำบทเพลงที่โด่งดังและฮิตที่สุดของ สมมาส ราชสีมา มารวมไว้ในอัลบั้มนี้- ชุดที่ 11. จำใจชั่ว 2. ทหารห่วงแฟน 3. สาวเสริมสวย 4. เมาอ้อนเมีย 5. โคราชบ้านเอง 6. โชคดีเมียเมา 7. คอยน้องลัดดา 8. เสียงไก่ขัน 9. ใครก็ได้ถ้ารักจริง 10. ขอนแก่นแฟนลืม 11. น้ำตาคนจน 12. โลกที่สาม- ชุดที่ 21. ลืมไม่ลง 2. จดหมายจากลูก 3. ใส่นมเยอะๆ 4. หล่อทวนลม 5. ห่วงสาวอีสาน 6. หลงแม่หม้าย 7. โรงงานความรัก 8. ใจนางเหมือนทางด่วน 9. ฮักสาวอุบล 10. เงินไม่ได้ซื้อ 11. ขันหมากหนุ่มกำพร้า 12. ลืมทุ่งรวงทองรวมเพลงฮิต คู่รักพักร้อน รวมเพลงฮิต คู่รักพักร้อน. เป็นการนำบทเพลงที่โด่งดังและฮิตที่สุดของ สมมาส ราชสีมา และ ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ มารวมไว้ในอัลบั้มนี้1. ฮักน้องอย่าซูนคิง 2. จ้างลูกไปซื้อขนม 3. หนุ่มยาวสาวสั้น (ต้นฉบับ ดาว บ้านดอน ร้องคู่กับ พิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย) 4. หนุ่มซื้อข้าวสาวซื้อเกลือ 5. หนุ่มขายฟอยสาวขายสาด 6. พี่ซอยสอง น้องซอยสี่ 7. จีบสาวเลี้ยงเป็ด (ต้นฉบับ ดาว บ้านดอน ร้องคู่กับ พิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย) 8. โทรศัพท์ถืกตัด 9. เต็มใจให้หลอก 10. หนึ่มลำปางสาวลำตะคอง 11. ออกพรรษาจะมาขอแต่ง 12. สาวผมดำหนุ่มผมแดงสังกัดค่าย กรุงไทยออดิโออัลบั้มเดี่ยวคุณ...บุญมา (2546)สังกัดค่าย กรุงไทยออดิโอ. อัลบั้มเดี่ยว. คุณ...บุญมา (2546). 1. เปลี่ยน พ.ศ.ใหม่ เปลี่ยใจหรือยัง (ต้นฉบับ ยอดรัก สลักใจ) 2. ครวญถึงแม่ 3. คุณ...บุญมา 4. ด้วยรักและคิดถึง 5. แค่คนธรรมดา 6. น้ำผึ้งอาบยาพิษ 7. กลับตัวเถิดน้อง 8. ฆาตกรเลือดเย็น 9. เจ้าดอกลำดวน 10. น้องลืมเบนซ์ 2 ประตู 11. ใจอ่อนทุกที 12. รักนางกลางเมืองผลงานร่วมกับศิลปินอื่นหย่าวคักคัก เมดเลย์อีสาน (2545) ผลงานร่วมกับศิลปินอื่น. หย่าวคักคัก เมดเลย์อีสาน (2545). อัลบั้มพิเศษ หย่าวคักคัก เป็นการนำบทเพลงลูกทุ่งหมอลำที่เคยโด่งดังและได้รับความนิยมในอดีตกลับมาถ่ายทอดใหม่ผ่านน้ำเสียงศิลปินเลือดอีสานทั้งหมด 7 ศิลปิน นำโดย สาธิต ทองจันทร์,เดือนเพ็ญ อำนวยพร,ปฤษณา วงศ์ศิริ,แมน มณีวรรณ,สมมาส ราชสีมา,ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี- ชุดที่ 11. ตามใจแม่เถิดน้อง ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์,แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ เฉลิมพล มาลาคำ) 2. หยุดน้ำตาเถิดน้อง ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ สาธิต ทองจันทร์) 3. น้ำตาจากใจ ศิลปิน ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี 4. ฮักสาวแอ่วหวาน ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์ 5. ลืมนาลืมนาง ศิลปิน ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ 6. เมาหนักเพราะรักติ๋ม ศิลปิน แมน มณีวรรณ 7. ใส่กลอนหัวใจ ศิลปิน ฟ้า สุภาวี 8. สายตาพิฆาต ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร,ปฤษณา วงศ์ศิริ,ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี 9. อดีตรักวันเข้าพรรษา ศิลปิน สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ เฉลิมพล มาลาคำ) 10. เมดอินอีสาน ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร 11. มักสาวใส่ยีนส์ ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับเดิม แมน มณีวรรณ ร้องเดี่ยว) 12. น้ำตาส่วนเกิน ศิลปิน ปฤษณา วงศ์ศิริ 13. รักแท้คือแม่ผม ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ สาธิต ทองจันทร์) 14. พ่อคือพรหมองค์แรก ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร,ปฤษณา วงศ์ศิริ,ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี- ชุดที่ 21. ปากโกรธใจคิดถึง ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์,แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับเดิม สาธิต ทองจันทร์ ร้องเดี่ยว) 2. คนหลังยังคอย ศิลปิน ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ 3. สะอื้นอวยพร ศิลปิน แมน มณีวรรณ 4. หัวอกตายาย ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์ 5. สายตาภาษารัก ศิลปิน ปฤษณา วงศ์ศิริ 6. ซังคนตอแหล ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ ชาญชัย จตุรงค์) 7. ฆาตกรเลือดเย็น ศิลปิน ฟ้า สุภาวี 8. สาวกาฬสินธุ์คอยคู่ ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร,ปฤษณา วงศ์ศิริ,ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี 9. กลับเถิดจันทร์จ๋า ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ สาธิต ทองจันทร์) 10. พื้นเมืองอีสาน ศิลปิน ลาวัณย์ จันทร์เพ็ญ และ ฟ้า สุภาวี 11. สมน้ำหน้าตัวเอง ศิลปิน สาธิต ทองจันทร์,แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ ไก่ฟ้า ดาดวง) 12. พบรักที่หัวลำโพง ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร 13. ชมรมแท็กซี่ ศิลปิน แมน มณีวรรณ และ สมมาส ราชสีมา (ต้นฉบับ ทองมี มาลัย) 14. เมียแท็กซี่ ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร และ ปฤษณา วงศ์ศิริสังกัดค่าย พีจีเอ็มชุดที่ 1 ลูกอีสาน (2547)สังกัดค่าย พีจีเอ็ม. ชุดที่ 1 ลูกอีสาน (2547). 1. ลูกอีสาน 2. กระทงส่งรัก 3. ไอ้หยั่งขี่โป๊ด 4. ลูกสาวชาละวัน 5. ดอกเงินคนจน 6. ไก่ได้พลอย 7. เหมือนเดิมได้ไหม 8. ขยันกันทั้งภาค 9. เมาไม่เจ้าชู้ 10. ลารักสุดอาลัยชุดที่ 2 ปิดทองหลังย่าโม (2548)ชุดที่ 2 ปิดทองหลังย่าโม (2548). 1. ไม่รู้จักพอ 2. เด็กโง่ขี้งอน 3. แค่เสี้ยวเศษใจ 4. ปิดทองหลังย่าโม 5. ประท้วงรัก 6. มอบให้ซึ้ง 7. จากใจถึงใจ 8. ปลายทางที่บางบัวทอง 9. ซีเมนต์หัวใจ 10. ถามข่าวแฟนเก่าสังกัดค่าย วี 6 โปรดักชั่นรักพี่หรือยัง (2552)สังกัดค่าย วี 6 โปรดักชั่น. รักพี่หรือยัง (2552). 1. รักพี่หรือยัง 2. เสน่ห์สาวสุรินทร์ 3. รักคนหน้าหรึ่ม 4. ตามวันที่ฝันไว้ 5. สุดห้ามใจรัก 6. คนหลายใจ 7. ยางข้าวเหนียว 8. ชีวิตชาวนา 9. สาวสุราษฎร์ธานี 10. สถานีหัวใจสังกัดค่าย นายพล เอนเตอร์เทนเม้นท์ชีวิตที่เหลืออยู่ขอสู้เพื่อเธอ (2555)สังกัดค่าย นายพล เอนเตอร์เทนเม้นท์. ชีวิตที่เหลืออยู่ขอสู้เพื่อเธอ (2555). 1. ชีวิตที่เหลืออยู่ขอสู้เพื่อเธอ 2. เบอร์โทรอันตราย 3. รักของเรากับความเศร้าที่เธอทำ 4. สาวเอย 5. ลืมเขาได้ไหม 6. ช้ำรักสาวโรงงาน 7. กลับบ้านเองเถอะ 8. หนุ่มเมืองศรี 9. ถึงเมาก็รักเมีย 10. เสียดายสาวดอยสังกัดค่าย อาร์ สยามซุปตาร์อีสาน (2558) สังกัดค่าย อาร์ สยาม. ซุปตาร์อีสาน (2558). อัลบั้มพิเศษ ซุปตาร์อีสาน เป็นอัลบั้มพิเศษที่รวม 10 ศิลปินดังคุณภาพ นำโดย แมน มณีวรรณ อาร์สยาม,เดือนเพ็ญ อำนวยพร อาร์สยาม,สนุ๊ก สิงห์มาตร อาร์สยาม,เอ๋ พจนา อาร์สยาม,โอ๋ พจนา อาร์สยาม,พิมพา พรศิริ อาร์สยาม,ติ๊ก ดอกรัก ดวงมาลา อาร์สยาม,พรชัย วรรณศรี อาร์สยาม,สมมาส ราชสีมา อาร์สยาม และ นุช วิลาวัลย์ อาร์สยาม1. สู้เขาได้แค่ใจที่รักจริง ศิลปิน เดือนเพ็ญ อำนวยพร อาร์สยาม 2. สาวใหญ่สิลงคาน ศิลปิน พิมพา พรศิริ อาร์สยาม 3. นางฟ้ากับหมาข้างถนน ศิลปิน ติ๊ก ดอกรัก ดวงมาลา 4. เอาเวลาใด๋หลอยไปคบกัน ศิลปิน นุช วิลาวัลย์ อาร์สยาม 5. เกิบฮ้างข้างทางเดิน ศิลปิน แมน มณีวรรณ อาร์สยาม 6. ยังฮักคือเก่าแต่อ้ายถิ่มเขาบ่ได้ ศิลปิน เอ๋ พจนา อาร์สยาม 7. คำว่าเฒ่าพูดค่อยๆ ก็เจ็บ ศิลปิน สนุ๊ก สิงห์มาตร อาร์สยาม 8. ขอสิทธิ์แค่คิดฮอด ศิลปิน สมมาส ราชสีมา อาร์สยาม 9. เมียชาวบ้าน ศิลปิน พรชัย วรรณศรี อาร์สยาม 10. แฟนเจ้าผัวเขาเด้อ ศิลปิน โอ๋ พจนา อาร์สยามซิงเกิ้ลซิงเกิ้ล. - แฟนเก่ายังเฝ้ารอ (2559)
สมมาส ราชสีมา มีชื่อจริงว่าอะไร
{ "answer": [ "บำรุง บุญสูงเนิน" ], "answer_begin_position": [ 449 ], "answer_end_position": [ 465 ] }
3,547
814,122
กุกบุยโป้ว กุกบุยโป้ว (; , "กู่ซุ่ยปู่" หรือ "กุกบุยโป้ว" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว) เป็นเฟินชนิดหนึ่งในวงศ์ Polypodiaceae เป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียตะวันออก รวมทั้งจีนตะวันออก ภายนอกเป็นสีแดงอมน้ำตาล มีเกล็ดเล็กคล้ายขนอ่อนปกคลุมทั่วไป ด้านในเป็นสีแดงอมน้ำตาล ใช้เป็นยาในแพทย์แผนจีน ในเอเชียนิยมอ้างถึงพืชชนิดนี้ด้วยชื่อพ้อง Drynaria fortunei รากใช้ทำยาบำรุงกระดูก บำรุงไตแก้ปวด แก้อักเสบ สารออกฤทธิ์ที่สำคัญในเหง้าคือ Flavan-3-ol และpropelargonidin
กุกบุยโป้วเป็นเฟินชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ใด
{ "answer": [ "Polypodiaceae" ], "answer_begin_position": [ 185 ], "answer_end_position": [ 198 ] }
3,548
480,601
คาบสมุทรบาฮากาลีฟอร์เนีย คาบสมุทรบาฮากาลีฟอร์เนีย () หรือ คาบสมุทรกาลีฟอร์เนีย () เป็นคาบสมุทรทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเม็กซิโก อยู่ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับอ่าวกาลีฟอร์เนีย คาบสมุทรมีความยาว 1,247 กม. (775 ไมล์) เริ่มตั้งแต่เมืองเมคีกาลีของรัฐบาฮากาลิฟอร์เนียทางตอนเหนือ ไปถึงเมืองกาโบซานลูกัสของรัฐบาฮากาลิฟอร์เนียซูร์ทางใต้ คาบสมุทรมีพื้นที่ 143,390 ตร.กม. (55,360 ตร.ไมล์) โดยถูกแยกออกจากแผ่นดินใหญ่ของเม็กซิโกโดยอ่าวแคลิฟอร์เนียและแม่น้ำโคโลราโด คาบสมุทรนี้ยังมีทะเลทรายขนาดใหญ่ 4 แห่ง
คาบสมุทรบาฮากาลีฟอร์เนียเป็นคาบสมุทรทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศใด
{ "answer": [ "เม็กซิโก" ], "answer_begin_position": [ 225 ], "answer_end_position": [ 233 ] }